เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My StoriesJirattipat Tengamnuay
ย้อนความหลังไปญี่ปุ่นครั้งแรก (ตอน 1: มาถึงOSAKA ชมเมืองและไปดูงาน)
  • ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่คนไทยน่าจะไปกันเยอะ และตอนนั้นก็ไม่ต้องขอวีซ่า สามารถเดินทางเข้าประเทศและพักอาศัยได้ 15 วัน...ทริปนี้ก็เลยเหมือนกับว่าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่พวกเราไป หลายๆ คนก็คงเคยไปมาแล้ว และคงไม่ได้น่าสนใจอะไร แต่สำหรับตัวเอง ต่อให้ไปซ้ำๆ ก็ยังน่าสนใจอยู่ เพราะไปครั้งล่าสุดก็คือเมื่อหลายปีก่อน

    การหยิบเรื่องทริปเก่าๆ มาพิมพ์ตอนนี้อาจเพราะว่างมาก ก็คิดอยู่หลายวัน จะพิมพ์ดีไม่พิมพ์ดี เพราะนานแล้วและรูปที่ถ่ายภาพมาก็ไม่ได้ต่อเนื่อง ตอนนั้นคือจนมากๆ มือถือที่ใช้คือถ่ายรูปดีดีไม่ได้ ขนาดเชื่อมต่อ Wifi สัญญาณเนตยังไม่ได้ รูปที่ถ่ายภาพมาเลยมาจากกล้อง 3 ตัวที่ใช่สลับกัน ของตัวเอง 1 กล้อง ส่วนอีก 2 กล้องมาจากเพื่อนและพี่ที่รู้จักคือขอยืมเขามา

    ทริปนี้เป็นทริปไปดูงาน ป.โท ตามหลักสูตรที่เขากำหนดไว้ ตอนแรกก็มีให้เลือก 2 - 3 ประเทศ มีญี่ปุ่นและก็เกาหลี (มั้ง) อีกประเทศจำไม่ได้ อาจจะเป็นจีนหรือเปล่าไม่แน่ใจ? แต่จีนนี่...ที่จำได้คือมีพี่ที่จะไปทริปเดียวกันเคยไปมาแล้ว แล้วเขาเคยมาพูดถึงห้องน้ำที่จีนที่สกปรกซึ่งก็เป็นเรื่องหลายปีก่อนเพราะตอนนี้มีข่าวว่าปรับปรุงและเหมือนมี APP ไว้ค้นหาห้องน้ำง่ายขึ้น แต่สรุปญี่ปุ่นคือตัวเลือกที่ดีสุดที่พวกเราเห็นตรงกันว่าอยากไป 

    หลังเลือกประเทศได้แล้วก็กำหนดกันเองว่าจะไปกี่วัน ไปเมืองไหนบ้าง ก็ไหนๆ ก็ไปญี่ปุ่นทั้งทีต้องไปนานๆ หน่อย เราก็เห็นด้วยเพราะไม่เคยไป และไม่รู้จะได้ไปอีกมั้ย ไม่มีเงิน ก็ตกลงว่าจะไป 8 -9 วัน และไป 3 เมืองคือ โอซาก้า, เกียวโตและโตเกียว คือเราไม่ใช่คนกำหนดแต่เป็นเพื่อนร่วมทริปหรืออาจารย์นี่แหละมั้งที่กำหนด คือเป็นคนไม่ค่อยมีบทบาทแต่จะไปไหนก็ไปได้ทั้งนั้น ซึ่งทริปนี้มหาวิทยาลัยหรือคณะจะออกให้ 30,000 บาท แต่ก็มาจากเงินค่าเทอมที่ป้าเราจ่าย ซึ่งค่าเทอมก็แพงมากๆ ตอนแรกที่ไปเรียนวันแรก งง ไม่เข้าใจ อาจารย์ถามไรก็ตอบไม่ได้ เป็นภาษาอังกฤษ กลับบ้านมาก็ไม่คิดจะเรียนแล้ว เพราะไม่เข้าใจ แต่แม่บอกเตรียมเงินไว้แล้วซึ่งมาจากป้า คือที่เราเลือกเรียนที่นี่เพราะแม่อยากให้เรียน ป.โท ก็เลยเลือกเรียนแบบภาษาอังกฤษและพวกออกแบบ ซึ่งตอนนั้นไม่ค่อยมีคณะเปิดแบบในตอนนี้ที่มีให้เลือกเยอะมากๆ และตอนนั้นเราเงินเดือน 16,000 บาท ดังนั้นถ้าถามเรื่อง Pocket money คือไม่มีเงินพอ เลยอาศัยความหน้าด้านหน่อยๆ คือป้าจ่ายเงินค่าเทอมให้เรามหาศาลแล้ว เราก็ยังโทรไปขอเงินเขาอีก 20,000 บาท ตอนแรกป้าก็ถามว่าเกี่ยวกับเรียนหรือใช่ส่วนตัว ก็ตอบว่าเรื่องเรียน สรุปเราก็มีเงินติดตัวไปเอง 32,000 บาท หรือ 100,000 เยน (คือเงินเก็บเราเองอีก 12,000 บาท) 

    เรื่องเครื่องบินกับที่พักก็จองกันเอง ก็มานัดเจอกันที่มหาวิทยาลัย เราก็ไม่ได้มีส่วนร่วมไรเยอะ เพราะฐานะยากจนไม่ได้ไปต่างประเทศอะไรกับเขา เลยไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ตอนนั้น ก็ตามๆ เขาไป แต่ตอนมาเจอกัน เพื่อนร่วมทริปก็ตกลงเลือกจะไปสายการบินจีน ซึ่งเงินส่วนค่าตั๋วเครื่องบิน คณะออกให้เลย (จาก 30,000 บาทค่าดูงานซึ่งมาจากค่าเทอมนั่นแหละ) ส่วนที่พัก คือจ่ายกันไปก่อนแล้วคณะค่อยโอนคืนให้ตอนจบทริป ซึ่งที่พักก็เปิด Agoda หากัน แบบให้ติดรถไฟด้วยจะได้สะดวกในการเดินทาง ซึ่งค่าที่พักที่จ่ายก็มีพี่บางคนสำรองจ่ายไปก่อน แต่ที่จองที่พักเนี้ย เราไม่ได้จองทุกคืน คือช่วง 3 คืนหลังจะไปหาเอาดาบหน้า จำไม่ได้ว่าเหตุผลใด แต่ตอนนั้นคือจะมีคนกลับก่อนด้วยคือไม่ได้ไปโตเกียวด้วยกัน เรื่องที่พักที่โตเกียวเลยจะไปหากันที่นู้นก็ได้

    ทริปนี้ก็มีอาจารย์คุมไป 1 ท่าน คืออาจารย์ยุ้ย เป็นอาจารย์ประจำสาขา Lighting Design ส่วนนักศึกษานี่มาจาก 2  เทอมรวมกัน (คือเข้าเรียนคนละเทอม แต่ก็มีบางส่วนไปทริปก่อนหน้านี้แล้ว คือบางคนที่อาจเข้าเรียนพร้อมเราแต่เขาเรียนปีครึ่ง ก็จะไปทริปกับพวกเทอมก่อนหน้านี้) ก็มีจำนวน 8 คน คือเรา, พี่จี๊ด, แบท, หอม, คริสติน่า, พี่เต๋า, พี่ป๊อป (คล้ำ) และพี่ป๊อป (ขาว) คือเขาก็มีไลน์กลุ่มกัน แต่เราจนมากๆ มือถือกระจอกเครื่องละพันสองพัน ตอนนั้นเล่นเนตไม่ได้ ไลน์ก็เล่นไม่ได้ เลยไม่ได้เข้ากลุ่มกับเขา มีไรคือใน Facebook อย่างเดียว แต่คือมีไรก็ตามๆ เขาไปนั่นแหละ


    17 ตุลาคม 2556

    ออกเดินทาง 17 ตุลาคม 2556 เราก็ไปก่อนหน้าเวลาแล้ว ไปถึงสนามบินก็ไปนั่งรออย่างเดียวดาย เพราะไม่มีไลน์กลุ่มไง ใครอยู่ไหนก็ไม่ได้ตาม ไม่โทรหาใครด้วยว่ามาถึงหรือยัง ตอนเที่ยงคืนก็ไป Check-in คือตอนฟังเขานัด หูไม่ดี คือเขาน่าจะบอกให้ไป Check-in ก่อนเที่ยงคืน แต่เราฟังเป็น Check-in ตอนเที่ยงคืน คือตอนนั้นโง่ๆ เซ่อๆ เพราะไม่เคยไปไหน เลยไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว พอไปที่เคาน์เตอร์ Check-in ของสายการบินก็เจอพี่เต๋ากับพี่ป๊อปและคนที่จัดการตั๋วเครื่องบิน (มั้ง) รออยู่แบบเคาน์เตอร์จะปิดแล้ว เราไปไหนมา แต่ก็ได้ Check-in แหละ ตอนนั้นโง่จริงๆ คือจน ไม่ได้ไปไหน ตอนหลังๆ ที่ไปเนปาลกับปากีสถานก็จัดการเอง อย่างปากีสถานก็เร่ร่อนอยู่คนเดียวจนขึ้นเครื่อง - ลงเครื่อง

    ความจริงไปค้นเอกสารเก่าๆ ในทริปนี้ที่เก็บไว้ก็เจอแพลนการท่องเที่ยวและรายละเอียดตั๋วเครื่องบิน ซึ่งความจริงลืมไปแล้ว ซึ่งแพลนการเดินทางก็จัดโดยอาจารย์ยุ้ยและพี่จี๊ดตามที่ระบุไว้ในใบทริป แต่ตอนจัดก็จำได้ว่าแบบให้เสนอกันว่าอยากไปไหนบ้าง เราก็ตามๆ เขาไปแต่ก็มีเสนอบ้าง ส่วนมากเขาไลน์กลุ่มแต่เราไม่มีมือถือที่เล่นเนตและไลน์ได้ตอนนั้น ตามแค่ใน Facebook

    ***แต่พอมาดูในแพลนอีกทีคือไม่ใช่แฮะ คือเราอยู่โอซาก้าแล้วค่อยไปโตเกียววันที่ 5 แต่ได้มาก็ไม่เคยดูอ่ะ แค่พอจะมาพิมพ์เลยไปค้นเอกสารเก่าๆ ดูแค่นั้นเผื่อมีรายละเอียดไรเอามาพิมพ์***


    ทริปนี้จะมีการเดินทางกลับไม่พร้อมกัน คือจะมี 3 คนที่จะกลับก่อนวันที่ 23 ตุลาคมหลังจากจบทริป  "เกียวโต" และ "โอซาก้า" คือ อาจารย์ยุ้ย, พี่จี๊ดและคริสติน่า ส่วนคนอื่นจะนั่ง "ชินคันเซ็น" ต่อไปที่ "โตเกียว" และกลับประเทศไทยวันที่ 25 ตุลาคม เราไม่เคยไปญี่ปุ่นมาก่อนและตอนนั้นไม่รู้จะได้ไปอีกไหม เลยไม่พลาดต้องอยู่ให้ครบทริปที่ยาวที่สุด

    หลัง Check-in จำได้ว่าเครื่องบิน Delay หน่อยนึง ดูในใบ ตี 2.30 น. แต่เหมือนเครื่องจะออกจริงๆ ประมาณตีสาม ระหว่างรอก็ไปหาอะไรทานกันที่ Food court ซึ่งราคาถูกกว่าไปเร่ร่อนในส่วนอื่นๆ

    ตอนนั่งรอ เราก็ไอๆ เพราะไม่สบายก่อนเดินทาง แต่ก็ไม่คิดไรเอาแค่ยาแก้ไอไป

    ขึ้นเครื่องประมาณตี 3 นี่ก็โง่ดูที่นั่งไม่เป็นตอนนั้น เห็นคนอื่นได้ที่นั่ง ตัวเองก็ไม่รู้ดูไง แต่นั่งแยกๆ กันนะ เราไปนั่งคนเดียวติดหน้าต่างกับคนชาติอื่นอีกคน เป็นเครื่องเล็ก มีแถว 2 ฝั่งและทางเดินตรงกลาง ดูจากในใบ พวกเราจะไปต่อเครื่องที่ไทเปกัน....ตอนแอร์เขามาถามว่าจะเอาอะไร เราก็โง่ภาษาอังกฤษ คนข้างๆ ที่ไม่รู้จักกันนี่แหละเลยถามเราแทน...ก็รอดไป...แต่โง่ภาษาอังกฤษจริงๆ


    พอมาถึงสนามบินไทเป ก็เจอคนมาถือกระดาษประกาศว่าคนจะไปต่อเครื่องนี้ให้ตามพวกเขาไป เพราะเครื่องที่เรามาจากเมืองไทย Delay เครื่องที่เราต้องไปต่อเลยเหมือนรอเรา ตอนนั้นมีเพื่อนร่วมทริปเราบางคนไปอีกทางแล้ว เลยมีการตะโกนเรียกกลับมา แล้วก็ตามคนที่มารอรับพวกที่เครื่อง Delay ไปต่อเครื่อง มีการสแกน ตรวจกระเป๋า เจอไฟแช็คในเป้เรา 2 ชิ้นที่เราไม่ได้เอาออก คนตรวจบอกให้เราเอาออกอันนึง เราลังเลเพราะจำไม่ได้อันไหนใกล้หมดแต่ก็เลือกมาอันนึง ก็โดนเพื่อนในทริปว่าเอาไฟแช็ค มาทำไมหลายอัน

    ตอนนั่งบนเครื่องก็หาที่นั่งไม่เจอเพราะมีคนนั่งผิดที่ แต่สุดท้ายแอร์มาดูให้ เราอ่ะมาถูกที่ คนนั้นเลยต้องลุกไปหาที่นั่งที่ถูกต้อง เราก็ไอๆ เยอะเหมือนกัน แต่เพราะเราเป็นคนไม่สนใจไรเท่าไหร่ก็เลยเอาแค่ยาแก้ไอไป ไม่มียาแก้ไข้หรืออื่นๆ....ตอนนั่ง ถ้าจำไม่ผิดเหมือนนั่งกับพี่เต๋า...

    มาถึง "โอซาก้า" ประมาณ 11 โมงกว่า แถวที่ตรวจคนเข้าเมืองไม่ได้เยอะเท่าไหร่ แต่ก็แอบลุ้นว่าจะผ่านมั้ยเพราะอยากเที่ยวมาก อุตส่าห์มาถึงแล้ว คนอื่นๆ ก็เคยไปมาหลายประเทศ แต่ของเราไม่ได้ไปสักประเทศ แต่ก็ผ่านมาได้ และพอออกมาจากจุดนั้น เราก็ต่อรถไฟกันต่อไปยังที่พัก ซึ่งการซื้อตั๋วรถไฟ เราก็ตามผู้นำคนไป แค่ยื่นเงินส่วนเราให้ เพราะเราใช้เครื่องขายตั๋วไม่เป็น



    ตอนลงบันไดเลื่อนไปขึ้นรถไฟ ก็มี 2 ฝั่ง....และเหมือนรถไฟใกล้จะออก...เราก็ไม่รู้ แค่ตามคนอื่นๆ ไป

    ส่วนตารางรถไฟ ไม่ได้ไปนานแล้วแต่ก็คงแบบแยกเป็นสีๆ มีชื่อสถานีและราคาค่าเดินทาง เวลามองก็ไล่ดูไปเรื่อยๆ ว่าสถานีที่เราจะลงอยู่ตรงไหน ถ้าจะต่อรถไฟต้องไปลงสถานีไหนก่อน แต่ที่พักที่พวกเราเลือกเช็คกันก่อนแล้วว่าใกล้สถานีรถไฟฟ้า


    ตอนประมาณบ่าย 3 มั้งก็มาถึงโรงแรมชื่อ "Hotel Osaka Castle" ซึ่งพวกเราช่วยกันหาใน Agoda ว่าจะพักที่ไหน หลักๆ น่าจะติดรถไฟใต้ดินเพื่อสะดวกในการเดินทาง ซึ่งเราพักกับพี่จี๊ด นอกนั้นนอน 3 คน แบ่งเป็นผู้หญิงและผู้ชาย คือ หอม, แบท และคริสติน่า อีกห้องคือพี่เต๋า และ 2 พี่ป๊อป...ก่อนเข้าพักก็มีถามรวมอาหารเช้ามั้ยแบบจ่ายเพิ่มแต่เราไม่เอา ไม่มีเงิน ไปหากินเองได้ข้างนอก


    พอเก็บของ เราก็นัดออกไปหาอะไรทานกัน เพราะไม่ได้ไปต่างประเทศมานานมาก เห็นว่าเดือนตุลาคม ถ้าเมืองไทย คือร้อนตลอด ไปญี่ปุ่นก็คิดว่าไม่หนาวมาก เลยเตรียมเสื้อกันหนาวแบบมีแค่กระดุมอันเดียวด้านหน้า ดังนั้นเลยหนาวและไม่สบายด้วย แต่ตอนที่ไปถึงยังไม่เป็นไรมาก ก็เดินๆ ตามคนอื่นไป เดินชมเมืองด้วย



    มาญี่ปุ่นครั้งแรก หลายๆ อย่างรอบตัวก็คือน่าสนใจ มาครั้งนี้ก็ไม่รู้มีปัญญามาอีกหรือเปล่า เพราะเงินเดือนหมื่นกว่าบาท



    เดินตามคนอื่นไปเรื่อยๆ เพื่อหาร้านอาหารเย็นทานกัน



    คนอื่นๆ ก็มองตามร้านข้างทางไปเรื่อยๆ ส่วนเราไม่รู้ไรเลย ตามเขาอย่างเดียว ทานไรก็ได้...สุดท้ายก็มาหยุดที่ร้านนี้


    ตอนเข้าร้านก็มีการตกลงกันว่าจะเก็บเงินรวมกองกลางเป็นค่าอาหาร ก็เก็บคนละหมื่นเยน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเก็บไว้ที่แบท ซึ่งตอนแรกเราอยากแยกจ่าย แต่ก็ตามเขา คือบางมื้อ บางคนก็อาจกินเครื่องดื่มอย่างเบียร์หรือเหล้า แล้วมันเพิ่มราคา เราไม่มีเงิน แต่ว่าตามส่วนรวมและความสะดวกก็ให้ไปหมื่นเยน


    ตอนสั่งก็ไม่ได้สั่งเองแล้วแต่คนอื่นๆ กินได้หมด


    เดินกลับเข้าที่พัก แถวสะพานก็มีการเปิดไฟ ก็เดินชมไฟกันตรงสะพาน



    อาจจะเป็นป้ายบอกชื่อแม่น้ำแถวโรงแรม


    เดินกลับมาที่โรงแรม ก็มีนัดรวมตัวอีกรอบดึกๆ เพื่อออกไปเดินเล่น เราก็ขึ้นมาบนห้องก่อนลงไปด้านล่างอีกรอบ


    เดินลงมาก็มีคนอื่นๆ รออยู่แล้ว แบบยืนบ้าง นั่งรออยู่แล้วที่พื้นบ้าง แต่พอคุยไปมา หลายคนไม่ไปเพราะเหนื่อยอยากพัก แต่เราเพิ่งเคยมาญี่ปุ่นครั้งแรก และไม่มีเงิน ไม่รู้จะได้มาอีกเมื่อใด ก็เลยจะเดินออกไปเดินเล่น สรุปก็มีอาจารย์ยุ้ย, พี่เต๋า, พี่ป๊อปทั้ง 2 คนและเรา 


    เดินตามอาจารย์และพวกพี่เขาไปเรื่อยๆ

    อาจารย์ยุ้ยเขาสอน Lighting Design ส่วนพี่ป๊อป (ขาว) ก็เรียน Lighting Design ก็เลยให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องไฟเป็นพิเศษบ้าง อย่างอันนี้อาจเป็นเกี่ยวกับการใช้ไฟกับพวกตัวอักษร ข้อความก็ได้ การเพิ่มจุดเด่นให้ชื่อสถานที่ยามค่ำคืน เพราะตัวอักษรจมไปกับกำแพง


    แล้วก็มาแวะร้านก๋วยเตี๋ยว คนอื่นๆ ทานกัน แต่เราเพิ่งทานมาเมื่อกี้เลยไม่ได้กินไรอีก แต่อีกเหตุผลคือประหยัดเงิน



    ทานเสร็จแล้วเราก็กลับที่พักกันเพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางไปอีกหลายสถานที่ แต่เราก็ไม่รู้ไปไหนบ้างแค่ตามๆ เขาไป



    18 ตุลาคม 2556

    ตื่นแต่เช้าเพื่อไปเที่ยว แต่เพราะไม่สบาย พอตื่นและลงมา คนอื่นๆ เลยเหมือนรอกันอยู่ บอกตรงๆ ว่าไม่ได้เอายามาด้วย ก็ไม่รู้ทำไงเหมือนกัน ไม่อยากหาซื้อด้วย ไม่ค่อยมีเงิน แต่เพราะตื่นสายก็เลยไม่ได้ทานอาหารเช้า แต่ช่างมัน รอทานตอนเที่ยง 

    ออกจากโรงแรม เราก็ไม่รู้เขาจะไปไหนกัน ก็เดินๆ ตามเขาไปเรื่อยๆ เป็นผู้ตามอย่างเดียวทริปนี้


    คนอื่นๆ ก็มีหยุดดูแผนที่กัน เราก็ผู้ตาม เขานำไปไหน เราก็ตามเขาไป


    เดินไปไกลมาก แต่ก็ถือว่าเดินชมเมืองโอซาก้าอ่ะแหละ เพราะไม่รู้ชีวิตนี้จะได้กลับมาอีกหรือเปล่า ถึงได้มาอีกก็อาจไม่ใช่เดินเส้นทางเดิมก็ได้



     
    เป้าหมายของเราที่แรกคือ "Osaka Castle" 


    ซึ่งตอนแรกถ้ามองเหมือนไม่ไกล แต่เดินเข้าไปจริงๆ ก็ไกลเหมือนกันแหละ


    คนที่เหมือนมาออกกำลังกายยืดเส้นยืดสาย


    ทางเดินเข้าก็ค่อนข้างไกลเหมือนกันแต่ร่มรื่น ต้นไม้เยอะมาก ก็เดินเข้าไปเรื่อยๆ ตามทาง



    ช่วงตอนที่ไปก็มีเด็กๆ นักเรียนเหมือนอาจมาทัศนศึกษาหรือทำกิจกรรมนอกสถานที่อยู่หลายคน


    น้องนักเรียนมานั่งวาดรูปกัน ปูเสื่อพร้อมกระดานวาดรูป บางคนนั่งเดี่ยว บางคนนั่งเป็นกลุ่ม



    ถ้าจะเข้าตัวปราสาทน่าจะเสียเงิน ไปเมื่อหลายปีก่อนเลยจำไม่ได้ แต่น่าจะเสียเงินเพราะเราไม่ได้เข้า แค่เดินดูรอบๆ ไปเรื่อยๆ 


    ตรงข้ามปราสาทก็เป็นร้านของที่ระลึกก็เดินเข้าไปดูเรื่อยเปื่อย ไม่ซื้อไรทั้งนั้น ไม่มีเงิน



    มีที่ยิงธนูเล็กๆ แถวร้านขายของ


    เดินเตร็ดเตร่ไปรอบๆ วันที่ไปพวกน้องเด็กนักเรียนเยอะมาก




    ประมาณ 11 โมงครึ่ง คนอื่นๆ ก็นั่งดูแผนที่เหมือนจะไปที่ต่อไป เราก็แค่ตามเขาไปเหมือนเดิม เพราะไม่รู้ไปไหนเหมือนกัน แต่ไปไหนก็ได้ทั้งนั้น เพิ่งมาญี่ปุ่นครั้งแรก ไปที่ไหนก็น่าสนใจหมด


    แถวนั้นมีแผงขายของทานหลายอย่าง รวมทั้งทาโกะยากิ


    ออกจาก "Osaka Castle" ตอนประมาณ 11 โมงกว่า


    ตอนออกมา บางช่วงเราก็จะเห็นว่ามีพนักงานมาตกแต่งต้นไม้และสวน



    ตรงนี้น่าจะเป็นแถวๆ ด้านหน้ารอบๆ "Osaka Castle"


    ออกเดินทางกันต่อไป


    เราก็เดินตามคนอื่นเขาไปเรื่อยๆ ก็ถือว่าเดินชมเมืองโอซาก้าด้วย


    ลงไปที่สถานีรถไฟใต้ดินแห่งหนึ่ง


    พอถึงจากสถานีรถไฟใต้ดิน ก็มานั่งพักที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง คนอื่นก็ไปซื้อไรกิน แต่เรายากไร้ก็เลยไม่ได้ไปซื้ออะไรทั้งนั้น นั่งอยู่ด้านหน้าร้านกับคนอื่นๆ เฉยๆ


    ออกเดินทางกันต่อไป ไปไหนไม่รู้ เราแค่เดินตามเขาไปเรื่อยๆ


    ประติมากรรมที่พบเจอระหว่างทาง


    นกพิราบที่เกาะอยู่บนราวสะพานในเมืองใหญ่ที่มีตึกสูงๆ 


    คนที่นำทริปก็ดูแผนที่หาเส้นทางอีกรอบ เหมือนว่าน่าจะหลงทาง


    อาจารย์ก็เหมือนเดินดูแผนที่นำไป ความจริงตอนนั้นเราก็ไม่รู้ไปไหนเหมือนกัน แต่รู้ว่าวันนี้มีดูงานที่บริษัทเกี่ยวกับ Lighting เพราะอาจารย์ยุ้ยเป็นอาจารย์สอนสาขา Lighting Design แต่ไม่รู้ไปกี่โมง 


    ตึกสวยๆ ระหว่างทาง


    เดินกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง จากด้านหน้าน่าจะเกี่ยวกับพวกศิลปะ


    มีเด็กๆ นักเรียนอยู่หลายคน อาจมาทัศนศึกษากัน


    ป้ายชื่อพิพิธภัณฑ์แบบชัดๆ



    จำไม่ได้ว่าทำไมวันนั้นไม่ได้เข้าพิพิธภัณฑ์ น่าจะมีค่าเข้า แต่น่าจะมีสาเหตุอื่น อาจจะต้องรีบไปดูงานที่บริษัทที่อาจารย์ติดต่อไว้ก็ได้ แล้วพวกเราก็ข้ามฝั่งไปทานข้าวกลางวันกัน



    ต่อรถไฟใต้ดินไปยังจุดหมายต่อไป


    มาลงที่สถานีรถไฟแห่งนึง 



    เดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน ก็เดินต่อไปเรื่อยๆ เราก็เดินตามเขาไปอย่างเดียว


    แล้วเราก็มาถึงจุดหมายของเรา ตึกสูงที่มีกระจกเยอะมาก บริษัท Lighting ที่พวกเราจะมาดูงานกัน


    มีพนักงานมาต้อนรับและพาเราเดินไปชั้นต่างๆ ที่มีการจัดแสดงสินค้าและเทคโนโลยีของเขา ซึ่งเราฟังภาษาอังกฤษไม่ค่อยออก ก็เลยเดินตามและดูๆ สิ่งที่เขาจัดแสดงไปเรื่อยๆ



    มีส่วนจัดแสดงอยู่หลายมุม เหมือนเขาจะจัดแสดงการจัดไฟและใช้ไฟในสภาพห้องและการใช้งานที่แตกต่างกัน



    คนอื่นเขาฟังภาษาอังกฤษออก แต่เราฟังไม่ค่อยออกหรือฟังไม่ออกเลยก็ได้ หรือไม่ตั้งใจฟัง ก็เดินตาม ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ แค่นั้น แต่คนอื่น หลายๆ คนก็มีคำถามกับพนักงานที่มาต้อนรับและอธิบายแนะนำสิ่งที่ต่างๆ ที่เขาต้องการให้เราชม



    มีพาไปดูชั้นที่พนักงานนั่งทำงานกันด้วย


    พาไปดูห้องจัดแสดงในส่วนต่อไป


    ห้องจัดแสดงโคมไฟและเก้าอี้ในหลากหลายรูปแบบ





    ในส่วนของห้องประชุม มีโคมไฟ chandelier ไม่แน่ใจว่าแค่จัดแสดงหรือไว้ใช้งานจริง ถ้ามองจากในภาพเหมือนมีส่วนเคาน์เตอร์บาร์ด้วย



    แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องลาจาก ตอนแรกอาจารย์บอกเขาจะเลี้ยงข้าวแต่ไม่ได้เลี้ยง แต่ก็ลาจากกันด้วยมิตรภาพที่ดีดี



    หยุดพักดื่มกาแฟกัน ก็เลือกแบบราคาถูกๆ ซึ่งก็แบบร้อนๆ 


    ออกเดินทางกันต่อไปเพื่อหาข้าวเย็นทานกัน



    มาจบที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบนั่งพื้นร้านหนึ่ง ถ้าดูจากรูปก็น่าทานดีนะ แม้ตอนนี้จะจำไม่ได้แล้ว



    ออกจากร้านที่ทานข้าวเย็น ก็เดินต่อไป พอผ่านร้านนี้ ก็มีบางคนอยากทาน ก็แวะต่อแถวร้านทาโกะยากิข้างทาง...แต่เราไม่ได้ทานอะไร ไม่มีเงิน



    ความจริงวันนี้คนอื่นตั้งใจจะไปย่านนัมบะ ที่มีป้ายกูลิโกะที่มีชื่อเสียง แต่เราบอกไปไม่ไหวเพราะไม่สบาย คือตัวร้อนๆ เลยแหละ เพราะป่วยมาตั้งแต่ก่อนมา แบบเตรียมตัวไม่พร้อมแหละ ยาก็ไม่ได้เอามา แต่พี่เต๋าบอกเราใส่รองเท้าแตะเลยปวดเท้า แต่สรุปคือกลับที่พักวันนั้น แต่ตอนกลับมา พี่ป๊อป (ขาว) ให้ไปเอายาที่ห้องก็ได้พารามา 2 - 3 เม็ด ไม่ก็แผงนึง ขอบคุณพี่เขามากๆ แต่ทานยาคืนนั้น นอน ตื่นมาก็ดีขึ้นเยอะ ก็ความผิดเราเองแหละที่ไม่เตรียมพร้อมเรื่องเสื้อหนาวและยา ทำคนอื่นเสียเวลาด้วย -_-"

    .............................จบวันที่ 17 และ 18 ตุลาคม 2556.............................



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in