เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
สาระนะเออชีสตัวน้อยตัวนิด
เทพกรีกที่ไม่เจ้าชู้
  •       วัฒนธรรมการมีผัวเดียวเมียเดียวถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาของคนยุคนี้มากๆ เรียกได้ว่าเป็นศีลธรรมขั้นพื้นฐานในการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นจึงควรซื่อสัตย์รวมถึงให้เกียรติคู่ชีวิตของตนเมื่อตัดสินใจลั่นระฆังวิวาห์ด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่ายแล้ว แต่เมื่อเราหันกลับมาโฟกัสเรื่องราวทางประวัติศาสตร์หรือตำนานของเชื้อชาติต่างๆกลับพบว่ายังมีเรื่องราวของความรัก ความสัมพันธ์สุดยุ่งเหยิงที่ไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียวอยู่อีกมากมาย


          สำหรับในวันนี้เราก็กลับมาอีกครั้งในธีมเรื่องราวของตำนานกรีกกัน โดยตำนานกรีกส่วนมากเรามักจะสังเกตเห็นความสัมพันธ์อย่างคนรักที่มีมากกว่าหนึ่งจนแทบจะกลายเป็นเรื่องชินชาอยู่แล้ว เทพกรีกบางองค์ก็มีทั้งคนรักที่เป็นทั้งเทพด้วยกันรวมทั้งในบางคราก็อาจลงมามีความสัมพันธ์กับมนุษย์อีกจนมีทายาทเต็มไปหมดพูดไปก็ลำดับเครือญาติกันไม่ถูกเลยทีเดียว ซึ่งเทพที่มีชื่อเสียงในด้านนี้เชื่อว่าทุกคนคงนึกถึงราชาแห่งทวยเทพทั้งหลาย 'เทพชุส' กันขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆเลยใช่มั้ยล่ะคะ แม้ว่าพระองค์จะเป็นมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ มีอำนาจล้นฟ้า ได้เทพีเฮร่าผู้งดงามมาเป็นมเหสีคู่บารมี แต่พระองค์ก็มีข้อเสียอยู่อย่างที่สาวๆสมัยนี้อาจไม่ปลื้มกันซักเท่าไหร่นั้นก็คือเป็นเทพที่เจ้าชู้มากๆ ถึงกระนั้นในตำนานกรีกก็มีเทพเจ้าที่ค่อนข้างมากรักกันอยู่อีกมากมายหลายองค์จนไม่สามารถที่จะระบุชื่อออกมาได้ทั้งหมด บางคนอาจจะถามหาว่ายังมีเทพไหนไหมที่มีรักเพียงหนึ่งเดียวไม่เจ้าชู้ออกนอกลู่นอกทาง คำตอบคือมีค่ะ ถึงอาจจะมีไม่เยอะเท่าไหร่นักแต่ก็ยังมีอยู่นะรักดีๆในตำนานกรีกน่ะ ซึ่งผู้เขียนได้รวบรวมรายชื่อบางส่วนไว้ให้แล้ว ไปอ่านกันเลยค่ะกับ 'เทพกรีกที่ไม่เจ้าชู้'

    เฮร่า (Hera) ราชินีแห่งสรวงสวรรค์

     

          เธอคือราชินีแห่งสวรรค์ผู้สง่างามน่าเกรงขาม พ่วงด้วยตำแหน่งภริยาหลวงสุดหึงโหดของเทพซุสที่คอยตามราวีเหล่าบ้านเล็กบ้านน้อยรวมถึงบรรดาลูกนอกสมรสทั้งหลายชนิดที่ว่ากัดไม่ปล่อยจนตัวแทบพรุนเป็นรูไปตามๆกัน ทำให้หลายๆคนอาจมองว่าเธอเป็นเทพีที่ติดจะดูอารมณ์ร้ายอยู่บ้าง แต่เชื่อไหมคะว่าเมื่อตอนก่อนที่เธอจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสรับตำแหน่งราชินีแห่งสรวงสวรรค์นั้น เฮร่าเองก็เคยเป็นเทพีผู้อ่อนหวานน่ารักไม่ได้มีอารมณ์หึงหวงรุนแรงเหมือนกับในตอนนี้เลยซักนิด โดยในคราแรกเมื่อทราบข่าวว่าเทพซุสจะเลือกเธอให้มาเป็นมเหสีของพระองค์เธอก็ไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่นัก (เพราะได้ยินกิตติศัพท์ในเรื่องความเจ้าชู้ของซุสมาเยอะ) เฮร่าจึงเอาแต่หลบอยู่ในวิหารของเธอไม่ยอมออกไปไหนแม้เพียงครึ่่งก้าว แต่เทพซุสก็ใช้อุบายแปลงร่างเป็นนกเขาตัวหนึ่งที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำฝนแล้วบินมาเกาะที่หน้าต่างวิหารของเธอแสร้งทำตัวสั่นเทิ้มหนาวเหน็บ เฮร่าผู้มีจิตใจเปี่ยมเมตตาเห็นดังนั้นแล้วนึกสงสารจึงตรงเข้าไปโอบอุ้มนกเขาตัวนั้นมากอดไว้แนบอกเพื่อให้ความอบอุ่น เทพซุสสบโอกาสจึงคืนร่างเดิมแล้วจับรวบรัดเธอมาเป็นภรรยาของพระองค์

          ถึงแม้เฮราจะงดงามหยาดเยิ้มชวนลุ่มหลงมากเพียงไร แต่หลังจากที่ทั้งคู่แต่งงานด้วยกันไปแล้วเซพซุสผู้เป็นสวามีก็ยังไม่ทิ้งลายเดิม ยังคงแอบไปมีอนุภรรยามากมายท้้งต่อหน้าและลับหลังเธอ (แต่เธอเองก็ไม่เคยคิดนอกใจสามีผู้ไม่ซื่อสัตย์แอบไปเล่นชู้กับใครเลยนะ) นั่นเป็นจุดเปลี่ยนเมื่อฟางเส้นสุดท้ายในใจเฮร่าขาดผึง จากที่เคยอ่อนโยนนุ่มนวลก็กลายเป็นเด็ดขาดเจ้าอารมณ์แทน และเมื่อเธอจับได้ว่าสวามีนอกใจเมื่อไหร่ เฮร่าก็จะหาสารพัดวิธีมาแก้แค้นลับหลังผู้หญิงเหล่านั้นที่เทพซุสแอบไปติดพัน ด้วยวิธีการที่โหดร้ายไร้ความปรานีชนิดที่ว่าอยู่ไม่สู้ตายเลยทีเดียว 


    เฮเฟตัส (Hephaestus) เทพแห่งเปลวไฟ โลหะ และการช่าง


          ตำนานกล่าวว่าด้วยความที่เฮเฟตัสมีรูปร่างอัปลักษณ์พิกลพิการ ทำให้ชายาอย่าง 'เทพีอโฟรไดท์' (วีนัส) ไม่ค่อยจะพึ่งพอใจในตัวสวามีของนางนัก ลับหลังผู้เป็นสามีเธอก็มักแอบหนีไปเล่นสวาทกับชายอื่นอยู่เป็นประจำทั้งที่เป็นเทพและมนุษย์จนให้กำเนิดลูกมากมาย แต่ที่เฮเฟตัสจับได้คาหนังคาเขาที่สุดก็คือตอนที่พบว่าภรรยากำลังลักลอบเล่นชู้อยู่กับ 'แอรีส' เทพแห่งสงครามและความรุนแรง ผู้เป็นน้องชายของเฮเฟตัสจนในภายหลังได้ให้กำเนิดลูกชายด้วยกันซึ่งก็คือ 'กามเทพคิวปิด' นั่นเอง 

          เฮเฟตัสนั่นรู้ดีว่าตนกับภรรยาไม่มีอะไรที่เข้ากันได้เลย อโฟรไดท์ผู้เป็นเทพีแห่งความรักนั้นเปล่งประกายงดงามชอบเป็นจุดรวมสายตาของผู้คนต่างกับเฮเฟตัสที่มีนิสัยรักสันโดษชอบทำงานช่างของตนไปเงียบๆไม่ชอบเป็นจุดสนใจของใคร พอเทพซุสประทานอโฟรไดท์ให้มาเป็นชายาของตน เฮเฟตัสก็ให้ความรักและทะนุถนอมเธอมากทั้ังยังมอบสายรัดเอววิเศษที่ประณีตงดงามเป็นของขวัญแต่งงานแก่อโฟรไดท์ด้วย ในหลายๆครั้งเวลาที่รู้ว่าภรรยาของตนแอบไปมีความสัมพันธ์กับชายอิ่นก็แสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ยอมข่มใจอดทนมาตลอด เมื่อคิวปิดที่ไม่ใช่ลูกแท้ๆของตนถือกำเนิดขึ้นก็ไม่ได้ได้รังเกียจรังงอนอะไรแถมยังให้ความรักราวกับลูกชายแท้ๆของตนอีกด้วย นับว่าเป็นเทพที่ใจกว้างและน่าสงสารมากๆเลยค่ะT-T

    'ศรรักของคิวปิด' เทพเฮเฟตัสก็เป็นคนทำและมอบให้คิวปิดด้วยนะ

    กามเทพแห่งรัก คิวปิด (Cupid)


          ถึงตัวจริงของคิวปิดจะเติบโตเป็นหนุ่มรูปงามแล้วก็ตามแต่เรามักจะเคยชินกับการเห็นคิวปิดในรูปลักษณ์ของเด็กชายตัวน้อยมีปีก เรือนร่างเปล่าเปลือยล่อนจ้อน (บางที่ก็วาดเซฟหน่อยคือให้นุ่งผ้าบางๆเหมือนแผ่นทิชชู่เพื่อปิดปิกาจูน้อย-0-) เที่ยวบินไปยิงศรรักใส่คนโน้นทีคนนั้นทีให้เกิดความรู้สึกรักใคร่ต่อกัน 

          แม้จะเป็นถึงกามเทพผู้แผลงศรแห่งรัก แต่ในเรื่องของความรักนั้นคิวปิดกลับต้องประสบพบเจอกับอุปสรรคนานัปการ เมื่อกามเทพหนุ่มดันไปหลงรักเจ้าหญิงมนุษย์นามว่า 'ไซคี' แต่พระมารดาของคิวปิดอย่างเทพีอโฟรไดท์กลับริษยาชิงชังในความงามของไซคี จึงหาทางกลั่นแกล้งเธออยู่บ่อยครั้งจนคิวปิดต้องพาเธอไปซ่อนและอยู่กินด้วยกันฉันท์สามีภรรยาในปราสาทลึกลับ แต่แล้วในวันหนึ่งทั้งคู่ก็เกิดผิดใจกันเพราะไซคีไปละเมิดสัญญาข้อหนึ่งที่เคยให้ไว้เข้าทำให้คิวปิดทั้งโกรธและเสียใจมากจึงบินหนีไซคีไป ไซคีเสียใจมากพยายามเดินทางดั้นด้นไปอ้อนวอนขอให้เทพีอโฟรไดท์ผู้เป็นมารดาของคิวปิดช่วยเจรจาให้เธอกับสามีกลับมาคืนดีกัน (ซึ่งคิดเหรอว่าอโฟร์ไดท์จะยอมง่ายๆเพราะพระนางเกลียดขี้หน้าไซคีมากถึงเพียงนั้น) เทพีแห่งรักเลยยื่นข้อเสนอว่าจะยอมช่วยก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าไซคีจะต้องยอมรับใช้พระนางโดยต้องทำภารกิจต่างๆให้สำเร็จลุล่วงเสียก่อน โดยใช้ให้ไซคีไปทำงานอันตรายยากๆที่ถ้าหากทำพลาดอาจเสี่ยงถึงชีวิต ทางด้านคิวปิดก็รับรู้ว่ามารดาต้องการรังแกไซคี แม้ในตอนนั้นเขาจะยังคงน้อยใจอยู่บ้างแต่ก็ยังรักภรรยาไม่เสื่อมคลาย ทั้งยังคอยแอบช่วยเหลือปกป้องคุ้มครองอยู่อย่างลับๆโดยไม่ให้ไซคีรู้ตัว จนในท้ายที่สุดคิวปิดได้ไปขอร้อง'เทพซุส' ให้ไปช่วยเกลี้ยกล่อมเทพีอโฟรไดท์ให้เลิกขัดขวางความรักของคนทั้งคู่เสียที ซึ่งอโฟรไดท์ก็ต้องยอมเลิกราแต่โดยดีเพราะขัดบัญชาของราชาแห่งสวรรค์ไม่ได้ เทพซุสรวมทั้งเหล่าทวยเทพทั้งหลายต่างก็พากันซาบซึ้งในความรักอันยิ่งใหญ่ของคิวปิดและภรรยาจึงมอบชีวิตอันเป็นนิรันดร์ให้แก่มนุษย์อย่างไซคีเพื่อให้สามารถครองคู่อยู่กับคิวปิดไปชั่วกาลนาน


    ฮาเดส (hades) ราชาแห่งแดนนรก


          ว่ากันว่าฮาเดสเป็นเทพที่รูปงามหล่อเหลาชวนพิศแต่ก็มีพระพักตร์ที่ดูเคร่งขรึมไร้รอยยิ้ม เนื่องด้วยพระองค์ทรงพำนักอยู่แต่ในแดนนรกอันมืดมนวันๆก็มีภาระหน้าที่ต้องคอยตัดสินพิพากษาดวงวิญญาณที่หลั่งไหลเข้ามาไม่เว้นวันทำให้ฮาเดสไม่มีกะจิตกะใจจะไปเฟ้นหามเหสีหรือนางสนมมาเคียงคู่กายา เลยต้องอยู่เป็นโสดโดดเดี่ยวเรื่อยมา แต่แล้วในวันหนึ่งคิวปิดเกิดนึกสนุกอยากลองเห็นราชาแห่งนรกผู้เยือกเย็นมีความรักกับเขาดูบ้างจึงแผลงศรรักใส่พระองค์เข้าเต็มรัก หลังโดนพิษจากศรรักตรงดิ่งเข้าเล่นงาน ฮาเดสก็รู้สึกจิตใจว้าวุ่นกระวนกระวายขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจึงขึ้นไปเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์และได้ไปพบกับ 'เพอร์ซิโฟเน่' เทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์ ฮาเดสก็หลงรักเธอทันที ไวเท่าความคิดพระองค์ก็ตรงเข้าไปลักพาเทพธิดาผู้เลอโฉมลงไปเป็นมเหสีแห่งยมโลกโดยไม่ได้ฟังคำทันทานของเธอเลยแม้แต้น้อย

          เพอร์ซิโฟเน่เมื่อถูกพาตัวมาที่ปรโลกโดยที่ไม่ได้เต็มใจ เธอก็เอาแต่ร้องไห้โศกเศร้าไม่ว่าฮาเดสจะพยายามปลอบโยนอย่างไรก็ไม่เป็นผล กอบกับเมื่อเทพีดีมิเตอร์ผู้เป็นมารดาทราบข่าวว่าลูกสาวถูกลักพาตัวไปจึงทรงสารไปหาฮาเดสเพื่อขอทวงตัวลูกสาวคืน เมื่อความรักบังตา ฮาเดสผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเทพที่เที่ยงธรรมที่สุดองค์หนึ่งถึงกับยอมใช้เล่ห์กลหลอกล่อเทพธิดาองค์น้อยให้กินอาหารของยมโลก (กฎของยมโลกมีอยู่ว่าคนที่กินอาหารของยมโลกก็ต้องย่อมเป็นคนของยมโลกไปโดยปริยายและต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล) เพื่อรั้งเธอไว้ให้อยู่ข้างกายเขา แม้ว่าผลสุดท้ายจะต้องส่งตัวเพอร์ซิโฟเน่คืนกลับไปให้ดีมิเตอร์ผู้เป็นมารดาก็ตาม แต่เพราะว่าเพอร์ซิโฟเน่เผลอกินอาหารของโลกแห่งความตายไปแล้วจึงต้องลงมาอยู่เป็นมเหสีของฮาเดสเป็นเวลาสามเดือนในหนึ่งปี (ยามที่โลกมนุษย์ตกอยู่ในช่วงฤดูหนาวนั่นแหละ) แม้ว่าจะเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆแต่ก็มากพอให้ฮาเดสได้ตักตวงความสุขเล็กๆน้อยๆที่พอจะหยิบฉวยได้ในโลกแห่งความตายอันหนาวเหน็บมืดมนนี้

    สำหรับราชาผู้ครองแดนนรกแล้วเทพธิดาแห่งพิชพรรณผู้ร่าเริงสดใดก็เปรียบดั่งแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตที่แสนอ้างว้างของพระองค์ แต่ในสายตาของเพอร์ซิโฟเน่กลับมองว่าฮาเดสเป็นคนที่พรากความสุขสนุกสนานในวัยเยาว์และอิสรภาพจากเธอไป ต่อหน้าสวามีเพอร์ซิโฟเน่จึงมักจะทำตัวหมางเมินเย็นชาใส่ไม่ว่าฮาเดสจะพยายามเอาอกเอาใจเธออย่างไรก็ตาม

    ออโรร่า (Aurora) เทพธิดาแห่งยามรุ่งอรุณ


          ออโรร่าผู้เป็นเทพธิดาแห่งยามรุ่งอรุณมีความรักกับเจ้าชายชาวมนุษย์นามว่า'ธิโทนัส' แต่ด้วยความที่ธิโทนัสเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาไม่ช้าก็เร็วคงไม่พ้นต้องแก่ตายตามวัฏสงสารไป เมื่อถึงเวลานั้นออโรร่าคงทนไม่ได้แน่ๆที่จะต้องเห็นคนรักของตนต้องตายไปต่อหน้าต่อตา เธอจึงไปอ้อนวอนขอให้เทพซุสช่วยดลบันดาลให้ธิโทนัสเป็นอมตะไม่มีวันตาย ราชาเทพแห่งยอดเขาโอลิมปัสเห็นดังนั้นก็สงสารจึงประทานพรให้ไปตามที่ออโรร่าร้องขอ เธอดีใจมากรีบกลับไปหาชายคนรักและแต่งงานอยู่กินกันอย่างมีความสุขจนมีลูกชายที่น่ารักด้วยกันหนึ่งคน แต่เวลาแห่งความสุขก็ไม่ยาวนานนัก เมื่อออโรร่าค้นพบว่าแม้สามีของเธอจะเป็นอมตะแต่ก็แก่ชราไร้เรี่ยวแรงลงทุกวัน (ซึ่งในตอนนั้นเธอขอพรเพียงแค่ให้ชายผู้เป็นที่รักของเธอเป็นอมตะแต่ไม่ได้ขอให้เขายังคงความเป็นหนุ่มเอาไว้) ธิโทนัสเองก็เอาแค่ขังตัวเองอยู่ในห้องเพียงลำพังไม่ยอมออกมาพบหน้าออโรร่าเพราะคิดว่าตนไม่คู่ควรกับเธอแล้ว แม้ว่าออโรร่าจะไม่เคยนึกรังเกียจเดียดฉันท์และยังคงรักเขาเหมือนอย่างในวันวานก็ตาม

          เมื่อเห็นว่าชายผู้เป็นดั่งโลกทั้งใบของเธอต้องทนทุกข์ทรมานหัวใจของเธอก็พลันแหลกสลาย ออโรร่าจีงเสกให้ธิโทนัสกลายเป็นจักจั่นที่เมื่อยามแก่ชราลงก็จะสามารถลอกคราบกลับมาเป็นหนุ่มได้เสมอ และเธอเองก็จะขออยู่คู่กับเขาไม่ยอมแยกจากกันไปชั่วนิจนิรันดร์

    ตำนานกล่าวว่าหยาดน้ำค้างในยามเช้าคือน้ำตาของเทพธิดาออโรร่าที่หลั่งออกมาด้วยความโศกเศร้า









เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in