เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
short ficbaejuhyeol
sf | when the sun came out (markno)



  •  title : when the sun came out 

    paring : mark x jeno

     (day-3 from #30daymarkno project)







    ------------------





                   วันนี้ท้องฟ้าเบื้องบนทั้งดูหดหู่และเศร้าหมองกว่าที่เคยคงเป็นเพราะดวงตะวันสีแดงเพลิงไม่มีโอกาสได้แหวกว่ายเวหาออกมาเฉิดฉายรัศมีของมันท่ามกลางท้องนภาเหมือนเมื่อสองวันก่อนเสียงจากเบื้องบนร้องคำรามก้องสะท้อนทั่วผืนปฐพียิ่งทำให้สิ่งมีชีวิตเบื้องล่างใจหายเป็นว่าเล่นหมู่เมฆสีเทาก้อนใหญ่จำนวนมากเริ่มตั้งเค้าอยู่เหนือใจกลางเมืองที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนซึ่งต่างดิ้นรนขวักไขว่ในการใช้ชีวิตของตัวเองกรมอุตุฯ ร้องเตือนว่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงนับจากนี้พายุฝนห่าใหญ่คงจะเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่เกรงใจใคร  


    กรุ้งกริ้ง~ กรุ้งกริ้ง~


    ประตูกระจกบานใสที่ล้อมกรอบด้วยไม้สักอย่างดีถูกแง้มออกอย่างเชื่องช้าด้วยบุคคลปริศนาจากภายนอกร้านเป็นจังหวะเดียวกับที่กระดิ่งโลหะซึ่งถูกผูกติดไว้กับบานจับประตูเริ่มส่งเสียงดังกังวานไปทั่วอาณาบริเวณยามที่แรงผลักของประตูแกว่งมันไปกระทบกับขอบไม้ซ้ำไปซ้ำมา


    หญิงสาวตัวเล็กในชุดนักศึกษากระโปรงยาวมิดข้อที่ง่วนอยู่กับการหยิบหนังสือจากตะกร้าที่เจ้าหล่อนหอบหิ้วมาจากหลังร้านนำขึ้นไปจัดเรียงบนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบตามรหัสที่ระบุไว้บนสันปกหนังสือทว่าเมื่อเจ้าหล่อนได้ยินเสียงกริ่งที่แสนคุ้ยเคยดังมาจากประตูหน้าร้าน เสียงที่เป็นดั่งระฆังทองบนสรวงสวรรค์ในความคิดของเธอหญิงสาวตัวจ้อยจึงหยุดการกระทำทุกอย่างลงโดยพลันรีบสอดมือออกจากหูตะกร้าและวางมันลงบนพื้นอย่างไม่สนใจใยดีทั้งที่ก่อนหน้านี้คุณเจ้าของร้านหนังสือกำชับนักหนาว่าอย่าวางหนังสือซึ่งเป็นสมบัติของร้านไว้เรี่ยราดบนพื้นทว่าความหิวโหยครอบงำให้เธอตัดสินใจทำอะไรโดยไม่ทันคิด เจ้าหล่อนกุลีกุจอวิ่งสี่คูณร้อยไปยังต้นตอของเสียงซึ่งดังมาจากทางเคาท์เตอร์หน้าร้านด้วยหัวใจเปี่ยมความหวัง


    “วันนี้คุณมาร์คมาช้าจังเลยนะคะ~”เสียงของหญิงสาวดังเจื้อยแจ้วนำลิ่วมาก่อนที่ตัวของเธอจะมาถึง ผู้มาใหม่ดันประตูกกระจกบานใสแนบสนิทกับขอบประตูก่อนจะหันมายกยิ้มด้วยความเอ็นดูให้กับภาพของลูกจ้างสาวแห่งร้านหนังสือซึ่งกำลังวิ่งกระหืดกระหอบตรงมาทางเขาอย่างเอาเป็นเอาตายสิ่งที่เห็นทำให้มาร์คหลุดขำออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตรงข้ามกับคุณเจ้าของร้านหนังสือที่มองภาพเหล่านั้นด้วยแววตาเรียบเฉยไม่ได้มีอารมณ์ขันร่วมกับเขาเลย


    ภายในร้านหนังสือขนาดเล็กที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของหนังสือหลากหลายเล่มทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกผ่อนคลายโดยไม่ทันรู้ตัวสองขาย่างกรายมาหยุดบริเวณหน้าเคาท์เตอร์ที่มีเจ้าของใบหน้ามู่ทู่ไม่เป็นมิตรประจำการอยู่ด้านหลังดวงตาคมบังเอิญกวาดไปเห็นหนังสือปกสีฟ้าเล่มหนาที่พิมพ์ด้วยหมึกสีขาวตัดกันว่า ‘The Fault In Our Stars’ ของจอห์นกรีน นอนอยู่ในวงแขนของคุณเจ้าของร้านที่เอาแต่ปั้นหน้าบึ้งตึง นั่นทำให้เขาเผลอยกยิ้มในใจอย่างบ้าคลั่งเพราะรู้ว่ามันมีความหมายบางอย่างแต่คนถูกมองตัวจับได้ว่ากำลังถูกละลาบละล้วงความลับทางสายตาคุณเจ้าของร้านหนังสือไม่รอช้ารีบเก็บหนังสือเจ้าปัญหาลงในลิ้นชักเคาท์เตอร์โดยทันใด


    เสียงตู้ลิ้นชักดังกระแทกกับขอบโต๊ะทำให้มาร์คเหมือนถูกปลุกให้ตื่นจากความฝันเขากระพริบตาไล่ภาพจินตนาการที่ลอยอยู่เหนือศีรษะออกไปจนหมด สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆและตัดสินใจวาดรอยยิ้มที่คิดว่าอ่อนโยนที่สุดมอบให้แก่คนตรงหน้าที่เขาพยายามเข้าหามาตลอดสองปีที่ผ่านมา


    “สวัสดีครับ วันนี้ที่ร้านของผมยุ่งตั้งแต่เช้าเลยลูกค้าเยอะมากๆ แต่ผมเก็บขนมที่ทุกคนชอบไว้ให้หมดแล้วนะครับไม่ต้องเป็นห่วง” เขาชูถุงพลาสติกใสที่ด้านในเต็มไปด้วยขนมปังน่าทานต่างๆ หลายสิบชนิดขึ้นเหนือศีรษะเพื่อยืนยันคำกล่าวอ้างก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะไม้ข้างเคาท์เตอร์โดยที่มีดวงตามันวาวของลูกจ้างสาวผู้หิวโหยกำลังจับจ้องถุงขนมห่อใหญ่ไม่วางตาคงจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่วันนี้ทั้งวันกระเพาะอาหารของเธอยังคงมีเพียงแค่อากาศธาตุไร้ซึ่งเศษเนื้อสักชิ้นตกถึงท้องเพราะต้องตื่นนอนแต่เช้าตรู่มาเปิดร้านพร้อมเจ้านายและทยอยยกหนังสือจากห้องเก็บของออกมาเรียงให้หมดภายในสัปดาห์นี้ก่อนที่หนังสือล็อตใหม่จะมาถึงอีกสัปดาห์หน้า ด้วยหน้าที่การงานที่เยอะจนล้นมือส่งผลให้ลูกจ้างพาร์ทไทม์อย่างเธอไม่มีเวลาได้หยุดคิดเกี่ยวกับสิ่งที่จะกินในตอนพักเที่ยงเลยแม้แต่วินาทีเดียว


    “ขอบคุณนะคะ คุณมาร์คใจดีเสมอเลย~” เสียงใสเอ่ยขอบคุณผู้มีพระคุณที่ยืนพิงเคาท์เตอร์ร้านอยู่ทางขวามือของเธอทว่าใบหน้าของพนักงานสาวกลับกำลังส่งยิ้มแป้นแล้นไปให้ของอร่อยเบื้องหน้าอย่างโจ่งแจ้ง


    “ไม่เป็นไรครับเยริ ผมเต็มใจ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยบอกพลางเหล่สายตามองใครอีกคนที่เอาแต่ยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับถูกสาปให้เป็นหินตั้งแต่วินาทีที่มาร์คก้าวเท้าเข้ามาในร้านหนังสือแห่งนี้


    “ผมเก็บพายไก่ที่อร่อยที่สุดในโลกไว้ให้คุณด้วยนะครับคุณเจโน่”


    พายไก่ที่มาร์คพูดถึงถูกแยกต่างหากออกจากถุงที่หญิงสาวตัวจ้อยกำลังก้มๆเงยๆ ใช้สายตาล่าเหยื่อพินิจพิจารณาของอร่อยในถุงอย่างตั้งอกตั้งใจคุณมาร์คช่างรู้ใจเธอจริงๆ ดีเสียอีก เธอจะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนคุณเจ้าของร้านต่อว่าเอาทีหลังหากเผลอหยิบของโปรดของเจ้าตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาต


    ก็คุณเจ้าของร้านหนังสือของเยริดุเสียยิ่งกว่าอะไรดีไม่มีวันไหนที่เธอจะไม่ถูกคุณเขาตำหนิเรื่องหนังสือที่วางผิดชั้นหรือเผลอลืมวางหนังสือทิ้งไว้บนพื้นร้านยอมรับว่าส่วนหนึ่งก็มาจากความผิดพลาดและไม่รอบคอบของเธอเองเยริเพียงแค่ต้องการจะเห็นเจ้านายของเธอผ่อนคลายกับชีวิตและยิ้มแย้มมากกว่านี้อีกสักหน่อยแต่ด้วยความที่คุณเจโน่เธอเป็นคนเจ้าระเบียบและมีทิฐิในตัวเองสูงหน้ากากแห่งความทระนงตัวที่คุณเขาสวมใส่ไม่ยอมถอดทำให้ไม่เคยมีใครได้ยลโฉมใบหน้าอีกมุมหนึ่งที่นุ่มนวลและอ่อนโยนครั้นมีคนพยายามจะเข้ามากระเทาะหน้ากากที่เขาสวมใส่ให้แตกออกคุณเจโน่เธอก็จะกันคนๆ นั้นออกไปจากชีวิตแทบจะในทันที


    ในทางกลับกันสำหรับคุณมาร์คแล้ว เยริคิดว่าคุณมาร์คเป็นเจ้านายในอุดมคติของเธอเป็นเจ้าของร้านขนมที่ใจดีที่สุดเท่าที่เธอเคยรู้จักมาในฐานะนักศึกษาพาร์ทไทม์ต๊อกต๋อยคนหนึ่งร้านขนมของคุณมาร์คตั้งอยู่ตรงข้ามกับร้านหนังสือของพวกเขาพอดี และทุกบ่ายคุณมาร์คจะวิ่งแจ้นข้ามถนนเอาขนมอร่อยๆหลายอย่างมาส่งให้ที่ร้านด้วยตัวเอง ราวกับเป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญยิ่งชีพเธอพบว่าคุณมาร์คทำเช่นนี้เป็นประจำทุกวันโดยไม่ขาดตกบกพร่องนับตั้งแต่วันแรกที่เธอถูกรับเข้าทำงานที่ร้านหนังสือแห่งนี้ความจริงแล้วคุณมาร์คอาจจะทำแบบนี้มาก่อนหน้านั้นอีกเสียด้วยซ้ำแต่เธอไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากถามอย่างเป็นทางการ สิทธิพิเศษของร้านหนังสือที่บังเอิญตั้งอยู่ตรงข้ามกับร้านขนมคือการที่ไม่ต้องต่อสายตรงเข้าเคาท์เตอร์กลางของร้านเพื่อสั่งขนมให้วุ่นวายเหมือนกับลูกค้าคนอื่นๆแต่ทุกอย่างกลับเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวที่กระดิ่งหน้าประตูร้านเริ่มสั่นไหวเพื่อร้องเตือนถึงการปรากฏตัวของชายหนุ่มหน้าตาดีที่พ่วงตำแหน่งเจ้าของร้านขนมที่อร่อยที่สุดในย่านนี้


    เยริคิดว่าคุณเจ้าของร้านหนังสือของเธอนั้นโชคดีเหลือเกิน…เว้นเสียแต่ว่าเจ้าตัวไม่เคยรับรู้เรื่องนั้นเลย


    “ขอบใจ” นั่นเป็นคำพูดแรกและเป็นเพียงถ้อยคำเดียวที่มาร์คเพิ่งจะได้ยินจากปากของคุณเจ้าของร้านหนังสือที่แสนใจร้ายหลังจากถูกมึนตึงใส่มาตลอดแทบทั้งวัน แม้ใจแอบหวังอยู่ลึกๆว่าต้องการจะได้ยินประโยคคำพูดที่ยาวมากกว่านี้สักนิดจากริมฝีปากของคนตรงหน้า ทว่ามันคงจะเป็นความปรารถนาที่มากเกินจะให้ได้


    “ครับ ขอให้กินให้อร่อยนะครับ”รอยยิ้มแสนอบอุ่นถูกส่งมอบมาให้เจโน่อีกครั้งอย่างไม่ลดละเพียงเพื่อหวังว่ามันจะทะลายชั้นน้ำแข็งที่เกาะกุมหัวใจของคุณเจ้าของร้านหนังสือให้หมดไปทว่าความพยายามก็ไม่เป็นผลอีกตามเคย เจโน่เพียงแค่พยักหน้ารับคำของเขาก่อนจะก้มหน้าก้มตาตรวจสอบสมุดบัญชีบนโต๊ะทำงานต่อไป


    “งั้น…ผมกลับร้านก่อนนะครับ”


    “ขอบคุณสำหรับขนมอร่อยๆ ค่ะคุณมาร์ค! พรุ่งนี้หนูขอเค้กฟักทองนะค้า!~”หญิงสาวเอ่ยขึ้นทันควันขณะที่ขนมยังคาอยู่เต็มปากเยริหันไปโบกมือลาให้แก่คุณเจ้าของร้านขนมผู้ที่ใจกว้างยิ่งกว่าผืนมหาสมุทรทั้งโลกรวมกันโดยไม่ลืมที่จะร้องขอขนมเมนูโปรดของเธอเองสำหรับวันถัดไป


    “ได้ครับ ผมจะจดไว้ให้ แล้ว…คุณเจโน่ต้องการอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ?” ชายหนุ่มที่ตั้งท่าว่าจะจากไปตั้งแต่เมื่อครู่หยุดสายตาของตัวเองไว้ที่ใบหน้าเรียวเล็กนั่นอีกคราคำถามที่คิดว่าจะช่วยซื้อเวลาถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์อีกครั้ง แต่ทว่า…


    “ไม่ล่ะ ขอบใจ”

    เจโน่รีบเอ่ยตัดบททันทีคงคิดว่าการเด็ดบัวไม่เหลือใยเช่นนี้จะเป็นทางเดียวที่จะจบบทสนทนาได้รวดเร็วที่สุดมาร์ครู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่คิดว่าจะได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆ ของเจโน่กลับคืนมาหรืออย่างน้อยก็แค่คำพูดสักประโยคที่มากกว่าคำว่า ‘ขอบใจ’


    หากไม่ตั้งความหวังแต่แรกก็จะไม่มีทางพานพบกับความผิดหวังใช่ไหม?


    มาร์คตัดสินใจล้มเลิกความพยายามทั้งหมดในวันนี้และหันหลังกลับไปทำงานที่ร้านขนมฝั่งตรงข้ามดังเดิม



    กรุ้งกริ้ง~ กรุ้งกริ้ง~


    “คุณเจโน่ไม่ชอบคุณมาร์คหรอคะ?”ทันทีที่แผ่นหลังกว้างของมาร์คหายออกไปจากกรอบสายตาพร้อมกับเสียงกระดิ่งหน้าร้านที่ส่งเสียงร้องยามที่ประตูหน้าร้านปิดสนิทเยริก็ถือวิสาสะกระโดดมาเกาะขอบเคาท์เตอร์และพวยพุ่งคำถามที่แอบเก็บงำเอาไว้ตลอดระยะเวลาที่ทำงานที่นี่


    “ทำไมเธอถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?”เจโน่ลองหยั่งเชิงหญิงสาวขี้สงสัยอย่างแนบเนียน ขณะที่ใช้มือข้างหนึ่งปิดสมุดบัญชีตรงหน้าและดันมันไปหยุดที่มุมเคาท์เตอร์ส่วนมืออีกข้างก็จัดการเปิดลิ้นชักก่อนจะหยิบหนังสือเล่มสีฟ้าออกมาเปิดอ่านต่อในหน้าที่พับมุมไว้


    “ก็…ไม่รู้สิคะคงเป็นเพราะสีหน้าของคุณเจโน่แสดงออกแบบนั้นน่ะค่ะ”


    “แสดงออกแบบไหน?”


    “แบบ…เอ่อ แบบตอนนี้มั้งคะ” เยริไม่รู้จะยกตัวอย่างอย่างไรดี เพราะคุณเจโน่ของเธอดันมีอยู่สีหน้าเดียวคือนิ่งเฉยราวกับรูปปั้นที่ถูกสาปแต่เมื่อใดที่คุณมาร์คปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าของคุณเจโน่ก็จะทวีความนิ่งเฉยมากขึ้นอีกพันเท่า


    “แล้วถ้าผมไม่ชอบคุณมาร์ค มันจะทำไมหรอ?”


    “ว้า ก็เสียดายแทนน่ะสิคะ คุณมาร์คเป็นคนดีและอบอุ่นออกอย่างนั้น ผู้หญิงคนไหนที่ได้รู้จักจะต้องตกหลุมรักคุณมาร์คแน่ๆ” อดไม่ได้ที่จะพูดออกไปอย่างที่ใจคิด เพราะคุณมาร์คเธอเป็นอย่างนั้นจริงๆ ยามใดที่คุณมาร์คแวะมาเยี่ยมเยือนที่ร้านหนังสือเธอก็จะรู้สึกเหมือนมีดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่งลอยสว่างไสวขึ้นมาใจกลางสมรภูมิรบแห่งความเย็นชาที่คุณเจโน่ทิ้งไว้ทั่วร้านฟังจากน้ำเสียงแล้วลูกจ้างหญิงร้านหนังสือดูจะเทิดทูนคุณเจ้าของร้านขนมฝั่งตรงข้ามถนนเสียยิ่งกว่าเจ้านายแท้ๆของตัวเองเสียอีก


    “เขาเป็นคนจ่ายเงินเดือนเธอหรือไง?” น้ำเสียงขุ่นเขียวที่เอ่ยถามทีเล่นทีจริงทำให้เยริหุบยิ้มแทบไม่ทันมือที่เตรียมฉีกเศษขนมปังเข้าปากก็ชะงักค้างกลางอากาศ


    “เอ่อ…ไม่ใช่ค่ะคุณเจโน่เป็นคนจ่าย…”


    “ถูกต้อง” ดวงหน้าเรียบเฉยช้อนขึ้นปะทะสายตากับลูกจ้างจอมอู้ที่บังเอิญมองหน้าผู้เป็นเจ้านายอยู่ก่อนแล้วนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความจริงจังมองหยั่งลึกเข้าไปในจิตใจของเธออย่างถือวิสาสะก่อนที่สายตาคู่นั้นจะเบนไปมองยังทิศทางของตรอกชั้นหนังสือที่เธอเพิ่งวิ่งจากออกมา 


    “และผมจะเลิกจ่ายหากคุณยังยืนกินขนมอยู่ตรงนี้และไม่ยอมไปเก็บหนังสือที่วางเรี่ยราดบนพื้นตรงนั้นให้เข้าที่เสียที”




    ...

    ผ่านไปหลายชั่วโมงก็ถึงเวลาปิดร้านเสียทีเยริจัดแจงวางตะกร้าหนังสือซ้อนทับกันในตู้อย่างเป็นระเบียบก่อนจะเดินออกมายืนผู้เป็นเจ้านายบริเวณหน้าเคาท์เตอร์ดวงตากลมทอดมองผ่านกระจกหน้าต่างบานมหึมาก่อนจะพบว่ากลุ่มเมฆาสีดำจำนวนมากลอยเบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่เหนือร้านหยาดฝนเม็ดเล็กๆ เริ่มโปรยปรายลงมาอย่างรู้หน้าที่ เสียงลมพัดครืนดังแว่วมาแต่ไกลชวนให้คนฟังใจหวิวเมื่อเยริไล่สายตาลงมาอีกหน่อยก็พบว่าร้านขนมของคุณมาร์คไม่มีพนักงานหลงเหลืออยู่แล้วและไฟในร้านก็ดับสนิทหมดทุกดวง


    คุณเจ้าของร้านที่เดินหายลับไปหลังร้านอยู่นานสองนานเดินตามออกมาพร้อมร่มคันหนึ่งในมือใช่แล้ว มันมีเพียงแค่คันเดียวเท่านั้นและพายุฝนห่าใหญ่ก็เริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที


    “เธอเอาไปสิ” คุณเจโน่ยื่นร่มสีใสในมือมาให้เธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย


    “แล้วคุณเจโน่จะกลับยังไงคะ จะไม่เปียกก่อนถึงบ้านหรอ” แม้ในตอนนี้จะต้องการร่มมากกว่าสิ่งใดทั้งหมดแต่เจ้านายของเธอจะป่วยมาทำงานในเช้าวันรุ่งขึ้นไม่ได้เป็นอันขาดเยริตัดสินใจที่จะเสียสละร่มคันนี้ให้คุณเจโน่ของเธอโดยไม่ลังเล


    “ผมเดินไปขึ้นรถเมล์แค่ตรงนี้เองแต่เธอต้องปั่นจักรยานกลับบ้าน ดูท่าแล้วคงจะเปียกแหงๆ” คงจะหูฝาดไปแน่ๆเพราะเธอไม่ได้ยินน้ำเสียงเย็นยะเยือกจากปากของผู้เป็นเจ้านายกังเช่นทุกครั้ง แต่กลับเป็นความห่วงใยที่เธอกำลังสัมผัสได้เพราะมัวแต่ใจลอยจนไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธความหวังดีที่ถูกหยิบยื่นมาให้ร่มสีใสของคุณเจโน่ก็ถูกวางลงบนมือของเยริเสียแล้ว ประตูเหล็กที่ม้วนเก็บไว้เหนือประตูร้านถูกดึงกางลงมาจนถึงพื้นปูนคุณเจโน่ย่อตัวลงไปล็อกลูกกุญแจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาบอกลา


    “ผมกลับก่อนล่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันรถเมล์เที่ยวสุดท้าย”






    เวลาเกือบหกโมงเย็น สายฝนยังคงโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเมฆครึ้มก้อนมหึมาที่ลอยอยู่ไม่ไกลคอยส่งเสียงคำรามดังลั่นทั่วผืนฟ้าจนผืนแผ่นดินสั่นสะเทือนเจโน่รีบวิ่งแข่งกับเวลาเพื่อให้ทันรถรับส่งเที่ยวสุดท้ายแต่ป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุดดันอยู่ห่างจากร้านหนังสือไปหลายช่วงตึกเจโน่กลั้นใจวิ่งฝ่าม่านน้ำฝนที่เริ่มหนาตาขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงที่หมายได้สำเร็จ…ป้ายรอรถประจำทาง


    “ทำไมวันนี้คุณมาช้าจัง”


    น้ำเสียงอันคุ้นหูดังขึ้นในจังหวะที่เขาก้มตัวลงไปหอบกับพื้นภายใต้ร่มเงาของหลังคาป้ายรถเมล์เจโน่รีบแหงนหน้าขึ้นมองไปยังต้นตอของเสียงแทบจะในทันทีก่อนจะพบว่าตนเองคิดผิดมหันต์ที่เสียสละร่มคันเดียวที่มีอยู่ให้แก่เยริไป


    เจโน่มองเห็นมาร์คยืนอยู่ตรงนั้น ใต้หลังคาของป้ายรถประจำทางด้วยกันกับเขาสองต่อสอง ในมือมีร่มสีฟ้าคันหนึ่งที่ถือแนบไว้ข้างลำตัวอย่างหวงแหน


    “รถเมล์เที่ยวสุดท้ายเพิ่งออกไปเมื่อกี้เองเราสองคนตกรถแล้วล่ะ ฮ่าๆ” ว่าติดตลกพลางวาดรอยยิ้มที่อ่อนละมุนที่สุดกลับมาให้อีกครั้ง


    “แล้วทำไมคุณถึงไม่ขึ้นไปล่ะ” เจโน่อดไม่ได้ที่จะย้อนถามกลับไป ในเมื่อมาร์คมาถึงที่นี่ก่อนเขา ดังนั้นจึงโอกาสแน่นอนที่จะได้ขึ้นรถประจำทางเที่ยวสุดท้ายเพื่อกลับบ้านของตัวเองแล้วเหตุไฉนจึงทิ้งโอกาสนั้นแล้วมายืนยิ้มหน้าระรื่นประจันสายตากับเจโน่อยู่ตรงนี้ได้


    “ผมรอคุณอยู่” เสียงหยาดฝนหล่นกระทบพื้นดังชัดเจนขึ้นทุกขณะกลิ่นดินยามชื้นน้ำลอยปะทะเข้าจมูกโดยที่ไม่เคยล่วงรู้มาก่อนว่ามันหอมสดชื่นถึงเพียงนี้คำพูดเดียวที่หลุดลอยออกมาจากริมฝีปากของมาร์คทำให้โลกทั้งใบของเจโน่ที่หยุดเคลื่อนไหวอยู่เนิ่นนานกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งแม้ยามนี้ท้องฟ้าเบื้องบนจะทั้งปั่นป่วนและเศร้าหมองมาเพียงใดแต่ในใจของเจโน่กลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย


     “คุณจะไม่ยอมแพ้ในตัวผมจริงๆหรอ?” คุณเจ้าของร้านหนังสือตัวเล็กเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ คุณเจ้าของร้านขนมปังคนเก่ง


    จะยอมแพ้ได้ยังไง ก็ทีคุณยังไม่ยอมแพ้เลย” มาร์คแอบอมยิ้มมุมปากขณะที่นึกถึงภาพของเจโน่ยามกอดหนังสือนวนิยายเรื่อง ‘TheFault In Our Stars’ ไว้แนบอกเมื่อตอนเที่ยงของวัน หากจะถามหาสาเหตุที่ทำให้เขามีเปี่ยมไปด้วยความสุขและความหวังมากขนาดนี้ได้ก็คงเป็นเพราะเมื่อสัปดาห์ก่อนตอนที่มาร์คแวะเอาขนมมาส่งให้ที่ร้านหนังสือเหมือนเช่นทุกครั้งเขาหยุดที่เคาท์เตอร์เพื่อลอบมองใบหน้าของคนที่เอาแต่จริงจังกับงานจนไม่สนใจสิ่งรอบข้างมาร์คถือวิสาสะเคาะนิ้วมือลงบนเคาท์เตอร์ให้เกิดเสียงรบกวนจนคุณเจ้าของร้านต้องยอมเงยหน้าขึ้นมาสนใจกัน สุดท้ายเขาก็แนะนำให้เจโน่อ่านหนังสือเรื่อง‘The Fault In Our Stars’ เพียงเพราะว่าเขากำลังอ่านมันอยู่และเจโน่ทำให้เขานึกถึงตัวละเอกของเรื่องอย่าง เฮเซล เกรซ อย่างเลี่ยงไม่ได้


    ‘ใครคือเฮเซล เกรซ?’เจโน่ถามขึ้นทันทีหลังจากฟังมาร์คสาธยายเกี่ยวกับความดีความชอบของหนังสือเล่มนั้นจนจบ


    ‘คุณเจโน่ต้องลองอ่านมันทั้งหมดเองนะครับ’


    ‘แต่ผมไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้นนะ’


    ‘ไม่เป็นไรครับ แต่ถ้าคุณอ่านแล้วก็ช่วยบอกผมทีว่าผมเหมือนตัวละครตัวไหนในความคิดคุณ’ มาร์คเดินจากไปพร้อมกับทิ้งคำถามที่ท้าทายเจโน่ให้อยากจะค้นหาคำตอบของมัน


     

    “ฝนเริ่มตกหนักแล้ว…” น้ำเสียงตัดพ้อของคุณเจ้าของร้านหนังสือดังขึ้นทำลายความเงียบที่เริ่มก่อตัวระหว่างพวกเขาเป็นมาร์คที่ถูดฉุดให้ตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งความหลัง เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าก่อนจะชะโงกดูท้องฟ้าที่คราคร่ำไปด้วยเหล่าเมฆก้อนโตมันลอยมากระจุกตัวกันเหนือศีรษะของพวกเขา และทำท่าว่าจะเทฝนชุดใหญ่ลงมาในไม่ช้า


    “ผมว่าเราควรจะเดินไปกันเลยนะครับถ้าเมฆก้อนนั้นมาสมทบกับก้อนนี้อีก ฝนคงจะตกแรงกว่านี้จนกลับบ้านไม่ได้แน่ๆ” นั่นเป็นความคิดที่แย่มากที่สุดเท่าที่เจโน่เคยได้ยินมาเดินกลับบ้านด้วยกันกับมาร์คสองต่อสองเป็นสิ่งสุดท้ายที่เจโน่อยากจะทำก่อนตายไม่ใช่ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่แต่พระเจ้าทรงไม่ให้ทางเลือกกับเขามากเท่าที่ควร หากไม่นอนตากยุงอยู่ที่ป้ายรถเมล์เก่าซอมซ่อนี่ก็ต้องกลั้นใจเดินกลับบ้านไปกับชายเจ้าของร้านขนมที่ยืนยิ้มให้เขาเหมือนคนบ้า


    “คุณเจโน่จะกลับบ้านพร้อมกับผมมั้ยครับ ผมมีร่ม” ไม่พูดเปล่าแต่ยังยกร่มที่ถือไว้ในมือขึ้นมากางออกระหว่างรอคอยคำตอบ ราวกับจะแสดงออกเป็นนัยว่าพร้อมเดินทางเสมอเพียงแค่เจโน่ตอบตกลงวินาทีนี้จะให้ปฏิเสธก็ดูจะใจร้ายกับตัวเองมากเกินไปหน่อยฟ้าเริ่มมืดมากขึ้นทุกทีและพายุฝนก็โถมกระหน่ำด้วยความพิโรธราวกับไปโกรธใครมาขืนยืนเล่นตัวไม่ยอมกลับอยู่แบบนี้คงจะโดนหวัดกินหัวเข้าแน่ๆ


    “ก็ไปสิ กลับบ้านกัน”


    ท่ามกลางหยาดฝนที่โปรยปรายลงมาสู่ผืนปฐพีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยพวกเขาออกเดินทางพร้อมกับร่มคันหนึ่งที่คุณเจ้าของร้านขนมปังเป็นฝ่ายถือด้ามจับไว้ระยะทางของถนนเส้นที่ทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตาไม่ได้ทำให้มาร์ครู้สึกเป็นกังวลว่าคืนนี้อาจจะไม่ถึงบ้านเขาปรารถนาให้ถนนเส้นนี้ทอดยาวออกไปอย่างไร้จุดหมายเสียด้วยซ้ำเมื่อทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นดั่งความฝันที่ไม่มีวันเกิดขึ้นในชีวิตจริง


    แต่เพราะภายใต้ร่มคันสีฟ้าที่ใช้กำบังน้ำฝนในตอนนี้กลับมีพื้นที่เพียงพอสำหรับคนๆเดียวเท่านั้นเจโน่จึงพยายามหดตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะสอดตัวเองเข้าไปอยู่ในเงาของเพดานร่มเล็กๆที่ไตร่ตรองดูแล้วว่ามันไม่น่าจะเพียงพอสำหรับพวกเขาทั้งสอง


    ทางออกของปัญหามันก็มีอยู่เพียงแต่ว่าคนบางคนเลือกที่จะหลีกเลี่ยงมันทุกวิถีทาง หากทางออกที่ว่านั่นคือการต้องยืดเบียดเสียดกันใต้ร่มสีฟ้าคันนี้ ให้ตายอย่างไรคุณเจ้าของร้านหนังสือก็ไม่มีทางกระเถิบไปใกล้คนข้างๆ อย่างเด็ดขาดแต่น่าแปลกที่แม้จะเหลือช่องว่างตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งสองทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างต้องเปียกปอนไม่ทางใดก็ทางหนึ่งทว่าร่างกายส่วนบนของเจโน่กลับไม่เฉียดโดนละอองฝนแม้แต่หยดเดียวมันเป็นไปได้ยังไงกันนะ


    และก็ถึงบางอ้อในทันใดเมื่อเจโน่แหงนใบหน้าขึ้นมองเพดานร่มที่ตอนนี้มันเคลื่อนมาอยู่เหนือศีรษะของเขาเพียงผู้เดียวพอใช้มือข้างที่วางอยู่ลองปัดป่ายระยะห่างตรงกลางของพวกเขาดู มันก็ยังคงเดิมอยู่แล้วอย่างนี้มาร์คจะตากฝนหรือเปล่านะ คิดได้ดังนั้นดวงตารีเล็กซึ่งเคลือบแคลงความสงสัยไว้เต็มประดาก็แอบเหล่มองคนข้างกายด้วยหางตาโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว


    แล้วคุณเจ้าของร้านหนังสือก็พบว่าข้อสันนิษฐานของเขาถูกเผงหัวไหล่ข้างที่เลยออกนอกพื้นที่ร่มมันเปียกโชคไปหมดและความชื้นของน้ำฝนคงจะไหลซึมลงมาตามร่างกายของมาร์คในอีกไม่ช้าไร้ซึ่งสัญญานเตือนใดๆ จู่ๆ เจโน่ก็ตัดสินใจหยุดก้าวขาเดินไปเสียดื้อๆ


    “คุณเจโน่มีอะไรหรือเปล่าครับ” มาร์คที่อาสาถือด้ามจับให้แก่พวกเขาร้องถามอย่างสงสัยก่อนจะหยุดเดินบ้าง


    “คุณเปียกแล้วเห็นไหม” เจโน่หันมาต่อว่าเขาเหมือนอย่างเคยทว่าน้ำเสียงที่ได้ยินกลับไม่ได้ฟังดูใจร้ายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมามาร์คหลุดอมยิ้มออกมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่หัวใจของเขาเหมือนจะปั่นป่วนและวุ่นวายเสียยิ่งกว่าพายุฝนฟ้าคะนองบนท้องฟ้าเสียอีก


    “ไม่เป็นไรหรอกครับ เล็กน้อยเอง”


    “เล็กน้อยตรงไหนกัน เปียกขนาดนี้”


    “…”


    “คุณทำไมไม่ขยับร่มไปตรงกลางล่ะ แบบนี้ไง” คุณเจ้าของร้านหนังสือถือวิสาสะจับลงบนหลังมือของมาร์คข้างที่ถือด้ามร่มเอาไว้ก่อนจะออกแรงเลื่อนมันไปยังพื้นที่ว่างตรงกลางระหว่างพวกเขาเงาร่มขนาดเล็กเริ่มเคลื่อนย้ายไปตามแกนกลางของเพดานร่มและแน่นอนว่าตอนนี้หัวไหล่ข้างหนึ่งของเจโน่ก็ตากฝนเช่นเดียวกัน


    “เดี๋ยวคุณเจโน่จะเปียก ไม่เอาหรอกครับ” มาร์คกระวีกระวาดขยับแกนร่มกลับไปยังตำแหน่งเดิมของมันเมื่อครู่ฝนเริ่มตกหนักขึ้นทุกขณะตามระยะเวลาที่สูญเสียไป ทว่าพวกเขาทั้งสองก็ยังคงยื้อยุดด้ามจับร่มกันอยู่ตรงนั้นจนนานสองนานและตกลงกันไม่ได้เสียทีลมหนาวที่บังเอิญพัดโชยมาเริ่มตีปะทะเข้ากับร่างกายส่วนที่ชุ่มน้ำจนรู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจหากเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเขาทั้งสองคงจะต้องไปจบที่โรงพยาบาลเพราะอาการไข้ขึ้นเฉียบพลันอย่างแน่นอน


    “คุณเจโน่ ผมขอโทษจริงๆนะครับ”จนแล้วจนรอดความกล้าบ้าบิ่นที่แอบซ่อนอยู่ในซอกหลืบของหัวใจก็ลุกฮือขึ้นมาเอาชนะความกลัวที่จะผิดหวังได้สำเร็จมาร์คตัดสินใจสลับให้มือข้างที่ว่างอยู่มากำด้ามจับร่มแทนส่วนมือที่เคยถือด้ามจับร่มก็อ้อมไปด้านหลังของอีกฝ่ายก่อนจะวางแหมะลงบนหัวไหล่เล็กอย่างห้าวหาญไม่จบแค่เพียงเท่านั้น มือข้างที่ถือดียังบังอาจออกแรงดันหัวไหล่ของเจโน่ให้ร่างกายที่ยืนแข็งเป็นหินเซถลาเข้ามาปะทะกับแผ่นอกของมาร์คด้วยความจงใจ อุณหภูมิในร่างกายค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า เจโน่ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความอบอุ่นของคุณเจ้าของร้านขนมปังหรือเปล่าที่ทำให้เลือดของเขาสูบฉีดอย่างบ้าคลั่งจนผิดปกติเช่นนี้


    “คุณช่วยค้างอยู่แบบนี้จนกว่าเราจะถึงบ้านได้มั้ยครับ”


     ริมฝีปากของมาร์คอยู่ห่างจากใบหูของเจโน่เพียงแค่คืบ มันใกล้เสียจนเขาสัมผัสได้ถึงลมอุ่นๆที่หายใจรดอยู่ข้างแก้ม เสียงของมาร์คดังก้องอยู่ในโสตประสาทและคลับคล้ายคลับคลาว่าร่างกายของเขาจะถูกดูดกลืนให้จมดิ่งลงไปในน้ำเสียงแสนหวานเหล่านั้นอย่างเชื่องช้ามันคือภวังค์แห่งความฝันที่เจโน่ไม่เคยหลุดเข้าไปแต่มาร์คเป็นคนแรกที่เปิดประตูต้อนรับให้เขาก้าวเข้าไปสู่โลกอีกใบที่สิ่งต่างๆช่างงดงามกว่าที่เคยมอง


    ร่มไม่เคยใหญ่ไปมากกว่านี้และเจโน่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าร่มเล็กๆเพียงคันเดียวจะสามารถป้องกันละอองฝนให้คนถึงสองคนได้ในคราเดียวทว่าเรื่องราวไม่คาดฝันนั้นเกิดขึ้นอยู่เสมอเหมือนที่เจโน่ไม่เคยคาดคิดว่าเขาและมาร์คจะสามารถเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันได้มาร์คเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ยามเช้าที่แสนสดใสแสงแดดแสนบางเบาของมาร์คไม่เคยทำร้ายใครมีแต่จะทำให้อุ่นใจและตกหลมรักทุกครั้งเมื่อเช้าวันใหม่มาถึงต่างกับเจโน่ที่ไม่เหมาะสมที่จะเป็นอะไรในโลกใบนี้เลยสักอย่างนอกจากตัวเขาเอง


    “ใกล้ถึงบ้านของคุณแล้วใช่มั้ยครับ?” จังหวะการย่ำเท้าของคนทั้งสองเริ่มผ่อนช้าลง มาร์คยอมคลายวงแขนที่เคยโอบรอบลาดไหล่บางของคุณเจ้าของร้านหนังสือออกอย่างอดเสียดายไม่ได้เพราะเป็นครั้งแรกที่เจโน่ยอมเปิดโอกาสให้มาร์คเข้าใกล้หัวใจได้มากถึงเพียงนี้


    เวลาเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนมาร์คแทบอยากจะจินตนาการปุ่มหยุดเวลาขึ้นมาและกดมันเสียเดี๋ยวนั้นเขาแค่อยากจะเดินจับมือของเจโน่ไปตามทาง แต่ดูเหมือนว่าถ้าตัดสินใจทำอย่างนั้น มาร์คอาจจะต้องย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นแห่งความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาใหม่อีกครั้ง


    เพียงแค่นี้ก็คงพอแล้ว…เพียงแค่หลังมือของพวกเขาบังเอิญสัมผัสกันยามที่ต้องเดินใกล้ชิดกันแบบนี้มันก็ทำให้สติเตลิดเปิดเปิงหายไปในอากาศ


    “ถึงบ้านผมแล้วล่ะ ขอบคุณนะ” คำพูดที่มาร์คไม่อยากได้ยินที่สุดในขณะนี้เพิ่งจะดังกระทบเข้าหูพร้อมกับแผ่นหลังของใครอีกคนที่กำลังเดินออกจากเงาร่มไป ภายใต้ร่มคันสีฟ้าที่เคยมีควาทรงจำเกิดขึ้นมากมายกลับกลายเป็นว่าตอนนี้กำลังจะเหลือแค่เพียงหัวใจดวงเดียวของเขาภาพของเจโน่ที่กำลังเดินห่างออกไปไกลยังสะท้อนอยู่ในสายตาคู่คม มาร์คไม่ต้องการให้ช่วงเวลานี้จบลงเลยแม้แต่น้อยและดูเหมือนว่าเจโน่จะอ่านความคิดของเขาออก


    “คุณเจโน่?” แทนที่จะไขประตูเปิดออกและสอดตัวเข้าไปพักผ่อนในบ้านหลังใหญ่ตรงหน้าเจโน่กลับเลือกที่จะหยุดการกระทำทุกอย่างโดยฉับพลันปล่อยให้ลูกกุญแจเสียบคาอยู่ในกลอนประตูดังเดิมเช่นนั้นโดยไม่คิดจะลงมือไข วินาทีนั้นเองเจ้าของแผ่นหลังบางก็หมุนลำตัวกลับมาและเดินตรงมาหาคนที่ยังคงยืนถือร่มคอยอยู่ที่เดิม


    สายลมเอื่อยพัดผ่านไป จากฝนซากลับกลายเป็นฝนพรำแสนอ่อนหวานสายตาของเจโน่กับมาร์คสบประสานกันหาใช่เพราะความบังเอิญเหมือนที่ผ่านมาแต่เป็นเพราะความตั้งใจของเจโน่เองที่บันดาลให้มันเกิดขึ้นระยะห่างระหว่างพวกเขาลดน้อยลงทุกขณะยามที่เจโน่เริ่มสาวเท้าเข้ามาใกล้มาร์คมากขึ้นทุกทีจนกระทั่งทุกอย่างจบลงเมื่อหัวรองเท้าของพวกเขาชนกัน


    โดยปราศจากสุ้มเสียงใดๆ โลกทั้งใบก็พลันหยุดหมุนเจโน่ค่อยๆ เลื่อนมือทั้งสองขึ้นมาประคองใบหน้าของมาร์คอย่างอ่อนโยนเหมือนในความฝันของมาร์คคืนก่อนไม่มีผิดเพี้ยน พวงแก้มของคุณเจ้าของร้านขนมปังร้อนผ่าวจนขึ้นสีและนั่นทำให้เจโน่รู้สึกประหม่าตามไปด้วย พวกเขาแย่งกันหลบสายตาเป็นพัลวันจนในที่สุดเจโน่ก็เป็นฝ่ายยอมแพ้เจโน่หลับตาแน่น ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรงราวกับว่ากำลังโต้เถียงกับความคิดของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเปิดเปลือกตาและเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา


    “วันนี้โชคร้ายจริงๆ ที่ฝนตก” เจโน่เว้นจังหวะการพูดไปชั่วขณะหนึ่งเพื่อช้อนดวงตาขึ้นมองใบหน้าที่แดงก่ำในอุ้งมือทั้งสอง


    แต่ผมโชคดีเหลือเกินที่ได้ติดฝนอยู่กับคุณ


    ยินเสียงหัวใจของมาร์คเต้นเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจอีกดวงของคนตรงหน้า ประโยคนั้นมันจะแปลว่ารักได้ไหมนะ แต่แค่นั้นมันคงเพียงพอต่อใจแล้วสำหรับคุณเจ้าของร้านขนมปังที่แอบรักคุณเจ้าของร้านหนังสือมาตลอดสองปีเต็ม

     


    ไม่มีความสัมพันธ์ไหนที่จะมีแต่ความอบอุ่นแสงอาทิตย์ตลอดไปลองมองหาใครสักคนที่คุณสามารถแบ่งปันร่มของเขากับคุณได้และพร้อมที่จะจับมือข้ามผ่านพายุลูกร้ายๆไปด้วยกันสิ



    the end ?

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in