เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Just one more chapturepreenbanana
This is Not a Test▐ ซอมบี้ ซึมเศร้า (และร้านหนังสือที่มาเลเซีย)
  • Waiting around to be saved is like waiting to die and I have done more of both than anyone else in the room.
    ― Courtney Summers, This is Not a Test






    Trigger Warning สำหรับเนื้อหาในหนังสือที่กล่าวถึงโรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย




    เมื่อเมืองทั้งเมืองรายล้อมไปด้วยผู้ติดเชื้อที่แปรสภาพมนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตกระหายเลือด ผู้รอดชีวิตที่เหลือต่างพยายามต่อสู้เพื่อลมหายใจของตัวเอง แต่ไม่ใช่กับ “สโลน ไพร์ส” เพราะการมีชีวิตอยู่ไม่สำคัญกับเธออีกต่อไป ความตายตรงหน้าดูเป็นเรื่องแสนธรรมดา เมื่อเทียบกับสิ่งที่เธอได้เผชิญมาตลอดทั้งชีวิต ทั้งความรุนแรงจากพ่อที่เป็นฝันร้ายคอยตามหลอกหลอนเธออยู่ตลอดเวลาและการหายตัวไปอย่างลึกลับของพี่สาวที่เปรียบเสมือนโลกทั้งใบของเธอ เหล่านี้เป็นสาเหตุของอาการซึมเศร้าที่ทำให้สโลนแทบไม่ต่างอะไรจากบรรดาศพเดินดินข้างนอกนั่น




    แต่โชคชะตากลับเล่นตลก เพราะเธอขณะที่เธอกำลัง ตัดสินใจฆ่าตัวตาย สโลนก็เข้าไปเกี่ยวพันกับกลุ่มเด็กมัธยมปลายที่รอดชีวิตโดยบังเอิญ เด็กเหล่านั้นคือเพื่อนร่วมโรงเรียนมัธยของสโลนที่หนีตายเข้ามาหลบซ่อนในโรงเรียน ซึ่งถือเป็นปราการด่านสุดท้ายของเมืองนี้




    กลุ่มของตัวเอกในเรื่องเป็นแค่เด็กวัยรุ่นธรรมดาที่ไม่ได้มีการฝึกเพื่อรับมือกับซอมบี้มาก่อนแต่อย่างใด เรื่องราวในหนังสือเป็นเพียงการเอาตัวรอดแบบเฉพาะหน้าของกลุ่มเด็กวัยฮอร์โมนที่เป็นตัวแทนภาพจำของเด็กประเภทต่างๆในโรงเรียน ทั้งเด็กหนุ่มนักกีฬา ควีนบี เด็กเนิร์ด เด็กหลังห้อง เด็กขี้ขลาด รวมไปถึงเด็กเมย์ไหนที่ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงการมีตัวตนอย่างสโลน แต่ละคนมีปมปัญหาที่แตกต่างกันออกไป และการที่ซอมบี้บุกเมืองนี่เอง ก็เป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเขาทุกคนต้องยอมรับผิดต่อสิ่งที่เคยทำผิดพลาดในอดีต เปิดใจซึ่งกันและกันเพื่อความอยู่รอด รวมไปถึงช่วยกันตัดสินใจในสถานการณ์ที่ยากลำบาก นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาควรทำ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมทำตาม




    ทั้งหกคนต้องรักษาฐานที่มั่นสุดท้ายเอาไว้ จนกว่าจะมีพ่อแม่ คนจากทางการ เจ้าหน้าที่ทหารหรืออะไรก็ตามมาช่วยเหลือพวกเขาออกไป ทั้งๆที่ทุกคนต่างรู้ว่าความหวังมีอยู่เพียงน้อยนิด ถึงแม้โรงเรียนมัธยมของพวกเขาจะมีเสบียงเพียงพอในโรงอาหาร มีน้ำในโรงยิมให้อาบและมีที่นอนให้นอน แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่เพียงระเบิดเวลา เป็นการพยายามเอาชีวิตรอดแบบขั่วโมงต่อชั่วโมงภายในโรงเรียนที่ซอมบี้กำลังจะบุกเข้ามาก็เท่านั้น ซึ่งความกดดันรอบด้านทีื่เด็กกลุ่มนี้ต้องแบกรับเอาไว้ตลอดทั้งเรื่อง ทำให้เราลุ้นระทึกไปกับตัวละครแต่ละตัวว่าจะสามารถมีชีวิตรอดออกมาได้อย่างที่ใจหวังหรือไหม




    โดยทั่วไปแล้วบรรดาเรื่องซอมบี้บุกโลกทั้งหลายที่เคยเสพ เรื่องราวส่วนใหญ่มักเน้นไปที่การต่อสู้ดิ้นรนของกลุ่มคนที่อยากจะมีชีวิต แล้วถ้าสมมติว่าเรื่องราวทั้งหมด ถูกบอกเล่าจากมุมมองของคนที่ไม่ได้อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจะเกิดอะไรขึ้น จุดนี้เองทำให้เราสนใจหนังสือเล่มนี้ แม้ว่าคอหนังสยองขวัญอย่างเราจะคาดหวังความโหดดิบของซอมบี้ในหนังสือเล่มนี้ไว้พอสมควร จนคิดไปเองว่ามันน่าจะบู๊ล้างผลาญแบบ TWD หรือ Resident Evil



    แต่จริงๆแล้วหนังสือเจาะลึกเข้าไปถึงความคิดข้างในหัวมากมายของตัวละครเอกที่เธอไม่สามารถพูดหรือแสดงออกมาได้ทั้งหมด This is not a Test เป็นหนังสือ YA แนวระทึกขวัญที่มีซอมบี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งในการดำเนินเรื่อง สิ่งสำคัญของหนังสือกลับอยู่ที่การเข้าถึงภาวะทางจิตใจของสโลน ซึ่งเป็นบาดแผลที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า เธอต้องต่อสู้กับปีศาจในหัว ซึ่งมักปรากฎให้เห็นมากกว่าซอมบี้ในเรื่องเสียอีก ท่ามกลางความขัดแย้งภายในกลุ่มเด็กผู้รอดชีวิตและความโกลาหลของโลกด้านนอก สิ่งเดียวที่คอยยื้อลมหายใจของเธอไว้คือความหวังอันน้อยนิดว่าพี่สาวของเธอที่หนีออกไปจากบ้านก่อนวันโลกาวินาศจะยังมีชีวิตอยู่



    สุดท้ายแล้วสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอาจจะเป็นจิตใจของมนุษย์ด้วยกันเอง ไม่ใช่ซอมบี้ ไม่ใช่เลือดและก็ไม่ใช่ความตายแต่อย่างใด






    “This must be what Dorothy felt like, I think. Maybe.

    If Dorothy was six scared teenagers and Oz was hell.”






    Title: This Is Not a Test

    Author: Courtney Summers

    Published: June 19th 2012






    แถมอีกสักนิดส่งท้าย ว่าด้วยที่มาของหนังสือเล่มนี้ กว่าจะมาครอบครองในมือไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะต้องเดินทางไปมาเลเซีย...พอดี ฮา ด้วยความที่อยากเสพเรื่องราวของซอมบี้มากๆในช่วงนั้น แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อในเว็บไซต์ของร้านหนังสือคิโนะคุนิยะไทยขึ้นสถานะของหนังสือเล่มนี้ไว้ว่า




    "Out of stock"




    ก็แอบใจแป้วไปนิดนึง จนกระทั่งนึกขึ้นมาได้ว่าคิโนะคุนิยะมีสาขาอยู่ที่มาเลเซียด้วย ซึ่งตั้งอยู่ในห้างซูเรีย (Suria KLCC) ที่อยู่ในแลนด์มาร์คสำคัญของกัวลาลัมเปอร์ - ตึกเปโตรนาสนั่นเอง เลยเข้าไปเช็คดูเล่นๆว่ามีหนังสือเล่มนี้เหลือบ้างไหม ปรากฎว่ายังมีอยู่! จะรออะไรล่ะคะพี่น้อง ยังไงไปถึงมาเลเซียก็ต้องไปเยือนตึกแฝดอยู่แล้ว ประจวบเหมาะมาก ดังนั้นการไปคิโนะคุนิยะสาขาที่มาเลเซียต้องกลายเป็นจุดหมายสำคัญของเราไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ไม่งั้นมันอยู่ไม่ได้จริงๆ




    พอได้ไปเยือนถึงที่แล้ว การได้เห็นบรรยากาศในร้านหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือเยอะๆละลานตา ไม่ว่าจะเห็นมันจากที่ไหน มันเป็นความฟินสากลสำหรับเราจริงๆ รู้สึกได้ถึงอัตราการเต้นแรงของหัวใจและอาการอยากจะวิ่งไปด้วยท่าทางแบบตัวเอกในเรื่อง Sound of Music ทุกครั้งไป มันเหมือนมีแรงกระตุ้นบางอย่างที่ทำให้เราตื่นเต้น อยากจะเข้าไปเลือกดูในแต่ละชั้น อยากจะซื้อๆๆมาไว้ในครอบครอง กระเป๋าเงินแบนๆของเรานี่สั่นแรงมาก







    และแล้วเราก็ได้เจอกันที่มาเลเซีย ดีใจมากที่ยังมีเหลือให้เราได้อ่าน ขอโทษเพื่อนที่ต้องไปนั่งรอ ยืนรอเราเลือกหนังสืออยู่นานสองนานด้วยนะฮะ หลังจากที่ได้ไปสัมผัสร้านหนังสือที่มาเลเซียและเวียดนามมา ก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องซื้อหนังสือจากร้านหนังสือในประเทศนั้นๆติดไม้ติดมือกลับมาด้วย จะได้รู้สึกถึงช่วงเวลาที่เราได้ไปท่องเที่ยว




    ดังนั้นแล้วหนังสือเล่มนี้ก็ได้บรรจุความทรงจำของเราในทริปที่มาเลเซียไว้ไปโดยปริยาย




    ...จนกว่าจะได้ออกเดินทางอีกครั้ง


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in