เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storyhappymytuesday
การแต่งหน้า ที่ใครๆต่างก็ให้ความสนใจ
  • ในปัจจุบันถ้าเราพูดถึงเรื่องของความสวยความงามไม่ว่าจะเป็นเพศไหน วัยไหน ต่างก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้เลยว่า มันไม่มีความสำคัญต่อการเสริมภาพลักษณ์ของเราให้ดีขึ้น และที่สำคัญก็เชื่อว่าทุกๆบ้านก็ย่อมมีพวกเครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่เอาไว้ดูแลผิวพรรณให้สวยงามขึ้นแน่ๆ จากอดีตมาจนถึงปัจจุบันของต่างๆพวกนี้ก็มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ แท่งลิปสติกที่เราเรียกกันในปัจจุบัน สมัยก่อนก็ใช้ชาดมาไว้ทาสีปาก เพื่อนๆเคยสงสัยไหมว่า เครื่องสำอางต่างๆเหล่านี้มีมาตั้งแต่ยุคไหน และจุดเริ่มต้นของมันมาจากที่ไหนกัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากยุคอดีตมาจนถึงปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้มันถูกเปลี่ยนแปลงมาจากสาเหตุอะไร เป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อแปลงแปลงใช่หรือไม่?

    วิวัฒนาการของการแต่งหน้า

    ทุกๆคนอาจจะไม่รู้เลยว่าการแต่งหน้านั้นมีการบันทึกไว้ครั้งแรกที่อียิปต์ประมาณ 4,000ปีก่อนคริสตศักราชชาวอียิปต์ใช้น้ำมันแบบพิเศษทาตัวเพื่อป้องกันแสงแดดและลมนอกจากนั้นยังช่วยให้ผิวนุ่มขึ้นด้วยส่วนการแต่งหน้าอีกอย่างที่เป็นสัญลักษณ์ของชาวอียิปต์โบราณเลยก็คือการเขียนขอบตาดำ โดยใช้อุปกรณ์ที่ใช้เขียนเรียกว่า Kohl ระบายลงไปเหตุผลก็เพื่อช่วยป้องกันดวงตาจากแสงแดดและแมลงและยังมีเหตุผลตามความเชื่อว่าช่วยในการขับไล่สิ่งชั่วร้ายอีกด้วยซึ่งการเขียนตานี้เป็นที่นิยมในอียิปต์มากไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ ชาย รวยหรือจนทุกคนก็จะทาขอบตาดำ


  • ยุคโรมันหรือประมาณ ค.ศ. 1 เป็นต้นไป ชาวโรมันนิยมทาของตาดำด้วย kohl เหมือนกันแต่มีการใช้ชอล์กขาวเพิ่มเป็นไฮไลท์ช่วยให้หน้าสว่างขึ้นด้วยนอกจากนั้นยังใช้ผลชาดสีแดงทาแก้มที่น่าสนใจคือชาวโรมันให้ความสำคัญกับสุขภาพฟันมาก มีการใช้หินภูเขาไฟช่วยในการทำความสะอาดฟันและทำให้ฟันขาวขึ้น 

    ในยุโรปช่วงยุคกลาง (Middle age) ผิวขาวเป็นที่นิยมมากไม่ใช่ขาวอมชมพูแบบที่นิยมในบ้านเราตอนนี้แต่ต้องเป็นขาวซีดเหมือนกระดาษยิ่งขาวมาก ยิ่งแสดงถึงสถานะทางสังคมที่สูงกว่าสาวๆยุโรปจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อให้มีผิวขาวแม้กระทั่งยอมทำร้ายตัวเองเพื่อให้เลือดออกทำให้มีผิวขาวซีดสมใจ


    ช่วงยุคฟื้นฟูศิลปะ (Renaissance) การแต่งหน้าถือเป็นเรื่องน่าอับอายและยอมรับไม่ได้ในสังคมแต่ผู้คนยังคงนิยมผิวขาวกันอยู่ในช่วงยุคนี้มีการนำไข่ขาวมาทางหน้าเพื่อให้มีลักษณะมันเงารวมทั้งใช้สีขาวที่ทำมาจากตะกั่วขาวซึ่งเป็นพิษมาทาหน้าส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพทำให้มีผู้หญิงจำนวนมากที่ตายจากพิษตะกั่ว


    ศตวรรษที่ 18 เริ่มมีการยอมรับผู้หญิงที่เป็นนักแสดงและโสเภณีสามารถแต่งหน้าได้ส่วนคนธรรมดาสามารถทำได้แค่ทาแก้มสีชมพูให้ดูเปล่งปลั่ง มีสุขภาพดีแต่ในฝรั่งเศสนิยมทาปากและแก้มสีแดงเพื่อให้ดูเป็นคนสุขภาพดีสนุกสนานและในที่ฝรั่งเศสนี่เองที่มีการคิดค้นลิปสติกอันแรกของโลก ทำมาจากไขมันกวางน้ำมันละหุ่ง และขี้ผึ้งห่อด้วยกระดาษ


    ศตวรรษที่ 20 ช่วงปี ค.ศ.1910 ถือเป็นช่วงปฏิวัติวงการเครื่องสำอางอย่างแท้จริงมีการคิดค้นเครื่องสำอางหลายอย่างที่เราใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้เช่น มาสคาราลิปสติกแท่งรวมถึงแป้งแบบตลับยุคนี้การแต่งหน้าถือเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่งซึ่งแพร่หลายไปทั่วพร้อมๆกับการโด่งดังขึ้นของฮอลลีวูด และการเติบโตของนิตยสารแฟชั่นต่างๆ

  • เครื่องสำอางมันถูกเปลี่ยนเพื่อเพียงแค่เปลี่ยน (Change for the sake of change) หรือไม่?


    เปลี่ยนเพื่อเปลี่ยน (Change for the sake of change)เป็นหนึ่งใน logic of fashion ที่พูดถึงเรื่องของการเปลี่ยนเพื่อเปลี่ยนเท่านั้น ไม่ได้เปลี่ยนเพื่อที่จะต้องการพัฒนาบางสิ่งบางอย่างให้มันดีขึ้น หรือเพื่อให้เข้ากับความต้องการของคนในสังคม แต่ในจุดมุ่งหมายของการเปลี่ยนก็มาจากแค่ เปลี่ยนเพื่อเปลี่ยนแค่เท่านั้น ซึ่งความเป็นจริงแล้วนั้นการเปลี่ยนแปลงทางแฟชั่นของการแต่งหน้าก็เพื่อให้เข้ากับคนในสังคมหรือให้เข้ากับเทรนด์ของสังคมมาตลอดหากเรามองย้อนกลับไปแต่ละยุค เราจะเห็นได้ว่าในแต่ละช่วงของยุคสมัยก็จะมีการใช้ที่แตกต่างกัน หรือบางยุคก็ยังคงนำเอารูปแบบเดิมของยุคก่อนหน้ามาใช้อยู่ แต่อาจเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งมาเป็นสิ่งหนึ่งก็เพื่อให้เข้ากับความสนใจของคนในยุคนั้นๆอย่างของในยุคอียิปต์มาในยุคโรมัน ก็ยังมีการใช้ kohl ในการเขียนขอบตาแต่ในยุคโรมันก็มีการใช้ไฮไลท์เพิ่มเข้ามาที่ช่วยทำให้หน้าสว่างขึ้น นอกจากนั้นยังใช้ผลชาดสีแดงทางแก้ม ซึ่งมันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นให้เข้ากับความสนใจของคนในยุคโรมัน หรืออย่างในยุคศตวรรษที่ 20 ก็ได้มีการพัฒนาเครื่องสำอางอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นทั้งลิปสติก มาสคาร่า แป้งตลับ  อย่างในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของเครื่องสำอางนั้นก็เปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับทั้ง เทรนด์การรักษ์โลกโดยการใช้ ผลิตภัณฑ์ที่สกัดมาจากธรรมชาติ ส่วนผสมทุกอย่างที่ต้องเน้นธรรมชาติ ทำให้หลายๆแบนด์ต่างก็พากันผลิตเครื่องสำอางที่ตรงกับความต้องการและให้เข้ากับเทรนด์ ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ดังจากเกาหลี MAMONDE ที่ใครๆต่างก็รู้จักเป็นหนึ่งในแบรนด์เกาหลีที่คิดค้นผลิตภัณฑ์จาธรรมชาติและยังได้แรงบันดาลใจมาจากดอกไม้

    หรือไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาให้เข้าถึงความสนใจของผู้คนในสังคม โดยอย่างในปี 2018 ที่พึ่งผ่านมาแบรนด์ดังอย่าง Chanel จากฝรั่งเศษที่ได้เปิดตัวเครื่องสำอางผู้ชายในภายใต้ชื่อ BOY DE CHANEL ที่ประเทศเกาหลีใต้ โดยทุกคนอาจจะทราบดีว่าประเทศเกาหลีใต้นั้นอุตสาหกรรมเรื่องความสวยความงามก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากไม่ได้มีเพียงแต่สาวๆเท่านั้นที่ดูแลรักษาผิวพรรณหรือเติมแต่งใบหน้าให้ดูดีขึ้นเพียงอย่างเดียวแต่ผู้ชายก็ยังได้ให้ความสนใจเช่นเดียวกันด้วย จึงไม่แปลกที่ chanel จะผลิตเครื่องสำอางสำหรับผู้ชายขึ้นมาโดยเฉพาะ  จึงทำให้เราเห็นได้เลยว่าการพัฒนาของเครื่องสำอางที่อาจมุ่งสนใจแค่เฉพาะผู้หญิงเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่สำหรับในยุคปัจจุบัน เพราะไม่ว่าจะเป็นเพศไหนต่างก็ให้ความสนใจมากเช่นเดียวกัน จึงทำให้แบรนด์เครื่องสำอางต่างๆก็ต้องหันมาเปลี่ยงแปลงหรือพัฒนาจากผลิตภัณฑ์แบบเดิมให้เป็นแบบใหม่เพื่อที่จะได้ตอบโจทย์ของสังคมมากขึ้น และสามารถที่จะเข้าถึงได้กับทุกเพศได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งเราจะเห็นได้เลยว่าที่จริงแล้ววิวัฒนาการของการแต่งหน้านั้นก็มีการพัฒนามา มีการเปลี่ยนแปลง สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้เพียงแค่ต้องการเปลี่ยนเพื่อเพียงแค่เปลี่ยน แต่เปลี่ยนเพื่อให้กับความต้องการ  ให้เข้ากับLifestyle ของแต่ละบุคคล ที่ดำเนินไปในสังคมนี้นั้นเอง



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in