เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รีวิวหนังสือ The knife of never letting go จาก Patrick NessSENNELIER
รีวิวหนังสือ The knife of never letting go จาก Patrick Ness
  •     

        

          The Knife of never letting go หรือในชื่อไทย มีดของท็อดด์ เป็นนิยายในชุด Chaos Walking Trilogy เขียนโดย Patrick Ness ผู้สร้างปรากฏการณ์จากนิยายเรื่อง A Monster calls ที่ได้กลายเป็นภาพยนตร์ในปี 2016 และกระแสวิจารณ์เป็นไปในทางที่ดีทีเดียว คะแนนจาก Rotten Tomato สูงถึง 86% จึงทำให้สำนักพิมพ์ Words wonder ได้ซื้อลิขสิทธิ์เรื่องอื่นของ Patrick เข้ามาแปลอีก(และหวังว่าจะมีอีกเรื่อยๆ)

               มีดของท็อดด์ เป็นนิยายแนวไซไฟ-ดิสโทเปีย อย่าเพิ่งคิดว่า "อีกแล้วหรอ!" เพราะเรื่องนี้เราบอกเลยว่า มันไม่ซ้ำกับเนื้อหาที่ไหนแน่นอน แม้ว่าจะเป็นดิสโทเปียเหมือนกัน แต่เนื้อหา ตัวละคร สังคม ไม่จำเจแน่นอน มีดของท็อดด์ว่าด้วยเรื่องราวของของเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าท็อดด์(แหม่ จะชื่อไหนซะอีก) กับโลกนิวเวิลด์และเมืองเพรนทิสทาวน์ที่ทุกอย่างมี "เสียงคิด" ของตัวเอง นั่นรวมถึง หมา นกฮูก จิ้งหรีด วัว คน และอื่นๆอีกมากมายที่เราไม่อาจสาธยายได้ คิดดูสิว่ามันจะวุ่นวายขนาดไหน เพราะเสียงคิดของทุกคน และทุกสรรพสิ่งจะตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ข้อดี(มั้ง)คือ ไม่มีความลับต่อกัน เพราะผู้คนจะเห็นสิ่งนั้นในความคิดของคนๆนั้น  แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการโกหกหรือปกปิด(อ้าว) ซึ่งถามว่าปิดได้มั้ย ขึ้นอยู่กับคน ประสบการณ์และการฝึกฝน เจ้าหนุ่มน้อยท็อดด์เป็นเด็กวัย 13 ซึ่งกำลังย่างเข้าผู้ใหญ่ในอีก 29 วัน ท็อดด์ได้ของขวัญวันเกิดในปีก่อนๆเป็นหมาที่ชื่อว่า "แมนชี่"  และมันน่ารักน่าเอ็นดูมาก(ภาพในหัวคือโกลเด้นชัวร์) ซึ่งท็อดด์เนี่ยไม่ได้อยากได้หมาเลย สักนิดเดียว เขาเพียงอยากได้จักรยานพลังงานนิวเคลียร์ ท็อดด์มองว่าแมนชี่คือภาระที่ตัวเขาเองไม่อยากจะรับผิดชอบ ท็อดด์เป็นเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่กับเบนและคิลเลียนที่เป็นเพื่อนบ้านที่สนิทของแม่เขา 
               

              นิยายเปิดตัวในหน้าแรกด้วยเสียงของแมนชี่ ที่ร้องบอก(ในความคิด) กับท็อดด์ว่ามัน "อยากอึ๊" แน่ล่ะ หมาจะคิดอะไรหล่ะ ซึ่งการที่เจ้าแมนชี่ปวดอึ๊ในขณะที่ท็อดด์กำลังไปเก็บแอปเปิ้ลให้เบนนั้นกลับกลายว่า มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตของทั้งคู่ไปตลอดกาล เพราะทั้งคู่ดันไปเจอกับความเงียบเข้า ลองจิตนาการถึงโลกที่ทุกอย่างมีเสียงแม้กระทั่งไส้เดือน แต่แล้วกับมีบางสิ่งที่ไม่มีเสียง มันเป็นเรื่องแปลกและน่ากลัวอยู่ไม่น้อยสำหรับท็อดด์ที่เติบโตมาพร้อมกับเสียง เพราะเขาไม่รู้จักความเงียบ ความเงียบที่เป็นรูปร่าง ที่เหมือนกำแพงบาเรียที่กันเสียงทุกอย่าง แต่เราไม่เฉลยหรอกนะว่าคืออะไร เพราะถ้าอยากรู้ก็ไปอ่านเองสิ! (ฮา)


              เรื่องหน้าแปลกอีกเรื่องหนึ่งในเพรนทิสทาวน์คือที่นี่ไม่มีผู้หญิง และประชากรผู้ชายเหลือเพียงประมาณ 50% ผู้หญิงคนสุดท้ายในเมืองก็คือแม่ของท็อดด์ หมายความว่าท็อดด์เป็นเด็กชายเพียงคนเดียวในเมือง เขาเคยมีเพื่อนที่เป็นเด็กชายวัยใกล้เคียงกันที่เกิดก่อนหน้าท็อดด์ไม่กี่เดือน แต่พอถึงวันที่พวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาก็ไม่ได้เล่นกับท็อดด์อีกเลย ซึ่งตัวท็อดด์เองก็ไม่เข้าใจ แต่ท็อดด์คิดว่ามันก็เป็นเรื่องปกติของผู้ใหญ่ที่มักไม่เล่นกับเด็ก ท็อดด์อยากโตเป็นผู้ใหญ่(ในช่วงแรก) ในความคิดของท็อดด์ การเป็นเด็กคนเดียวในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้ใหญ่มันไม่ใช่เรื่องสนุก 

              ทุกวันในชีวิตของท็อดด์ในเมืองเพรนทิสทาวนด์ ท็อดด์มักต้องเดินผ่านสถานที่ ร้านค้า และผู้คนในเมือง มันหดหู่ น่าเศร้า และบางครั้งก็ชวนขนลุก ผู้ชายในเมืองหลายคนสูญเสียผู้หญิงของตนไป เพราะโรคเสียงคิด(หลายคนเชื่ออย่างงั้น) การเสียคู่รัก ลูกสาว แฟน มันทำให้เมืองเพรนทิสทาวน์เป็นเมืองหม่นๆ ที่ที่ทุกอย่างเหมือนค่อยๆตายลงอย่างช้าๆ บางคนก็อยากจะตายตามภรรยาไป บางคนก็ฝืนอยู่เหมือนคนที่ไร้วิญญาณ และยังมีเหตุการณ์ปริศนาในเมืองที่ผู้ชายหลายคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครตามหา และไม่มีใครพบศพ


              ไม่ไกลจากเมืองเพรนทิสทาวน์ จะมีบึงขนาดใหญ่ที่มีพวกจระเข้ยั้วเยี้ยที่กั้นเมืองเพรนทิสทาวน์กับป่าขนาดใหญ่ ท็อดด์ไม่เคยออกนอกเมือง ไม่เคยเดินเข้าไปในป่าหลังบึง ท็อดด์เชื่อว่าเมืองเพรนทิสทาวน์เป็นเมืองเดียวบนโลกใบนี้ ที่ที่ทุกคนอพยพมาจากโลกเก่า และพยายามที่จะสร้างยูโทเปียที่โลกใบนี้ แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น โลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า  "สแป็คเกิล" เป็นสิ่งมีชีวิตท้องถิ่น ท็อดด์ฟังเรื่องราวที่เล่าต่อมาหลายทอดว่า สแป็คเกิลเป็นต้นเหตุของสงคราม โรคภัย และความตายของผู้หญิงในเมืองรวมถึงแม่ของท็อดด์ ท็อดด์ไม่เคยรู้เรื่องที่แท้จริงว่าเกิดอะไรขึ้นพอๆกับไม่เคยรู้จักแม่กับพ่อของตัวเองเช่นเดียวกัน

              การรักษาความสงบภายในหัวของตัวเอง เพื่อไม่ให้สติตัวเองไหลไปกับเสียงคิดของผู้อื่น ท็อดด์มักมีคาถาในใจของเขา ที่เขาเรียนรู้มาจากเบน เสียงคิดในนิยายเล่มนี้ ไม่ใช่เพียงคำพูดที่ลอยไปลอยมา แต่มันมีรูปร่าง สี เจตนา เช่น ถ้าเป็นสีแดง มันคือความคิดที่มุ่งร้าย หรือบางครั้งก็เป็นความโมโห บางคนก็เป็นสีฟ้า นิ่งสงบ มั่นคง ให้ความรู้สึกปลอดภัย

             ข้อโดดเด่นของนิยายเล่มนี้คือ เราไม่เคยสงสัยมาก่อนว่าเสียงคิดของสัตว์จะเป็นอย่างไร นกฮูกคิดอย่างไร เวลาออกหาเหยื่อ จั๊กจั่นคิดยังไงเวลามันส่งเสียงร้อง ทุกความคิดที่ไหลออกมาจากสัตว์ที่ Patrick ถ่ายทอดนั้น มันตรงกับลักษณะนิสัยของสัตว์ประเภทนั้นๆ(น่าแปลกมั้ยล่ะ) อย่างวัวที่อยู่รววมกันเป็นฝูง ที่เราคิดว่ามันจะร้องเสียงลากยาวแต่ มออออ มออ ในนิยายมันกลับร้องเพลง ทุกตัวร้องเพลงเหมือนกันทุกคำพูด(เพราะซะด้วย) เหมือนกับทุกตัวในฝูงเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีวัวตัวไหนนอกคอกหรือคิดแปลกไปจากอีกตัว

             ตัวละครที่เราชื่นชอบมากเป็นพิเศษในเรื่องคือ เจ้าแมนชี่ เรียกได้ว่าพอถึงฉากออกทีไร จะต้องแย่งซีนตัวละครอื่นในเรื่อง(รวมถึงท็อดด์) ไปทุกที ความบื้อ ซื่อสัตย์ของหมา มันกลายเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ถึงกับวางไม่ลงทีเดียว

             นิยายเรื่องนี้นั้นมีความยาว 431 หน้า ใช้เวลาอ่านประมาณ 4 วันจบ ซึ่งตอนนี้สำนักพิมพ์ Words wonder ทำออกมา 2 เล่ม จากซีรี่ยมีทั้งหมด 3 เล่ม โดยเล่มที่ 2 มีชื่อว่า The Ask and The Answer และเล่มสุดท้ายที่ชื่อว่า Monsters of Men อีกทั้งนิยายเรื่องนี้ยังถูกทำเป็นภาพยนตร์ที่มีกำหนดฉายในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา(ซึ่งตอนนี้ไม่รู้เลื่อนไปถึงเมื่อไหร่) นำแสดงโดย Tom Holland สไปดี้ผู้น่ารัก(ฮา) และ เดซี ริดลีย์ ที่แสดงเป็น เรย์ ใน Star wars ถึงแม้ว่าชะตาเข้าฉายของภาพยนตร์เรื่องนี้ในตอนนี้ จะยังไม่แน่นอน แต่ถ้าใครอยากรู้เรื่องราวก่อน เราขอแนะนำให้อ่านรอพลางเพลินๆก่อน ทั้งสนุก ตื่นเต้น แปลกใหม่ ที่เราเชื่อว่าหลายๆคนจะต้องตกหลุมรักเรื่องนี้แน่นอน เอ้า! ไปอ่านเร็ว

    สรุปคะแนนโดยภาพรวม

    • ความสนุก 4.5/5
    • ภาษา 4/5
    • ความน่าติดตาม 4/5

     

    ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in