เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Journey จิปาถะNopportunity
[England] ปริศนาอาวุธล่องหน บนท่าอากาศยานฮีทโทรว์
  • (1)
    ประเทศอังกฤษ เป็นหนึ่งในประเทศที่ผมเคยมีโอกาสไปเยือน ไม่ใช่ในฐานะนักท่องเที่ยว หรือนักเรียนแลกเปลี่ยน แต่เป็นฐานะของนักแสดงดนตรีไทย

    นับเป็นความทรงจำที่น่าภาคภูมิใจมากที่สุดครั้งหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเวทีในระดับนานาชาติแบบนี้ 

    นอกจากความประทับใจ ความภาคภูมิใจ และประสบการณ์ดีๆมากมายแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ในวันเดินทางกลับก็คงเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ยากจะลืมได้ลงเช่นกัน

    สิ่งที่ผมรู้จักเกี่ยวกับประเทศอังกฤษมาตั้งแต่เด็กๆคือ Sherlock Holmes เนื่องจากเป็นตัวละคร และวรรณกรรมที่ตัวผมเองชื่นชอบมาตั้งแต่สมัยประถม 

    วรรณกรรมสืบสวนที่แสดงให้เห็นความอัจฉริยะของนักสืบที่มีบุคลิกแปลกจากคนทั่วไปสักหน่อย และเหมือนจะเป็นต้นแบบของวรรณกรรมสืบสวนทั่วโลกที่ตัวละครเอกจะเก่งกว่าตำรวจทั้งกรมเสมอ

    แต่เมื่อโตมาและได้เรียนรู้ และศึกษาข้อมูลต่างๆมากขึ้น ทำให้ผมทราบว่ากระบวนการทางกฎหมาย และฝีมือของตำรวจอังกฤษนั้นจัดได้ว่าอยู่ในอันดับต้นๆของโลกเลยทีเดียว 

    เป็นความโชคดีหรือโชคร้ายของตัวผมเองก็ไม่ทราบที่มีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสกระบวนการเหล่านั้นอย่างใกล้ชิดด้วยตัวเองในฐานะ 'ผู้ต้องสงสัย'
      (2)
    ติ๊ดๆๆๆๆ เสียงสัญญาณจากเครื่องตรวจจับโลหะในสนามบินฮีทโทรว์ดังขึ้นเมื่อชายที่อยู่ด้านหน้าผมเดินผ่านเครื่องนั้น เจ้าหน้าที่เรียกตัวเขาไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งด้วยการให้ยืนกางแขนและตรวจด้วยเครื่องตรวจโลหะแบบมือถือที่มีหน้าตาคล้ายไม้พายอิเล็กทรอนิกส์ ปรากฏว่าสาเหตุของสัญญาณเตือนคือ เขาลืมถอดเข็มขัดก่อนเข้าเครื่องตรวจ

    ผมเดินตามหลังชายแปลกหน้าผ่านเข้าไปในเครื่องนั้น และเดินออกมาได้อย่างปลอดภัย เพราะผมถอดทุกอย่างที่เป็นโลหะ รวมถึงรองเท้าผ้าใบที่ปลายเชือกเป็นโลหะ ส่งเข้าเครื่องตรวจอีกเครื่องหนึ่งพร้อมกับกระเป๋าสะพายข้างอีกหนึ่งใบ

    ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งกระเป๋าสะพายข้างที่ผมกำลังยืนรอมันออกมาจากเครื่อง ถูกดีดออกไปในช่องสำหรับตรวจสอบวัตถุต้องสงสัย

    มีกระเป๋าสองใบอยู่ก่อนหน้ากระเป๋าของผมในช่องนั้น เจ้าหน้าที่เรียกเจ้าของกระเป๋ามาแสดงตัวทีละคน และขออนุญาตเปิดกระเป๋าเพื่อตรวจค้นอย่างละเอียดอีกครั้ง

    คนแรกนั้นเจ้าหน้าที่พบบุหรี่และไฟแช็คที่เจ้าของกระเป๋าน่าจะลืมเอาออกจากกระเป๋า คนที่สองเจ้าหน้าที่พบเครื่งสำอางและเครื่องประทินผิวต่างๆที่เป็นของเหลวในปริมาณมากเกินกว่าที่กำหนด

    เครื่องสำอางทั้งหมด รวมถึงไฟแช็คและบุหรี่ถูกนำไปทิ้งถังขยะ พร้อมกับเจ้าหน้าที่กวักมือเรียกผมไปเป็นคิวถัดไป 

    ผมลุกเดินไปหากระเป๋าของตัวเองด้วยความมั่นใจว่าไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย หรือสิ่งที่ห้ามนำขึ้นเครื่องบินอย่างแน่นอน เพราะตัวผมเองก็มีประสบการณ์ในการขึ้นเครื่องบินอยู่พอสมควรทั้งใน และต่างประเทศ

    เจ้าหน้าที่ส่งสัญญาณเรียกเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งเข้ามาพร้อมกับลงมือรื้อค้นกระเป๋าของผม ด้วยการเปิดทีละช่อง และหยิบออกทีละชิ้น และแน่นอนว่าไม่พบอะไรที่เป็นสิ่งต้องห้ามทั้งสิ้น

    หากเป็นเมืองไทย หรือหลายๆที่หากค้นไม่เจออะไรก็คงจะปล่อยตัวไปแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ที่นี่ หรืออาจไม่ใช่เฉพาะในกรณีนี้ กรณีของผม

    เจ้าหน้าที่อีกคนเดินเข้ามา และพูดคุยกับเจ้าหน้าที่คนเดิม ซึ่งดูจากการแต่งกายแล้วน่าจะเป็นในระดับหัวหน้า หรือเจ้าหน้าที่พิเศษอะไรสักอย่าง

    เจ้าหน้าที่คนใหม่ขออนุญาตตรวจกระเป๋าอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เจออะไรเช่นเดิม และทั้งสองคนก็ช่วยกันค้นอย่างละเอียดอีกครั้ง ราวกับว่าพยายามจะหาให้เจอให้ได้ แม้กระทั้งหนังสือที่ข้าพเจ้าพกมาเพื่ออ่านแก้เบื่อบนเครื่องบินยังถูกเปิดค้นทีละหน้าเลยทีเดียว

    บางทีเครื่องสแกนอาจจะผิดพลาดบ้างก็เป็นไปได้ ฝรั่งนี่จะเชื่อใจเครื่องจักร หรือเทคโนโลยีมากเกินไปหรือเปล่า ผมเริ่มหงุดหงิดเพราะเสียเวลากับตรงนี้มากเกินไปแล้ว

    ผมตัดสินใจใช้ภาษาอังกฤษแบบ snake snake fish fish ของผมถามเจ้าหน้าที่ว่า "หาอะไรกันอยู่หรอ" และคำตอบที่ได้ทำให้ผมถึงกับอึ้ง! (ประโยคดูน่าหมั่นไส้เหมือนเว็บไซต์ข่าวบางเว็บเลยแฮะ)

    เจ้าหน้าที่ตอบมาเป็นภาษาอังกฤษที่ผมฟังไม่ค่อยทันเท่าไหร่ แต่จับใจความได้ว่าเครื่องสแกนตรวจพบสารอะไรบางอย่างคล้ายอาวุธ วัตถุระเบิด หรือยาเสพติด เป็นตัวเลือกที่ไม่น่าเลือกเท่าไรนัก แต่ดูจากสีหน้าของเจ้าหน้าที่แล้วถ้าจะให้เพิ่มตัวเลือกคงเป็น "ถูกทุกข้อ" 

    ผมเริ่มเข้าใจเจ้าหน้าที่ว่าทำไมต้องจริงจังกับการค้นขนาดนั้น ในขณะที่ความมั่นใจค่อยๆหายไป และพยายามนึกดูว่ามีตอนไหนที่ใครจะเอาอะไรมายัดใส่กระเป๋าเราได้หรือเปล่า

    เมื่อเห็นว่าผมพอจะพูดภาษาอังกฤษได้ ผมจึงถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์อย่างละเอียดในห้องสอบสวนเล็กๆ ที่มีเจ้าหน้าที่คุมอยู่อีกสามคน

    เจ้าหน้าที่ซักประวัติ อาชีพ การศึกษา ประวัติการเจ็บป่วย การใช้ยา มาอังกฤษทำไม รวมถึงเคยเอากระเป๋าใบนี้ไปที่ไหนมาบ้าง ซื้อมานานเท่าไรแล้ว ผมก็ตอบไปตามตรงว่ากระเป๋าใบนี้ผมซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพสามวันก่อนเดินทาง

    เมื่อตรวจดูจนค่อนข้างมั่นใจว่าผมไม่น่าเป็นพิษเป็นภัยอะไร เจ้าหน้าที่จึงขอหนังสือเดินทางของผมไปถ่ายเอกสารพร้อมกับให้กรอกเอกสาร และเซ็นกำกับอีกสองสามแผ่นก่อนที่จะปล่อยตัวผมไป

    ถึงจะบอกว่าปล่อยก็ตาม แต่ตลอดทางที่เดินไปขึ้นเครื่องบินผมจะถูกเรียกตรวจอยู่เป็นระยะๆจนกระทั่งหน้าประตูเครื่องบินก็ยังไม่เว้น

    ผมขึ้นเครื่องบินเป็นคนสุดท้ายพร้อมกับประตูที่ปิดไล่หลังมาและเดินทางกลับถึงสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ

    แต่ข้อสงสัยที่ยังติดค้างอยู่ในหัวผมคือ เครื่องสแกนตรวจเจออะไร?

      (3)
    ผมเดินทางกลับจากสนามบิน ถึงคอนโดของตัวเองก็สลบไสลจากอาการเหนื่อยล้าทั้งจากการแสดง และการเดินทาง 

    เช้าวันถัดมาผมรีบนำเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าเดินทาง ใส่ตะกร้าเตรียมซักและรีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปเรียนที่มหาวิทยาลัย และจัดการเรื่องการแสดงวันไหว้ครูที่จะมีขึ้นในวันถัดไป ซึ่งผมก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องของการแสดงดนตรีไทยตามความเห็นของเพื่อนๆทุกคนที่ประชุมกันแล้วก่อนที่ผมจะกลับมาจากอังกฤษ

    เมื่อผมกลับจากมหาฯลัยก็ตรงไปที่กล่องเก็บเครื่องดนตรีเพื่อเลือกเครื่องดนตรีที่จะต้องนำไปใช้แสดงในวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่ากล่องเครื่องดนตรีนั้นถูกล็อคไว้ ซึ่งผมเป็นคนล็อคเอง ก่อนส่งขึ้นเครื่องบินมาจากอังกฤษ เพื่อความปลอดภัยทั้งจากการเสียหาย และการสูญหายของของที่อยู่ภายใน

    ผมหันไปหากระเป๋าอีกใบที่ผมเก็บกุญแจไว้ในนั้น กระเป๋าสะพายข้างเจ้าปัญหาของผมนั่นเอง 

    ซึ่งผมเองก็เกือบลืมไปแล้วเช่นกันว่าเก็บกุญแจไว้ในนั้น

    ผมล้วงมือเข้าไปเปิดช่องลับเล็กๆในกระเป๋า พร้อมกับค่อยๆล้วงเอากุญแจกล่องใส่เครื่องดนตรีออกมา 

    ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สนามบินฮีทโทรว์ปรากฏขึ้นในหัวผมอีกครั้ง ทุกภาพ ทุกเหตุการณ์ โผล่เข้ามาอย่างรวดเร็วมากในขณะที่ผมล้วงมือลงไปในกระเป๋า

    และปริศนาทุกอย่างก็คลี่คลายเมื่อมือผมพ้นจากปากกระเป๋า พร้อมกับกุญแจ

    อาวุธ? วัตถุระเบิด? ยาเสพติด? เครื่องสแกนตรวจพบอะไรกันแน่?

    คำตอบของปริศนานี้คือ ทุกอย่าง! 
    หรืออีกคำตอบคือ ไม่เจออะไรที่ว่ามาเลย

    สิ่งที่เครื่องสแกนตรวจเจอคือ พวงกุญแจ! ใช่ครับ พวงกุญแจ! แต่พวงกุญแจของผมไม่ใช่พวงกุญแจธรรมดาที่หาซื้อได้ทั่วไป

    ผมใช้วัสดุสำหรับถ่วงน้ำหนักเพื่อปรับเสียงระนาดมาใส่ไว้กับพวงกุญแจเผื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน และคนที่พอจะรู้จักดนตรีไทยอยู่บ้างก็จะรู้กันดีอย่างแน่นอนว่ามันทำมาจาก สารประกอบของตะกั่ว! เช่นเดียวกันกับอาวุธ วัตถุระเบิด และยาเสพติดนั่นเอง

    ผมนั่งถือกุญแจอยู่หน้ากระเป๋าใบนั้นพร้อมนึกถึงเหตุการณ์ทั้งหมดพร้อมตั้งคำถามว่า ทั้งทำไมตำรวจ เจ้าหน้าที่สนามบิน และตัวผมเอง รวมแล้วเป็นสิบชีวิต ไม่มีใครหาเจ้าพวงกุญแจนี้เจอเลย หรือเพียงเพราะมันอยู่ในช่องลับของกระเป๋า

    แล้วถ้ามันถูกพบ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร? 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in