เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Malaysia ไม่ใกล้ไม่ไกลไปกันเถอะMean Lingjiang
Malaysia ไม่ใกล้ไม่ไกลไปกันเถอะ

  •              มาเลเซีย กัวลาลัมเปอร์ ชื่อนี้ทุกคนฟังคงคุ้นหูแต่พูดไปมาเลมีอะไรให้เที่ยวนอกจากตึกแฝด ตอนแรกที่จะไปก็คิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน พอได้ไปจริงๆถึงกับร้องโอ้โหไม่ได้มีแต่ตึกแฝดนี่นาาา

                 ทริปนี้เกิดขึ้นเนื่องจากสมาชิกแทบจะทั้งกลุ่มเป็นคนใต้ มีแค่เรากับเพื่อนอีกคนที่เป็นคนภาคกลางเท่านั้น อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนในกลุ่มพูดว่า
    ปิดเทอมนี้ว่าจะไปทำงานแถวๆมาเล 
    มาเลก็น่าไปเที่ยวนะ
    หรือจะไปเที่ยวมาเลกันดี
    จุดเริ่มต้นมันเริ่มจากตรงนี้ 55555
    แต่สุดท้ายก็เกือบจะล่มแต่ไม่ล่มน้าา คนที่บอกว่าจะไปทำงานก็ดันไม่ได้ไปทำงานแล้วก็ไม่ได้ไปเที่ยว นางเทเพื่อนจ้าาาาาา
    สรุปทริปนี้มีผู้ร่วมชะตากรรมทั้งหมด 3 คน ผู้หญิงล้วน 
    มาเริ่มกันเลย 
    เรานั่งเครื่องของสายการบิน AirAsia ในราคา ไป-กลับ 1616 บาท 
    เดินทางวันที่ 13 Jul 18 ไฟล์ท 07.30 น.
    เราเลือกที่จะขึ้นเครื่องที่ภูเก็ต เพราะผู้ร่วมชะตากรรมของเราทั้งสองอยู่ภูเก็ต เพราะหากถ้าขึ้นที่กรุงเทพค่าตั๋วจะแพงกว่าขึ้นที่ภูเก็ต  เนื่องจากเราไปเช็คอินค่อนข้างช้า ทำให้เราต้องนั่งแยกกัน มีสองคนได้นั่งด้วยกัน ส่วนอีกคนหนึ่งต้องนั่งแยก เรายอมเสียสละนั่งแยกเองแต่ในความเสียสละนั้นเราได้นั่งข้างกลุ่มฝรั่งแถมหล่อด้วย  อิอิ        
    นั่งเครื่องไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็ถึงกัวลาลัมเปอร์แล้ว  

    ในที่สุดก็ถึงสักที 5555 ไม่ใช่อะไรเลยนะคือเราหิวข้าวว 
           ตอนต่อแถวเข้าตม. คนเยอะมากเราดันโชคร้ายไปพร้อมกับทัวร์จีนที่เหมาเครื่องบินมาทั้งลำอีก 
    รอต่อไปจ้าาา ในที่สุดก็ถึงคิวเราแล้วตอนแรกโครตตื่นเต้น เราเคยมาต่างประเทศครั้งแรก แต่เพื่อนอีก2คนเคยไปต่างประเทศมาแล้ว ภาษาอังกฤษเราไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ เพื่อนเราคนแรกโดนถามคำถามว่า มากี่วัน ต่อไปก็ถึงคิวเราแล้วตอนนั้นคิดในใจถ้าเขาถามไรมาแล้วฟังไม่ทันทำไงดี แต่คิดในใจเอาว่ะตั้งใจฟังเอา สรุปไม่โดนถามจ้า เพื่อนอีกคนก็ไม่โดนถาม โดนแค่คนแรกคนเดียว โล่งใจไป555      
    พอผ่านตม. มาได้สิ่งต่อไปที่เราต้องทำคือหาซื้อซิมส์มือถือ
    เราเลือกซื้อซิมส์มือถือของ Digi ค่ะ เพราะมีคนรีวิวว่าถูก แต่ก็ถูกจริงเราจำราคาไม่ได้ แต่เราว่ามันคุ้มนะ ได้เน็ต  9 GB โทรต่างประเทศได้ด้วยแต่ลืมว่ากี่นาทีก็ไม่รู้ 
    สำหรับเราว่าเน็ตแรงดีนะ เปิดทั้งวันได้เลยไม่ต้องคอยเปิดๆปิดๆ 


    สถานีถัดไปคือนั่งรถเข้าเมือง 
    การเข้าเมืองมีหลายรูปแบบมาก
    แต่เราเลือกวิธีที่ประหยัดสุดก็คือนนั่งรถบัสเข้าเมือง 
    ลงไปชั้น 1 หรือไม่ก็เดินตามหาป้าย BUS/Taxi พอถึงชั้น1ก็จะเห็นเคาน์เตอร์ขายตั๋วมากมายหลายประเภท เราก็มองหาที่เขาขายตั๋วบัสค่ะ ราคาตั๋ว 11-12 RM เราจำไม่ได้แต่ไม่เกินราคานี้แน่นอน ที่จริงเมื่อก่อนขายอยู่ที่ 9RM แต่ตอนนี้ขึ้นแล้วนะ 
    พอซื้อตั๋วเสร็จแล้ว ก็ดูตั๋วว่าได้รถรอบเวลากี่โมง ถ้าใกล้ถึงก็เดินออกไปรอได้เลยค่ะ ที่นั่งในรถเราจะนั่งตรงไหนก็ได้ไม่ฟิกที่นั่ง รถค่อนข้างออกตรงเวลาอยู่นะ อย่าเผลอล่ะดูรอบรถดีๆ 
    (สำหรับใครไม่รู้ว่าออกไปรอรถหรือขึ้นรถตรงไหน ตอนซื้อตั๋วรถเสร็จ ที่ขึ้นรถอยู่ขวามือค่ะ มันจะมีที่นั่งรอ แต่ถ้าใครใกล้ถึงรอบรถที่จะออกเดินไปตรงประตูที่อยู่ตรงหน้าที่เรานั่งรอเลยค่ะแล้วก็ถามพนักงานว่าขึ้นที่ชานชลาไหน

    นั่งไปประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง ปลายทางก็คือ KL Sentral นั่นเอง 
    เราต้องต่อรถไปที่พักเองอีก 1 ต่อ 
    ที่พักที่เราเลือกเราเลือกพักแถว Ampang Park 
    การไปที่พัก เราต้องรถไฟฟ้า สาย 5 สีชมพู 


    พอถึงสถานี Ampang Park ก็เดินอีกนิดเดียวก็ถึงโรงแรมแล้ว เราไม่คิดว่ามันจะใกล้สถานีขนาดนี้ ในตอนแรกเราไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เปิด GPS ดูก็เดินวนมันอยู่นั่นแหละ สักพักจึงตัดสินใจถามคนแถวนั้นเอาสรุปอยู่แค่ข้างหลังนิดเดียวจะเดินวนทำไมอยู่ตั้งนาน 

    ชื่อโรงแรมที่เราเลือกพักคือ 

    InterContinental Kuala Lumpur 


    คือประทับใจโรงแรมมากจากที่เดินหลงอยู่นาน ร้อนก็ร้อน พอเดินเข้าไปโรงแรมปุปคือความรู้สึกแรกคือโรงแรมหอมมาก รู้สึกสดชื่นเลย แบบลืมไปเลยว่าข้างนอกอากาศเป็นยังไง 5555
    บริการดีมากไม่ได้อวยแต่อย่างใด เราทั้ง 3คน English Skills ต่ำมาก แต่พี่พนักงานใจเย็นมากเวอร์ ในที่สุดได้ก็คีย์การ์ด ไปขึ้นห้องกัน แต่ด้วยความเด๋อหรือโง่ก็ไม่รู้ 5555 ใช้ลิฟท์ไม่เป็น เราอยู่ชั้น15 แต่เรากดเลข15 ไม่ได้เลยต้องออกชั้นที่16 เพราะว่ามีคนกด หลังจากนั้นเราก็เลยลงทางบันไดหนีไฟแทนเพื่อมาชั้นที่15 
    ยังไม่หมด พอเข้าห้องก็ดันเปิดไฟไม่เป็นอีก เดินเปิดอยู่ตั้งนาน 55555555555 



    โดยรวมคือชอบโรงแรมมาก แต่อย่าถามถึงราคาเลยช้ำใจ 55555
    โรงแรมนี้ส่วนใหญ่จะมีแต่นักธุรกิจมาพักกัน ส่วนเรานั้น 555 พี่สาวจองให้ ไม่ได้มีความรู้เลยว่าโรงแรมจะหรูขนาดนี้  มีคนรีวิวว่าโรงแรมนี้ให้น้ำเยอะมาก ก็จริงให้มาประมาณ 6 ขวดได้ ถ้าจำไม่ผิด 

    เก็บของเรียบร้อยนั่งพักให้หายเหนื่อย ถึงเวลาออกลุย!
    โรงแรมเราอยู่ข้างตึกแฝดเดินไปนิดเดียวก็ถึงเพราะนั้นเราเลือกที่จะเดินเอาประหยัด 
    ด้วยความที่อยู่ใกล้ตึกแฝดจึงไม่ได้ถ่ายรูปในวันแรก แต่ตึกแฝดเป็นสถานที่ที่เราเลือกที่จะไปเป็นที่แรกกัน เราไปทางตึกแฝดเพื่อที่เราจะไปหาข้าวกินที่ร้าน Old Town กัน

            ระหว่างทางเดินเจอร้านขายชานมไต้หวันเลยแวะซื้อ  อร่อยชอบมากตั้งใจจะมาซื้อทุกวันเลย แต่ก็ปิดเพราะติดเสาร์ อาทิตย์ 

    สักพักออกเดินต่อ แต่เดินเท่าไหร่ก็เดินหลงอยู่รอบตึกแฝดประมาณ 3 รอบได้ เรา 3 คนจึงตัดสินใจไม่กินแล้ว จะเดินกลับไปซื้อของกินแถวโรงแรมเอา 

    สรุปเดินผ่านร้านนี้ ไม่รู้มันชื่อเมนูว่าอะไร ตอนเดินผ่านตอนเที่ยงเห็นคนต่อคิวเยอะดีเลยตัดสินใจซื้อร้านนี้ ดันอร่อยอีก 55555 ถูกด้วย ประมาณไม่เกิน 9-10 RM มั้งจำไม่ได้  ใครไปแนะนำไปกินที่หน้าตาแบบนี้ด้วยนะ เห็นมีขายหลายสาขาอยู่   ซื้อข้าวเสร็จหิ้วข้าวกลับไปกินโรงแรม ไปพักบวกกับเปลี่ยนเสื้อกับรองเท้า 

              พอหายเหนื่อยเราตกลงกันว่า จะไปเดินห้างที่ตึกแฝดอีกครั้ง 55555 แถวตึกแฝดก็มีห้างตรงข้ามด้วยเราก็ไปเดิน เดินมันให้หมด มีกี่ห้างก็เดินให้หมด เดินไปสักพักก็เริ่มหิว เลยไปหาข้าวกินแถว  Bukit Bintang การเดินทางไปก็ไปหากันเองนะ เราหลงหรือเราซื้อตั๋วผิดหรือเราสลับสายรถไฟไม่เป็นก็ไม่รู้ เราเลยเลือกที่จะลงสถานี Bukit Bintang แล้วบอกพนักงานว่าซื้อตั๋วผิดเอา พนักงานให้เราจ่ายเงินเพิ่มแทน

              พอหลังจากที่หลงอยู่นานในที่สุดก็ถึง 5555 ยอมรับว่าหิวมากมาเพื่อหาของกิน แถวนั้นมีทั้งห้าง ถนนคนเดิน แล้วก็มีของกินเยอะมาก แต่ตอนแรกที่เราไปเราหาที่ขายของกินไม่เจอ แต่สิ่งที่เราเจอแล้วทำให้เราหายหิวก็คือ การเพ้นท์มือ เพื่อนสองคนบอกอยากลองทำเราเลยนั่งรอ ไปๆมาๆเราก็นั่งทำด้วย 555
    มีลายให้เลือกเยอะมาก เพื่อนหมดไปคนละ 35 RM 

    ส่วนเราหมดไป 10 RM
    เดินไปสักพักเราถึงพึ่งรู้ว่า ซอยของกินอยู่ซอยถัดไป 5555 เดินมันอยู่นั่นแหละไม่หัดมอง 
    เราได้ ขนมจีบ กับ ปิ้งย่างหม่าล่ากลับมา 
    ขนมจีบอร่อยแต่กินไม่หมด ให้เยอะก่อน ส่วนมาหล่าตอนแรกมองน่ากินแต่กินไปนานๆเลี่ยน แต่พอถึงเห็นตอนกลับถึงที่พักว่ามีน้ำจิ้มให้ด้วยแต่กินหม่าล่าหมดแล้วเลยไม่รู้ว่าถ้ากินกับน้ำจิ้มจะอร่อยแค่ไหน
    เหตุผลที่เราซื้อได้แค่สองอย่างเพราะว่ารถไฟฟ้าใกล้หมดแล้ว กว่าเราจะมาถึงก็ 3 ทุ่ม ไหนจะนั่งรอเพ้นส์มืออีกเกือบ 1 ชั่วโมง 

    ด้วยความที่รถใกล้จะหมดก็ต้องวิ่งละจ้า โครตเหนื่อย 5ทุ่ม น่าจะเป็นเที่ยวสุดท้ายของสถานีนี้เราเครียดกันมากเราจะกลับที่พักยังไงเราต้องไปต่ออีกเที่ยว และนี่เป็นเที่ยวสุดท้ายแล้ว พอลงที่สถานี KL Sentral ปุ๊บเราอยู่หน้าเครื่องซื้อตั๋ว คือรอเสี่ยงทายว่าจะไปได้หรือเปล่า ผู้ชายสองคนข้างหน้า ที่ยืนซื้อตั๋วอยู่บอกว่าเครื่องซื้อตั๋วปิดแล้วซื้อไม่ได้ แล้วเราก็โอ้ยยเครียดจะกลับยังไงไกลด้วยนะ จะเดินก็กลัวเพราะจะเที่ยงคืนแล้ว เราก็เลยลองซื้อดูแต่ซื้อที่ตู้อื่นแทน สักพักพอซื้อได้เราก็วิ่งเลยจ้ารีบเข้าไปรอรถ นั่งอยู่ประมาณ 5นาที ก็มีรถมาจอด แต่อัันนี้น่าจะเป็นเที่ยวสุดท้ายจริงๆเพราะเค้าจอดรอผู้โดยสารนานมาก  แต่ตอนนั้นคิดว่ายังไงก็ช่างเถอะ ขอกลับถึงห้องก็พอ

    สรุปการเดา การปิดของสถานีรถไฟฟ้า สายหลักน่าจะปิด เที่ยงคืน สายย่อน่าจะปิด 5 ทุ่ม 
    ถ้าผิดยังไงขออภัยด้วย แต่ทางที่ดีอย่ากลับเกิน 5 ทุ่มจะดีกว่า


                 พอถึงโรงแรมก็อยากหาอะไรกินก็เลยฝากของไว้ที่โรงแรมแล้วเดินไปเซเว่น 
    ได้อันนี้มา คล้ายสเลอปี้บ้านเราแต่รสชาติต่างออกไป ตอนแรกที่ซื้อคิดอย่างเดียวจะกินได้หรือเปล่า สรุปอร่อยกินแป๊บเดียวหมดแก้ว555 
      ส่วนเพื่อนเราได้น้ำผลไม้มา อันนั้นก็อร่อยเหมือนกันแต่ลืมถ่ายรูปเก็บไว้ 
     
    ส่วนขากลับไปโรงแรมเห็นเหมือนมีตลาดนัดกลางคืนตั้งอยู่เลยแวะไปดูของกิน 
    ได้มา 2 อย่าง 10RM กับ 18RM 


    กินอิ่มแล้ว อาบน้ำนอนได้ 55555555555555555555555555555

                                                                                DAY 2
                 พวกเราออกจากโรงแรม ตอน 10.00 โดยแพลนของวันนี้เราจะไปลุยกันที่ Putrajaya หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า มัสยิสสีชมพู ในตอนแรกดูจากรูปก็คิดว่าคงไม่มีอะไร ก็คงแค่มัสยิสธรรมดาทั่วไปแต่ก็แค่แปลกตรงที่มีสีชมพูก็แค่นั้น 

                 วิีธีจากโรงแรมเราไปมัสยิดสีชมพู เราต้องไปขึ้้นรถไฟฟ้าไปที่ KL Sentral หลังจากนั้น เราก็เดินหาที่ซื้อตั๋วเพื่อต่อรถที่ปุตราจายา รถไฟฟ้าที่จะไปปุตราจายานั้น เป็นรถไฟ KLIA Transit  ถ้าใครหาไม่เจอก็มองหาป้ายสีชมพูๆเข้าไว้ ก่อนซื้อก็จะมีตารางราคาโชว์ข้างๆ สามารถดูได้ว่าราคาเท่าไหร่ จากที่ศึกษาข้อมูลมา รถเที่ยวแรกออกตอนตี 4 รถจะออกทุก 30 นาที 

                หรือว่าสำหรับใครที่ไม่รู้ ที่ขายตั๋วรถนี้ไปเส้นไหนบ้างก็ลองเดินไปดูข้างๆได้ ทุกที่ขายตั๋วจะมีบอกว่าเส้นนี้จะไปไหนบ้าง เริ่มจากไหนไปไหนรถออกเที่ยวกี่โมง

    ตั๋วจะเป็นบัตรหน้าตาแบบนี้ ปุตราจายาจะอยู่ที่สถานีที่ 3 นั่งไปแป๊บเดียวก็ถึงไม่นาน แต่อาจจะมีเคลิ้มหลับก็เป็นไปได้ ในรถจะมีที่นั่งสามแบบ คือแบบเบาะคู่หันหน้าชนกัน นั่งได้ 4 คน และแบบที่ 2 จะเป็นแบบ ที่นั่งเดี่ยว มีที่วางกระเป๋าวางสัมภาระให้ด้วย ภายในรถสะอาดตาและคลีนมาก สรุปบรรยากาศน่านอนสุด 555  แบบที่ 3 คือแบบนั่งคู่แต่ไม่หันหน้าชนกัน เลือกได้เลยว่าอยากนั่งแบบไหนตามความชอบ

    ปุตราจายาจะเป็นแถวๆชานเมือง วิวที่เห็นจะแตกต่างออกไปจากในเมือง จากที่ในเมืองมีแต่ตึก แต่วิวที่วิ่งผ่านส่วนใหญ่จะเป็นในรูปแบบธรรมชาติ แบบนั่งมองก็สบายตาไปอีกแบบ 

    หลังจากที่เราได้ตั๋วแล้วก็ลงไปรอรถ ระหว่างรอรถก็นั่งกินมื้อเช้าของเรา เรากับเพื่อนแวะซื้อตอนที่มินิมาร์ทแถวที่พัก แต่หลายคนคงสงสัยว่าทำไม่ไม่กินระหว่างทางตอนมา 

    คนที่นี่แทบจะไม่มีคนเดินกินอาหารบนท้องถนนกับไม่มีคนทิ้งขยะเลย ที่นี่กฎหมายค่อนข้างเคร่งมากๆ แต่บางคนคงสงสัยว่าแล้วมานั่งกินที่รอไฟฟ้าได้หรอ? ในความเป็นจริงที่นี่ห้ามนำอาหารหรือกินระหว่างรอด้วยเช่นกัน ด้วยความกลัวเลยไม่กล้า แต่สายตาเราดันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งกินเลยกล้าหยิบออกมากินน 5555

      หลังจากที่ท้องอิ่มปุ๊บรถก็มาปั๊บ55555  ปุตราจายาจ้ารอน้องก่อนนนนน้า

                      หลังจากลงรถไฟมาเราต้องไปต่อรถบัสเข้ามองอีกรอบ ที่จริงจะมีแบบซื้อทัวร์ชมเมืองด้วย กับแบบนั่งรถไปลงตามสถานที่ที่ตนเองอยากไป ด้วยความขี้เกียจและประหยัดอย่างพวกเรา เลือกที่จะนั่งรถบัสกันเอง 

                      วิธีเดินไปหาที่ซื้อตั๋วก็คือเราต้องไปขึ้นและซื้อตั๋วรถบัสที่ Putrajaya Sentral สามารถเดินตามป้ายไปได้เลยมีป้ายบอกทางอยู่ แต่ถ้างงว่าต้องเดินไปที่ไหนยังไงให้เดินตามป้าย Bus ก็ได้ 

                      วิธีการซื้อตั๋วถ้าใครไม่รู้ว่าซื้อตรงไหนให้ตรงดิ่งที่แถว Platform 1 จะมีเจ้าหน้าที่ขายตั๋วอยู่ ค่ารถเข้าเมองถูกมากจำได้ไม่เกิน 2 RM ด้วยซ้ำ หลังจากซื้อตั๋วเสร็จก็ไปรอขึ้นรถได้เลย ตอนแรกเราหาข้อมูลมา มีคนบอกว่าให้ขึ้นที่  Platform 6 แต่ตอนเราไปเจ้าหน้าที่บอกให้ขึ้นรถที่  Platform 12 แนะนำให้ถามให้ชัดเจนขึ้น  Platform ไหน เพราะบางทีอาจมีการเปลี่ยนแปลงโยกย้าย เพื่อความชัวร์ก่อนขึ้นรถให้อ่านป้ายอีกที มันจะมีป้ายเขียนกำกับไว้ว่ารถคันนี้จะวิ่งไปไหนบ้าง 

    ตั๋วที่ได้มาจะเป็นบัตร จะใช้ในรูปแบบติ๊ดเอา แบบในซีรี่ย์เกาหลี มีความไฮโซเบาๆ 55555

                   เราเลือกที่จะนั่งรถตรงไปที่มัสยิดเลยที่แรก รถจะขับวนไปส่งที่อื่นก่อนเหมือนน่าจะมาส่งที่มัสยิดที่สุดท้าย ตอนแรกก็ไม่รู้รถขับวนไปไหน เหมือนจะวนไปไกลมาสรุปวนเกือบจะรอบเมืองแล้วค่อยไปส่งที่มัสยิด ไม่ต้องตื่นเต้นแบบพวกเรานะ 55555 เพราะด้วยความที่กลัวหลงและกลัวลงไม่ถูก นั่งมองทางกับป้ายตลอดทั้งทางเลยย 

    ในที่สุดก็ถึงมัสยิดแล้ววว แต่ความรู้สึกแรกที่ลงมาโอ้โห้!โครตจะร้อน แถมคนโครตจะเยอะ มาชนกับทัวร์คนจีนอีก ตอนนั้นยังไม่ได้ตั้งใจมองที่มัสยิดนะ เห็นแค่กลุ่มคนจีนก็ท้อแล้วอ่ะ

    พอเดินเข้าเขตมัสยิดถึงได้ตั้งใจมองแบบจริงจังอีกครั้งโอ้โห้สวย สวยกว่าในรูปที่มีคนลงอีก ชมพูบวกกับการตัดลวดลายต่างๆ มองแล้วค่อนข้างลงตัวเลยทีเดียว แต่ก็นะชมความสวยได้ไม่ถึง 5 นาทีก็ต้องรีบไปต่อแถวเพื่อใสชุดคลุม หรือจะเรียกว่าเป็น signature ของที่นี่เลยก็ว่าได้ ได้ feeling เหมือนกำลังเดินอยู่ในโรงเรียนฮอกวอตส์ในเรื่อง Harry Potter บางทีก็เวอร์ไป 5555 แต่ตอนได้เสื้อก็อย่าสนใจกลิ่นมันนะ เราโชคดีตัวที่เราได้ไม่มีกลิ่น แต่ของเพื่อนเรามีกลิ่น ก็มองข้ามมันไป กว่าจะได้ถ่ายรูปก็นานโข  ต้องรอให้กลุ่มคนจีนกลับไปก่อน ไม่งั้นภาพที่พวกเราได้มาจะได้ภาพที่เปรียบเสมือนมากับพวกเค้าเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา บางทียืนถ่ายอยู่มาตัดหน้ากล้องก็มี 55555 สงสัยอยากมีส่วนร่วม 

    ภายในมัสยิส 

    เสื้อคลุมที่ทางมัสยิดแจกให้ แต่ใส่เสร็จอย่าลืมเอาไปคืนน้าาา
     เป็นการเปิดเผยโฉมหน้าผู้ร่วมทริป 55555555555

               ข้อแนะนำในการใส่เสื้อคลุม อย่าให้หมวกหลุดออกจากหัวโดยเด็ดขาดไม่เช่นนั้นเจ้าหน้าที่จะเดินมาเตือนคุณทันที อย่างกลุ่มเราหลุดกันหลายรอบมาก หลุดจนแบบเจ้าหน้าที่แบบระแวงบวกเกรงใจเจ้าหน้าที่ที่เดินมาเตือนมาก พวกน้องขอโทษ พวกน้องไม่ได้ตั้งใจจจจจ
    สำหรับใครที่มาเที่ยวที่มัสยิดแนะนำให้ดูเวลาดี บางทีคุณอาจมาตรงกับเวลาที่กำลังละหมาดอยู่อาจต้องรอเพราะทางเจ้าหน้าที่จะไม่ให้เข้าไปด้านใน 

    หลังจากถ่ายรูปกันอย่างพึ่งพอใจ เราก็ได้เวลาโยกย้ายเปลี่ยนสถานที่ ที่จริงที่ปุตราจายามีที่เที่ยวอีกเยอะแต่ในวันนั้นอากาศร้อนมากถึงมากที่สุด พวกเราเลยตัดสินใจที่จะกลับกันเลย โดยการกลับมารอรถที่เดิมที่เราขึ้น แล้วฏ้นั่งรถกลับไปที่ Putrajay Sentral แล้วนั่งรถไฟฟ้าเข้ากลับไปที่ KL Sentral  เพื่อหาข้าวกิน 
            เราอยากแนะนำ ถ้าสมมุติใครมาที่ปุตราจายาแนะให้ให้เดินเที่ยวให้ครบน้า ไม่งั้นกลับมาแล้วจะรู้สึกเสียดายอย่างกลุ่มเรา ไปแค่มัสยิดสีชมพูที่เดียวเอง พูดแล้วก็เสียดายยย 

           หลังจากที่ถึง KL Sentral เป็นที่เรียบร้อยเราหิวข้าวกันมาก555 รู้สึกว่าวันๆมีแต่เรื่องกิน ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะไปกินอะไรกันดี เราเลยเสนอเพื่อนไปว่า 
    เราไปกินที่ร้าน Old town กันดีเปล่า 
    เดินวนแบบเมื่อวาน3รอบไม่เอาแล้ว 
    แต่มันมีหลายสาขานะ 
    หวังว่ารอบนี้เราคงไม่หลงกันอีกนะ 
    นั่นไปสาขาที่ใกล้ KL Sentral ก็ได้ 
    โอเค หลังจากนั้นพวกเราก็เปิด GPS เดิน เดิน เดิน เดินวนไปวนมาในที่สุดก็เจอ หิวก็หิวเจอสักที ไม่มีความรีรอแต่อย่างใดแม้แต่ถ่ายรูปหน้าร้านก็ไม่มีตรงดิ่งเข้าไปในร้านเลยจ้าาาา ความหิวนำพาล้วนๆๆ หลังจากหาโต๊ะเสร็จ กำลังจะสั่งอาหาร พวกเราก็เริ่มรู้สึกรำคาญโต๊ะข้างๆที่เป็นคนจีนนั่ง โต๊ะนั่นหอบลูกหอบหลานมาด้วย ปกติก็ไม่ค่อยรำคาญคนจีนสักเท่าไหร่เพราะเรียนเอกจีนมาเข้าใจถึงวัฒนธรรมของพวกเขา แต่ที่รำคาญคือเค้านั่งกินโดยไม่สนใจลูกหลานเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่สนใจไม่ว่าเด็กวิ่งเล่นกันในร้านตะโกนโวยวายเเล้วก็ไม่ห้ามเลยสักนิด คือเสียงมันไม่ใช่เบาๆเลยนะ ตอนแรกเรานึกว่าเรารำคาญอยู่คนเดียวมีอีกคนที่พึ่งเข้ามานั่งใหม่ก็รำคาญยอมออกไปนั่งร้อนๆที่หน้าร้านแทน หลังจากดูเมนูเสร็จ เราก็สั่ง อาหารไป3 อย่างกับขนมไป1 อย่าง สำหรับรสชาติอาหารพอได้นะอร่อย แต่เราชอบเมนูขอหวานมากกว่า น่าจะชื่อว่า คายา ถ้าเราจำไม่ผิด เป็นขนมปังปิ้งแล้วมีใส่ข้างในตอนกินโดนใส้มันโครตละมุน ใส้มีหลายใส้เลยนะ แต่เราสั่งใส้ Butter มา 
            




              แต่เราไม่ค่อยชอบพนักงาน ขอตินิดหนึ่ง คือพนักงานไม่ค่อยใจใส่ถามอะไรก็ตอบแบบรีบๆอันนี้ก็เข้าใจว่าคนเยอะ แต่ไม่ชอบตอนที่เราสั่งอาหารไป3เมนูแล้ว เค้าเดินมาบอกว่า 1 เมนูในนั้นหมด ไอ้เราก็ไม่เป็นไรเปลี่ยนก็ได้ สรุปอันนี้บอกหมดก็ได้ แต่ดันหมดอีกเมนูของเพื่อนแทน อันนี้หลายคนอาจจะบอกว่าแค่เรื่องเล็กน้อย แต่มาดูต่อไปตอนมาเสิร์ฟเค้ามาเสิร์ฟผิดเสิร์ฟ เมนูที่เราไม่ได้สั่งพอเราบอกว่า เมนูนี้ไม่ได้สั่ง เค้าก็ทำหน้าไม่พอใจใส่พวกเรา

    หลังจากกินอิ่ม พวกเราตัดสินใจว่าไหนๆพรุ่งนี้ก็จะกลับแล้วไปหาซื้อของฝากกัน

             จากที่เราอ่านรีวิวมา มีคนแนะนำร้านของฝากมาหนึ่ง ร้านนี้จะเป็นแบบคล้ายๆมินิมาร์ท ที่ของของฝากหรือขนมมาเลค่อยข้างราคาถูกเราก็เลย search หาชื่อร้านแล้วต้องนั่งรถไฟเล่นต้องเดินต่ออีก 1-2 กิโลตอนนั่งรถไฟก็นั่งหลงเราดันเปลี่ยนสายรถไฟไม่เป็นก็ขึ้นลงวนอยู่ 3 รอบ ลงจนยามมองแล้วมองอีกทำไมคนลงเป็นคนเดิมซ้ำๆ แต่โชคดีนะเราไม่เดินเอาเหรียญไปหยอดออกจากสถานีนั้น ลงกี่ทีก็ไม่ยอมคืนเหรียญคืน ใช้เทคนิคเดินข้างฝั่งรอรถไฟสายเดิมมากลับไปที่จุดต้นสาย แล้วมาจากจุดต้นสายใหม่อีกรอบ จนในที่สุดพวกเราเลยตัดสินใจถาม ผู้หญิงคนหนึ่งดูท่าทางแล้วว่าน่าจะเป็นพื้นที่ 
    เจ้าเหรียญเจ้าปัญหา 55555555555


                    สรุปคือต้องลงมาเปลี่ยนสายที่ฝั่งนี้ถูกแล้วแต่ต้องดูป้ายข้างบนด้วยว่ารถขบวนนี้ไปไหน พอฟังจบถึงขั้นร้องอ้อ! มันเปลี่ยนสายแบบนี้นี่เอง โง่อยู่ตั้งนาน พอลงรถไฟเสร็จ พวกเราก็เปิด GPS ใหม่อีกรอบ เดินวนไปเดินวนมาอยู่นานก็ยังหาไม่เจอสรุปเราปักหมุด location ผิด555 โลเคชั่นพาพวกเราไปร้านนวด โง่อีกละ สักพักก็ปักใหม่อีกรอบนี้ ปักถูกแต่ก็เดินอยู่นานหาไม่เจอ เดินเข้าซอยนี้ออกซอยโน่น จนไม่ไหวละ ร้อนก็ร้อน ตัดสินใจถามคนแถวนั่นดู
    คนแรกบอกไม่รู้จัก
    คนที่สองก็บอกไม่รู้จัก ตอนนั้นคิดในใจทำไมร้านมันหายากจังหรือมันไม่ได้อยู่แถวนี้ 
    คนที่สามเราเลยเปลี่ยนเป็นถามถึงสถานที่เด่นใกล้ๆดู อ่ะคนนี้รู้จักสถานที่ที่เราถาม 
    เค้าให้บอกทางว่าให้เดินไปยังไง ทางที่ไปค่อยข้างซับซ้อน 

                สรุปถึงร้านที่เราต้องการหา ความรู้สึกที่เดินเข้าไปก้าวแรกคิดว่า นี่หรือร้านที่เราหากันอยู่ตั้งนานแสนนาน ถึงกระทั่งผิดหวัง ของที่ขายในร้านเป็นของที่มีขายในร้านมินิมาร์ททั่วไปแต่ยอมรับว่าราคาถูกกว่านิดหน่อย ขอย้ำนะว่านิดหน่อย เราของไม่บอกชื่อร้านนะ บางที่พวกเราอาจจะคิดไปกันเองว่าร้านนี้ไม่ดี
    พวกเราเลยจะเปลี่ยนใจไปซื้อของฝากกันที่ Central market แทน
               Central market เป็นเหมือนตลาดนัดของฝากติดแอร์ มีของฝากพวกขนม ช็อกโกแลต ผ้าบาติก ของใช้ งานฝีมือของมาเลเซียข้างในค่อนข้างใหญ่น่าจะมี2 ชั้น เพราะเราเดินแค่ชั้นแรกชั้นเดียว

     ขอยืมรูปจาก Google แทนนะ เพราะตอนนั้นแบตพวกเราหมด 
           ข้อแนะนำในการซื้อของที่นี่ ควรเดินดูให้ครบทุกร้านก่อนน้า ไม่งั้นคุณจะเจ็บใจในภายหลังเป็นอันได้ 5555  เราหมดกับการซื้อของฝากไปเกือบ 100 RM ญาติเยอะเพื่อนเยอะก็งี้แหละ ที่หลังแนะนำไปเที่ยวอย่าบอกใครนะ555 ไม่งั้นหมดตัว
       
        ของฝากจากมาเลที่ขึ้นชื่อน่าจะเป็นพวกช็อกโกแลต กับพวกข้าวโอ๊ต แต่เราว่าพวกเยลลี่ก็อร่อยนะ ถูกด้วย 5 RM คือในตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะซื้อเลยยืนรอเพื่อนซื้ออยู่เพราะซื้อเสร็จแล้ว อยู่ๆพนักงานก็ฉีกเยลลี่แล้วก็ยื่นให้ด้วยความเกรงใจบวกกับว่าไม่อยากกินก็เลยปฏิเสธไป แต่พนักงานก็ยังตื๊อก็เลยคิดในใจกินก็ได้วะ พอกินก็ดันอร่อยอีกสรุปซื้อเพิ่มจ้า อีก2ห่อ ด้วยความที่เป็นคนเลวฉันจะเสียเงินคนเดียวไม่ได้เพื่อนจะเสียด้วย5555พอเพื่อนออกมาเราก็ยื่นให้เพื่อนอีกคนชิม เพื่อนก็บอกว่าอร่อยเลยซื้อด้วย แผนการยุให้ซื้อสำเร็จ 5555
    หลังจากที่พวกเราซื้อของฝากกันเสร็จเอาแล้วครับเริ่มหิวกันอีกแล้ววว 5555 
            ซึ่ง China town อยู่ใกล้ๆกับ Central market เราก็เดินไปด้วยใช้ GPS เป็นตัวนำทาง ถึงจะพาหลงมากี่ครั้งเราก็ยังเลือกที่จะใช้ เพราะไม่มีตัวช่วยอื่นแล้ววว
    China town ให้ฟิวแบบตลาดโรงเกลือบ้านเราของที่วางขายส่วนใหญ่เป็นพวกของก็อปนึกว่าเดินอยู่โรงเกลือ 5555
    China town ใหญ่มาก มีหลายซอย 
    เพื่อนเราไปได้โมเดลเครื่องบินจิ๋วมาในราคา 23 RM จาก 39 RM 


            แต่จุดประสงค์หลักของวันนี้เราจะหาข้าวกินที่ร้านร้านหนึ่ง เนื่องจากอ่านมาจากคนที่รีวิว ต้องไปโดนอ่ะบอกเลย
    แต่พอไปถึงหน้าร้านถึงขั้นอยากร้องไห้โฮ ร้านปิด แงงงงงง น้องอดกินน


    พอเห็นร้านปิดก็พยายามเดินหาร้านที่พอจะกินได้ แต่ก็เหมือนจะไม่ถูกใจสักร้าน 
    พวกเราเลยตัดสินใจกลับไปกินข้าวแถวโรงแรมแทน
                  วันนี้ขี้เกียจเดินไป Night marget แถวๆโรงแรมเมื่อวาน เราเลยเอาของไปฝากวางไว้ที่โรงแรมเพราะถือไม่ไหวแล้วหลังจากนั้นก็เดินไปมินิมาร์ทใกล้ๆแทน
    เราซื้อมาม่ากับนมเปรี้ยวเพราะว่าเงินหมดไปกับของฝากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 555
    เพื่อนเราอีกคนซื้อมาม่ากับข้าวเวฟไม่แน่ในว่าเป็นข้าวผัดหรือข้าวไข่เจียว
    ส่วนอีกคนไม่กินเนื่องจากเหนื่อยเลยซื้อน้ำแอปเปิ้ลมาแทนน 

    อร่อยยมากตอนแรกนึกว่าจะไม่อร่อย ผ่านอยู่ 


                                                     วิวตึกแฝดที่เดินกลับจากไปมินิมาร์ทไปโรงแรม


                  พอถึงโรงแรมก็เอาของที่ฝากไว้เสร็จเดินขึ้นลิฟท์ความหวังในตอนนั้นคือห้องจ้าฉันคิดถึงเธอ คิดถึงเตียงนุ่ม แอร์เย็นๆแต่พอถึงหน้าห้องความหวังทั้งหมดที่มีตอนขึ้นลิฟท์หายวับไปกับตา คีย์การ์ดเข้าห้องไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นอีก
    พอเปิดอ่านแชทพี่สาวตัวเองถึงขั้นช็อค พี่สาวบอกว่าเงินค่าโรงแรมไม่รู้ทำไมไม่ยอมตัดบัตร พี่พยายามส่งเมลล์ไปแล้วโรงแรมก็ไม่ตอบกลับ ตอนนั้นคิดในใจถ้ามัรนไม่ได้จริงคืนนี้ต้องไปนอนที่ไหน ไม่มีเงินติดตัวแล้ว :(
                เรากับเพื่อนเลยลงไปถามที่พนักงานข้างล่าง เดินลงไปแบบเท้าเปล่ามันเนี่ยละ ไม่ไหวละ ด้วยตอนแรกคิดว่าคงไม่มีใครอยู่ด้านล่างแล้วเพราะตอนกลับมาก็ไม่มีแขกคนอื่นอยู่ด้านล่างเลย คือที่จริงมันควรเป็นเวลาที่คนควรจะนอนได้แล้วอ่ะ แต่พวกเราพึ่งจะกลับ ออกไปตั้งแต่เช้ากลับมาอีกทีคนก็จะหลับหมดโรงแรมละ มาต่อพอลงไปถึงกับอาย มีแขกมาเช็คอินเพิ่ม ทุกคนล้วนหันมามองเรากับเพื่อน5555 พอบอกพี่พนักงานพี่เค้าก็กดๆกรอกข้อมูลสักพัก แล้วก็บอกว่าได้แล้ว ไม่บอกด้วยนะว่ามีปัญหาอะไร สงสัยกลัวเราอายที่เงินไม่ตัดบัตร เราเลยไลน์บอกเพื่อนให้ลองคีย์การ์ดเข้าห้องดู พอเพื่อนบอกว่าได้ เราเลยจะกลับห้อง ในขณะยืนรอลิฟท์อยู่สักพัก คนที่พึ่งมาเช็คอินก็มายืนรอลิฟท์ เขาก็มองเรากับเพื่อน สงสัยคงนึกว่าเราเป็นโจรหรือเปล่า55555 ก็เข้าใจว่าทำไมถึงมองเพราะรองเท้าก็ไม่ใส่หัวก็ยุ่งๆ หน้าก็มันเยิ้มเชียว เอาง่ายๆคือรุงรัง555 ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เขามองประเด็นคือเรากับเพื่อนลืมคีย์การ์ด แล้วจะขึ้นห้องอย่างไร 555 เราก็เลยขอให้เขาช่วยเขาก็ช่วยเรานะ แต่ลูกเขาพูดออกมาแบบเหมือนเราไม่ได้ลืมคีย์การ์ดแต่ไม่น่าจะมีตั้งแต่แรกหรือเปล่า พวกหนูไม่ใช่โจรแอบขึ้นโรงแรมนะ ทำไมชีวิตวันนี้มันเศร้าจังเจออะไรมาแต่ละอย่าง5555
    ในที่สุดวันนี้ก็ใกล้จะจบวันละนะไหนๆก็จะกลับละขอให้พรุ่งนี้ราบรื่นนะ


                                                                                    DAY 3 

               วันนี้เราตื่นเช้ากว่าวันที่สอง เพราะว่าเราต้องขึ้นเครื่องกลับไฟลท์ 06.20 PM. พวกเราจึงจะเช็คเอ้าท์ แล้วเอากระเป๋าฝากไว้ที่โรงแรมแล้วค่อยกลับมาเอาตอนบ่าย2 ไม่อยากขนไปขนมาระหว่างเดินทางหรือเอาง่ายๆก็คือขี้เกียจนั่นเอง 5555
    หลังจากที่ตกลงกันว่าจะไปซื้อของฝากเพิ่มอีก ที่ซื้อมาคือไม่พออีกหรอ5555
    วันนี้เราจะไม่หลงอีกแล้วเนื่องจากเราหลงไปแล้วเมื่อวาน 
    ทำให้วันนี้เราไปถึง Central Market อย่างราบรื่น ตอนเราไปเราคิดว่าจะไม่ซื้อเพิ่มละนะ ที่ไหนได้อดใจไม่ไหวซื้อเยลลี่เพิ่มอีก 3 ห่อ 
                    หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็ไปกินข้าวกินกันที่ห้างใต้ตึกแฝด ด้วยความที่ไม่รู้จะกินอะไรกันดีเลยนึกได้ขึ้นมา 1 เมนูก็นั่นก็คือ ไก่ KFC แทบจะทุกคนเลยบอกว่าไม่ว่าจะไปประเทศไหนให้ลองกินKFCให้ได้ มาไหนจะกลับละของลองหน่อยเถอะ
                   สำหรับรสชาติ ไก่เหมือนบ้านเราแต่ที่ไม่เหมือนคือน้ำจิ้มน้ำจิ้มไม่อร่อยเลย กับเฟรนฟราย รสชาติเหมือนเอามันบูดตอนกัดข้างในเนื้อมันฝรั่งมันเหมือนมันร่วนๆไม่เต็มแท่งแบบบ้านเรา
    สรุปคือบ้านเราอร่อยกว่า
    หลังจากกินอิ่มเดิมทีเราวางแพลนว่าจะไปเที่ยวกันต่อยังมีอีกหลายที่เลยที่พวกเรายังไม่ไปที่เวลาเหลือแค่แป๊บเดียวเอง เลยตัดสินใจซื้อของในห้างเพราะยังมีของอีกหลายอย่างที่ยังอยากซื้ออยู่ แล้วค่อยออกไปถ่ายรูปกับตึกแฝด มาตั้งหลายวันยังไม่ได้ถ่ายเลยแถมอยู่ใกล้โรงแรมด้วยนะ 
    ห้างที่มาเล ใครมาเที่ยวนะแล้วไม่แวะเข้ามาเดินหรือเดินแล้วไม่เสื้อของกลับให้ไหว้เลยพูดจริง โดยเฉพาะ H&M มีแบบให้เลือกเยอะมากเป็นแบบที่ยังไม่เข้าไทยด้วยนะ แถมทั้งร้านลดเยอะมาก มีให้เลือกถึง2 ชั้น เป็นสวรรค์ย่อมสำหรับคนรักเสื้อผ้าจริงๆ และก็ลิปสติก MAC ขายถูกมากที่ไทยขาย 850 ที่มาเลขาย 650 แต่ไม่ได้ซื้อกลับเพราะหมดเงินเกลี้ยงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว VNC รับประกันเลยถูกกว่าที่ไทยแน่นอน 100% หลังจากใช้เวลาอันแสนนานหมดไปกับการช็อปปิ้งแล้วก้มมองนาฬิกา ก็สำนึกได้ว่าควรนะควรออกจากห้างแล้วไปถ่ายรูปตึกแฝดได้แล้ว ไม่งั้นจะไม่ทันแล้วนะ
                   พอเดินออกจากห้างไปรู้ซึ้งเลยโอ้โห!ร้อนมาก ไม่ได้เวอร์นะว่าเมื่อวานร้อนละนะวันนี้ร้อนกว่าอีก 
    เราอยู่ใต้ตึกแฝดก็จริงแต่ถ้าเราอยากถ่ายรูปกับตึกเราต้องเดินไปข้างหน้า หาไม่ยากตรงที่มันคนยืนเยอะๆ ที่มันโล่งๆ ร้อนกับลานน้ำพุนั่นแหละใช่เลยคุณมาถูกแล้ว555
                  ในตอนแรกมาคนเดินเข้ามาขายเลนส์ที่ใช้สำหรับถ่ายตึกแฝด แต่ว่าเราเลือกที่จะปฏิเสธไปหลังจากที่พยายามถ่ายรูปพักใหญ่ก็ค้นพบว่า ถ่ายไม่ได้จริง จังหวะนั่นแหละมีอาบังเดินเข้ามาขายเลนส์ให้พวกเรา สาธิตให้ดูใช้ยังไง เรากับเพื่อนเห็นว่าสวยแต่มันตั้ง 30 RM ก็เยช่วยกันหาร ตกคนละ 10 RM พอสักพักจ่ายเงินไป เราก็กำลังจะถ่ายดันเจอปัญหาคือเลนส์ที่เขาขายให้เรามีขอบยางกินเลนส์เข้ามา พอจะเอาไปเปลี่ยนก็หาอาบังคนขายไม่เจอแล้ว สักพักคนที่เดินขายเลนส์อยู่แถวนั่นก็บอกว่าเราโดนหลอกขายเลนส์แล้วหล่ะ อากาศก็ร้อนแถมต้องมาหงุดหงุดกับการที่โดนอาบังหลอกขายเลนส์อีกจะกลับแล้วยังจะโดนอีก อุตส่าห์ดีใจที่มารอบนี้ไม่โดนหลอกเลยเจอแต่คนใจดี เกือบละอาบังทริปพวกหนูเกือบดีละไม่น่าเจออาบังเลย เศร้าใจ พวกเราเลยตัดสินใจที่จะใช้โทรศัพท์ถ่ายแทน
     รูปที่ถ่ายจากเลนส์ที่อาบังมาหลอกขายพวกเรา
               หลังจากนั้นเวลาเหลือเราจะไปถ่ายรูปกันที่แถว KL Tower แต่ด้วยสภาพอากาศน้องยอมแล้วไม่ไปก็ได้ เตรียมตัวกลับโรงแรม ระหว่างกลับจะแวะซื้อชานมร้านเดิมแต่ก็ปิด ถ้าให้เดาน่าจะปิดเสาร์ -อาทิตย์ เลยเปลี่ยนใจซื้อข้าวไปกินสนามบินเลยทีเดียว
    พอซื้อของเสร็จก็กลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรมแต่ทีต้องทึ่งอีกก็คือโรงแรมมีห้องลับเก็บกระเป๋าให้อย่างดีมีใส่รหัสด้วยนะ เชื่อแล้วว่าระดับ 5ดาวจริง ครั้งแรกในชีวิตกับการนอนโรงแรมหรูระดับ5ดาว
    หลังจากไปรับกระเป๋าจากโรงแรมเสร็จพวกเราก็เริ่มออกเดินทางไป KL Sentral เพื่อขึ้นรถไฟฟ้าไปสนามบิน 
    เรานั่งรถ KLIA Express เป็นรถไฟฟ้าที่จะไม่จอดสถานีใดเลยสักสถานีจอดแค่                                     สองสถานีคือ KLIA1 กับ KLIA 2

    เหตุผลที่ขากลับพวกเรานั่งรถไฟ KLIA Express ไปสนามบินเพราะว่าสนามบินค่อยข้างไกล ฉะนั้นเราอยากเผื่อเวลาที่ต้องต่อรอแถวเข้าตม. และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องตกเครื่อง 

    55 RM แพงแต่คุ้มเร็วดีชอบข้างในสะอาด 

    พอถึงสนามบินทุกอย่างก็เป็นไปตามคาดแถวตม.ยาวมากคิดถูกแล้วที่เผื่อเวลาเยอะขนาดนี้ 
    ขนาดเผื่อเวลาแล้วนะ เอาจริงเหลือเวลาไม่ถึงชั่วโมงก็จะขึ้นเครื่องแล้ว
    แนะนำสำหรับใครจะมาขึ้นเครื่องขากลับคืออยากให้เผื่อเวลาเยอะๆเลย


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in