เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ทาสข้ามศตวรรษ...Sleeping Slave
JOJOLION "ความทะเยอทะยานครั้งล่าสุดของ อารากิ ฮิโรฮิโกะ"
  • หมายเหตุ: บทความนี้ไม่เชิงว่าเป็นรีวิว แต่เป็นความต้องการที่จะพูดถึงแบบสรุปรวบยอดอีกครั้งหลังจากที่มังงะจบลงแล้ว ซึ่งเป็นการเขียนด้วยความรู้สึกที่ต่างจากตอนที่มันยังไม่จบ

    หมายเหตุ 2: ไม่มีการสปอยล์เนื้อหาสำคัญใดๆ และจะพยายามพูดถึงตัวมังงะโดยแตะเนื้อหาหลักๆ ให้น้อยที่สุด

    ------------------------------------------------------------------------


    หลังผ่านดำเนินเรื่องราวมาครบ 10 ปีเต็ม ตั้งแต่ปี 2011 มาจนถึงปี 2021 นี้ ในที่สุด JOJO's Bizarre Adventure: Jojolion ภาคที่ 8 ของมังงะซีรีส์ โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ (แต่เป็นภาคที่ 2 ของซีรีส์ในช่วงยุค รีบู้ท (Reboot) ต่อจาก Steel Ball Run) ก็ได้ดำเนินมาถึงบทสรุปของเรื่องอย่างสมบูรณ์แล้ว โดยลงตอนสุดท้ายลงในนิตยสาร Ultra Jump ฉบับเดือนสิงหาคม 2021 ที่ผ่านมา..

    (สำหรับบ้านเรา ยังออกรวมเล่มแบบแปลไทยไม่จบนะครับ ณ วันนี้บทความนี้ออกมา เพิ่งจะออกมาถึงเล่มที่ 24 ...ซึ่งต้นฉบับมีทั้งหมด 27 เล่มจบ)

    ความรู้สึกหลังจากเรื่องราวจบลงของตัวผมนั้น ก็ผสมปนเปกันไปครับ ช่วงหนึ่งเราจะรู้สึกเต็มตื้นกับบทสรุปของเรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมาอย่างดีงาม แต่ในอีกด้านหนึ่ง พอมาพิจารณาถึงภาพรวมทั้งหมดตั้งแต่ต้นจบจบของเรื่อง มันก็เกิดความรู้สึกที่ก้ำกึ้ง หลังจากลองมังงะในมุมของทั้งข้อเด่นและข้อด้อยโดยละเอียดอย่างดีแล้วเช่นกัน

    ซึ่งถ้าให้สรุปแบบง่ายๆ ตั้งแต่ตอนนี้เลย ผมคงจะตอบได้เป็นข้อๆ เลยว่า..

    นี่คือโจโจ้ภาคที่ดีที่สุดมั๊ย?... ไม่

    นี่คือภาคที่สนุกที่สุดเลยมั๊ย?... ไม่

    นี่คือภาคที่ผมแนะนำให้ทุกคนต้องอ่านมั๊ย?... ไม่

    อ้าว พูดมาซะขนาดนี้ ก็หมายความว่า นี่คือโจโจ้ภาคที่แย่ที่สุดงั้นสินะ?

    ก็ต้องขอตอบว่า "ไม่" เหมือนเดิม

    ผมไม่ได้คิดว่า Jojolion คืองานที่แย่ ในความไม่สมบูรณ์แบบ มันมีอะไรดีๆ หลายอย่างที่ผมชอบ และคิดว่านี่คืออีกหนึ่งผลงานชิ้นเด่นในยุคสมัยนี้ ของ อ.อารากิ ฮิโรฮิโกะ ...แต่ในขณะเดียวกัน สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักโจโจ้มาก่อน ผมก็คงจะไม่แนะนำให้คุณอ่านภาคนี้ เป็นภาคแรกเช่นกัน

    ในความไม่เพอร์เฟ็ค มันมีส่วนดีที่เราไม่ควรมองข้ามอยู่ในนั้นอยู่เยอะครับ ซึ่งนี่น่าจะเป็นนิยามที่ชัดที่สุดของ Jojolion นั่นคือ... งานชิ้นนี้ มีความเป็น "งานทดลอง" ที่สูงมาก และเป็นการทดลองที่มีความ "ทะเยอทะยาน" สูงมากเช่นกัน

    ซึ่งการทดลองที่เต็มไปด้วยความทะยาน แน่นอนว่ามันมาพร้อมกับความเสี่ยงที่จะทำให้มังงะออกมาเป็นมังงะที่เสียงจากผู้อ่านจะแตกออกชัดเจน เปรียบได้กับการสร้างหนังแนวทดลอง ที่ไม่ได้แคร์สูตรสำเร็จ ไม่ได้เจาะกลุ่มผู้ชมชัดเจน ไม่มีการทำการตลาดเพื่อเข้าถึงผู้อ่าน ...ทั้งหมดคือการลองเสี่ยงกับ "ไอเดีย" ที่ผุดขึ้นมา และใช้มันโดยไม่แคร์ปัจจัยด้านการเข้าถึงคน แบบที่เคยทำในภาคที่ผ่านๆ มา.. ฉะนั้นนี่จึงเป็นงานที่ อ.อารากิ มีความ "เตรียมใจ" ไว้ตั้งแต่แรกเลยว่า เขาอาจจะตกลงมาเจ็บกว่าผลงานในอดีตๆ อยู่ไม่น้อย กับสิ่งที่ตั้งใจจะนำเสนอออกมา ซึ่ง ณ เวลานี้ มันก็จบลงแล้ว

    และนี่แหละคือนิยามของ Jojolion... ก้าวใหม่ที่ทะเยอทะยานที่สุดของ อารากิ ฮิโรฮิโกะ

    ------------------------------------------------------------------------


    Jojolion เป็นเรื่องราวที่ Setting อยู่ในจักรวาลเดียวกับภาคที่แล้วอย่าง Steel Ball Run (ซึ่งแฟนๆ จะเรียกกันว่า Alternate Universe ไม่ก็ SBR Universe ซึ่งเป็นจักรวาลคู่ขนานของโจโจ้ภาคที่ 1-6 ซึ่งถือว่าเป็น จักรวาลดั้งเดิม หรือ Original Universe)

    เรื่องราว ณ เมืองโมริโอ ปี 2011 ที่เริ่มต้นจาก การพบกันแบบงงๆ ระหว่าง "ฮิโรเสะ ยาสึโฮะ" เด็กสาวอายุ 19 ปี ที่บังเอิญไปเจอกับชายคนหนึ่งในสถานการณ์แปลกประหลาด ชายผู้ไร้ความทรงจำ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ซึ่งภายหลัง เขาได้รับอุปการะโดย "ครอบครัวฮิงาชิคาตะ" และได้รับชื่อใหม่ว่า "โจสุเกะ"

    ซึ่งการพบกันของ โจสุเกะ และ ยาสึโฮะ ก็นำไปสู่เรื่องราวพิลึกพิลั่นมากมาย ที่มีความโยงใยเกี่ยวข้องกับทั้งตัวโจสุเกะเอง และเรื่องดำมืดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของเมืองโมริโอแห่งนี้...

    เล่าแค่นี้คงพอแล้วสำหรับเรื่องราวในภาคนี้.. Jojolion เปิดหัวเรื่องราวด้วยความแปลกพิลึกสมกับชื่อเรื่อง ทุกอย่างจะถูกเล่าออกมาโดยไร้ความชัดเจนในตัว ซึ่งต่างจาก 7 ภาคที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง ที่ทุกอย่างจะถูกเล่าอย่างตรงไปตรงมา แต่ Jojolion จะเล่าเรื่องแบบค่อยๆ เล่าไปตามมุมมอง และความรู้สึกของตัวละครเอกแบบเพียวๆ ทำให้ Jojolion ยิ่งต่างไปจากโจโจ้ภาคอื่นๆ และอาจจะรวมไปถึงมังงะชูเอฉะเรื่องอื่นๆ ด้วย

    อีกอย่างของ Jojolion ที่ทำให้หลายคนหลับจนอ่านต่อไม่ได้มานักต่อนัก นั่นคือ "ความนิ่ง" นั่นเอง

    Jojolion ไม่ใช่มังงะบู๊แอ็คชันเล่าเรื่องดุเดือดสนุกสนานตลอดเรื่อง แต่เป็นมังงะที่เล่าเรื่องด้วยความ นิ่ง เรียบ เรื่อยๆ ค่อยเป็นค่อยไป (ถ้าเปรียบเป็นหนัง ก็คงเหมือนกับหนังของค่าย A24 ทั้งหลาย ที่เน้นความ Slow Burn เป็นหลัก มากกว่าความหวือหวาเร้าใจ) ...ถ้าใครไม่ถูกกับอะไรแบบนี้ คงไม่มีทางอ่านภาคนี้ให้สนุกได้เลย ...แต่ถ้าคุณโอเค นี่จะเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากภาคก่อนๆ แน่นอน

    ------------------------------------------------------------------------


    สิ่งที่ทำให้ผมบอกว่า Jojolion คืองานที่ทะเยอทะยานที่สุด ของ อ.อารากิ นั่นก็เพราะว่า Jojolion พยายามจะเล่าในสิ่งที่มังงะในกระแสหลักมักจะไม่เลือกที่จะเล่าออกมา หลักๆ ก็คือ "การพยายามให้ความหมายต่อ ชีวิต ครอบครัว และความสัมพันธ์ ในระดับที่ลึกล้ำกว่าปกติ"

    สิ่งที่ Jojolion พยายามจะนำเสนออย่างมากๆ เลยก็คือ การที่ตัวละครต้องเลือก "เจตจำนงค์เสรี" ของตัวเอง ท่ามกลางชีวิตที่เต็มไปด้วยปัจจัยแวดล้อม อันสร้างความยุ่งยากยุ่งเหยิงมากมาย

    (เช่นตัวเอกอย่าง โจสุเกะ ที่อยู่ในภาวะไร้ความทรงจำ และต้องเลือกว่าตัวเองจะก้าวไปบนเส้นทางชีวิตอันไหนดี ท่ามกลางปมขัดแย้งที่ยิ่งยุ่งยากมากขึ้นทุกที หรือนางเอกอย่าง ยาสึโฮะ ที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตของชีวิตวัยรุ่น ที่ทำให้เธอต้องตัดสินใจว่าเลือกทำสิ่งไหนกันแน่)

    และการนิยาม "ศัตรู" ประจำภาคที่น่าสนใจและแตกต่างจากที่ผ่านๆ มาอย่างสิ้นเชิง.. ศัตรูในภาคนี้จะไม่ได้มีความเป็นรูปธรรมชัดเจน เพราะตัวร้ายใน Jojolion จะมาในรูปแบบของ "วิบากกรรมชีวิต" ในหลายรูปแบบ ตั้งแต่ การนิยามว่า "คำสาป" คือเคราะห์กรรมที่ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น อันเกิดจากสิ่งที่คนในรุ่นบรรพบุรุษได้ก่อเอาไว้ จนคนรุ่นหลังต้องมารับเคราะห์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ..เราจะเลือกยอมรับมัน หรือเลือกที่จะต่อต้านมันดี?

    ซึ่งอาจจะมาในรูปแบบของทั้ง ความขัดแย้งภายในครอบครัว หรือเพื่อนฝูง ที่นำไปสู่ทางเลือกที่ผิดพลาด จนหันหลังกลับไม่ได้.. Jojolion คือโจโจ้ภาคที่พยายามจะใช้ความขัดแย้งของตัวละคร มาเป็นต้นเหตุนำไปสู่จุดพลิกผันของเรื่องเสมอ (จุดนี้จะคล้ายกับในภาคที่ 5 อย่าง Golden Wind เพียงแต่เป็นการเล่าออกมาคนละโทนกัน)

    หรือการที่ศัตรูมาในรูปแบบของ "โลกทุนนิยม" เมื่อตัวร้ายไม่ได้เป็นสุดยอดตัวร้ายที่แข็งแกร่ง ที่มีเป้าหมายจะยึดครองโลก แต่เป็นตัวร้ายในแบบที่ ต้องการจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมทุนนิยมที่โอบอุ้มชีวิตมนุษย์อยู่มากกว่า การมีอำนาจครอบครอง ไม่สำคัญเท่ากับการได้สิทธิ์ชี้ขาดความเป็นไปของสังคมมนุษย์ ซึ่งเป็นอุดมการณ์ที่ฟังดูแล้ว สะท้อนความกลัวของหลายๆ คนในยุคปัจุบันได้ดีไม่น้อย (เพียงแต่มันไม่ใช่ "ตัวร้าย" ในแบบที่มังงะส่วนใหญ่ จะใช้กัน)

    ซึ่งการทำอะไรแบบนี้ มันเสี่ยงต่อการที่จะทำให้มังงะออกมาขาดๆ เกินๆ และหาจุดลงตัวไม่เจอ ...ซึ่งเมื่อมามองภาพรวม Jojolion ก็หนีไม่พ้นสิ่งนี้เหมือนกัน ด้วยความที่ อ.อารากิ พยายามเล่นท่ายากกับการเล่าเรื่อง และทำให้ทุกอย่างมีความซับซ้อนและลึก จนหลายครั้งก็ทำให้เรื่องราวดูสับสนหลงทาง หาจุดลงตัวที่ชัดเจนไม่เจอ ซึ่งถ้าใครที่ต้องการความชัดเจน ไม่ชอบอะไรที่มันค้างๆ คาๆ แบบปลายเปิด ต้องไม่พอใจกับสิ่งที่ Jojolion เลือกจะไปแน่นอน

    หลายครั้งผมจะชอบเอา Jojolion ไปเทียบกับซีรีส์เรื่อง Twin Peaks ของ เดวิด ลินช์ ...เพราะผมรู้สึกว่ามันใกล้เคียงที่สุด ในการจะบอกว่า Jojolion เป็นแนวอะไร ความลึกลับ ความพิลึก การชอบที่ทิ้ง space กว้างๆ เอาไว้ให้คนดูรู้สึกอ้างว้าง หาคำตอบไม่เจอ เป็นสิ่งที่ Jojolion พยายามทำแบบเดียวกันเป๊ะ (อ.อารากิ เองก็เป็นแฟนของ Twin Peaks เช่นกัน ฉะนั้นเรื่องนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญ)

    ------------------------------------------------------------------------


    กล่าวโดยสรุปคือ ในมุมมองของผม ในฐานะคนที่ชอบโจโจ้มายาวนาน... หากท่านไหนสนใจ อยากจะลองอ่านโจโจ้ ผมคงจะไม่แนะนำให้อ่าน Jojolion เป็นภาคแรกอย่างเด็ดขาดเลย 

    จริงอยู่ที่มันเป็นภาคที่มีความ Stand Alone ที่น่าจะสามารถอ่านได้โดยไม่ต้องสนใจความเชื่อมโยงกับทั้งซีรีส์ ได้ที่สุด แต่ผมก็ยังคิดว่า Jojolion เป็นโจโจ้ภาคที่เหมาะกับคนที่รู้จักโลกของโจโจ้ดีอยู่แล้ว มากกว่า เพราะ Jojolion เป็นภาคที่ อ.อารากิ นำเอาสิ่งต่างๆ ที่แกใส่ลงไปในโจโจ้ซีรีส์ มาตลอดกว่า 30 ปี มาเล่าใหม่ในทิศทางที่ ผิดแผก แตกต่าง ไปจากเดิมอย่างชัดเจน ราวกับเป็นการวาดเพื่อที่จะล้อเลียนตัวเองในอดีต

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการพยายามที่นำเอา แนวคิดเก่า จากในภาคก่อนๆ มาคิดใหม่แบบในยุคปัจุบัน ที่ในอดีต ตัวละครมักจะมีแนวคิดที่ว่า "หากมันคือชะตากรรม เขาก็จะขอยอมรับมัน" โดยไม่มีการลังเล หรือตั้งคำถามต่อมันเลยว่า นี่คือสิ่งที่คนรุ่นเขาต้องยอมรับมันจริงๆ หรือ? ..ซึ่ง Jojolion ก็เอาแนวคิดนี้มาใช้อย่างเต็มที่ ว่า "เราไม่ควรยอมรับต่อสิ่งที่เราไม่ได้เป็นคนทำ ต่อให้มันสำคัญกับครอบครัวของเราแค่ไหนก็ตาม"

    นั่นจึงเป็นเรื่องสนุกของกลุ่มคนอ่านที่รู้จักโจโจ้ดีอยู่แล้ว ว่า Jojolion จะนำเอาสิ่งไหนจากในภาคก่อนๆ มาบิด มาตลบเล่าด้วยลีลาที่แปลกใหม่บ้าง ...กลายเป็นความสนุกอีกอย่างของ Jojolion ที่เป็นเหมือนการเล่าแนว สมมติว่า (What If) ในโลกของโจโจ้ว่า "หากสิ่งนี้...ไม่ใช่แบบนี้...แต่กลายเป็นอย่างนี้... อะไรจะเกิดขึ้น?" ...ถ้าเป็นคนอ่านหน้าใหม่ ที่มาอ่านภาคนี้เลย โดยไม่เคยรู้จักโจโจ้มาก่อน ก็อาจจะรู้สึกไปอีกแบบนึงเลย จะมองว่า นี่มันก็เป็นมังงะแนวลึกลับระทึกขวัญอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันมากเป็นพิเศษ

    และด้วยความที่ Jojolion เต็มไปด้วยรอยแผลในการดำเนินเรื่องที่ชัดเจน ทำให้ผมคงพูดไม่ได้ว่า นี่เป็นโจโจภาคที่ดีที่สุด อะไรขนาดนั้น (ถ้าพูดแบบนั้นก็ถือว่าโกหกแล้ว 555) แต่มันก็ไม่ใช่งานที่แย่ที่สุด เพราะต้องเข้าใจว่า สิ่งที่ อ.อารากิ เลือกจะใช้กับ Jojolion นั้น มันเป็นทิศทางที่ยากมากในการจะทำให้มันลงตัว และอ่านได้สนุกถูกใจทุกคน เป็นการทดลองที่ อ.อารากิ ต้องพร้อมรับความเสี่ยงจริงๆ (คือวาดจนจบได้ก็เก่งแล้ว อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องความลงตัวเลย)

    อย่างน้อยคือด้วยเวลา 10 ปีที่ตามอ่านภาคนี้มาเดือนต่อเดือน มันก็มีหลายโมเมนท์เลยที่เราประทับใจกับเรื่องราวในภาคนี้ ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ เรื่องราวของตัวเอกทั้งสองคน อย่าง โจสุเกะ และ ยาสึโฮะ ที่เป็นสองตัวละครที่เรารักและผูกพันมากที่สุดคู่หนึ่งของโจโจ้ และการได้ติดตามเรื่องราวของพวกเขามาอย่างยาวนาน ก็เป็นประสบการณ์ที่คงไม่มีทางจะลืมไปได้ง่ายๆ

    สำหรับบทความนี้ ถ้าจะจบแบบเท่ห์ๆ เพื่อเชิญชวนให้ท่านลองอ่าน ผมคงหาอะไรเท่ห์ๆ มาบอกไม่ได้นอกจากบอกว่า ...ลองพิสูจน์ด้วยตัวเองครับ จะได้รู้ว่าความ ความพิลึกของ Jojolion มันจะคลิกกับท่านได้มากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าไม่ชอบมากๆ ก็อาจจะเกลียดไปเลยก็ได้

    ซึ่งตรงนี้ คงต้องขอปิดท้าย ด้วยบทบรรยายของยาสึโฮะ ในตอนต้นเรื่อง ว่า...

    ------------------------------------------------------------------------

    "นี่เรื่องราวของการ "ถอนคำสาป"

    จุดเริ่มต้นของคำสาปนั้น บ้างก็ว่า มันคือ "มลทิน" จากอดีต
    ที่บรรพบุรุษได้ก่อเอาไว้โดยที่ตนไม่รู้ตัว

    บ้างก็ว่า.. มันคือ "ความแค้น" ที่ซากาโนะอุเอะ โนะ ทามุระมาโระ
    ได้สั่งสมเอาไว้ มาตั้งแต่ยุคสงครามครองภาคเหนือ

    หรือบ้างก็ว่า.. มันคือ "รอยด่าง" ที่เริ่มเกิดขึ้น หลังจากมนุษยชาติ
    ถือกำเนิดขึ้น และเริ่มจะแยก "ขาว" ออกจาก "ดำ" ได้

    แต่ไม่ว่าอย่างไร "คำสาป" จะต้องถูกถอนซักวัน
    มิฉะนั้น ก็จะต้องพ่ายแพ้ต่อ "คำสาป" ตลอดไป..." 


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in