"หรือเพราะว่าเชสยังหลงรักพี่ชายของนายอยู่ ถึงทำให้หมอนั่นยอมทำได้ขนาดนี้"
"!!!!"
ดวงตาคู่สวยที่เคยฉายแววเรียบนิ่งในก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นแววตาที่แสดงออกถึงความสับสนในชั่ววินาทียามได้ยินประโยคที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจากเบลเลอมอนท์
"น่าแปลกใจดีเหมือนกันว่ารักแรกของ เชส ไทเลอร์ มันลืมกันได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ"
อาการชาที่ไล่ลงมาตั้งแต่หัวจรดถึงปลายเท้าพาลทำให้มือไม้ทั้งสองข้างนั้นเย็นเยียบไปเสียหมด ดวงตาคู่สวยยังคงจับจ้องอัลฟ่าหน้าระรื่นตรงหน้าอย่างเงียบงัน โดยอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรต่อนอกเสียจากจะยกยิ้มน้อยๆที่ทำให้คนได้รับนั้นรู้สึกราวกับโดนดูถูกไม่น้อย
"แล้วนายมาบอกฉันทำไม..."
หากมีกระจกอยู่แถวนี้ล่ะก็ เบลเลอมอนท์เองก็คงไม่ลังเลที่จะหยิบยื่นให้เลสลีย์ตัวขาวเลยสักนิด ใบหน้าที่กล้ำกลืนแต่ยังคงพยายามจะตีสีหน้าเรียบนิ่ง ดูยังไงมันก็ฝืนทนเต็มกลืน
นับว่าไม่มีผิดเพี้ยนจากที่คาดคิดไว้ แต่ก็แปลกใจไม่น้อยที่เลสลีย์ยังคงควบคุมตัวเองให้นิ่งได้เสียขนาดนี้ ทั้งๆที่ดูแล้วคงแทบจะล้มทั้งยืนให้ได้ถ้าเกิดรีส เบลเลอมอนท์ไม่ได้อยู่ตรงหน้า
"แล้วถ้าฉันไม่พูด นายคิดว่าเชสจะบอกเรื่องนี้กับนายเมื่อไหร่กัน..." เบลเลอมอนท์ย้อนกลับมาด้วยประโยคที่ทำให้คนถามจุกไปไม่น้อย ความรู้สึกชาหนึบก่อนหน้านี้มันก็ยิ่งเจ็บจนรู้สึกจุกอกไปหมด
สิ่งที่รีสพูดมันจริงทุกอย่าง.. คนอย่างเชส ไทเลอร์ หากเขาไม่พูด หากเขาไม่ถาม มันจะมีหรือที่คำบอกเล่าพวกนั้นจะออกมาจากปากของเจ้าตัวง่ายๆ มันก็น่าแปลกดีเหมือนกันว่าในขณะที่แอชเชอร์ เลสลีย์นั้นโอนอ่อนให้กับอีกฝ่าย แต่แล้วทำไมมันถึงกลับกลายเป็นเลสลีย์เองที่ไม่สามารถทำให้ไทเลอร์อ่อนข้อลงมา
จะรู้จากปากใครมันคงไม่สำคัญเท่ากับการที่ไทเลอร์ตั้งใจไม่ยอมบอกกัน...
เขาควรจะรู้สึกอย่างไรกัน มันถึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์ตรงหน้า
"คำพูดของนายมันจะเชื่อได้มากน้อยสักเท่าไหร่" ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่ใจของคนที่รับฟังเรื่องความสัมพันธ์ที่ปกปิดนั่นก็กลับไขว้เขวไปกับคำพูดของเบลเลอมอนท์ไม่มากก็น้อย
"ก็ลองคิดดูเสียว่าสิ่งที่ฉันพูดกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ความเป็นไปได้ทุกอย่างมันมีมากน้อยสักแค่ไหน"
"ฉันจะรอคุยกับไทเลอร์.."
"งั้นนายคงต้องจัดการกับความรู้สึกหนักหน่อยนะ เพราะดูท่าทางแล้วเชสคงไม่กลับมาภายในสองสามวันนี้" อัลฟ่าผมสีแดงเดินสาวเท้าเข้ามาหาคนที่ยังยืนนิ่งอยู่พร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก
หยิ่งผยองและยึดมั่นในศักดิ์ศรีอย่างเลสลีย์.. หากถึงคราวต้องเลือกขึ้นมาก็ถือเป็นการเดิมพันที่เบลเลอมอนท์เองก็ยากจะตัดสินใจเลือกลงพนันเช่นกัน
แล้วมันดูไม่น่าสนุกหรืออย่างไรที่จะรอลุ้นคำตอบของแอชเชอร์ เลสลีย์...
แค่คิดก็พาลทำให้เบลเลอมอนท์อดตื่นเต้นอย่างเสียไม่ได้
"ดูนายจะสนุกกับการเล่นกับความรู้สึกของคนเสียจริงนะเบลเลอมอนท์"
"ไม่มีเดิมพนันไหนที่น่าตื่นเต้นและเสี่ยง เท่ากับความคิดของคนเราแล้วเลสลีย์..."
เพราะเพียงแค่ไม่กี่เสี้ยววินาทีเดียว ความรู้สึกคนเราก็สามารถเปลี่ยนได้อย่างไม่ต้องคิดไตร่ตรองอะไรเสียให้มาก หากทุกอย่างถูกควบคุมด้วยอารมณ์ที่อยู่เหนือเหตุผลทุกอย่าง
ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดที่ปูดนูนขึ้นมาของเบลเลอมอนท์ถือวิสาสะจับเข้ากับมือขาวของอัลฟ่าแดนเหนือที่ยังคงถือแก้วที่บรรจุเครื่องดื่มสีเข้ม ก่อนจะดึงดันจนขอบแก้วนั้นชิดกับริมฝีปากบางของคนตัวขาว
"ฉันไม่ชอบดื่ม.." แอชเชอร์เอ่ยปฏิเสธในทันที เมื่อจมูกโด่งได้กลิ่นที่ค่อนข้างแรงของเครื่องดื่มในแก้ว
"อย่าเสียมารยาทดีกว่าน่า.." เสียงติดแหบเอ่ยแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ต่างจากการกดดันเสียเท่าไหร่ เพราะสุดท้ายแล้วแอชเชอร์ เลสลีย์เองก็ต้องกระดกเครื่องดื่มสีเข้มนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
เจ้าของใบหน้ารูปสลักนิ่วหน้าเล็กน้อยหลังจากที่เครื่องดื่มหยดสุดท้ายในแก้วนั้นถูกกลืนลงไปในลำคอ ความรู้สึกอุ่นบนลิ้นและภายในริมฝีปากที่รับสัมผัสรสชาติของเครื่องดื่มรสชาติเข้ม แม้จะไม่บาดคอแต่ก็ยังคงหนักเกินกว่าปกติที่เคยดื่มกิน ทำให้เลสลีย์รู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไหร่
"หัดลองอะไรที่มันแปลกใหม่เสียบ้าง.."
รีสเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่ฉีกกว้างขึ้นเมื่อยังคงเห็นใบหน้ารูปสลักนั้นยังคงนิ่วหน้าน้อยๆ คำพูดที่เอ่ยออกไปถ้าเลสลีย์คนเล็กไม่ซื่อเสียจนเกินไปก็คงจะคิดได้ว่ารีส เบลเลอมอนท์ กำลังหมายถึงอะไร
"ขอบใจที่แนะนำ แต่นายก็น่าจะรู้ดีว่าฉันเองก็ลองมันมาแล้ว"
มือเรียวสวยยัดแก้วเครื่องดื่มกลับใส่มือของคนตรงหน้าก่อนจะยกยิ้มน้อยๆ ยามที่เอ่ยประโยคด้านบนจบ หากเบลเลอมอนท์คิดว่าการปั่นหัวเลสลีย์ทำได้ง่ายเสียขนาดนั้นก็คงต้องตอบว่ามันไม่มีผิดเพี้ยนเลยสักนิด
"ประมาทนายไม่ได้จริงๆ.." รีสเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆกับแววตาที่กำลังกระหายความอยากรู้และความต้องการเอาชนะ แต่ก็ยังมีแวบนึงที่รีสยังเห็นนัยน์ตาคู่สวยนั้นสั่นไหว
"ถึงจะเป็นพี่ชายของไทเลอร์ แต่ถ้านายล้ำเส้นฉันขึ้นมา มันก็คงจะผิดเหมือนกันที่ฉันจะตอบโต้.."
"ฟังดูน่ากลัวไม่หยอก.."
แววตาของเลสลีย์ไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด หากให้รีสลองเดาแล้วล่ะก็ ภายในจิตใจของอัลฟาแดนเหนือคงกำลังตีรวนและสับสนอยู่ไม่น้อย
"แค่นี้ใช่ไหมที่ต้องการคุยกับฉัน" เลสลีย์คนเล็กเอ่ยเสียงแข็ง ในขณะที่สายตายังคงไล่มองท่าทีสบายๆของรีส เบลเลอมอนท์ ซึ่งกำลังเดินสำรวจภายในบ้านอย่างถือวิสาสะ
"ขี้หวงใช้ได้เลยนะไทเลอร์เนี่ย..."
จมูกได้รูปของผู้ปกครองฟลัมยังคงใช้งานได้อย่างดี เพราะอย่างนั้นเจ้าตัวถึงได้กลิ่นประจำตัวของเจ้าของบ้านตัวจริงที่ลอยคละคลุ้งเสียให้ทั่วจนแทบจะกลบกลิ่นกุหลาบดามัสก์ของเลสลีย์ไปจนหมด
และหากไม่เข้าใกล้อัลฟ่าแดนเหนือจริงๆรีสเองก็คงจะไม่ได้กลิ่นประจำตัวที่หอมละมุนนั้น
"ก็ควรรู้จักนิสัยของน้องชายดีไม่ใช่หรือในฐานะพี่ชาย..."
เลสลีย์ไม่ได้ตอบรับประโยคข้างต้นแต่อย่างใด นอกเสียจากจะเอ่ยประโยคที่กระทบกระแทกให้ผู้ปกครองฟลัมขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
"ปกติแล้วน้องชายฉันมันไม่ใช่คนหวงของ..."
และการที่อัลฟ่าทิ้งกลิ่นไว้คลุ้งเสียขนาดนี้มันก็ย่อมเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนที่เราต่างรู้กันดีว่ามันหมายถึงอะไร
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วจริงๆว่าเชส ไทเลอร์ น่ะเป็นพวกขี้หวงกว่าที่คิดไว้เสียอีก
"นายคงต้องแยกแยะระหว่างสิ่งของกับตัวคนให้ออกเสียก่อนนะเบลเลอมอนท์"
"นั่นสินะ..."
"ฉันอยากพักผ่อน..." เลสลีย์เอ่ยขึ้นมาโดยเลิกสนใจเบลเลอมอนท์ตัวกวนที่เอาแต่มองนั่นมองนี่ไปเรื่อย เหมือนกำลังตั้งใจกวนประสาทคนที่อาศัยอยู่ในบ้านพักของหัวหน้าหน่วยตอนนี้ "หากหมดธุระของนายแล้วก็เชิญ..."
"วันนี้คงเหนื่อยน่าดู.. เอาเป็นว่าฉันไม่รบกวนนายต่อแล้วดีกว่า.."
"....."
"ยังไงก็พักผ่อนให้เต็มที่ล่ะเลสลีย์.. ท่าทางนายคงต้องจัดการกับความรู้สึกตัวเองหนักหน่อยนะคืนนี้"
มือของเบลเลอมอนท์ที่หมายจะตบไหล่ของเลสลีย์เป็นอันต้องชะงักงันไปเมื่อเจ้าของผิวขาวซีดนั้นเบี่ยงตัวหลบในทันที ก่อนที่มือของรีสจะได้วางลงไปบนไหล่ของตัวเอง ซึ่งการกระทำนั้นก็สามารถเรียกสายตาดุคมที่มองมาอย่างประเมินได้เป็นอย่างดี
"เมื่อครู่ตอนที่จับมือ มันเป็นเพราะฉันเองที่ไม่ได้ระวัง.."
"....."
"แต่ตอนนี้... ฉันว่าอย่าดีกว่า"
การปฏิเสธที่แม้จะดูนิ่มนวลด้วยการเบี่ยงหลบให้พอไม่น่าเกลียด แต่ทว่าคำพูดและสายตาที่แสดงออกมาก็นับว่าแข็งกระด้างไม่น้อยในสายตาของรีส
สายตาของเลสลีย์นั้นไล่มองมือที่ค้างอยู่กลางอากาศของเบลเลอมอนท์ ก่อนจะลากไปหยุดมองที่อัลฟ่าผมสีสดที่ใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มของตัวเองอยู่ หากเบลเลอมอนท์ปั่นประสาทเลสลีย์ได้ด้วยคำพูดพวกนั้น เลสลีย์เองก็คงกระตุ้นต่อมความหงุดหงิดของคนอย่างเบลเลอมอนท์ได้เหมือนกัน
อัลฟ่าผมสีสดเริ่มชักจะสงสัยแล้วสิว่า เชส ไทเลอร์ ใช้วิธีอะไรที่ทำให้คนอย่างแอชเชอร์ เลสลีย์ ยอมโอนอ่อนลงมาได้กัน
เรื่องน่าเข้าใจยากแบบนี้ เห็นทีแล้วรีส เบลเลอมอนท์คงต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอีกนานโข
ความรักงั้นหรือ?
เรียกว่าเป็นความวุ่นวายมันคงพอเข้าใจมากกว่า....
"ฉันจะจำไว้...."
"......"
"แต่ยังไงฉันก็หวังว่าจะได้คำตอบที่ดีจากนายนะ เลสลีย์"
"เชิญ.."
"อะไรที่มันเป็นครั้งแรกมันก็ย่อมลืมยาก.. นายคิดเหมือนฉันไหม? :)"
///////////
แผ่นหลังกว้างของเบลเลอมอนท์เลือนลับหายออกไปจากสายตาในความมืดมิดของช่วงเวลาค่ำมืด แสงไฟที่ควรจะถูกดับไปเมื่อพักใหญ่ยังคงส่องแสงให้ความสว่างภายในบ้าน ประตูบ้านที่ยังคงเปิดอ้านั้นยังคงทำให้มองเห็นร่างขาวซีดที่ยังยืนอยู่ที่เดิมนิ่งตั้งแต่ที่เชิญแขกไม่ได้รับเชิญนั้นออกไปจากบ้าน
ประโยคสุดท้ายที่ไม่ใช่คำร่ำลาอย่างสมควรจะเป็นของเบลเลอมอนท์กำลังทำให้อัลฟ่าแดนเหนือจมอยู่ในความคิดของตัวเอง
แรงกระแทกเบาๆจากทางด้านหลังของวูล์ฟด็อกตัวขาวทำให้แอชเชอร์ได้สติและก้าวถอยหลังจากหน้าประตูมาเล็กน้อยเพื่อปิดบานประตูที่จับอยู่ในมือ
แต่ทว่าภาพการมองเห็นที่สมควรจะชัดเจนก็กลับสั่นไหวและพร่าเลือนจนต้องกะพริบตาถี่ๆ สาเหตุที่ไม่ได้มาจากแสงเทียนซึ่งกำลังพลิ้วไหวและไม่ใช่จากสายตาที่เสื่อมสภาพ แต่มันกลับเป็นเพราะความรู้สึกจุกอกที่กำลังเอ่อล้นขึ้นมาตีตื้นจนยากที่จะกล้ำกลืนมันลงไป
น้ำตาหยดแรกที่ไหลรินลงมาก็คงเป็นเพราะความเสียใจ
และหยดต่อไปที่รินหลั่งลงมานั่นก็คือการตอกย้ำความเชื่อใจที่ถูกบั่นทอนลงทีละนิด
วูล์ฟด็อกตัวขาวยังคงนั่งมองเจ้านายอีกคนของตัวเองที่เอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน จนมันเลือกใช้ขาหน้าของตัวเองสะกิดเข้ากับช่วงขาของอีกฝ่ายถึงได้ทำให้เจ้านายตัวขาวยอมย่อตัวลงมานั่งเสมอกับมัน แรงกอดรัดที่โผเข้ามากอดบริเวณลำตัวกับแรงสั่นที่มีผลมาจากไหล่ขาวที่สะอื้นฮักทำให้หนึ่งในการ์เดียนได้แต่ร้องออกมาเบาๆ
แม้ร็อคกี้จะไม่เข้าใจการกระทำของมนุษย์ที่กอดตัวเองอยู่ตรงหน้าสักเท่าไหร่ แต่มันเองก็ยินดีที่จะนั่งเฉยๆให้อัลฟ่าแดนเหนือกอดมันเอาไว้
"เจ้านายแกมันใจร้าย..."
คำถามที่เลสลีย์เฝ้าไถ่ถามไทเลอร์ซ้ำไปซ้ำมาถึงเหตุผลที่ช่วยเหลือตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่สามารถไขข้อข้องใจได้ จนวันนึงมันกลับกลายเป็นว่าคำตอบทุกอย่างที่เจ้าของผิวขาวเฝ้ารอนั้นถูกเฉลยออกมาจากปากของใครอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่ไทเลอร์
ใจหนึ่งเขาก็ไม่อยากจะเชื่อคำพูดของเบลเลอมอนท์ แต่อีกใจหนึ่งมันก็กลับเอนเอียงไปกับคำพูดพวกนั้นอย่างห้ามไม่ได้
เขาที่ไม่เคยล่วงรู้ความสัมพันธ์ของไทเลอร์และพี่ชายตัวเอง
เขาที่ไม่เคยรู้อะไร..
ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หนคนที่รู้เรื่องคนสุดท้ายก็มักจะเป็นเขาเสมอ
นอกเสียจากจะไม่ช่วยทำให้เคยชินแล้ว มันก็ยิ่งตอกย้ำถึงความไม่รู้ของเขามากขึ้นเรื่อยๆ
เวลานี้ที่ควรมีใครสักคนอธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้เข้าใจมันก็กลับว่างเปล่าเสียจนเป็นเขาเองที่ต้องแบกรับความคิดที่ตีรวนกันในหัว จิตใจที่ว้าวุ่นและฟุ้งซ่านกำลังทำให้แอชเชอร์ เลสลีย์ รู้สึกได้เลยว่านี่มันไม่ใช่ตัวเขาเอง
เขาที่สมควรจะรับผิดชอบกับความรู้สึกของตัวเองได้นั้นกลับเลือนหายไป หลงเหลือก็แต่เพียงเขาที่กำลังจะแตกสลาย
อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของเครื่องดื่มสีเข้มที่ทำให้แอชเชอร์ เลสลีย์ ปั่นป่วนจนไม่เป็นตัวของตัวเอง.... หรือ เป็นเพราะเลสลีย์เองที่ไม่เคยคิดเผื่อใจไว้เลย เขาทั้งโกรธทั้งรู้สึกแย่กับเรื่องที่ได้ยิน
กลิ่นไม้ซีดาร์ภายในห้องนอนและตามผืนผ้าบนเตียงหลังใหญ่ ไม่ว่ากี่ครั้งที่ได้กลิ่นก็มักจะทำให้รู้สึกอบอุ่นจนเกิดเป็นความสบายใจที่จะพักพิง ผ้าห่มสีเข้มที่อยู่ในอ้อมกอดของแอชเชอร์ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นประจำตัวของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ ยิ่งสัมผัสยิ่งใกล้ชิดก็ยิ่งทำให้อัลฟ่าแดนเหนือนั้นสั่นสะท้านไปทั้งกาย
"ฮึก..."
เขาจะทนทุกข์กับความคิดและความรู้สึกพวกนี้ไปอีกสักเท่าไหร่กัน... เขาที่เข้มแข็งนั้นกำลังอ่อนแอจนน่าใจหาย
รักแรก.. คนแรก.. พี่ชายของเขา
หากเป็นดั่งที่เบลเลอมอนท์พูดจริงๆ.. เชส ไทเลอร์ จะเคยมองเขาเป็นแค่ตัวแทนของอาเธอร์ เลสลีย์ กันบ้างไหม..
ความรู้สึกฉาบฉวยที่เกิดขึ้นมันใช้เวลาเพียงสั้นๆเกินกว่าที่จะเรียกได้ว่าเป็นความรัก มันสามารถเทียบได้เท่ากับความสัมพันธ์ที่รู้จักกันมาแรมปีอย่างนั้นหรือ
คำสัตย์ที่เชส ไทเลอร์เคยให้กับเขาไว้มันจะยังคงเป็นความจริงใช่หรือเปล่า..
ไม่ใช่ว่าแอชเชอร์ไม่เคยได้ยินอะไรทำนองนี้มาก่อน แต่เพราะในตอนนั้นที่เอริคพูดขึ้นมามันดูจะเป็นคำพูดทีเล่นทีจริงเกินกว่าที่จะเก็บมาใส่ใจ แอชเชอร์ เลสลีย์ ถึงได้ไม่เอามันกลับมาขบคิดให้ปวดหัว
'เคยรู้สึกว่าตัวเองเหมือนพี่ชายบ้างไหมเลสลีย์'
'ฉันกับอาร์ธ เราไม่เหมือนกันเลยสักนิด'
'แต่ถ้ามองผิวเผินแล้ว นายเองก็ไม่ต่างจากอาเธอร์สักเท่าไหร่...' ใบหน้าของเอริคในวันนั้นเขาเองก็ยังจดจำได้ดี สายตาที่พินิจมองเขาอย่างถี่ถ้วนพลางยกยิ้มน้อยๆนั่น 'ฉันถึงไม่แปลกใจสักนิดที่เชสดูจะสนใจนาย'
'งั้นนายก็ควรรู้ไว้ว่าฉันไม่ได้เข้มแข็งเท่าอาเธอร์...'
เขารู้จักอาเธอร์ดีกว่าใคร.. และก็รู้จักมากพอว่าพี่ชายของตัวเองนั้นเข้มแข็งมากแค่ไหนหากเปรียบเทียบกับตัวเขา
'เสน่ห์ที่เข้มแข็งของอัลฟ่าคือสิ่งที่ฉันหลงใหลมากที่สุด'
คำพูดของเชส ไทเลอร์ ในวันวานที่เคยสนทนากันนั้นย้อนกลับเข้ามาให้ร่างขาวซีดที่นอนซุกตัวอยู่บนเตียงหลังใหญ่ได้ขบคิด สิ่งที่ไทเลอร์พูดออกมานั้นมันหมายถึงเขาหรือหมายถึงใครกัน...
'นายไม่จำเป็นต้องรู้หรอกเลสลีย์ มันไม่ได้มีอะไรมากมายให้นายต้องกังวลขนาดนั้น'
หากไม่มีความผิดพลาดของการที่ไทเลอร์เกิดอาการรัทขึ้นมา มันก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น.. เขาสำหรับไทเลอร์อาจจะเป็นแค่เพียงคนที่ถูกช่วยเหลือก็ได้
ไม่ใช่เพราะการเป็นคนของไทเลอร์หรอกหรือที่ทำให้เขาก้าวถลำลงมาถึงขนาดนี้...
แค่ย้อนมองจุดเริ่มต้นมันยังแสนบิดเบี้ยวขนาดนี้ ก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือที่ปลายทางมันจะบิดเบี้ยวไม่แพ้กัน
'เลสลีย์เองก็มีเกียรติ และแน่นอนว่าไทเลอร์เองก็มีเกียรติมากพอเช่นกัน'
และเกียรติที่ว่านั้นมันจะมากพอให้แอชเชอร์เชื่อมั่นได้อีกมากน้อยแค่ไหนกัน
ความเสียใจที่ทำให้เลสลีย์เจ็บปวดก็คงหนีไม่พ้นการโกหก เขาจำได้ดีว่าเคยบอกและเคยพูดกับไทเลอร์ไปแล้วหลายครั้งว่าตัวเองนั้นแสนจะเกลียดเรื่องพวกนี้มากแค่ไหน
ความเศร้าที่ปกคลุมไปทั่วห้องนอนยังคงอยู่ไปตลอดจนถึงช่วงเช้าตรู่ จนทำให้ร่างขาวซีดที่นอนหลับได้ไม่สนิทอยู่บนเตียงนั้นต้องตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง...
ใบหน้ารูปสลักที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้าจนซีดเซียวผิดจากทุกครั้งที่ควรมีเลือดฝาดนั้น หากใครได้พบเห็นก็คงต้องสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่ยาก ร่องรอยแดงช้ำที่รอบดวงตาคู่สวยคงเป็นตัวบ่งบอกได้อย่างดีถึงเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
เซเบอร์ที่นอนหลับอุตุไม่รู้เรื่องราวนั้นคงไม่รับรู้อะไรเท่ากับร็อคกี้ที่นอนหมอบมองเจ้านายของมันอยู่แทบตลอดเวลา จนกว่าที่อัลฟ่าแดนเหนือยอมข่มตานอนมันถึงได้ยอมนอนตาม
"เซเบอร์..."
เสียงนุ่มเอ่ยเรียกเจ้าเกรย์วูล์ฟตัวเล็กที่เติบโตขึ้นมาจนสามารถเดินไปเดินมาได้อย่างคล่องแคล่วซึ่งกำลังเล่นอยู่กับร็อคกี้ที่ได้แต่คอยงับเบาๆตามตัวของเจ้าตัวเล็ก เมื่อได้ยินคนเป็นเจ้านายเรียกเจ้าลูกเกรย์วูล์ฟก็ค่อยๆเดินมาหาอย่างว่าง่าย ในขณะที่แอชเชอร์นั้นก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของร็อคกี้ที่หลุดออกมา
โชคดีที่เซเบอร์ยังตัวเล็กพอให้แอชเชอร์สามารถอุ้มขึ้นมาได้ คิดไม่ออกเลยว่าถ้าหากเวลาผ่านไปกว่านี้จนเซเบอร์ตัวโตเท่าพวกในฝูงการ์เดียน แอชเชอร์เองก็คงจะคิดถึงช่วงเวลาที่สามารถกอดเล่นเจ้าตัวเล็กนี่ไม่น้อย
ลูกเกรย์วูล์ฟที่เป็นสิ่งที่เชส ไทเลอร์ มอบให้กับแอชเชอร์ เลสลีย์ นั้นมันมีค่ามากมายมหาศาลเสียจนอัลฟ่าแดนเหนือก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากเป็นตัวเขาเองที่ไม่สามารถจะอยู่ที่นี่ได้ แล้วเจ้าเกรย์วูล์ฟนี่จะต้องอยู่ที่ใด
"ถ้าเกิดฉันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แกคงตามฉันไปไม่ได้อยู่ดี..."
ก้อนขนตัวกลมยังคงใช้ปากไล่งับไปตามมือของเลสลีย์เบาๆอย่างคันฟัน ในขณะที่เจ้านายของมันนั้นทำเพียงแค่ลูบกลุ่มขนนุ่มของมันด้วยใจที่เหม่อลอย
"เป็นเกรย์วูล์ฟของแดนใต้ก็สมควรจะอยู่ที่แดนใต้ มันก็ถูกแล้ว.."
การที่ต้องเลือกระหว่างการเป็นคนแดนเหนือและแดนใต้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ความรู้สึกต่างๆที่ค้ำคอมันกำลังทำให้เลสลีย์ไม่อาจเลือกได้ ยิ่งประจวบกับสิ่งที่รีสพูดก็ยิ่งทำให้แอชเชอร์ เลสลีย์ แทบจะตัดการเป็นคนแดนใต้ทิ้งออกไปจากหัวเลยด้วยซ้ำ
มันก็คงเป็นแค่ความคิดชั่ววูบนึงที่แอชเชอร์คิด... คำตอบที่เขารอคอยและคาดหวังจากเชส ไทเลอร์ นั้นมันเสี่ยงเหลือเกิน
ความเป็นไปได้ที่มันจะไม่ใช่เรื่องจริงนั้นมีเพียงน้อยนิดจนไม่อาจหวัง...
เขาไม่อยากวู่วามและไม่อยากเป็นตัวตลกให้เบลเลอมอนท์ได้ปั่นหัว ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาต้องอดทนกับความรู้สึกพวกนี้ไปจนกว่าที่ไทเลอร์จะกลับมาจากแบล็คฟอเรสต์
มื้อเช้าในวันนี้ดูจะจืดชืดกว่าเสียทุกวันจนพานทำให้เลสลีย์ตักมันเข้าปากไปไม่กี่คำ ท่ามกลางสายตาของโจชัวและเอริคต่างก็เต็มไปด้วยความสงสัยกับท่าทางที่แปลกไปของอัลฟ่าแดนเหนือ เพราะถึงแม้เลสลีย์จะไม่ใช่พวกพูดมากแต่ก็ไม่ได้จัดอยู่ในจำพวกที่ถามคำตอบคำแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้
"ไม่สบายหรือเลสลีย์?" เป็นเอริคที่เอ่ยปากถามคนที่กำลังนั่งมองอาหารตรงหน้าอย่างเงียบๆ
"ฉันปกติดี" คำตอบที่ได้รับกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ นั่นต่อให้มองยังไงก็แปลกตาอยู่ดี
"แต่หน้านายดูซีดๆ" แพทย์หนุ่มยังคงเอ่ยต่อ "เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือไงกันถึงได้เหมือนคนอดนอนเสียขนาดนี้"
"ก็คงจะเกี่ยว.." เลสลีย์ตอบผ่านๆ พลางหันหน้าหนีทั้งโจชัวและเอริคที่กำลังมองตัวเองอยู่ แต่ทว่าเมื่อมองไปทางอื่นแล้วก็กลับพบเจอกับสายตาของเบลเลอมอนท์ที่นั่งอยู่อีกด้านโดยไม่ได้ตั้งใจ และนั่นก็ทำให้มือขาวที่ถือช้อนอยู่ในมือนั้นกำเข้าหากันแน่น
ประโยคเจ็บแสบซึ่งยังคงวนเวียนอยู่ในหัวที่มาจากเบลเลอมอนท์นั้นมันน่าหงุดหงิดสิ้นดี
ยิ่งแอชเชอร์แสดงออกว่าเจ็บปวดมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของตัวเองที่แอชเชอร์หวั่นไหวไปกับเชสมากเท่านั้น
"ไปมีปัญหาอะไรกับเบลเลอมอนท์ตอนไหนกัน.." โจชัวที่นั่งสังเกตสายตาของแอชเชอร์อยู่สักพักเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นจนคนฟังอย่างแอชเชอร์เองนั้นได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ
"ฉันจะไปมีปัญหาอะไรกับเขากัน"
"แต่สายตาที่นายมองเบลเลอมอนท์เมื่อครู่..."
"ฉันบอกว่าไม่มีอะไรก็คือไม่มีอะไรไงเมอร์เรย์" เอริคถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะหันหน้าไปมองโจชัวที่กำลังขมวดคิ้วครุ่นคิดจนเคร่งเครียดไปเสียหมด
"ถ้าเป็นแบบที่นายพูดฉันก็คงไม่ถามไถ่อะไรต่อ ยังไงวันนี้ก็อย่าลืมแวะไปเอายาบำรุงของนายเสียด้วยล่ะ ถ้าจำไม่ผิดมันน่าจะใกล้หมดแล้วใช่ไหม"
ยาบำรุงที่เมอร์เรย์กำชับหนักหนาว่าเลสลีย์จะต้องกินมันไปเรื่อยๆจนกว่าจะผ่านพ้นในช่วงสองสามเดือนนี้ คงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่แอชเชอร์เองจะต้องบังคับตัวเองให้กินยาพวกนี้อยู่ตลอด
อย่างน้อยมันก็เพื่อตัวเขาเอง..
ป้องกันได้มากเท่าไหร่มันก็ย่อมเป็นผลดีกับตัวเองมากเท่านั้น
"ไว้สักช่วงบ่ายฉันจะแวะเข้าไป..."
"ถ้ากินแค่นี้ จะมาโอดครวญทีหลังไม่ได้แล้วนะเลสลีย์" โจชัวคร้านจะสรรหาคำพูดมาง้างปากของเลสลีย์ จึงได้เลือกจะเมินเฉยในตอนนี้ไปเสีย่ก่อน
"พูดเหมือนว่าปกตินายช่วยฉันได้อย่างนั้นล่ะ" เลสลีย์ว่าพลางยกแก้วน้ำที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาดื่มเพื่อล้างคอตัวเองจากอาหารที่พึ่งทานไปเมื่อครู่
"หรือว่าที่นายนอนไม่หลับเพราะขาดเชสกันนะเลสลีย์.." เมอร์เรย์ยังคงแกว่งปากไปทั่วจนเรียกใบหน้าเรียบนิ่งของเลสลีย์ขึ้นมาอีกครั้ง "คนของไทเลอร์คนไม่ชินน่าดูที่ต้องอยู่คนเดียวแบบนี้.."
"แค่ขาดไทเลอร์ มันไม่ได้ทำให้ฉันตายหรอกเมอร์เรย์"
น้ำเสียงนุ่มที่แข็งกระด้างจนคนรับฟังสัมผัสได้ยังคงไม่ชัดเจนเท่ากับนัยน์ตาที่กำลังสั่นไหวของเลสลีย์เลยสักนิด และการที่เอริค เมอร์เรย์เลือกที่จะหยอดประโยคทีเล่นทีจริงกับอีกฝ่ายไปนั้นก็ดูจะได้ผลไม่น้อย
"ฉันแค่พูดเล่นก็เท่านั้น นายอย่าจริงจังนักสิ"
"ก็จริงอย่างที่นายว่า.."
"....."
"สงสัยว่าฉันคงต้องเรียนรู้อะไรจากพวกนายอีกเยอะเลยล่ะเมอร์เรย์" ประโยคเหน็บแนมที่เหมือนจะประชดประชันนั้น กลับไม่ได้ทำให้เอริค เมอร์เรย์รู้สึกเลยว่าเลสลีย์นั้นกำลังประชดตัวเอง "เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก ฉันก็แยกไม่ออกเสียทีเวลามันหลุดออกมาจากปากพวกนาย"
"แอชเชอร์..." โจชัวเรียกคนตัวขาวซีดเสียงเข้มเมื่อเห็นท่าทีไม่ดีของอีกฝ่าย
"หรือจริงๆแล้วฉันไม่ควรจะเชื่อใจใครนอกจากตัวเองกัน"
เมื่อพูดจบอัลฟ่าแดนเหนือก็หยัดตัวลุกขึ้นยืนพร้อมกับคว้าเอาจานอาหารของตัวเองแล้วเดินออกไปโดยไม่เอ่ยอะไรกับอัลฟ่าทั้งสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน
"นายว่ามันแปลกๆหรือเปล่าริค?"
"ถ้านายมองว่าปกตินี่สิถึงจะเรียกว่าแปลก" เมอร์เรย์ว่าก่อนจะหันหน้าไปมองเบลเลอมอนท์ที่ยังคงมองตามเลสลีย์ไปตลอดทางที่อัลฟ่าแดนเหนือนั้นเดิน "เบลเลอมอนท์คงจะกวนใจเลสลีย์ไม่มากก็น้อย.."
"ภาวนาว่าอย่าให้เลสลีย์หมดความอดทนก็คงจะพอ"
"แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะโจชัว เท่าที่ผ่านมาอัลฟ่าแดนเหนือนั่นมีความอดทนมากน้อยแค่ไหนกัน"
"มันก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้น... ฉันเดาใจเขาไม่ถูกหรอกริค"
"ถ้าให้ฉันเดาล่ะก็.. คงไม่พ้นเรื่องอาเธอร์กับเชส นายเชื่อไหม?"
"ไร้สาระ.. เมื่อไหร่นายจะเลิกคิดว่าเรื่องพวกนั้นมันเป็นเรื่องจริงเสียที"
"หรือว่านายไม่คิด? อย่าปฏิเสธไปหน่อยเลย อะไรๆที่มันเกิดขึ้นนายเองก็ย่อมรู้ดี"
"ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวเชส.." โจชัว คาร์ลิน เอ่ยอย่างไม่คิดจะใส่ใจ เพราะถ้าหากว่าสิ่งที่แอชเชอร์ เลสลีย์ กำลังหงุดหงิดนั้นคือเรื่องที่เอริคว่ามันคงจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ เชส ไทเลอร์ ต้องรับมืออย่างหนักเชียวล่ะ
"แต่เลสลีย์ไม่ได้รู้ด้วยไง.."
////////
ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเหน็บในแบล็คฟอเรสต์นั้นยังคงมีสิ่งมีชีวิตที่กล้าเข้ามาเผชิญหน้ากับมันอย่างไม่เกรงกลัว คงต้องขอบคุณแบล็คฟอเรสต์ด้านที่ค่อนมาทางแดนใต้ที่มีสภาพอากาศที่ค่อนข้างดีกว่าอีกฟากฝั่งหนึ่ง แม้จะเต็มไปด้วยหิมะที่ปกคลุมแต่ทว่าก็นับว่าโชคดีที่ไม่มีหิมะนั้นตกมาเพิ่มให้ลำบากกันเข้าไปอีก
บรรยากาศที่ไม่คุ้นชินแม้จะเป็นปัญหาสำหรับคนแดนใต้แต่ก็ใช่ว่าทั้งเชส ไทเลอร์ และ ลูอิส เชอร์ชิล จะอดทนไม่ได้ ทั้งเกรย์วูล์ฟสองตัวที่ยังคงวิ่งเล่นกันให้เป็นรอยเท้าบนพื้นหิมะก็คงจะเป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่าพวกมันชอบสภาพอากาศที่นี่มากแค่ไหน
เพราะขนาดชาลีที่ปกตินั้นมันจะเอาแต่นอนหมอบเงียบๆอยู่เสมอก็ยังคงออกวิ่งให้ได้ยินเสียงหอบหนักอย่างสัตว์ใหญ่ คราบเลือดที่ติดอยู่ตามขนสีหม่นของทั้งจ่าฝูงของการ์เดียนและโอนิคส์ยังคงไม่ได้ถูกเช็ดออกแต่อย่างใด หลังจากที่มันทั้งคู่กัดกระชากชิ้นส่วนของฝ่ายตรงข้ามจนแทบไม่เหลือชิ้นดี
"ให้ตายเถอะ ฉันว่าฉันก็ระวังตัวแล้วแต่ก็ยังพลาดทุกที.." เสียงบ่นของลูฟที่ดังอยู่ข้างๆ ทำให้เชสที่กำลังก่อกองไฟเพื่อสร้างความอบอุ่นนั้นต้องหันกลับมามองเพื่อนสนิทของตัวเอง
"แผลแค่นั้น อย่าบ่นนักเลยน่ะลูฟ" รอยแผลที่ช่วงต้นแขนที่ถูกพันไว้มันน้อยนิดมากๆสำหรับเชอร์ชิล แต่ที่เจ็บใจก็คงไม่พ้นความประมาทเสียมากกว่า
"ก็ให้ฉันได้บ่นสักหน่อย.." อัลฟ่าตัวสูงว่า "นายก็รู้ว่ามันเจ็บแค่ไหนกับการที่ต้องมีแผลในอากาศที่หนาวขนาดนี้"
"อดทน"
เชสตอบสั้นๆ พลางเก็บมีดพกเล่มเล็กที่ถือไว้ในมือก่อนหน้าลง ก่อนจะหันไปเปิดกระเป๋าใบขนาดกลางที่บรรจุข้าวของจำเป็นสำหรับการเดินทางในที่ๆมีสภาพอากาศแตกต่างจากเดอะฮิลล์
"คิดถึงเลสลีย์ตัวขาวนั่นแย่เลยล่ะสิ ถึงได้ดูงุ่นง่านขนาดนี้" ลูฟยังไม่วายเอ่ยแซวเพื่อนตัวเองที่ทำหน้าตาเคร่งเครียด ทั้งๆที่ในตอนนี้ทั้งเชสและลูฟต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จเป็นที่เรียบร้อย
ระยะเวลาสามคืนที่ผ่านมานั้นทั้งคู่ต่างก็เสียเวลาไปกับการไล่ล่าพวกกลุ่มที่ก่อปัญหาในแดนใต้ด้วยความยากลำบากไม่น้อย ทั้งสภาพอากาศที่หนาวเย็นในแบล็คฟอเรสต์คงไม่ใช่ที่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลิ่นของหน้าหนาวที่ลอยมาจากแดนเหนือและอากาศเย็นเยียบพวกนี้มันกลับทำให้เชส ไทเลอร์ อดคิดถึงคนตัวขาวที่เฝ้าออดอ้อนตัวเองก่อนเข้ามาที่แบล็คฟอเรสต์อย่างเสียไม่ได้
ทุกอย่างที่เป็นแอชเชอร์ เลสลีย์ มันดูเหมาะสมกับการที่จะอยู่ในแดนเหนือหาใช่แดนใต้ที่เจ้าตัวต้องอยู่อาศัย..
"มีคนให้คิดถึงมันก็ย่อมต้องคิดถึงไม่ใช่หรือ"
"ทีกับอลิเซียนายเอาแต่ปฏิเสธหัวชนฝา พอเป็นเลสลีย์เข้าหน่อยนี่ยอมรับกันง่ายเชียวนะ"
"แอชเชอร์ไม่ใช่อลิเซีย.." ไทเลอร์เอ่ยเสียงเรียบพลางตวัดสายตาคมมองหน้าเพื่อนคนสนิทอย่างไม่พอใจสักเท่าไหร่นัก
"เป็นคำตอบที่ดีและชัดเจนสมเป็นนายดี"
"ฉันไม่มีอะไรที่ต้องให้ลังเล.." แววตาที่แน่วแน่ของไทเลอร์ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
"แล้วถ้าเป็นเรื่องของอาเธอร์ล่ะ.. นายจะยังลังเลอยู่หรือเปล่า"
"เชอร์ชิล.."
หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์เอ่ยเรียกสกุลของเพื่อนตัวเองในทันที เมื่ออีกฝ่ายเปิดประเด็นที่ไม่น่าพูดถึงขึ้นมา..
"อย่าหาว่าฉันละลาบละล้วงเลยนะเชส.. แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนายกับแอชเชอร์มันมีมากน้อยแค่ไหนกัน มันมากพอที่นายจะเรียกว่าความรักได้หรือยัง"
"....."
"ถ้ามันไม่เกิดเรื่องวันนั้นขึ้น นายยังจะคิดกับแอชเชอร์แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ไหม.."
////////
"นายจำหน้าพวกมันได้หรือเปล่า เลสลีย์" โจชัวที่เดินวนไปวนมาเป็นหนูติดจั่นเอ่ยถามอัลฟ่าแดนเหนือที่นั่งนิ่งให้เอริค เมอร์เรย์นั้นทายาบริเวณรอยช้ำตามร่างกายของตัวเองที่เกิดจากการต่อสู้เมื่อสักครู่ใหญ่เห็นจะได้
ใครจะคิดกันว่าในเวลาดึกดื่นที่ทุกคนควรจะนอนหลับนั้นกลับมีผู้ประสงค์ร้ายคิดกล้าจะเข้ามาทำร้ายแอชเชอร์ เลสลีย์ ที่พักอยู่ในบ้านของหัวหน้าหน่วยอย่างไม่เกรงกลัว วูล์ฟด็อกตัวขาวที่ถูกขังอยู่ทางด้านนอกประตูห้องนั้นไม่มีแรงมากพอที่จะพังประตูไม้บานใหญ่เข้ามาได้ด้วยซ้ำ ราวกับว่าผู้บุกรุกนั้นรู้ดีเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเลสลีย์ดีจนรู้ว่าควรจะเข้ามาทางไหนและทำอย่างไรที่จะรอดพ้นร็อคกี้ที่มักจะเฝ้าเลสลีย์อยู่เสมอ
"ปิดหน้าเสียขนาดนั้น ฉันจะจำอะไรได้.." ใบหน้ารูปสลักนิ่วหน้าเล็กน้อย เมื่อปลายนิ้วของเมอร์เรย์นั้นแตะเข้าที่บริเวณช่วงลำคอของตัวเองที่ถูกบีบจนเกิดรอยช้ำเป็นรูปมือ
"นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้วนะริค ถึงกับกล้าบุกเข้ามาขนาดนี้คงไม่พอใจเรื่องของเลสลีย์มากแน่ๆ"
"เรายังจับมือใครดมไม่ได้ มันอาจจะเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคนของเราเองหรือพวกข้างนอกที่แอบเข้ามา" เอริคว่าในขณะที่ยังคงทำหน้าที่ของตัวเอง "แล้วมันได้พูดอะไรกับนายหรือเปล่า?"
ยังไม่ทันที่ทั้งสามคนจะได้สนทนาอะไรกันต่อ ก็มีผู้เข้ามาใหม่ที่เลสลีย์นั้นแสนจะไม่อยากเจอหน้าจนถึงขนาดเมินหน้าหนีอย่างชัดเจน
"ได้ข่าวว่าเลสลีย์ถูกทำร้าย ฉันก็เลยมาดู.."
"ก็อย่างที่เห็น ไม่ได้บาดเจ็บมากแต่ก็ไม่ควรมีคนหลุดเข้ามาทำร้ายเลสลีย์ได้..." เอริคเอ่ยตอบเบลเลอมอนท์แทนคนเจ็บที่เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา อาการแปลกๆของเลสลีย์ที่มีให้เห็นมาหลายวันมันมักจะชัดขึ้นทุกทีในยามที่มีรีส เบลเลอมอนท์อยู่ในรัศมีสายตา
"โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก" เบลเลอมอนท์ว่าพลางหันไปกระซิบสั่งคนสนิทที่มาด้วยอย่างลาคลันให้ออกไปจัดการเรื่องข้างนอกให้เรียบร้อย
"ยังไงคืนนี้ฉันก็คงต้องมาอยู่เป็นเพื่อนเลสลีย์" โจชัวเสนอตัวเองขึ้นมาอย่างไม่ต้องรอคำสั่งใดๆ จากที่ได้พูดคุยกับเลสลีย์ก่อนหน้านี้มันก็ทำให้โจชัว คาร์ลิน ไม่วางใจเท่าไหร่กับเรื่องที่เกิดขึ้นอีกต่อไป
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะว่าในระหว่างที่หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ไม่อยู่เพียงไม่กี่วันนั้นมันจะเกิดเรื่องราวที่น่าปวดหัวได้มากมายขนาดนี้
"พอจะจำลักษณะมันได้หรือเปล่าเลสลีย์?"
"ไม่... แม้แต่กลิ่นฉันยังไม่ได้กลิ่นด้วยซ้ำ" เลสลีย์ไม่ได้โป้ปดแต่ทุกอย่างที่เขาพูดนั้นคือเรื่องจริงทั้งสิ้น ฝีเท้าที่เบาขนาดที่ทำไม่ให้แอชเชอร์ที่กำลังนอนหลับอยู่ได้ยินและฝีมือการต่อสู้ที่น่าจะเชี่ยวชาญอยู่ไม่มากก็น้อยมันทำให้เลสลีย์เดาไม่ถูกเลยจริงๆว่าคือใคร
แววตากระหายที่จ้องมองเขายามที่ฝ่ามือนั่นบีบลงบนลำคอของเขามันไม่ได้มีร่องรอยของความปรานีเลยสักนิด หากไม่ได้มีดที่ซ่อนอยู่ใต้หมอนนั่น เลสลีย์เองก็คิดสภาพของตัวเองไม่ออกเช่นกันว่าจะเป็นอย่างไร
"แต่มันต้องมีแผลที่แขน.. เพราะฉันเป็นคนแทงมันลงไปกับมือเอง"
"งั้นก็คงหาไม่ยากเท่าไหร่ถ้าเป็นคนในหน่วย"
"ถ้ามันเป็นคนในหน่วยฉันก็คงจะยินดีมาก แต่ถ้าไม่ใช่.. นายก็คงต้องคิดแล้วนะเบลเลอมอนท์ว่านายหละหลวมเกินไปหรือเปล่าระหว่างที่ไทเลอร์ไม่อยู่ที่นี่"
เอริคเอ่ยติผู้ปกครองฟลัมอย่างไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้นด้วยความเห็นที่เป็นกลางมากที่สุด คนในหากควบคุมได้ยังคงไม่น่ากลัวทำกับคนนอกที่เหนือการควบคุม
"พูดให้ดีนะเมอร์เรย์.."
"...."
"ฉันเข้าใจว่านายเป็นกังวล แต่อย่าลืมว่าฉันไม่ใช่เชส.."
"มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พวกนายอย่ามามีปากเสียงกันจะดีกว่า" เลสลีย์ที่นั่งฟังอยู่นานเอ่ยแทรกขึ้นมา ก่อนจะหันไปสบตาคู่คมของเบลเลอมอนท์ที่จ้องมองตัวเองตั้งแต่แรก "อีกอย่างฉันเองก็จะระวังตัวเองให้มากกว่านี้"
"ค่อยสมกับเป็นคนของไทเลอร์หน่อย"
คำชมที่ฟังยังไงก็ดูจะค่อนขอดของรีส เบลเลอมอนท์ ยังคงปั่นหัวของแอชเชอร์ได้อยู่เสมอ แต่เจ้าตัวเองก็พยายามที่จะกดความรู้สึกที่ตัวเองอดทนมาตลอดหลายวันนี้ให้ลึกลงไปมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
"แต่ก็น่าเสียดายที่ฉันคงไม่ใช่นิยามที่เหมาะเท่าไหร่กับคนของไทเลอร์"
หลังจากที่เบลเลอมอนท์กลับออกไปแล้ว ก็หลงเหลือแต่เพียงโจชัวที่มาอยู่เป็นเพื่อนกับเลสลีย์ ไหนจะร็อคกี้เองก็ด้วยที่ตามติดแอชเชอร์ไม่ห่างนับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น ท่าทางกระวนกระวายไม่น้อยของมันยามที่เห็นเจ้านายตัวขาวนั้นไอโขลกอยู่กับพื้นห้อง พร้อมกับร่องรอยการต่อสู้ในห้องที่ดูไม่ได้
"ไหนว่าเจ้านี่มันไม่ถูกกับนาย ตั้งแต่มาฉันยังไม่เห็นมันเลิกเดินตามนายเสียทีเลยนะเลสลีย์"
"ไม่รู้สิ รักเป็นบางเวลา แกล้งเป็นบางเวลา จนบางทีก็คิดนะว่าร็อคกี้มันคิดกับฉันยังไง"
"มันก็อยู่กับนายมาก็พักใหญ่แล้ว ก็ไม่แปลกหรอกที่จะเฝ้าขนาดนี้"
"คอยป่วนน่ะสิไม่ว่า ป่วนตัวเดียวไม่พอ นี่พาเซเบอร์ซนด้วยอีก"
"เป็นธรรมชาติของมัน จะเลี้ยงให้อยู่ในขอบเขตตลอดคงอึดอัดตายชะมัด"
สิ่งที่โจชัว คาร์ลิน พูดมันก็ไม่ผิดนัก เพราะอะไรที่ถูกตีกรอบขึ้นมามันก็เท่ากับว่าเราต้องปฏิบัติตาม คิดๆดูแล้วก็คงจะเป็นตัวของเขาเองที่เข้าใจเรื่องนี้ไม่น้อยไปกว่าใคร เผลอๆอาจจะเข้าใจได้ดีกว่าทุกคนเสียด้วยซ้ำ
แต่มันก็น่าแปลกดีเหมือนกันที่ แอชเชอร์ เลสลีย์ สามารถอดทนกับความอึดอัดพวกนั้นมาได้ในตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา
ชีวิตที่มีคนกำหนดให้ตลอดมาจนกลายเป็นเรื่องปกติมันช่างแตกต่างกับตอนนี้ที่เขาได้รับอิสระอย่างเต็มที่
"สองสามวันมานี้นายดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีเรื่องอะไรที่ต้องกังวลขนาดนั้นเชียวหรือ?"
"นายว่าการที่ฉันมาอยู่ที่นี่มันสร้างความเดือดร้อนให้เชสมากขนาดไหน.." คนตัวขาวเอ่ยถามเสียงเบา ในขณะที่ฝ่ามือขาวนั้นบีบเข้าหากันแน่นก่อนจะพรั่งพรูลมหายใจหนักๆออกมา "แล้วการเป็นคนแดนเหนือของฉันมันดูไม่เหมาะสมมากใช่หรือเปล่า"
"ทำไมถึงถามฉันแบบนี้"
"ก็เพราะฉันคิดเรื่องนี้มาตลอดถึงได้อยากถามความคิดของนายดูบ้าง"
"ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม นายคิดว่าทุกอย่างมันจะสามารถราบรื่นได้โดยที่ไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลอย่างนั้นหรือ?"
"แล้วถ้าฉันยังยืนยันจะเป็นคนของแดนเหนือมันก็หมายความว่าฉันจะหลุดพ้นจากการเป็นคนของไทเลอร์ใช่ไหม.."
"แอชเชอร์"
"ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเร็วเกินไปเสียจนฉันหาคำตอบไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ที่แท้จริงของฉันกับเชสมันเกิดขึ้นตอนไหน"
ฉาบฉวย
ชั่วคราว
หรือ ไม่มีอยู่จริง
"ฉันไม่รู้ว่านายไปได้ยินอะไรมาบ้างนะเลสลีย์ แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของนายสองคน คนที่นายควรจะฟังและคุยด้วยมากที่สุดก็คือเชส"
"บางทีฉันก็คิดว่าตัวเองฟังเชสมามากพอแล้ว..."
เขาฟังทุกอย่างที่ไทเลอร์บอก เชื่อแทบจะทุกอย่างที่อีกฝ่ายพูดออกมา จะต้องโทษความโง่งมของตัวเองหรือโทษความน่าเชื่อใจของไทเลอร์ดีกันล่ะ
"มันเหลือบ่ากว่าแรงมากหรือที่นายจะฟังเชสอีกสักครั้ง"
"ถ้าเพื่อนนายโกหก.. แล้วฉันจะเหลือความไว้ใจอะไรให้เขากันอีก"
//////////
ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาหลายวันของเชส ไทเลอร์ แทบจะทำให้ทรูอัลฟ่าหนุ่มนั้นอยากจะชำระล้างร่างกายและพักผ่อนให้เต็มที่ แต่ทุกอย่างก็ดูจะต้องเป็นอันล้มเลิกไปโดนปริยายเมื่อคนสนิทอย่างโจชัวที่อยู่เดอะฮิลล์นั้นกลับเดินเข้ามาเอ่ยเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในหน่วยด้วยท่าทีที่ไม่สบายใจนัก
"เบลเลอมอนท์ได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเลสลีย์บ้างหรือเปล่า?" เจ้าของดวงตาดุเอ่ยถามด้วยเสียงที่เข้มขึ้น ก่อนจะเสยผมที่ปรกตัวเองขึ้นไปลวกๆหลังจากที่ถอดชุดคลุมตัวหนักที่แสนแกะกะนั้นออก
"ฉันไม่แน่ใจ.. แต่ดูท่าแล้วเลสลีย์เองก็ดูไม่ค่อยอยากจะเสวนากับรีสสักเท่าไหร่"
ไม่ต้องให้โจชัวยืนยันอะไร เชสก็พอมั่นใจได้ว่าพี่ชายของตัวเองต้องเข้าไปวุ่นวายกับแอชเชอร์แน่ๆยามที่เขาไม่อยู่ ตัวปัญหาที่มาพร้อมกับเรื่องนี่มันโคตรจะเหมาะกับเบลเลอมอนท์จริงๆ
"ปล่อยให้คลาดสายตาไม่ได้เลยจริงๆสินะ"
ยิ่งยามที่โจชัวเอ่ยถึงเรื่องคนที่บุกเข้าไปทำร้ายแอชเชอร์ เลสลีย์ ให้ไทเลอร์ฟังก็ยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งใบหน้าและแววตาที่บ่งบอกว่าไทเลอร์กำลังฉุนจัดนั้นคงไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้สักเท่าไหร่ ยกเว้นก็เสียแต่....
"นายกลับมาเร็วกว่าที่คิดนะเชส.."
เบลเลอมอนท์ตัวต้นเรื่องยังคงเดินเข้ามาหาเชส ไทเลอร์ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตามนิสัยของเจ้าตัว ซึ่งนั่นก็ทำให้ไทเลอร์ดันหน้าอกของอีกฝ่ายออกอย่างไม่เกรงใจสายตาของคนอื่นที่มอง
"นายยุ่งอะไรกับแอช.."
ไทเลอร์ถามอีกฝ่ายด้วยระดับเสียงที่เพียงพอให้ได้ยินกันแค่สองคน แต่ก็ต้องฉุนจัดมากกว่าเดิมเพราะรอยยิ้มและคำตอบที่ได้รับจากพี่ชายตัวปัญหา
"ก็แค่บอกความจริงอะไรนิดหน่อยที่เลสลีย์สมควรจะรู้เกี่ยวกับน้องชายของฉัน.."
"อย่าแส่.."
"แค่นี้ถึงกับต้องหยาบคายใส่กันเลยหรือ"
"ความรู้สึกของแอช.. ไม่ใช่เรื่องที่นายสมควรเอามาล้อเล่นสักนิดรีส"
หัวหน้าหน่วยขบกรามแน่นเพื่อสะกดอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านของตัวเอง แม้ใจจริงนั้นไทเลอร์จะอยากต่อยปากของพี่ชายตัวเองสักเท่าไหร่แต่เจ้าตัวก็ทำได้แค่กำหมัดเอาไว้แน่นจนมือนั้นสั่นไปหมด
"งั้นนายก็คงต้องย้อนถามตัวเองเอาแล้วล่ะเชส ว่าที่ผ่านมานายเอาความรู้สึกของเลสลีย์มาล้อเล่นมากแค่ไหนกัน"
นานเท่าไหร่กันแล้วที่เชส ไทเลอร์ ไม่เคยรู้สึกว่าการเดินกลับบ้านพักของตัวเองมันจะทำให้ตัวเองว้าวุ่นได้มากมายขนาดนี้ จิตใจร้อนรนที่กระวนกระวายไปต่างๆนานาถึงคนที่อยู่ในบ้านพักนั้นทำให้ทรูอัลฟ่าหนุ่มแทบอยากจะตะโกนออกมาดังๆให้สมกับความหงุดหงิดและความร้อนรนที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ภายในจิตใจ
บานประตูไม้ที่มีร่องรอยขีดข่วนของเล็บสัตว์ที่ขูดนั้นก็คงไม่พ้นเจ้าร็อคกี้ที่คงจะมาลับเล็บของตัวเองเล่นยามที่ไทเลอร์นั้นไม่อยู่บ้าน ภายในบ้านนั้นยังคงเงียบเชียบเสียจนเหมือนไม่มีคนอยู่
แต่ทว่าเสียงเดินที่ดังอยู่ด้านบนเบาๆนั้นก็ทำให้ไทเลอร์รับรู้ได้ว่าแอชเชอร์ เลสลีย์ คงอยู่บนห้องนอนเป็นแน่ และไม่กี่วินาทีต่อมาทรูอัลฟ่าหนุ่มก็ได้รับแรงกระแทกไม่น้อยเข้าที่ช่วงขาของตัวเองจากเจ้าวูล์ฟด็อกตัวขาวที่ตัวเองสั่งให้มันอยู่เฝ้าเลสลีย์
พวงหางสีขาวยังคงส่ายไปมาแสดงอาการดีใจที่ได้พบเจอเจ้านายของมันจนเชสเองก็รับรู้ได้ว่าเจ้าวูล์ฟด็อกตัวขาวนั้นมีความสุขมากแค่ไหนในตอนนี้
"ออกไปเล่นกับโอนิคส์ก่อนร็อคกี้" เชสโบกมือไล่เจ้าตัวขาวปลอดทั้งที่ใจจริงนั้นอยากจะนั่งเล่นกับมันเสียด้วยซ้ำ แต่ติดที่ว่าตอนนี้สิ่งที่เจ้าตัวควรทำมากที่สุดก็คงจะเป็นการพูดคุยกับเลสลีย์
ขายาวก้าวเดินขึ้นไปด้านบนของบ้านพักด้วยฝีเท้าที่เงียบเชียบเหมือนดั่งปกติ ก่อนจะพบว่าประตูห้องนอนของตัวเองนั้นยังคงเปิดกว้างทิ้งไว้ เดาได้ว่าคงจะเป็นเลสลีย์เองที่เปิดทิ้งไว้เพื่อให้ร็อคกี้วิ่งเข้าออกได้อย่างสบายๆ
แผ่นหลังของอัลฟ่าแดนเหนือที่หันหลังให้ผู้ที่มาใหม่ คงไม่ทำให้เชส ไทเลอร์หยุดยืนนิ่งเท่ากับภาพของไหล่ขาวที่อยู่ภายใต้เสื้อสีขาวสะอาดนั้นที่กำลังสั่นเทา เสียงหลุดสะอื้นแผ่วเบาที่เล็ดลอดหลุดออกมาจากริมฝีปากของเลสลีย์ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกบาดลึกเข้าไปในจิตใจของคนที่ต้องรับฟัง
"ถ้าหากจะรัก ก็ควรรักที่ฉันเป็นฉันไม่ใช่ใครอื่น.."
เสียงนุ่มที่สั่นจนแทบฟังไม่รู้ความนั้นชัดเจนยังคงชัดเจนเต็มหูทั้งสองข้างของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์
"แอช..."
เสียงเรียกจากน้ำเสียงที่แสนคุ้นเคยทำให้คนที่กำลังตัดพ้ออยู่กับตัวเองเพียงคนเดียวนั้นชะงักงัน ร่างกายที่สั่นสะท้านเพราะแรงสะอื้นก่อนหน้ากลับแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็งไม่ให้ขยับไปไหน ฝ่ามือขาวยังคงมีแผ่นกระดาษที่ตอนนี้เนื้อหาในกระดาษนั้นเลอะเทอะจนอ่านไม่ออกไปด้วยน้ำตาของเจ้าตัวที่หยดลงไปจนทำให้หมึกนั้นกระจายไปหมด
อัลฟ่าแดนเหนือยอมหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับทรูอัลฟ่าหนุ่มหลังจากที่กลืนก้อนสะอื้นที่จุกขึ้นมาบริเวณลำคอของตัวเองลงไปอย่างกล้ำกลืน ใบหน้ารูปสลักนั้นแดงก่ำไปหมดทั้งใบหน้า และโดยเฉพาะขอบตาสวยที่แดงช้ำกว่าส่วนอื่น ทางด้านไทเลอร์เองนั้นก็นิ่งไปไม่น้อยเช่นกันเมื่อเห็นคนตัวขาวนั้นร้องไห้ จวบจนสายตาของเจ้าตัวนั้นไล่ไปเจอกับกระดาษที่อยู่ในมือของเลสลีย์ จึงทำให้ขายาวสาวเท้าเข้าไปใกล้และกระชากกระดาษแผ่นนั้นออกมาจากมือขาว
"ไปเอามันมาจากไหน"
เสียงแข็งกร้าวของไทเลอร์ไม่ได้ช่วยทำให้เลสลีย์ตอบคำถามแต่อย่างใด เพราะการกระทำที่ตรงข้ามนั้นกลับเรียกแรงกระชากที่จับเข้าที่ข้อมือขาวไม่น้อย เมื่อแอชเชอร์ เลสลีย์ นั้นจะก้าวเดินหนีทรูอัลฟ่าหนุ่ม
"จะเอามาจากไหน มันยังสำคัญเท่าสิ่งที่อยู่ในนั้นอีกหรือ..." เลสลีย์เอ่ยถามคนที่เอาแต่จ้องตัวเองตาเขม็ง
จดหมายที่ไม่ได้ถูกส่งไปให้ผู้รับที่เชส ไทเลอร์เป็นคนเขียนเองกับมือ ทำไมคนตัวขาวจะจำลายมือของอีกฝ่ายไม่ได้กันล่ะ จะต้องขอบคุณเบลเลอมอนท์กันดีหรือเปล่าที่ช่วยหาหลักฐานมายืนยันให้กับแอชเชอร์ เลสลีย์ เพื่อคลายความข้องใจ เจ้าตัวได้รับมันมาเมื่อวันก่อนแต่กลับไม่กล้าเปิดอ่านเพราะกลัวความจริงที่จะได้รับรู้
จนสุดท้ายแล้วความอยากรู้ของคนตัวขาวเองก็ทำให้เจ้าตัวนั้นตัดสินใจเปิดจดหมายที่ได้รับมา...
'รักของฉันไม่เคยต้องการการตอบรับของนาย... หากมีสิ่งใดที่ฉันพอจะช่วยนายได้ ฉันเองก็ยินดีช่วยเหลือนายด้วยความเต็มใจ'
ทุกอย่างในจดหมายนั่นมันชี้ชัดแล้วถึงเหตุผลที่แอชเชอร์เฝ้ารอคำตอบมาหลายต่อหลายวัน...
เนื้อความในจดหมายที่มากกว่านั้น ยิ่งอ่านก็ยิ่งบั่นทอนความเชื่อใจที่เหลือน้อยเต็มทีของเลสลีย์
"ฉันถามว่าเอามาจากใคร..."
ทรูอัลฟ่าหนุ่มกดเสียงเข้มกว่าครั้งก่อนจนทำให้เลสลีย์ตัวขาวปิดปากเงียบ แม้จะเจ็บที่ข้อมือที่ถูกบีบแต่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวยอมเอ่ยอะไร จนเป็นเชส ไทเลอร์เองที่ไล่ต้อนอีกฝ่ายให้จนมุม
"ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วมั้งไทเลอร์... หรือนายมีเรื่องอะไรที่จะหลอกฉันอีกกัน"
"ฉันไม่สนว่านายจะไปฟังอะไรมา แต่ตอนนี้นายต้องฟังฉัน!"
แววตาที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความผิดหวังและแสดงท่าทีรังเกียจนั้นมันกำลังทำให้ไทเลอร์คุกรุ่นหนักยิ่งกว่าเก่า
"ถ้าฉันฟังแต่นาย แล้วฉันต้องโง่ต่อไปอีกสักเท่าไหร่กว่าจะได้รู้ว่าที่แท้จริงแล้วนายเคยรักอาร์ธ!"
ฝ่ามือขาวกระชากคอเสื้อของทรูอัลฟ่าหนุ่มอย่างแรงจนมันแทบจะขาดคามือของเจ้าตัว ความเดือดดาลที่ไม่สามารถระงับได้อีกต่อไปนั้นคงต้องโทษไทเลอร์ที่เป็นตัวกระตุ้นเลสลีย์ได้เป็นอย่างดี
"ก็แค่เคยรัก"
ไทเลอร์ตอบกลับมาอย่างไม่ต้องคิด ในขณะที่มือใหญ่นั้นยกแผ่นกระดาษที่กระชากออกมาจากมือขาวในก่อนหน้านี้ แล้วฉีกมันทิ้งต่อหน้าเลสลีย์คนเล็ก
"เลิกรักได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ รักแรกของนายน่ะ..."
คนอย่างเชส ไทเลอร์ จะลืมรักแรกของตัวเองได้ง่ายขนาดนั้นมันเป็นไปได้หรืออย่างไร ทั้งนิสัยที่มั่นคงและซื่อสัตย์ในความรู้สึกของตัวเองมันแทบไม่มีความเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำที่ไทเลอร์จะเปลี่ยนใจได้ง่ายๆ
"แล้วฉันไม่มีสิทธิ์เริ่มต้นใหม่หรือยังไงกัน"
"เริ่มต้นใหม่หรือเห็นฉันเป็นแค่ตัวแทนอาร์ธ?"
ฟังดูเหมือนเป็นเลสลีย์ที่กำลังหาเรื่อง แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้คำพูดเช่นไรในตอนนี้ถึงจะเหมาะสม
"แอชเชอร์..."
"ที่ช่วยฉันก็เพราะเขา.. ทำทุกอย่างก็เพราะเขาใช่หรือเปล่า..."
"ถ้าไม่ใช่เพราะอาเธอร์ แล้วฉันควรต้องใช้เหตุผลอะไรในการช่วยเหลือนายกัน ฉันไม่เคยรู้จักนายมาก่อน รู้ก็แต่เพียงว่าอาเธอร์มีน้องชาย และที่ฉันช่วยนายตอนนั้นฉันเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายคือแอชเชอร์ เลสลีย์.."
"นายตอบได้แค่นี้หรือเชส คำตอบที่นายพูดออกมาลองย้อนคิดดูดีๆแล้วกันว่ามันหมายความว่ายังไง"
"เพราะฉันรู้ไงว่าถ้านายรู้แล้วจะต้องเอามันมาคิดมากขนาดนี้ ฉันถึงไม่พูด.."
"ฉันเคยบอกนายไม่ใช่หรือว่าขอแค่ไม่โกหกกัน..."
"....."
"จะเรื่องอะไรก็ช่างแต่ขอแค่อย่าทำเหมือนฉันเป็นคนโง่"
"...."
"นี่หรือคือสิ่งตอบแทนที่ฉันควรได้รับจากความเชื่อใจ..."
ใบหน้ารูปสลักของเลสลีย์คนเล็กซบลงเข้ากับไหล่กว้างของทรูอัลฟ่าผิวสีแทนที่เลื่อนวงแขนมาโอบกอดร่างกายที่สั่นเทาของตัวเอง เสียงสะอื้นไห้ฟังเหมือนจะขาดใจนั้นดังชัดเจนอยู่ข้างหูเสียจนหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ได้แต่ยืนนิ่งเงียบ เพื่อปล่อยให้อีกฝ่ายพูดทุกอย่างออกมา
"ไม่เชื่อใจฉันแล้วหรือแอช..."
"คนที่ทำลายความเชื่อใจกับมืออย่างนาย ยังกล้าถามหาความเชื่อใจพวกนั้นอีกหรือ"
"เรื่องฉันกับอาเธอร์มันไร้สาระเกินกว่าที่นายจะต้องเอามาใส่ใจ...."
"นายมีโอกาสตั้งหลายครั้งที่จะบอกฉันเรื่องนี้ แต่นายก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงมันมาตลอด นายคงไม่เข้าใจหรอกว่าความรู้สึกตอนที่ต้องรู้ทุกอย่างจากปากคนอื่นมันเจ็บปวดมากแค่ไหน กี่วันที่ฉันต้องเฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา นายรู้บ้างไหม"
"ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างนายจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบอาเธอร์"
"แล้วมันเปรียบได้ไหมล่ะ..."
"อย่าคิดแบบนั้น.." ริมฝีปากได้รูปจูบซับบริเวณข้างขมับขาวในขณะที่ฝ่ามือข้างขวาของไทเลอร์นั้นก็เลื่อนขึ้นมาสัมผัสร่องรอยช้ำที่บริเวณลำคอขาว "แล้วเจ็บมากหรือเปล่า" เสียงแหบต่ำเอ่ยถามคนที่มีร่องรอยแดงช้ำด้วยความเป็นห่วงแต่อีกฝ่ายก็ทำเพียงแค่ส่ายหน้าไปมาช้าๆ
"พอลองคิดทบทวนดูแล้ว ฉันก็คิดได้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเร็วเกินไปสำหรับเราทั้งคู่..."
"เวลามันไม่สำคัญเลยสักนิดสำหรับความรู้สึกของคนเรา"
"ทุกอย่างมันผิดไปหมดตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม แล้วมันจะแปลกอะไรที่มันจะจบ"
"อย่าพูดคำนั้นออกมา..."
"แล้วฉันควรเอาความเชื่อใจที่ไหนมาเชื่อนายกันอีก นายมาเป็นฉันที่ต้องเปิดรับแล้วต้องเจ็บปวดกับปัญหาที่เข้ามาดูบ้างดีไหม"
"...."
"ฉันฝืนความกลัวในใจของตัวเองก็เพราะเชื่อใจนาย เชื่อว่าทุกอย่างมันจะต้องผ่านไปได้ดีถ้ามีนาย แต่ดูสิ่งที่ฉันได้รับสิ"
เขาสามารถก้าวผ่านความรู้สึกหวาดกลัวในความรักที่ฝังลึกอยู่ในใจออกมาได้ก็เพราะไทเลอร์ แต่ก็เป็นไทเลอร์อีกเช่นกันที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะก้าวถอยหลังกลับไปอยู่ในจุดเดิมที่ตัวเองเคยตั้งกำแพงเอาไว้
"ฉันขอโทษ... ขอโทษที่คิดว่ามันคงเป็นแค่เรื่องไม่เป็นเรื่องที่นายไม่จำเป็นต้องรู้"
ร่างกายแข็งแรงที่เคยตระกองกอดแอชเชอร์ เลสลีย์ นั้นทรุดลงสวมกอดเอวได้รูปของอัลฟ่าตัวขาวก่อนจะซุกใบหน้าลงกับหน้าท้องของอีกฝ่าย โดยที่เจ้าของร่างกายที่ถูกสวมกอดนั้นได้แต่บีบไหล่กว้างของไทเลอร์แน่น
"...."
"แต่ฉันอยากให้นายรู้ไว้ว่าถ้าให้เลือกได้ฉันก็ยังอยากที่จะโกหกและไม่บอกนายเรื่องนี้ต่อไป เพราะถ้ามันต้องแลกกับการที่ทำให้นายต้องเสียใจและคิดมากขนาดนี้ ฉันเองก็คงไม่เสี่ยงเอาความรู้สึกของนายมาล้อเล่นเช่นกัน..."
"นายมันแย่ รู้ตัวบ้างไหมเชส.."
"ฉันรู้..."
"ถ้าฉันวู่วามกว่านี้อีกสักนิด นายคงไม่มีวันได้เจอฉันอีกด้วยซ้ำ..."
"อย่าพูดเหมือนนายจะหนีฉันไปแบบนี้สิคนดี"
"ใครว่าฉันไม่อยากหนี.. ตั้งแต่วันแรกที่ฉันรู้ ฉันก็อยากออกไปจากที่นี่แทบตาย ทั้งโกรธทั้งเกลียดที่นายเอาแต่โกหกฉันจนต้องให้คนอื่นมาพูด"
"แต่นายก็ไม่หนีไป.."
"เพราะลึกๆแล้วฉันเองก็ยังหวังว่าคำสัตย์ของนายมันจะมีความจริงหลงเหลืออยู่..."
ใบหน้าของทรูอัลฟ่าหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนที่ก้มมองใบหน้าตัวเองก่อนที่จะเป็นไทเลอร์เองที่กดจูบลงบนหน้าท้องบางผ่านผ้าเนื้อบางที่อีกฝ่ายสวมใส่
"นั่นก็หมายความว่านายรักฉันแล้วเหมือนกันใช่ไหม.."
"นายต่างหากที่ควรพูดคำพวกนั้นออกมาก่อน"
อัลฟ่าแดนเหนือว่าพลางใช้หลังมือเช็ดน้ำตาของตัวเองที่เริ่มจะหยุดไหล แต่ก็ถูกฝ่ามือสีเข้มนั้นคว้าไปกอบกุมไว้เสียก่อน
"ให้อภัยฉันคนนี้ได้ไหมคนดี.."
"....."
คำพูดที่แสนจะอ่อนหวานในท้ายประโยคนั้นยังคงใช้ไม่ได้ผลกับคนที่กำลังขุ่นเคืองไทเลอร์จนถึงกับร้องไห้
"ฉันอาจจะเคยชอบความเข้มแข็งอย่างที่เคยบอกนายไป แต่ว่าตอนนี้ฉันว่าจริงๆแล้วฉันหลงรักคนที่ละเอียดอ่อนในจิตใจแต่กลับเข้มแข็งได้อย่างน่าทึ่งอย่างนายมากกว่า"
ความเข้มแข็งที่ปะปนอยู่กับความอ่อนไหวของเลสลีย์นั้นมันไม่ได้มากไม่ได้น้อยจนทำให้อีกฝ่ายดูแย่เลยสักนิด ยิ่งไทเลอร์เห็นว่าแอชเชอร์ เลสลีย์ นั้นอดทนกับพี่ชายของตัวเองได้โดยที่ไม่ได้ตอบโต้และรอคอยคำตอบจากตัวเองจนถึงที่สุดได้ขนาดนี้ก็นับว่าโชคดีมากแค่ไหนที่เขาได้ครอบครองคนๆนี้
"ฉันรักนายที่เป็นนาย.. นายที่เป็นแอชเชอร์ เลสลีย์ ไม่ใช่ อาเธอร์ เลสลีย์"
"......"
"สำหรับรักแรกฉันอาจจะไม่เคยคิดครอบครอง แต่สำหรับนายมันทำให้ฉันอยากครอบครองทุกอย่างเลยด้วยซ้ำแอชเชอร์.."
"ทำให้ได้อย่างที่พูดก่อนดีกว่าไหม..."
แววตาที่ยังคงฉายแววสับสนและสั่นไหวดั่งเช่นความรู้สึกของคนที่แสนเปราะบางในจิตใจยังคงดูสวยงามไม่แพ้ยามที่อีกฝ่ายแข็งแกร่งเลยสักนิด
แม้คราแรกไทเลอร์จะโกรธไม่น้อยก็ตามที่ถูกพี่ชายตัวเองปั่นหัวจนเกิดปัญหาใหญ่ แต่ใครจะคิดกันว่าปัญหาพวกนี้ที่เบลเลอมอนท์สร้างขึ้นมาจะทำให้แอชเชอร์ เลสลีย์ แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาได้มากขนาดนี้
"ถ้าไม่มากเกินไป นายน้อยจะรังเกียจกันหรือเปล่าที่ต้องใช้นามสกุลไทเลอร์"
"เชส..."
"เกียรติของไทเลอร์มันคงมีมากพอที่จะทำให้นายน้อยเต็มใจเปลี่ยนเป็นแอชเชอร์ ไทเลอร์"
TALK : ก็ไม่ได้ใจร้ายกับน้องแอชขนาดนั้นหรอกคับ ทิชชู่สามกล่องที่เคยบอกใช้แค่ครึ่งกล่องก็พอแล้วเนี่ย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in