** ตัวละครเพิ่มเติม รีส เบลเลอมอนท์ = แทยง , ลาคลัน คาร์เตอร์ = ยูตะ **
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เดอะฮิลล์ก็ยังคงมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง จนแทบไม่มีวันไหนเลยด้วยซ้ำที่แอชเชอร์จะไม่รู้สึกถึงความชื้นของสภาพอากาศรอบตัว นับว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับแอชเชอร์ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาที่เจ้าตัวมักจะชอบนั่งทอดมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อปลดปล่อยความคิดของตัวเอง
หยดน้ำเล็กใหญ่นั้นกลิ้งกลอกอยู่บนใบไม้สีเขียวกันให้ถ้วนหน้า หยาดฝนเม็ดเล็กเองก็ยังคงตกพรำๆทำให้อัลฟ่าแดนเหนืออดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปรับสัมผัสความเย็นๆของน้ำฝนนั้น ความชุ่มฉ่ำทำให้ร่างโปร่งรู้สึกได้ปลดปล่อยเรื่องที่คิดมากมาตลอดหลายวัน ถึงว่าทำไมเวลาฝนตกลงมาทีไรเจ้าตัวถึงมักจะได้เห็นพวกเกรย์วูล์ฟออกมาวิ่งเล่นน้ำฝนกันให้วุ่นวายไปเสียหมด
หลังจากผ่านพ้น..ไม่สิ จะเรียกว่าผ่านพ้นมันก็คงพูดไม่ได้เต็มปาก ความสัมพันธ์ที่มากเกินไปทางด้านร่างกายระหว่างอัลฟ่าแดนเหนือและหัวหน้าหน่วยนั้นต่างสร้างความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิมให้กับคนทั้งคู่
เลสลีย์ที่ยังคงเอาแต่ปฏิเสธและยืนกรานกับไทเลอร์ที่แสดงความชัดเจนกับอัลฟ่าแดนเหนือมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลับกลายเป็นคำถามที่แอชเชอร์ฉุกคิดขึ้นมาในหัวซ้ำไปซ้ำมา
'ไทเลอร์ทำแบบนี้เพื่ออะไร?'
คำถามที่ใครก็คงตอบไม่ได้นอกจากหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์คนเก่ง ที่มักจะแสดงออกทางการกระทำมากกว่าคำพูด จนบางทีมันก็น่าหงุดหงิดที่การกระทำนั้นมันไม่ได้ช่วยให้เข้าใจเท่ากับคำพูด
"ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า.." ใบหน้ารูปสลักของคนที่กำลังนั่งมองออกไปด้านนอก หันกลับมามองใครอีกคนซึ่งเดินเข้ามาในห้อง
"แค่ยังรู้สึกเสียดๆอยู่ก็เท่านั้น" มันค่อนข้างจะน่าหงุดหงิดไม่น้อยเลยล่ะที่ไอ้ความเจ็บจากเรื่องนั้น มันทำให้แอชเชอร์ เลสลีย์ รู้สึกว่าขานั้นไม่ใช่ของตัวเองไปเสียหลายวัน ความรู้สึกตอนที่ยืนขึ้นมาแล้วขานั้นสั่นเทา เจ้าตัวเองก็ยังคงจำได้ดี
"อืม.." ไทเลอร์ครางรับในลำคอ "ยังไงก็อย่าลืมกินยา ถ้านายไม่อยากโดนริคบ่น" หัวหน้าหน่วยเอ่ยต่อก่อนจะวางยาชุดหนึ่งที่เอริคได้จัดเตรียมไว้ให้ ซ้ำยังกำชับให้เลสลีย์กินยาอย่างต่อเนื่อง
"ให้ฉันย้ายไปอยู่ที่บ้านพักรับรองได้หรือเปล่า.." อยู่ๆเลสลีย์ก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีเกริ่นนำใดๆทั้งสิ้น "บอกตามตรงว่าตอนนี้ฉันอึดอัด.."
ยิ่งอาศัยอยู่ร่วมบ้านเดียวกันมันก็ช่างยากลำบากที่จะมองหน้ากัน ก่อนหน้าว่าแย่แล้วตอนนี้คงแย่ยิ่งกว่าเดิมจนต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกได้
"นายต้องอยู่ที่นี่" เชส ไทเลอร์ ตอบกลับเพียงสั้นๆ
"แต่ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่" แอชเชอร์ไม่ได้อยากหนีปัญหา แต่ปัญหาที่ต้องเผชิญต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันหนักหนาเกินไป
"ในเมื่อนายเป็นคนของไทเลอร์ ก็ต้องอยู่ที่นี่น่ะถูกแล้ว" เจ้าของดวงตาคมว่าเสียงเรียบ "นายจะยอมรับหรือไม่ยอมรับนั่นมันก็แล้วแต่นาย แต่ฉันยังยืนยันว่านายถือเป็นคนของฉันแล้ว"
การผูกมัดงี่เง่านี่มันไร้สาระสิ้นดี..
"งี่เง่า" เลสลีย์คนเล็กเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว "ฉันไม่คิดเลยว่าคนอย่างนายจะใส่ใจเรื่องงี่เง่าพวกนี้"
"นายกำลังบอกว่าการที่ฉัน
ใส่ใจนายเป็นเรื่องที่งี่เง่า?"
"ใส่ใจอะไรของนายกัน"
"....."
"นายไม่มีสิทธิ์มากักตัวฉันไว้ที่นี่ด้วยซ้ำ อย่าลืมสิว่าวันนึงฉันก็ต้องกลับไปที่นั่น"
"อยากกลับไปไรเนอร์ขนาดนั้นเลยหรือ?"
ไรเนอร์ที่เลสลีย์ว่าก็คือชื่อเมืองในแดนเหนือซึ่งนับว่าเป็นศูนย์กลางของดินแดนที่หนาวเหน็บ และที่นั่นก็คือบ้านเกิดของแอชเชอร์ เลสลีย์ อย่างปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน
"แล้วนายคิดว่าคนต่างแดนอย่างฉัน อยากอยู่ที่นี่นักหรือไง"
ไรเนอร์คือบ้านเกิดของแอชเชอร์ เลสลีย์ หากไม่กลับไปที่นั่นเขาเองก็ไม่อยากจะอยู่ที่ไหนอีก ต่อให้แดนเหนือจะเป็นที่ๆอันตรายมากแค่ไหนก็ตามและคำตอบของแอชเชอร์ก็ทำให้ไทเลอร์ได้แต่ยิ้มเยาะสมเพชตัวเอง ฟังดูแล้วก็ชัดเจนดีเหมือนกันแต่ในฐานะคนที่เป็นหัวหน้าหน่วยเองก็รู้สึกแย่นิดหน่อยที่อัลฟ่าแดนเหนือตรงหน้านั้นดูจะไม่แยแสเลยสักนิด
"ความจงเกลียดจงชังที่นายมีกับแดนใต้ มันคงลบล้างไม่ได้เลยสินะ.."
ชั่ววินาทีนั้นแอชเชอร์คิดว่าตัวเองเห็นร่องรอยของความเจ็บปวดบางอย่างภายใต้ดวงตาคม ทั้งคำพูดของไทเลอร์เองก็ทำให้อัลฟาแดนเหนือรู้สึกยุบยิบในใจแปลกๆ แต่ก็ยังคงตีหน้านิ่งสนิทใส่อีกฝ่ายเหมือนเดิม
แอชเชอร์ไม่ได้จงเกลียดจงชัง แต่เขาแค่...
"ความผิดของนายเอง มันก็ลบล้างไม่ได้เหมือนกัน"
"ต่อนายจะยกโทษให้ ฉันก็คงให้อภัยตัวเองไม่ได้หรอกเลสลีย์" รอยยิ้มเย้ยหยันที่ประดับอยู่บนริมฝีปากของไทเลอร์นั้นให้ความรู้สึกขมขื่นเสียจนไม่น่ามอง
"จริงๆแล้วคนอย่างนายไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อความผิดของตัวเองด้วยซ้ำ ทำไมนายถึงไม่เลือกที่จะเมินเฉยเสียทั้งที่นายก็ทำได้"
"ฉันดูเป็นอัลฟ่าแบบที่นายเคยเจอมากไหม?"
คำถามของไทเลอร์ทำให้คนตัวขาวซีดฉุกคิดขึ้นมาในทันที ถ้าตัดเรื่องกวนประสาทของไทเลอร์ออกไปแล้วล่ะก็ จริงๆแล้วอัลฟ่าแดนใต้นี่ก็ถือว่าเป็นอัลฟ่าที่แตกต่างจากอัลฟ่าปกติโดยสิ้นเชิง ซ้ำยังเป็นทรูอัลฟ่าที่มีอำนาจมากเสียด้วย
"...."
"แต่ฉันก็คงห้ามความคิดของนายไม่ได้อยู่ดี ฉันลืมไปว่าคนแบบนายมันไม่เคยฟังใคร"
คำพูดที่กระแทกแดกดันกับดวงตาที่กำลังติเตียนของไทเลอร์นั้น ดูเหมือนจะเป็นสิ่งทำให้คนตัวขาวสะอึกไปไม่น้อย คำพูดของไทเลอร์นั้นมันเหมือนกับของพี่ชายของตัวเองไม่มีผิด
"นายพูดเหมือนกับอาเธอร์"
"ฉันก็พูดไปตามที่รู้สึก.." ไทเลอร์ยังคงจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง "การที่นายเป็นตัวของตัวเองย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้านายคิดและใคร่ครวญสักนิดมันจะยิ่งทำให้นายก้าวนำหน้าคนอื่น"
"นายยังไม่รู้จักฉันดีพอด้วยซ้ำ ไทเลอร์"
"เหมือนที่นายเองก็ยังไม่รู้จักฉัน.."
เวลาที่ผ่านมาแค่นี้มันไม่ได้หมายความว่าคนอย่างเชส ไทเลอร์ จะมองแอชเชอร์ เลสลีย์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง... และแอชเชอร์เองก็ยังไม่รู้จักทรูอัลฟ่าตรงหน้ามากพอเช่นกัน เราทั้งคู่ต่างยังแสดงตัวตนของตัวเองแค่เพียงที่อยากให้คนอื่นได้รับรู้
/////
ทรูอัลฟ่าหนุ่มเจ้าของผิวสีแทนเข้มตรงมายังห้องทำงานของตัวเองในทันที หลังจากจัดการเรื่องที่บ้านเสร็จเรียบร้อย ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงการกำชับให้เลสลีย์นั้นอยู่บ้านแทนที่จะออกไปข้างนอกตามใจ สภาพบรรยากาศรอบๆยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก แม้จะยังคงมีฝนตกพรำๆแต่คนในหน่วยก็ยังคงออกมาทำหน้าที่กันเป็นปกติ แว่วเสียงตะโกนสั่งงานของลูฟยังคงลอยเข้ามาในหูของเชสเป็นระยะ พอๆกับที่หางตาคมนั้นยังเห็นโจชัวกำลังเดินคุมคนในหน่วยที่ต้องฝึกในวันนี้
ละอองฝนที่หยดลงบนเส้นผมสีอ่อนทำให้เส้นผมของทรูอัลฟ่าหนุ่มนั้นดูเปียกหมาดๆ จนเจ้าตัวต้องขยี้ผมลวกๆเมื่อเดินเข้ามาถึงส่วนกลางของหน่วย เสียงรองเท้าที่กระทบกับพื้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอดังก้องไปทั่วทางเดินที่เงียบสงบ ไฟที่ถูกจุดจากคบเพลิงสองข้างทางยังคงเป็นตัวช่วยอำนวยความสว่างในยามที่แสงแดดไม่อาจส่องผ่านเมฆฝนที่บดบัง
ประตูบานขนาดกลางถูกผลักเข้าไปด้วยฝีมือของเจ้าของห้อง ก่อนที่ทรูอัลฟ่าหนุ่มจะแทรกตัวเดินเข้าไปด้วยความเคยชิน แต่สิ่งที่ผิดแปลกในห้องซึ่งอยู่ในกรอบสายตาของเชส ไทเลอร์ ก็คงไม่พ้นเก้าอี้ที่ถูกจับจองด้วยใครบางคนซึ่งยกขาพาดกับโต๊ะทำงานซ้ำยังละเลียดชิมไวน์ในแก้วอยู่ แสงสว่างจากด้านนอกที่สะท้อนเข้ามาเป็นเงาพาดผ่านใบหน้านั้น ทรูอัลฟ่าหนุ่มก็จำได้ดีว่าคือใครกัน...
ฝ่ายคนที่จับจองเก้าอี้ของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์เมื่อรู้ว่ามีผู้มาใหม่เข้ามา เจ้าตัวก็ยังคงนิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเสียจนเป็นไทเลอร์เองที่ต้องเอ่ยปากก่อน ไม่อย่างนั้นวันนี้ก็คงไม่มีทางได้คุยกันเป็นแน่
"ลมอะไรหอบนายให้มาถึงที่นี่ได้ล่ะรีส"
ช่วงขายาวก้าวเดินเข้าไปใกล้กับโต๊ะทำงานของตัวเองมากขึ้นก่อนจะหยุดยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะ พร้อมๆกับใครอีกคนที่วางแก้วไวน์ในมือลงจนเกิดเสียงเบาๆขึ้น
"นี่คือทักทายของน้องชายใช้ทักพี่ชายงั้นหรือ?"
รีส เบลเลอมอนท์ หรือ รีส ไทเลอร์ เจ้าของเสียงทุ้มติดแหบเอ่ยหยอกเย้าเมื่อเห็นน้องชายของตัวเองนั้นยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ถึงอย่างนั้นการเป็นพี่น้องของทั้งคู่ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้สักคน กระทั่งคนสนิทเองก็ไม่สามารถรับรู้ และเท่าที่ที่ผ่านมามันก็เป็นเรื่องที่เชส ไทเลอร์ ปกปิดทุกคนได้อย่างแนบเนียนเสียจนไม่มีใครสงสัย
เพราะในสายตาคนอื่นแล้วเชส ไทเลอร์ ยังคงเป็นเพียงหนึ่งในทหารฝีมือดีของแดนใต้ที่รีส เบลเลอมอนท์ มักจะติดต่ออยู่ด้วยอยู่เสมอ...
"ก็คงงั้น" เชส ไทเลอร์ เอ่ยตอบพี่ชายด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ พลางเดินไปรินไวน์ใส่แก้วตัวเองบ้าง "แต่ยังไงฉันก็จะถามนายด้วยประโยคที่คล้ายเดิมนะรีส ว่านายมาที่นี่ทำไม?"
"ฉันจะมาเยี่ยมน้องชายบ้างไม่ได้หรือไง" ถ้าหากเชสเชื่อคำพูดของคนเป็นพี่แล้วล่ะก็มันคงเป็นเรื่องที่น่าตลกสิ้นดี
"มาเยี่ยมหรือมาวุ่นวาย?"
"ก็อาจจะทั้งสอง" เจ้าของเรือนผมสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ตอบพร้อมขยับมุมปากขึ้นยกยิ้มบางๆ
"ถ้านายจะมาก็ควรส่งข่าวมาบอกกันก่อน.. แล้วนี่นายมากับใคร?"
"มันกะทันหัน.. ฉันเลยมากับลาคลัน แล้วก็ทหารติดตามอีกสองคน" เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยขึ้นมาก็คงไม่พ้นคนสนิทของรีสที่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เสมอ ลาคลัน คาร์เตอร์ เป็นอีกหนึ่งคนที่เชสค่อนข้างจะให้ความเคารพอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกับพี่ชายจอมปั่นประสาท "ได้ข่าวว่าไล่คุณหนูวอลตันกลับโวกันงั้นหรือ?"
โวกันที่คนเป็นพี่ว่านั้นหมายถึงเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยกลางของแดนใต้ บ้านของโอเมก้าสาวที่เชส ไทเลอร์นั้นส่งตัวกลับไปเมื่ออาทิตย์ก่อน
"ไม่ปฏิเสธ" ไทเลอร์คนน้องตอบเสียงเรียบ "แต่นายก็รู้ข่าวเร็วดีนี่"
"เผื่อนายจะลืมว่าคนของฉันก็อยู่ในนั้น" ไทเลอร์คนพี่ตอบก่อนที่ดวงตาคมจะตวัดขึ้นมามองใบหน้าของน้องชายที่ยังมีสีหน้านิ่งสนิท "ไหนว่ามาสิ ว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้นายกล้าหักหน้าคุณหนูวอลตัน"
"นั่นคือคำถามของนายจริงๆ?" คนที่รู้ไส้รู้พุงกันดียิ่งกว่าอะไรแบบนี้ พอมาอ้อมค้อมให้ยุ่งยากแล้วเชสเองก็อดที่จะแขวะไม่ได้ "คนอย่างนายไม่น่าถามอะไรที่ไม่คิดแบบนี้เลยนะ"
"ปากยังดีเหมือนเดิมแห้ะ" อัลฟ่าเจ้าของเรือนผมสีเพลิงพรมนิ้วลงกับโต๊ะอย่างที่ชอบทำ ในขณะลิ้นยังคงดุนกระพุ้งแก้มไปมาเมื่อกำลังรู้สึกสนุกที่ได้ต่อปากต่อคำกับน้องชายตัวเอง "แต่ก็น่าเสียดาย ที่นายเอาตัวรอดไม่ได้เหมือนทุกที"
เชส ไทเลอร์ ไม่ปฏิเสธคำกล่าวหาของผู้เป็นพี่แต่อย่างใด หากรีส ไทเลอร์พูดมาแบบนี้แล้วล่ะก็ เจ้าตัวเองก็คงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเดอะฮิลล์ไม่มากก็น้อย เผลอๆอาจจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้วก็ได้
"แล้วถ้าฉันบอกว่ามันเกิดจากความตั้งใจส่วนหนึ่งล่ะ"
"มั่นใจแล้วหรือที่พูดแบบนี้ออกมา ความผิดมันไม่ค้ำคอนายบ้างหรือไง"
"นายก็รู้ว่าฉันไม่ศรัทธาในอะไรทั้งนั้น จะพระเจ้าหรืออะไรก็ไม่เคยมีผลมากำหนดการใช้ชีวิตของฉัน"
"นายนี่มันนอกรีตจริงๆ" แต่ทว่ามันก็ไม่ผิดหรอกที่คนอย่างไทเลอร์จะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่แปลกแต่ความคิดคนเราต่างหากที่แปลก "คิดดีแล้วใช่ไหมที่ทำมันลงไป.. ต่อให้คิดแก้ไขตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้วหรอกนะ"
"ย่อมเป็นอย่างที่นายว่า"
"ท่าทางอัลฟ่าแดนเหนือคนนั้น ดูจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้นายสนใจไม่หยอกสินะ"
รีส ไทเลอร์ รับรู้เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่มากพอสมควรจนเรียกได้ว่าเกือบทั้งหมด ทั้งเรื่องที่น้องชายตัวดีไล่ตะเพิดคุณหนูวอลตันกับโวกัน หรือ แม้กระทั่งเรื่องที่เชส ไทเลอร์เกิดอาการรัทจนได้เรื่องเองก็เช่นกัน
"ถ้าไม่มากพอ ก็คงไม่ทำให้นายมาหาฉันถึงที่นี่ได้หรอก"
"ถึงอย่างนั้นฉันก็คงห้ามอะไรนายไม่ได้อยู่ดี แต่ฉันขอเตือนไว้ก่อนเลยนะว่ามันไม่คุ้ม"
"คุ้มหรือไม่คุ้มมันอยู่ที่ฉันไม่ใช่นาย"
"แบบนี้ฉันก็อดทำหน้าที่พี่ชายที่แสนดีเลยน่ะสิ..." ความกวนประสาทของพี่น้องไทเลอร์ยังคงไม่ทิ้งแถว หากเชส ไทเลอร์ว่าเจ้าเล่ห์แล้วเชื่อเถอะว่าคนรีส ไทเลอร์เจ้าเล่ห์ได้มากกว่านั้นอีกเท่าตัว "ทั้งๆที่พี่ชายคนนี้อุตส่าห์มาเพื่อให้คำปรึกษา"
"เก็บความหวังดีจอมปลอมของนายไปเถอะรีส ฉันขนลุก"
"อย่ามองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้นสิเชส.. โลกนี้ไม่ได้ใจร้ายกับนายขนาดนั้นหรอกนะ"
"โลกคงจะใจร้ายตั้งแต่ส่งฉันให้เกิดมาเป็นน้องชายนายแล้วล่ะ อีกอย่างคนอย่างนายมองยังไงก็ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด"
"ถ้าอย่างนั้นนายก็คงรู้ใช่ไหมว่าพี่ชายคนนี้มาเพื่ออะไร"
รีสเอ่ยถามพลางกระตุกยิ้มร้ายขึ้น การที่คนอย่างรีส เบลเลอมอนท์ ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ปกครองฟลัม เมืองทางการท่าของแดนใต้ ย่อมยึดถือคำสัตย์เฉกเช่นเดียวกับเชส ไทเลอร์
"จะเอายังไงก็ว่ามา..."
คนที่ทำผิดกฎระหว่างทั้งสองแดนแบบเชสนั้นไม่มีวันปฏิเสธความผิดที่ตัวเองทำได้...
/////
"ดูไม่สดใสเอาเสียเลยนะอาเธอร์.."
เสียงทักที่ดังขึ้นทำลายความเงียบในห้องทำให้คุณชายเลสลีย์ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ เงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนที่มือขาวจะปิดหนังสือที่อ่านอยู่ลงเพื่อสนทนากับผู้มาเยือน
"นายเองก็เหมือนกัน" อัลฟ่าตัวขาวไม่รู้หรอกว่าโอเมก้าตระกูลซัลลิแวนมีเป้าหมายอะไรถึงได้เลือกเข้ามาหาตัวเอง
"ได้ยินมาว่านายไม่สบายเลยไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกเสียเท่าไหร่ อยู่แต่ในห้องไม่รู้สึกอุดอู้บ้างหรือ" น้ำเสียงของโอเมก้าผมสีแดงยังคงน่าฟังเหมือนเคย แต่อาเธอร์กลับไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมในการสนทนาเสียเท่าไหร่
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ไม่ค่อยมีใครเข้าหน้าคุณชายเลสลีย์ติดเสียเท่าไหร่ ยกเว้นก็เสียแต่ท่านชายสเปนเซอร์
"ที่นี่มันเหมาะกับฉันมากที่สุด หรือนายว่าไม่จริง.." หากออกไปด้านนอกก็ไม่พ้นที่จะได้เป็นหัวข้อบทสนทนาให้คนอื่นได้เอาไปนินทาต่างๆนานา
ใบหน้าเย่อหยิ่งของคุณชายเลสลีย์ยังคงถือดีไม่เปลี่ยนแปลงแม้ใบหน้าจะดูซีดเซียวลงกว่าทุกครั้ง ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงที่ใช้ก็ยังคงนิ่งสนิทเหมือนเคย
"นายดูเหมือนไม่พอใจอะไรฉันนะ" เอวาน ซัลลิแวนเอ่ยถามด้วยความกล้าๆกลัวๆ ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อเห็นดวงตาเรียวนั้นตวัดมองใบหน้าของตัวเอง
"นายควรถามว่าฉันพอใจอะไรที่นี่มากกว่า"
"นายคงจะอึดอัด..."
"ยิ่งกว่านั้นเสียอีก" รอยยิ้มบางๆที่อาเธอร์ เลสลีย์ส่งมานั้นทำให้เอวาน ซัลลิแวนรู้สึกไม่ดีแปลกๆ "ที่มา
กกว่าความอึดอัดมันคือความทรมาน..."
"ฉันเองก็ไม่ได้มีความสุขนักหรอก" โอเมก้าหนุ่มว่าพลางยกยิ้มขมขื่นไม่ต่างกัน "ใครกันจะอยากอยู่กับคนที่ไม่ได้รัก"
"ริโอไม่ใช่คนที่แย่ ถ้านายลองเปิดใจเสียหน่อยฉันว่ามันน่าจะดีกับตัวนาย"
"แล้วนายไม่รักเขาหรือไง? อีกอย่างริโอก็รักนาย"
"มันยังเรียกว่ารักได้อยู่อีกหรือเปล่า ฉันเองก็ไม่แน่ใจ.."
"เพราะฉันหรือเปล่าที่ทำให้นายต้องเป็นแบบนี้"
"ต่อให้ไม่ใช่นายก็ยังมีคนอื่น.." คุณชายเลสลีย์ยังคงพูดต่อ "เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดว่าตัวเองเป็นคนผิดไปหรอกเอวาน"
"มันไม่มีทางที่ดีกว่านี้แล้วหรือ ทางไหนก็ได้ที่จะทำให้ทั้งฉันทั้งนายไม่ต้องเป็นแบบนี้"
"ฉันไม่อยากเห็นแก่ตัวอีกต่อไปแล้ว"
"แต่ฉันไม่เห็นว่าสิ่งที่นายทำมันจะเห็นแก่ตัวตรงไหน" ความคิดของคุณชายเลสลีย์นั้นยากเกินจะคาดเดา "ถ้านายยังเอาแต่รักคนอื่นอยู่แบบนี้ นายจะได้รักตัวเองหรือไง"
"ขอบใจที่นายมองฉันในแง่ดีขนาดนั้น.." ดวงตาเรียวก้มลงมองที่ฝ่ามือของตัวเองซึ่งประสานกันไว้บนโต๊ะตรงหน้า แสงสะท้อนจากสิ่งที่สวมอยู่ที่นิ้วยังคงเล่นล้อแสงไฟจนสะท้อนเข้าตา "แต่ก็เสียใจด้วยที่นายเองก็ต้องเข้ามาอยู่ในวงจรพวกนี้"
"ฉันไม่เข้าใจนายเลยจริงๆ.. แล้วก็ไม่เข้าใจริโอด้วยว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้"
เอวาน ซัลลิแวน ยังจำภาพนั้นได้ดี อาทิตย์ก่อนที่เจ้าตัวเจอกับอาเธอร์ เลสลีย์ นั้นอีกฝ่ายดูอาการย่ำแย่กว่านี้อีกเท่าตัวจนน่าใจหาย ใบหน้าที่ซีดจนแทบจะไร้สีเลือด ไหนจะขอบตาที่มีสีแดงช้ำราวกับคนที่ร้องไห้มาอย่างหนัก เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างนอกเสียจากที่จะได้เห็นแพทย์ประจำตระกูลสเปนเซอร์นั้นวิ่งเข้าไปในห้องของเจ้าตัว และริโอที่เอาแต่เดินวนอยู่หน้าห้องจนน่าปวดหัว ครั้นจะเข้าไปถามไถ่ก็คงจะเป็นการยุ่งเรื่องส่วนตัวของสองคนนั้นจนเกินไป
"เขาก็มีเหตุผลของเขา.."
"นายยอมริโอมากเกินไป" แม้จะไม่กล้าว่าอะไรอาเธอร์ตรงๆแต่เอวานเองก็อดไม่ได้ที่จะพูด คนอย่างอาเธอร์ ไม่ควรต้องยอมรอยัลอัลฟ่านั่นขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ
"ฉันในตอนนี้เหมือนคนที่จะต่อรองอะไรได้อย่างนั้นหรือ?"
"....."
"มันก็ถูกที่นายบอกว่าฉันยอมริโอมากเกินไป.. แต่ในสิ่งที่ฉันยอม ฉันก็ย่อมคิดแล้วว่ามันคุ้มกับสิ่งที่ฉันต้องแลกไป.."
"มันไม่ใช่วิธีที่น่าเสี่ยงเลยสักนิด"
ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าทั้งอาเธอร์และริโอมีความสัมพันธ์กันถึงขั้นไหน แต่เพราะรู้ถึงได้ทำให้เอวานรู้สึกร้อนรนขนาดนี้ต่างหาก
"ไม่มีอะไรให้ต้องเสียอีกแล้ว... ก็ถือซะว่าฉันชดใช้ให้"
"นายไม่ควรทำแบบนี้.."
"ถ้ามีช่องว่างมากพอฉันเองก็จะช่วยนาย" คุณชายเลสลีย์ว่าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าสวยของโอเมก้าหนุ่มอีกครั้ง "แล้วเกิดหนีไปได้ ฉันก็หวังว่านายคงจะไม่กลับมาที่นี่อีก"
"นายจะช่วยฉัน?" เอวานแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่อาเธอร์พูดเลยสักนิด
"ฉันสัญญาไม่ได้ว่าจะช่วยนายได้มากน้อยแค่ไหน" เพราะตัวของเขาเองก็ยังไม่มั่นใจเหมือนกันว่าทุกอย่างนั้นจะเรียบร้อยดีหรือเปล่า "นายเองก็เผื่อใจเอาไว้หน่อย.."
"นี่ไม่เป็นการให้ความหวังฉันไปหน่อยหรือไง.." ความหวังของเอวานที่จะได้กลับไปพบกับคนที่ตัวเองรัก ไม่ใช่การต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เพื่อการแต่งงาน
"สมหวังได้ก็ต้องมีผิดหวังบ้าง มันเป็นเรื่องธรรมดา"
"...."
"แต่ตอนนี้นายควรกลับห้องไปเสีย อีกสักพักเซบาสเตียนเองก็คงกลับมา ฉันไม่อยากต่อปากต่อคำกับหมอนั่นสักเท่าไหร่"
เมื่อพูดถึงใครอีกคนแล้วก็ทำให้อาเธอร์รู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ คนของริโอที่มาคอยเฝ้าตลอดนั้นมักจะทำให้คุณชายเลสลีย์รำคาญใจไม่น้อย
"ดูเหมือนว่าริโอจะตัดโอกาสทุกคนที่เข้าถึงนายเสมอ" ซึ่งเอวานก็ไม่แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมสิ่งที่ใครหลายคนพูดนั้นมันคือเรื่องจริง "เขาคงหวงนายมากจริงๆ"
"ก็ไม่เสมอไปหรอก"
//////
"วันนี้มีอะไรกันหรือเปล่า ทำไมพวกคนในหน่วยถึงได้มีเสียงเอะอะขนาดนั้นกัน" เลสลีย์คนเล็กเอ่ยถามเอริค เมอร์เรย์ ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ๆ พลางชะเง้อหน้ามองออกไปทางด้านนอกบ้าน วันทั้งวันนี้ฝนยังคงตกลงมาอย่างไม่ยอมหยุด พาลทำให้ขมุกขมัวไปทั่วเดอะฮิลล์
อัลฟ่าแดนเหนือที่ได้แต่นั่งๆนอนๆ สลับกับเลี้ยงเจ้าเซเบอร์นั้นรู้สึกเบื่อไม่น้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ถึงจะรู้สึกว่าฝนที่ตกนั้นทำให้รู้สึกเย็นสบาย แต่แอชเชอร์ก็ไม่ชอบพอเท่าไหร่ที่จะออกไปเดินข้างนอกให้ร่างกายของตัวเองเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน..
"วันนี้มีแขกมาเยี่ยมเดอะฮิลล์น่ะ" เมอร์เรย์ตอบสั้นๆ พลางดันแว่นสายตาที่ตัวเองสวมใส่อยู่ให้เข้าที่ "เชสเลยต้องต้อนรับนิดหน่อย"
"ต้อนรับหรือ?" เสียงโห่และเสียงเชียร์พวกนั้นมันไม่เหมือนการต้อนรับเลยสักนิดในความคิดของแอชเชอร์ หากบอกว่ามีการแข่งขันขึ้นมันยังมีความน่าเชื่อเสียมากกว่า
"ต้อนรับในแบบของเบลเลอมอนท์"
"เบลเลอมอนท์?" คำที่ไม่คุ้นหูทำให้คิ้วสวยขมวดเข้าหากันในทันทีจนเมอร์เรย์ต้องอธิบายต่อก่อนที่จะได้โดนคาดคั้น
"นายคงจะไม่รู้จัก.." ถ้าเลสลีย์รู้จักก็คงจะแปลกน่าดู เมืองท่าทางตอนใต้นั้นอยู่ห่างจากแดนเหนืออยู่มากโข "หรือไม่นายก็อาจจะเคยได้ยินมาบ้างแต่จำไม่ได้"
"เขาคือใคร?"
"ผู้ปกครองฟลัม.." ฟลัมที่เป็นเมืองซึ่งติดกับทะเลน่ะหรือ? "ดูเหมือนว่ารีส เบลเลอมอนท์จะมีธุระกับเชสอยู่ไม่มากก็น้อย"
"ฉันไม่เข้าใจ..." แอชเชอร์ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมคนที่มีอำนาจขนาดปกครองเมืองๆหนึ่งได้ขนาดนั้นจะต้องมาที่นี่ ทำไมต้องมาถึงเดอะฮิลล์กัน
"ไว้เชสกลับมา นายก็ลองถามหมอนั่นเอาก็แล้วกัน" เมอร์เรย์ว่ายิ้มๆ ในขณะที่ก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ "แต่ก็อาจจะไม่ใช่วันนี้หรอกนะ"
คำพูดแปลกๆของอัลฟ่าแดนใต้ยังคงสร้างความไม่เข้าใจให้กับแอชเชอร์เข้าไปอีก
"นายพูดเหมือนว่าวันนี้หมอนั่นจะไม่ได้กลับมาที่บ้าน"
"ฉันพูดแบบนั้นหรือ?" เมอร์เรย์รวนเข้าให้จนเลสลีย์คนเล็กถึงกับถอนหายใจ
"อย่ามาตีรวนเมอร์เรย์" แม้จะค่อนข้างพูดคุยกับเอริค เมอร์เรย์ได้พอสมควรแต่แพทย์หนุ่มก็ยังคงมีนิสัยประหลาดๆมาทำให้แอชเชอร์ปวดหัวอยู่ไม่น้อย
"ฉันก็พูดไปตามเนื้อผ้า ต่อให้กลับมาได้ ฉันก็คิดว่าสภาพหมอนั่นคงดูไม่ได้น่าดู"
"ต้อนรับที่นายว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่"
"ถ้าอยากรู้นัก ทำไมไม่เป็นดูให้เห็นเองกับตาล่ะเลสลีย์"
แม้ใจหนึ่งแอชเชอร์จะปฏิเสธคำพูดของเมอร์เรย์ไปแล้ว แต่สุดท้ายอัลฟ่าแดนเหนือที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้านเสียหลายวันก็ยอมออกมาจากบ้าน พร้อมๆกับแพทย์หนุ่มที่เดินอยู่ข้างๆ ทั้งคู่เดินมุ่งหน้าไปทางต้นเสียงด้วยจังหวะการเก้าเท้าที่ระมัดระวังเพราะความลื่นของพื้นจากฝนที่ตกลงมา
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เท่าไหร่ เสียงโห่และเสียงตะโกนต่างๆนานาก็ยิ่งดังเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น และนั่นก็ยิ่งทำให้อัลฟ่าแดนเหนือเริ่มคาดเดาได้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าซึ่งอยู่ไม่ไกลนั่นคืออะไร
กลุ่มคนที่มุงดูกันให้แน่นค่อนข้างเป็นความลำบากในการมองเห็น จวบจนที่ใครสักคนในนั้นหันมาเห็นแอชเชอร์ เลสลีย์ จึงได้ก้าวถอยให้พร้อมๆกับที่สะกิดคนอื่นๆให้ได้รับรู้ถึงการมีตัวตนของอัลฟ่าแดนเหนือ
ผิวขาวซีดเหมือนหิมะแรกที่แตกต่างจากคนแดนใต้ยังคงทำให้เลสลีย์คนเล็กดูโดดเด่นท่ามกลางอัลฟ่าแดนใต้ผิวสีเข้มทั้งหลาย และสิ่งที่ทำให้ดวงตาหลายต่อหลายคู่จดจ้องมองร่างขาวก็คงไม่พ้นการแต่งตัวที่ค่อนข้างแปลกตากว่าทุกที
เสื้อผ้าตัวใหญ่ที่มักจะใส่ซ้อนทับกันหลายชั้นอย่างทุกทีนั้นหลงเหลือแค่เพียงเสื้อแขนยาวสีสะอาดตัวหลวม อวดให้เห็นช่วงกระดูกไหปลาร้าที่ขึ้นชัดพร้อมกับสัดส่วนของร่างกายที่สามารถมองเห็นได้เพราะเสื้อที่เริ่มเปียกปอน
ลาดไหล่กว้างได้รูปที่ดูสมส่วนเข้ากันได้ดีกับช่วงเอวที่คอดรับกับช่วงขายาว มันคงปฏิเสธได้ยากเหมือนกันว่ารูปร่างของอัลฟ่าแดนเหนือที่แท้จริงแล้วนั้นดูงดงามจนไม่ยากที่จะละสายตาจริงๆ อีกทั้งดวงตาคู่ใสที่เหมือนกับหยดน้ำบริสุทธิ์และใบหน้ารูปสลักที่เป็นเอกลักษณ์พอๆ กับเส้นมีสีสว่างยิ่งขับให้แอชเชอร์ เลสลีย์ เหมือนกับภาพวาดไม่มีผิด
ดวงตาคู่สวยที่ประดับด้วยแพขนตายาวนั้นกะพริบมองภาพตรงหน้าที่ได้เห็น ทรูอัลฟ่าเจ้าของกลิ่นไม้ซีดาร์นั่นเองที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมที่ถูกตีกรอบเอาไว้ รวมไปถึงใครอีกคนที่แอชเชอร์ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา ผมสีแดงที่ทำให้ดูโดดเด่นนั่นยังเทียบไม่ได้เท่ากับใบหน้าคมที่ฉายแววของความกระหายในการต่อสู้
เสียงของหมัดที่กระทบกับผิวเนื้อและเสียงแตะที่เกิดจากช่วงขาเข้าที่ลำตัวนั้นยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องสลับกันไป ทั้งไทเลอร์และอัลฟ่าผมแดงนั่นยังคงสลับกันรุกกันรับเสียจนมองไม่ออกว่าใครกันแน่ที่จะชนะ การต่อสู้มือเปล่าที่ไร้ซึ่งอาวุธมันย่อมเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาได้ว่าการต่อสู้นี้จะจบลงเมื่อไหร่
อาจจะจนกว่าที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะอ้าปากบอกยอมแพ้ หรือ บางทีก็อาจจะถึงเวลาที่ใครสักคนล้มจนลุกไม่ขึ้น
"นายมาทำอะไรที่นี่เลสลีย์!" น้ำหนักมือที่จับเข้าที่ไหล่พร้อมกับเสียงที่ตะโกนถามทำให้อัลฟ่าแดนเหนือต้องหันกลับไปมองในทันที
"ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าพวกนายกำลังทำอะไรกันอยู่เชอร์ชิล" เป็นลูอิส เชอร์ชิลนั่นเองที่มองเห็นแอชเชอร์จากทางอีกฝั่ง จนต้องรีบเดินแทรกเข้ามาหาเพื่อที่จะลากอีกฝ่ายให้ห่างออกไปจากวงล้อมนี้
"นายไม่ควรมาอยู่ที่นี่ กลับบ้านไปซะ" ใบหน้าของเชอร์ชิลนั้นเต็มไปด้วยความจริงจัง ก่อนจะกวาดสายตามองอัลฟ่าและเบต้ารอบๆที่กำลังจ้องมองทั้งคู่อยู่ "เชสบอกให้นายอยู่ที่บ้านไม่ใช่หรือไง"
"ฉันไม่ใช่นักโทษ!" คนตัวขาวว่าก่อนจะสะบัดตัวเองให้หลุดออกจากมือของเชอร์ชิล "อีกอย่างเมอร์เรย์ก็เป็นคนพาฉันมา" แอชเชอร์กล่าวถึงใครอีกคนที่เดินมาพร้อมๆกับตัวเอง แต่เมื่อลองหันไปมองดูดีๆแล้วก็กลับไม่เห็นหมอนั่นอยู่ในระยะสายตา
หายไปไหนกัน?
"ไหนล่ะริค? ที่ฉันเห็นก็มีแต่นาย.." ลูฟเอ่ยเสียงเข้ม พลางพยายามจะดึงตัวของแอชเชอร์ให้ออกมาจากตรงนั้น
"บ้าน่า! เมื่อกี้เมอร์เรย์ยังอยู่กับฉัน" เลสลีย์คนเล็กถึงกับสบถอย่างหัวเสีย "หมอนั่นหายไปตอนไหนกัน!"
"รีบกลับไปก่อนที่เชสจะเห็นนาย.." อัลฟ่าตัวสูงเอ่ยเตือนอีกครั้งแต่ท่าทางว่ามันจะไม่เข้าหูคนที่ดื้อรั้นแบบแอชเชอร์เลยสักนิด ยิ่งเห็นว่าดวงตาของเจ้าตัวยังจับจ้องอยู่ที่อัลฟ่าสองคนซึ่งกำลังต่อสู้กันอยู่นั้นก็ทำให้ลูฟรู้ได้เลยว่าคงเป็นเรื่องยากแน่ๆที่จะทำให้อัลฟ่าแดนเหนือกลับไปง่ายๆ
"ไม่!"
"เชื่อเถอะว่านายคงไม่อยากให้หมอนั่นโมโห"
ไม่ว่าใครต่างก็ไม่อยากให้เชส ไทเลอร์ นั้นโมโหด้วยกันทั้งนั้น บุคคลอันตรายอันดับหนึ่งตอนที่หมดความอดทนก็คงต้องยกให้กับหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์อย่างไม่ต้องสงสัย ใครที่เคยเจอหรือได้เห็นก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าน่ากลัว..
เสียงโห่เชียร์รอบข้างยังคงดังแทรกเป็นช่วงๆ ซึ่งมันก็ดูจะเป็นความสนุกที่เกิดจากความรุนแรงเสียจริง ฝนที่ยังคงโปรยปรายลงมาก็ไม่ได้เป็นผลทำให้ไทเลอร์และใครอีกคนคิดที่จะหยุด ต่างฝ่ายต่างยังคงแลกรสชาติของหมัดหนักๆอย่างไม่มีใครยอมใคร ผลจากการล้มลงกับพื้นทำให้เนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยคราบดินด้วยกันทั้งคู่
"จะให้ต้องตายกันไปข้างหนึ่งเลยหรือไง ถึงจะได้เลิกบ้ากัน" คนตัวขาวว่า ยิ่งเห็นก็ยิ่งไม่เข้าใจ มันไม่เหมือนกับการต่อสู้เล่นๆเพื่อเอาให้พอออกกำลังกาย แต่สิ่งที่เห็นมันคือการต่อสู้ที่เหมือนจะต้องการให้ใครสักคนหนึ่งหลาบจำ
"เพราะเชสทำผิด หมอนั่นถึงต้องทำแบบนี้ไง"
"ผิด? ผิดเรื่องอะไร"
"นายคิดว่าคนที่แหกกฎระหว่างแดน จะต่อรองอะไรได้ล่ะ"
ถ้าแบบนั้นความผิดที่ลูอิส เชอร์ชิลพูดมันก็คงไม่พ้นความผิดที่เกิดจากการช่วยเหลือเขาน่ะสิ...
"บ้าเอ๊ย!"
อัลฟ่าแดนเหนือเบี่ยงตัวหลบเชอร์ชิลตัวสูงก่อนจะแทรกเข้าไปในวงล้อมอีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้แตกต่างจากก่อนหน้าก็คือการที่เลสลีย์คนเล็กนั้นเลือกที่จะเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่แทนที่จะยืนดูอยู่เฉยๆ มีดที่อยู่ในมือของเลสลีย์ใช้ช่วงชุลมุนฉวยหยิบมาจากเชอร์ชิลนั้นถูกเขวี้ยงเข้าไปปักบนพื้นข้างๆ ใบหน้าของอัลฟ่าผมแดงที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบโดนคร่อมทับ ในขณะที่ทรูอัลฟ่าอย่างไทเลอร์เองก็โดนมือขาวกระชากแขนให้ลุกขึ้นยืนในทันทีที่คนตัวขาวเดินเข้าไปใกล้
"ที่นี่เขาต้อนรับกันแบบนี้ทุกทีเลยหรือ?"
ทรูอัลฟ่าหนุ่มถมเลือดในปากลงพื้นก่อนจะสะบัดแขนตัวเองให้หลุดออกจากมือของคนที่เข้ามายุ่งโดยไม่ดูเวล่ำเวลาจนพาลทำให้คนที่กำลังหัวเสียเอามากๆนั้นหงุดหงิดเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
"อย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่องเลสลีย์" คนที่หอบหายใจหนักเพราะใช้เรี่ยวแรงไปจำนวนมากเอ่ยบอกอัลฟ่าแดนเหนือโดยที่เจ้าตัวไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
"คนนี้น่ะหรืออัลฟ่าแดนเหนือที่เขาร่ำลือกัน.." รีส เบลเลอมอนท์ ไม่วายอ้าปากหยอกเย้าคนที่เข้ามาใหม่ ยิ่งได้เห็นว่าน้องชายของตัวเองดูไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ที่ใครคนนั้นเข้ามายุ่งมันก็ยิ่งทำให้รีสรู้สึกสนุกขึ้นมาอีกครั้ง
แอชเชอร์ เลสลีย์ ไม่ได้สนใจคำพูดกวนประสาทของอัลฟ่าผมแดงนั่นแต่อย่างใด นอกเสียจากจะมองหน้าอีกฝ่ายเงียบๆเพื่อประเมินคนตรงหน้า
"อย่ายุ่งน่า รีส"
"ใจคอจะไม่แนะนำให้รู้จักกันหน่อยหรือ ไหนๆก็เป็นคนของไทเลอร์แล้วนี่" รีสยังคงเอ่ยต่อโดยไม่สนใจใบหน้าที่เหมือนจะฉีกตัวเองเป็นชิ้นๆของน้องชายตัวเอง "ขอโทษที ฉันมันก็พูดไปตามที่ได้ยินมา อย่าถือสากันเลย"
"ก่อนจะขอโทษ บางทีนายอาจจะต้องเรียนรู้คำว่ามารยาทก่อน" คำตอบที่แสนเจ็บแสบของอัลฟ่าแดนเหนือทำให้รีสถึงกับหัวเราะออกมาอย่างถูกใจกับฝีปากนั่น
"ฟังดูแล้วเป็นคำแนะนำที่ทำให้ฉันต้องเอากลับไปคิดเสียหน่อย"
"ฉันบอกให้นายอยู่ที่บ้าน แล้วนายออกมาทำไม" ก่อนที่เลสลีย์จะได้คุยอะไรกับรีสไปมากกว่านั้น เชสเองก็เลือกที่จะหันกลับไปเผชิญหน้ากับอัลฟ่าแดนเหนือเพื่อพูดคุย ซึ่งนั่นก็ดูจะเป็นสิ่งที่ทำให้หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์รู้สึกจี๊ดขึ้นมาในหัวทันที
เส้นผมสีอ่อนของเลสลีย์ที่เปียกหมาดๆจนจับกันเป็นเส้นปรกใบหน้าขาวนั่นแม้จะดูดีแค่ไหน แต่มันก็ดูน่ารำคาญในสายตาของไทเลอร์เมื่อต้องมาอยู่ท่ามกลางคนอื่นมากมาย ยิ่งไล่มองลงมาก็ยิ่งทำให้ปวดหัว เสื้อผ้าที่สมควรจะใส่อยู่บ้านแต่เลสลีย์กลับใส่มันออกมา เพียงแค่เปียกน้ำมันก็ทำให้เสื้อผ้าเนื้อบางกว่าปกตินั้นแนบไปกับผิวกระจ่าง
"ถ้าไม่ออกมา ฉันคงไม่รู้หรอกว่านายกำลังทำอะไร"
"มันไม่ใช่เรื่องของนาย" เชสว่าเสียงเข้มก่อนที่จะคว้าแขนขาวมาจับไว้แน่น "ลืมไปแล้วหรือไงว่านายในตอนนี้คือใคร"
"ฉันก็คือฉัน.." เจ้าของใบหน้ารูปสลักตอบเสียงแข็ง
"เป็นคนของฉัน.... ก็ควรจะคิดบ้างว่าการที่นายออกมาสภาพแบบนี้มันสมควรแล้วหรือเปล่า"
ดวงตาคมไล่มองร่างกายของคนตรงหน้าที่แทบจะเปลือยแม้ใส่เสื้ออยู่อีกรอบก่อนจะขมวดคิ้วแน่น แว่วเสียงหัวเราะในลำคอของพี่ชายที่ดังมาให้ได้ยินเป็นระยะนั้นก็ยิ่งปั่นประสาทสิ้นดี ฝ่ายอัลฟ่าแดนเหนือเองก็เหมือนพึ่งจะฉุกคิดได้ว่าสภาพของตัวเองนั้นเป็นอย่างไล่
ยิ่งไล่มองตามสายตาของทรูอัลฟ่าหนุ่มด้วยแล้ว มันก็ยิ่งเรียกความอับอายมากมายให้กับแอชเชอร์ แม้จะเป็นอัลฟ่าด้วยกันเองแต่ถ้ามองในฐานะของแอชเชอร์ที่มีอยู่ตอนนี้นั้นแล้วมันก็คงไม่แปลกที่จะทำให้อัลฟ่าในหน่วยนั้นมองเจ้าตัวตาเป็นมัน...
"นายอย่าลืมว่าฉันเองก็เป็นอัลฟ่า" แอชเชอร์คร้านจะสนใจสายตาคนอื่นเต็มทีแม้มันจะเป็นเรื่องที่น่าคิด แต่หากเขาสามารถเลือกที่จะเมินเฉยได้มันก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกับความรู้สึกของตัวเอง
"หัวแข็งไม่เบาเลยนะเชส คนของนายน่ะ" รีสที่ยืนฟังอยู่ครู่หนึ่งอดเอ่ยออกมาไม่ได้ ดวงตาคมกริบนั้นยังคงมองหน้าของอัลฟ่าแดนเหนือด้วยความสนใจอย่างออกนอกหน้า จนเป็นเชสเองที่ขยับตัวมายืนบังการมองเห็นนั้น
"กลับไปซะเลสลีย์.. ถือว่าฉันขอ" ทรูอัลฟ่าหนุ่มเอ่ยเสียงจริงจัง
"แล้วไม่ใช่ฉันหรือไงที่ทำให้นายต้องมาทำอะไรแบบนี้"
"ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องสนใจสักนิด" ปัญหาที่เชส ไทเลอร์เลือกที่จะรับมันเข้ามา เขาเองก็ต้องเป็นคนจัดการและแก้ไข
"งั้นนายจะมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องของฉันตั้งแต่แรกทำไม!"
แอชเชอร์หงุดหงิดที่จะต้องคิด หงุดหงิดที่จะต้องคาดเดาว่าไทเลอร์ทำทุกอย่าเพราะอะไรเต็มทน
"ท่าทางนายคงต้องมีเรื่องคุยกับคนของตัวเอง.. งั้นฉันว่าวันนี้คงต้องพอแค่นี้ก่อนคงจะดีกว่า ส่วนที่เหลือไว้ฉันจะคิดอีกทีแล้วกันว่านายควรจะชดใช้ด้วยอะไร" รีสเอ่ยขึ้นมาพลางตบไหล่ไทเลอร์เบาๆ "แต่ก็คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าฉันจะมีโอกาสได้เจอคนตระกูลเลสลีย์.." แววตาคมกริบเหลือบมองเลสลีย์คนเล็กด้วยสายตาที่แฝงอะไรบางอย่างซึ่งชวนให้อึดอัด แล้วเดินออกไปจากวงล้อมที่มีคนสนิทของตัวเองซึ่งติดตามมาด้วยยืนรออยู่
แม้จะเป็นผู้ครองฟลัม.. แต่ด้วยความที่รีส เบลเลอมอนท์เคยเป็นอดีตหัวหน้าหน่วยกองกำลังที่ดีที่สุดของแดนใต้ก็ทำให้ไม่แปลกนักที่จะทำให้คนทั้งหลายต่างเคารพในตัวอีกฝ่าย...
เมื่อหยุดการต่อสู้ลงแล้ว คนในหน่วยเองก็ต่างรีบสลายตัวกันไปก่อนที่หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์จะได้อ้าปากสั่ง ส่วนทั้งลูฟและโจชัวเองก็ได้แต่ยืนมองเชสกับแอชเชอร์อยู่ห่างๆ
"กลับ"
ไทเลอร์เอ่ยก่อนจะดึงคนตัวขาวให้เดินตามตัวเองมา ด้านคนที่ถูกดึงก็สะบัดแขนตัวเองออกอย่างไม่ชอบแล้วเดินตามมาเงียบๆ แทนที่จะต่อล้อต่อเถียงกับไทเลอร์ต่อ
ใบหน้าที่มีร่องรอยบาดแผลที่ปริแตกทั้งบริเวณหัวคิ้วและโหนกแก้มบนใบหน้าของไทเลอร์ นั้นดูแล้วคงจะเจ็บไม่น้อย แต่เจ้าตัวก็กลับไม่สนใจมันสักเท่าไหร่ราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ แต่มันกลับทำให้คนที่เห็นอย่างแอชเชอร์หงุดหงิดไม่น้อย
แผ่นหลังกว้างที่อยู่ภายใต้เสื้อซึ่งแนบสนิทกับเนื้อเพราะความเปียกทำให้คนที่เดินตามหลังนั้นเห็นมัดกล้ามเนื้อบริเวณสะบักหลังที่เป็นรูปเป็นร่างอย่างชัดเจน ร่างกายของทรูอัลฟ่าหนุ่มนั้นหลังจากที่ได้ออกกำลังหนักๆเมื่อครู่ก็ต้องยอมรับเลยว่ามันแข็งแรงมากแค่ไหน
ปึ่ก
เพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยทำให้ไม่เห็นว่าคนที่เดินนำหน้าอยู่นั้นหยุดเดิน จึงไม่แปลกเท่าไหร่นักที่แอชเชอร์จะเดินชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างนั้นเต็มๆ จนต้องยกมือขึ้นมากุมจมูกโด่งกระกระแทกเข้าไปเต็มๆกับแผ่นหลังแกร่ง
คนตัวขาวร้องออกมาเบาๆ พลางหลับตาปี๋เพื่อข่มความเจ็บที่กำลังแล่นริ้วขึ้นมา ส่วนเชสเองนั้นก็ทำเพียงแค่หันกลับมามองคนที่เดินชนตัวเองด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
"จะหยุดเดินแล้วทำไมถึงไม่บอกกันก่อน"
"เวลาเดินนายไม่มองทางหรือไง" เชสว่าแล้วคว้าเอามือขาวที่กุมจมูกออก เพื่อดูอัลฟ่าแดนเหนือที่ซุ่มซ่ามเดินชนหลังตัวเอง ซึ่งจมูกโด่งของคนตัวขาวนั้นก็ขึ้นสีแดงไม่น้อยตรงที่กระแทกเข้ามาเต็มๆ
"ดั้งนายหักแน่.."
"เพ้อเจ้อ! ฉันแค่ชนหลังนาย ไม่ได้เอาหน้าไปฟาดพื้น" คนที่ถูกหยอกว่าเสียงเขียวเมื่อรู้สึกถือนิ้วมือของไทเลอร์ที่ลูบเบาๆบริเวณสันจมูกของตัวเอง "มือนายเลอะ อย่ามาจับหน้าฉัน"
"รักสะอาดขึ้นมาเชียว"
"อย่ามาจับน่า"
"ฉันแค่จะดูว่าเป็นอะไรมากไหม" คนตาดุว่า "ใครจะมาจ้องลวนลามนายตลอดเวลา"
"ถ้าเป็นนายก็ไม่แน่หรอกไทเลอร์" เจ้าเล่ห์แบบทรูอัลฟ่านี่ต้องระวังตัวให้ดี
"บางทีฉันก็อาจจะแค่เป็นห่วงนายนะเลสลีย์ ฉันไม่ได้หมกมุ่นขนาดนั้น"
อัลฟ่าแดนเหนือถึงกับปิดปากฉับเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดออกมา คำว่าเป็นห่วงฟังดูเป็นคำพูดที่แสนจะธรรมดาดี แต่พอมันออกมาจากปากของเชส ไทเลอร์แล้วก็ทำให้เลสลีย์ต้องนึกย้อนคิดเกี่ยวกับทุกอย่างที่ไทเลอร์มักจะทำให้ตัวเอง
ทำไมไทเลอร์ถึงยอมยกลูกเกรย์วูล์ฟให้กับเขา?
ทำไมถึงยอมหาเสื้อผ้าตัวหนาๆแบบที่แอชเชอร์ชอบใส่มาให้ทั้งๆที่ปากก็บอกว่าเขาควรใส่เสื้อผ้าที่มันสบายตัว?
และทำไมถึงต้องรักษาสัญญากับอาเธอร์ขนาดนั้นทั้งที่รู้ว่าตัวเองต้องเดือดร้อน
"แล้วที่ออกไปดูฉัน ไม่ใช่ว่านายเป็นห่วงฉันหรอกหรือ?"
เชส ไทเลอร์ นี่มันคิดเข้าข้างตัวเองเก่งชะมัด!!
HASTAG #youngmastermn
TALK : กว่าจะได้พาตัวละครอื่นมาเพิ่มอีกก็นานเหลือเกิน เปิดตัวไทเลอร์คนพี่กันบ้างดีกว่าเนอะ บอกไว้เลยนะคะว่าคนนี้คือคนที่กุมความลับแทบทุกอย่างแน่นอน แต่ที่แน่ๆ คำว่าหวงกับห่วงต่างกันแค่ไม้เอกนะคะ ><
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in