เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
YOUNG MASTER #MINNOninezexsky
11


  • ** Note : เอวาน ซัลลิแวน = เตนล์ ** 










    สภาพอากาศที่ค่อนข้างขมุกขมัวไปด้วยกลุ่มเมฆสีเทาเข้ม แสงแดดที่ควรจะสาดส่องก็ไม่สามารถส่องแสงของมันผ่านลงมาได้ และนั่นก็ทำให้บรรยากาศในเดอะฮิลล์วันนี้ค่อนข้างที่จะอึมครึมไปเสียหมด ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้รู้สึกหดหู่จนต้องละสายตาจากภาพตรงหน้า 
     


    หากไม่เกินกว่าที่คาด แอชเชอร์ก็คิดว่าอีกไม่นานที่นี่ก็คงจะเต็มไปด้วยหยาดฝนที่ตกลงมาชโลมผืนดินและผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ให้ได้มีชีวิตชีวา 



    ตั้งแต่ตื่นเช้ามานี้แอชเชอร์รู้สึกกระวนกระวายแปลกๆ ทั้งที่เมื่อคืนก็หลับสนิทดีไม่ได้มีอะไรมารบกวน (ยกเว้นเรื่องที่ทะเลาะกับไทเลอร์ไปเมื่อวันสองวันก่อน)  หรืออาจจะเป็นเพราะความกังวลลึกๆ ที่ทำให้เป็นแบบนี้ประกอบกับสภาพอากาศที่ดูจะเป็นใจทำให้อารมณ์ของแอชเชอร์มันดิ่งไปเสียหมด 



    "เป็นอะไรของนาย เดินไม่หยุดเป็นหนูติดจั่นไปได้"  คนที่กำลังเดินไปเดินมาถึงกับหยุดเดินแล้วหันมามองเจ้าของบ้านที่เดินลงมาจากด้านบน



    "ฉันไปรับเซเบอร์ได้แล้วใช่ไหม?" คร้านจะตอบคำถามที่ไทเลอร์ถามในครั้งแรก แอชเชอร์เลยเลือกที่จะ
    เบี่ยงไปประเด็นอื่น



    แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่ถึงแม้แอชเชอร์จะกลับมาเดอะฮิลล์ได้เกือบสามวัน เจ้าตัวก็ยังไม่เห็นหน้าเกรย์วูล์ฟของตัวเองเลยสักนิด



    "เซเบอร์มันไม่หายไปไหนหรอกน่า" หัวหน้าหน่วยว่า ก่อนจะมองคนตัวขาวอย่างจับพิรุจ "ว่าแต่นายเถอะ มีเรื่องอะไร?"



    "นายนี่ก็แปลก คนไม่มีเรื่องอะไรก็จะถามให้มีให้ได้"



    "คิ้วขมวดขนาดนั้น คงไม่ใช่เพราะแค่อยากเจอเซเบอร์แล้วล่ะมั้ง" ไทเลอร์จิ้มนิ้วลงมาที่คิ้วซึ่งขมวดกันจนยุ่งของแอชเชอร์ก่อนจะหัวเราะในลำคอ 



    "ฉลาดนัก ก็ลองเดาดูสิ" 



    พอเห็นแผลที่หน้าของไทเลอร์แล้วก็กลับทำให้แอชเชอร์รู้สึกฉุนขึ้นมานิดหน่อย ขนาดมีแผลขนาดนี้แอชเชอร์ก็ยังไม่เห็นว่าหมอนั่นจะหน้าตาแย่ลงเลยสักนิด มิหนำซ้ำมันยังทำให้เชส ไทเลอร์ ดูดีแบบดิบๆเสียอย่างนั้น 



    "อย่างนายก็น่าจะเป็นมื้อเช้าของวันนี้คืออะไร ฉันว่านี่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ของนายเลยล่ะ" ริมฝีปากหยักฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นใบหน้าขาวนั้นเริ่มง้ำงอ 



    "แล้วใครกันที่ชอบจำกัดอาหารฉัน ไม่ใช่นายหรือไง" แม้จะไม่ถูกประเด็น แต่แอชเชอร์ก็อดที่จะโวยวายไม่ได้   ร่างกายที่ต้องใช้แรงแทบจะทั้งวันของเลสลีย์คนเล็กมันไม่แฟร์เลยสักนิดกับอาหารที่ต้องถูกจำกัดตามคำสั่งของหัวหน้าหน่วย 



    "ก็ถือว่าเป็นการตัดกำลังนายทางอ้อม" 



    "ไร้สาระ" 



    คนตัวขาวย่นจมูกใส่ไทเลอร์กับความไร้สาระของอีกฝ่าย แม้กล้ามเนื้อของแอชเชอร์อาจจะน้อยลงจากเมื่อก่อน แต่สุขภาพของเขาก็ยังแข็งแรงถ้าตัดเรื่องบาดแผลตามร่างกายออกไปล่ะนะ 



    "ถ้ายังไม่หายดีจริงๆ นายก็ควรจะพักไปก่อน ไม่ได้ออกกำลังกายกับลูกน้องฉันแค่ไม่กี่วันคงไม่ได้ทำให้นายฝีมือตกหรอกเลสลีย์" 



    "ใครมันจะมาอุดอู้อยู่แต่ในบ้านกัน นี่ฉันก็ทนอยู่มาสองวันแล้วนะ" 



    "แล้วเวลาตอนอยู่แดนเหนือ นายไม่ได้อุดอู้อยู่แต่ในเขตของตระกูลเลสลีย์หรือไงกัน"



    "นายเป็นใคร? ทำไมถึงทำตัวเหมือนรู้จักฉันดี" แอชเชอร์เกลียดความรู้สึกที่ถูกไล่ต้อนให้อยากรู้ แล้วปล่อยให้ค้างคาแบบนี้ที่สุด



    จะต้องทำยังไงกัน ถึงจะทำให้ไทเลอร์ยอมพูดอะไรออกมาให้เขาได้เข้าใจบ้าง.. 



    "ฉันก็แค่หยอกนายไปเรื่อยก็เท่านั้น"



    "ไม่.. นายจงใจ" หัวกลมส่ายไปมาด้วยความไม่เชื่อ "จงใจช่วยฉัน จงใจทุกอย่าง"



    "แล้วมันจะไม่จงใจได้ยังไง ในเมื่อพี่ชายนายขอร้องฉันมาเสียขนาดนั้น"



    "หลักฐานล่ะ?"



    "นายหมายถึงหลักฐานยังไงล่ะ" เชสยังคงกวนกลับไปเลิก 



    "สักอย่างที่ทำให้ฉันมั่นใจจริงๆ ว่าทุกอย่างคือสิ่งที่อาเธอร์วางแผนไว้"



    "น่าเสียดาย.." 



    "....."



    "พอดีว่าฉันเผาจดหมายนั่นทิ้งไปแล้วด้วยสิ :)" 




    ยังไม่ทันที่แอชเชอร์จะได้พูดคุยอะไรกับไทเลอร์ต่อ เสียงเรียกจากทางด้านหน้าประตูบ้านก็ทำให้ทั้งคู่หัน
    ไปสนใจในทันที  และก็เป็นไทเลอร์เองที่เดินออกไปเปิดประตูแทนแอชเชอร์ที่ยังยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่เลิก  



    ทันทีที่เปิดประตูบ้านก็ทำให้ไทเลอร์ได้เจอกับอลิเซียที่ยืนฉีกยิ้มหวานให้พร้อมกับตะกร้าเล็กๆในมือ ซึ่งเดาได้ว่าคงเป็นอาหารที่เธอตั้งใจเตรียมมาให้กับเชส 



    "ฉันเรียกตั้งนาน นึกว่านายจะออกจากบ้านไปแล้วเสียอีก" สาวเจ้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลโดยไม่ลืมโปรยยิ้มน่ารักให้กับอัลฟ่าหนุ่ม 



    "อันที่จริงไม่ต้องลำบากเธอก็ได้ เดี๋ยวยังไงฉันก็ต้องออกไปกินรวมกับลูกน้องอยู่แล้ว"



    "ฉันตั้งใจทำมาให้นายเอง ไม่ใช่ของจากส่วนกลางหรอก" เจ้าหล่อนรีบให้เหตุผล "อีกอย่างนายจะได้ไม่ต้องไปนั่งรวมกับคนอื่นให้อึดอัดด้วย"  เธอดึงดันที่จะอยู่เดอะฮิลล์มาตั้งหลายวันแบบนี้ก็เพื่อเชสทั้งนั้น กว่าจะรวบรวมความกล้ามาหาหัวหน้าหน่วยถึงหน้าบ้านก็ใช้เวลาไปมากโข



    "ฉันไม่เคยพูดว่าอึดอัด" เชสตอบกลับด้วยความปากไวของตัวเอง ซึ่งนั่นก็ทำให้คนที่กำลังยิ้มอยู่ถึงกับหน้าเจื่อน "แต่ช่างเถอะ เธอคงไม่รู้" 



    "งั้น.."



    "แต่ฉันไม่ได้อยู่คนเดียว" หัวหน้าหน่วยคนเก่งว่า ก่อนจะขยับตัวเลี่ยงให้สาวเจ้าเดินเข้ามาในบ้าน ซึ่งแอชเชอร์เองก็ยังยืนอยู่ไม่ไกล 



    ทันทีที่อลิเซียเห็นอัลฟ่าแดนเหนือ เธอก็กลับเผลอเดินถอยหลังจนทำให้ไทเลอร์ที่เดินตามเข้ามาถึงกับต้องจับตัวเธอไว้ 



    "นี่มัน..." 



    "อัลฟ่าแดนเหนือที่เธอเคยถามฉันไง" ท่าทีที่ไม่ได้ยินดียินร้ายของไทเลอร์ทำให้อลิเซียรู้สึกหน้าชาไม่น้อย ถึงขนาดให้มาพักอยู่ที่บ้านเดียวกับตัวเอง ก็คงจะไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เขาว่ากันจริงๆสินะ 



    "มองก็รู้แล้วล่ะ ว่าไม่ใช่คนของฝั่งเรา" สาวเจ้าว่าแต่ในเนื้อประโยคกลับแอบว่ากระทบคนที่ยังยืนมองหน้าเธอนิ่งโดยไม่แม้แต่จะทักทาย



    "งั้นก็ขอโทษด้วยแล้วกันที่ฉันมันแกะดำเกินไป" แน่นอนว่าคนอย่างแอชเชอร์ เลสลีย์ คงไม่ยอมปิดปากเงียบฟังอย่างเดียวแน่นอน 



    แต่การที่แอชเชอร์บอกว่าตัวเองเป็นแกะดำ ไทเลอร์เองก็อดแย้งในใจไม่ได้ถ้าแกะดำคือแอชเชอร์ เลสลีย์ ก็คงเป็นแกะดำที่แตะตาผู้คนยามมองที่สุด....



    "นี่อลิเซีย" เชส ไทเลอร์ ไม่ได้สนใจคำพูดที่กระทบกระเทียบกันของทั้งคู่ ซ้ำยังเลือกมองข้ามผ่านแล้วแนะนำอลิเซียให้กับแอชเชอร์พอรักษามารยาท "ส่วนนั่น แอชเชอร์" 



    "แอชเชอร์ เลสลีย์" 



    โอเมก้าสาวเป็นฝ่ายเอ่ยชื่อเต็มๆของอัลฟ่าแดนเหนือ โดยที่ไทเลอร์ไม่ได้เป็นคนบอก ซึ่งนั่นก็ทำให้เจ้าของชื่อถึงกับกระตุกยิ้มน้อยๆ 



    "เธอรู้จักหรือ"  



    "ใครบ้างที่จะไม่รู้จัก ตระกูลเก่าแก่ของแดนเหนือก็มีแค่ไม่กี่ตระกูล" 



    "ดี... ถ้าอย่างนั้นเธอก็น่าจะพอรู้จักนิสัยของพวกเราอยู่บ้าง" เจ้าของผิวขาวซีดก้าวเดินเข้ามาใกล้กับโอเมก้าสาวที่พยายามเบียดตัวเข้าหาไทเลอร์ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้สาวเจ้าเม้มปากแน่น "อยู่ให้ห่างฉันไว้จะดีกว่า" 



    "เลสลีย์..." ไทเลอร์เอ่ยเสียงเรียบ พลางดึงแขนของคนตัวขาว 



    "ฉันยังไม่ได้ทำอะไรนาย.."



    "ฉันแค่บอกเธอก็เท่านั้น" 



    นับว่าเป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เชส ไทเลอร์ ได้เห็นท่าทีกวนประสาทที่น่าหมั่นไส้ของเลสลีย์ ปกติก็เป็นคนช่างยอกย้อนอยู่แล้ว พอโดนอลิเซียกระตุ้นนิดหน่อยก็ทำเอาคนโดนโต้กลับหน้าเสียไปเหมือนกัน 



    "ฉันไม่สนว่าเธอจะเป็นใคร" 



    "...."



    "เธอเองก็อย่าเอาฉันไปใส่ใจให้มากนักล่ะ"



    พูดจบแอชเชอร์ก็ดึงแขนตัวเองออกจากมือของไทเลอร์ แล้วเดินออกไปจากบ้านโดยทิ้งระเบิดขนาดย่อมไว้ให้เชส ไทเลอร์ ต้องมานั่งจัดการ 



    "ดูความจองหองของพวกแดนเหนือซะสิ.."



    "เป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ" ไทเลอร์ตอบ "เธอเองก็น่าจะรู้ว่าคนของเลสลีย์เกลียดอะไรมากที่สุด" 



    เจ้าหล่อนถึงกับหัวเราะออกมาในทันทีเมื่อได้ยินทรูอัลฟ่าหนุ่มพูดอย่างไม่คิดอะไร ทั้งที่เธอเป็นฝ่ายโดนพูดจากกระแทกกระทั้น 



    "ฉันก็ลืมไปเหมือนกัน เพราะไม่ว่าจะคนพี่หรือคนน้องก็ยังจองหองเหมือนกันไม่มีผิด" 



    "ฉันว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะเรื่องนี้"  ไทเลอร์ว่า "อีกอย่างสิ่งที่เธอกำลังทำตอนนี้มันก็ไม่ต่างจากการพาลคนอื่นไปทั่ว" 



    "เชส!"



    "จะให้ฉันบอกกี่ครั้ง ว่าอย่ายุ่งกับอาเธอร์" 



    "ไม่ให้ฉันยุ่งกับอาเธอร์ แต่กลิ่นของนายทำไมถึงติดอยู่เต็มตัวเลสลีย์นั่นขนาดนั้น" อลิเซียจำกลิ่นของเชสได้ เธอจำได้จนแทบขึ้นใจด้วยซ้ำ 



    "นั่นคงไม่ใช่เรื่องที่เธอจำเป็นต้องรู้"  ภาพลักษณ์ที่อ่อนหวานของอลิเซียแม้จะสวยงาม แต่เมื่อไหร่ที่ทุกอย่างไม่ได้ถูกควบคุม นิสัยที่แท้จริงของเจ้าหล่อนก็จะค่อยๆเผยออกมาจนทำให้เชสไม่อยากใส่ใจ "อีกอย่าง เธอเองก็ไม่ควรออกมาเดินคนเดียวแบบนี้นะอลิเซีย"



    "ไม่มีใครกล้าทำอะไรฉันอยู่แล้ว นายก็รู้" 



    "เธอเอาอะไรมามั่นใจในตัวอัลฟ่ากัน...  อย่าลืมสิว่าเธอเป็นโอเมก้า"



    "ฉันไม่ใช่โอเมก้าพวกนั้น" 



    "ฉันรู้... เธอเองมีค่ามากแค่ไหนทำไมฉันจะไม่รู้" 



    "แต่นายก็ไม่เคยเห็นค่าของฉันเสียที แบบนี้มันก็ไม่ต่างอะไรจากไร้ค่า"



    "ถ้าตั้งใจจะมากินข้าวพร้อมฉัน ก็อย่าเอาเรื่องอื่นมาคิดมากเลยอลิเซีย"  ไทเลอร์คร้านจะต่อบทสนทนาพวกนี้ต่อเต็มทน  "ฉันมีเวลาไม่มากเท่าไหร่"



    "นายจะยอมกินข้าวกับฉันจริงๆน่ะหรือ"



    "ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ เธอก็ควรคว้าโอกาสนี้ไว้ซะ" 










    /////








    "นั่นมันเลสลีย์ไม่ใช่หรือ?" 



    เสียงพูดคุยที่ดังกระซิบกระซาบทำนองเดียวกันกับประโยคด้านบน ยังคงมีให้ได้ยินอยู่เนืองๆ ไม่ว่าอาเธอร์จะขยับตัวไปทางไหน แม้มันจะค่อนข้างน่าอึดอัดแต่อาเธอร์ เลสลีย์ ก็คงยังปรับตัวเองให้เข้ากับสิ่งที่เป็นอยู่ได้อย่างง่ายดาย เหมือนกับสายน้ำที่พร้อมจะไหลไปทุกทางที่มันสามารถไหลไปได้ เช่นนั้นน้ำสายนี้ก็ยังคงกลายเป็นน้ำแข็งที่เก็บความเยือกเย็นอย่างความรู้สึกไว้จนน่ากลัว..



    ร่างสูงโปร่งของอัลฟ่าตระกูลเก่าแก่ดูโดดเด่นท่ามกลางผู้คนด้วยอาภรณ์เนื้อดีที่สวมใส่  ชุดสีเข้มช่วยขับผิวขาวเหมือนกับหิมะที่ปกคลุมต้นไพน์ไปทั่วให้ดูดีขึ้นอีกเท่าตัว ทั้งนัยน์ตาสีอ่อนที่ไร้ประกายของความสดใส พาลทำให้คนที่ได้สบตามองรู้สึกได้ว่าไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปใกล้กับเลสลีย์คนโต แพขนตายาวรับกับจมูกโด่งเป็นสันจรดริมฝีปากบางสีระเรื่อยังคงเป็นภาพของความงดงามที่ใครหลายคนล้วนริษยาในความเข้าข้างของพระเจ้าที่แสนจะลำเอียงมอบใบหน้าและร่างกายที่สง่างามนี้ให้กับคนเพียงคนเดียว 



    แต่ใครจะรู้ว่าความลำเอียงของพระเจ้าที่ใครว่านั้น แท้จริงแล้วมันคือความทรมานที่แสนสาหัสอย่างยากที่จะเข้าใจ 



    พระเจ้าสร้างความงดงามของอาเธอร์ขึ้นด้วยลำเอียง  ราวกับรู้อยู่แล้วว่าสิ่งนั้นจะต้องถูกชดใช้ด้วยความผิดบาปของคนที่สร้างขึ้นมากับมือ...



    ช่างน่าตลกสิ้นดีกับเรื่องงี่เง่าที่ต้องยอมรับพวกนี้ 



    "คุณชายออกมาโดยไม่บอกคุณริโอก่อนแบบนี้ มันจะดีหรือ?" เสียงเบต้าสาวที่เดินตามหลังเอ่ยท้วงทันทีเมื่อเห็นผู้เป็นนายยอมหยุดเดิน 



    "ถ้าฉันไม่ออกมา นั่นไม่เรียกว่าเป็นการเสียมารยาทมากกว่าหรือไง" 



    คำตอบที่ได้กลับมาจากคุณชายเลสลีย์ทำให้เบต้าสาวปิดปากฉับในทันที แม้จะคอยตามดูแลอาเธอร์ เลสลีย์ อยู่พักใหญ่แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้เจ้าหล่อนนั้นเข้ากันได้ดีกับคนที่เป็นนายเสียเมื่อไหร่ 



    หากไม่มีความจำเป็นจริงๆ เจ้าหล่อนก็แทบไม่ได้ยินเสียงเรียกหรือคำสั่งจากคุณชายเลสลีย์เลยสักครั้ง จนกลายเป็นว่าตอนนี้เจ้าหล่อนแทบจะไม่มีอะไรทำเลยสักอย่าง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เหล่าเพื่อนรับใช้ด้วยกันก็ต่างพร้อมใจพูดให้เธอฟังจนใจเสีย 



    "ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเจ้านายเธอว่าหรอกทาร์เลีย" ถึงจะไม่สนใจความช่วยเหลือของเธอนัก แต่คุณชายเลสลีย์ก็นับว่าเป็นเจ้านายที่เธอเคารพมากๆคนหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้เมื่อมาเจอกับตัวก็คงจะถูก "ฉันคงอยู่แค่ครู่เดียวเท่านั้น" 



    งานฉลองเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากเป็นวันเกิดของ เอวาน ซัลลิแวน ทำให้อาเธอร์ต้องออกมาที่นี่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ของขวัญชิ้นเล็กที่อยู่ในมือของทาร์เลียก็คงเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความตั้งใจของอาเธอร์ได้เป็นอย่างดี 



    ใช้เวลาหยุดยืนมองหาไม่นานอาเธอร์ก็สามารถมองเห็นเจ้าของวันเกิดที่กำลังเดินผ่านมาทางตนหลังจากที่พูดคุยกับคนที่เข้ามาร่วมยินดีกับตัวเอง 



    "ไม่คิดว่านายจะมาเลย เลสลีย์"  เจ้าของใบหน้าดูดีไม่แพ้กับอาเธอร์เอ่ย ก่อนจะโบกมือไล่คนที่เดินติดตามตัวเองออก เหมือนกับที่อาเธอร์หันไปกระซิบบอกให้ทาร์เลียแยกตัวออกไปก่อนโดยที่มือขาวนั้นยื่นไปรับกล่องของขวัญมาถือไว้เสียเอง 



    "ฉันแค่จะเอาของมาให้ก็เท่านั้น" คุณชายเลสลีย์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ โดยเลือกที่จะไม่สนใจ
    รอยยิ้มของอีกฝ่ายที่ฉีกยิ้มให้กับตนเอง 



    "แต่ฉันเองก็มีเรื่องอยากจะคุยกับนายพอดี" เอวานยังคงไม่ละความพยายามที่จะพูดคุยกับอีกฝ่าย แม้เจ้าตัวจะแสดงออกชัดเจนมากแค่ไหนก็ตามว่าไม่อยากจะสนทนาด้วย "ออกไปคุยกันข้างนอกคงจะดีกว่า" เจ้าของรอยยิ้มสวยเป็นฝ่ายเอ่ยชวน  แต่ก็ต้องถูกปฏิเสธในทันที


     
    "ฉันไม่สะดวกเท่าไหร่ ถ้าจะคุยก็ขอให้เป็นที่นี่คงเหมาะสมกว่า" 



    แม้จะดูไม่ยินดียินร้ายแต่อาเธอร์ก็ยังคงรักษามารยาทที่ควรจะมีเอาไว้ได้เป็นอย่างดี



    "แบบนั้นก็ได้.." เอวานยกยิ้มแกนๆให้กับคนตรงหน้า "ฉันรู้มาว่านายลงไปที่แดนใต้มากับริโอ" 



    "เป็นตามที่นายรู้" อาเธอร์ตอบรับสั้นๆ "ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากที่นายได้ยินสักนิด"



    "แล้วเป็นยังไงบ้าง?" น้ำเสียงที่ฟังดูอยากรู้อยากเห็นทำให้อาเธอร์ทำเพียงแค่มองหน้าเอวานเงียบๆ อย่างพิจารณา 



    "หมายถึงฉัน หรือ หมายถึงใคร?" 



    ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ได้พูดคุยกับคุณชายเลสลีย์ก็มักจะทำให้เอวาน ซัลลิแวน รูุ้สึกเกร็งเสียทุกที ทั้งแววตา ทั้งคำพูด ทุกอย่างมันดูน่ายำเกรงไปเสียหมด ทั้งๆที่มันก็เป็นบุคลิกปกติของอาเธอร์ เลสลีย์ 



    "ก ก็ต้องหมายถึงนายสิ" เอวานแสร้งหลบตากลบเกลื่อน เมื่อถูกดวงตาสีอ่อนนั่นจ้องมองอย่างจับผิด



    "นายไม่ได้หมายถึงฉันหรอกเอวาน.." 



    "...."



    "จะถามอะไรก็พูดมาเลยจะดีกว่า อย่าเสียเวลาอ้อมค้อมให้ฉันเสียเวลาเลย" 



    เอวานเงียบไปชั่ววิก่อนจะเอ่ยปากถามในสิ่งที่ต้องการรู้จริงๆกับอาเธอร์ ทั้งที่ในใจของเจ้าตัวมันกำลังกู่ร้องว่าการกระทำเช่นนี้มันไม่สมควรแค่ไหนก็ตามแต่ 



    "เขาเป็นยังไงบ้าง.." 



    น้ำเสียงที่แผ่วเบาลงอย่างเห็นได้ชัดไม่ได้สร้างความแปลกใจให้กับอาเธอร์เสียเท่าไหร่ อันที่จริงคุณชายเลสลีย์ก็พอจะเดาออกอยู่พอควรว่าคนอย่างเอวานนั้นจะถามตัวเองในเรื่องของอะไร 



    "ก็ยังทำงานหนักเหมือนเคย" อาเธอร์ตอบด้วยน้ำเสียงโทนเดิม "ไม่สิ.. ต้องเรียกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยมากกว่า แบบนั้นถึงจะถูก"



    "งั้นหรือ.." คนที่รอฟังคำตอบเอาแต่วนลูปประโยคที่อาเธอร์ตอบไปมาอย่างไม่รู้จักหยุด 



    ไม่เปลี่ยนไป... ยังเหมือนเคย...



    เท่านี้ก็นับว่าเป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้วในวันนี้สำหรับเอวาน 



    "ของขวัญจากเมอร์เรย์



    มือเรียวสวยของคุณชายเลสลีย์หยิบยื่นกล่องของขวัญขนาดกำลังดีให้กับเอวาน ซึ่งเจ้าของวันเกิดเองก็ดูเหมือนจะอึ้งไปไม่น้อยกับสิ่งที่ได้รับ รอยยิ้มกว้างปรากฎขึ้นบนใบหน้าสวยของอีกคนอย่างปิดไม่มิดเมื่อเจ้าตัวนั้นดูจะมีความสุขไม่น้อยเมื่อรับรู้ว่าตัวเองได้รับของขวัญจากอัลฟ่าแดนใต้อย่างเอริค เมอร์เรย์ 
    ถ้าจะพูดให้ถูกก็คงต้องเรียกว่าเป็นคนที่ชอบพอกันมาก่อนก็คงจะถูก แต่สถานะในปัจจุบันนั้นกลับไม่มีอะไรเสียมากกว่า



    "อาจจะดูไม่สมควรเท่าไหร่ แต่ฉันก็หวังว่ามันคงจะเป็นความสุขของนายในวันนี้ได้" 



    "ขอบคุณนายมากนะอาเธอร์.. ขอบคุณจริงๆ" 



    มือเล็กของเอวานที่ตั้งใจจับมือของอาเธอร์ต้องชะงักค้างในอากาศทันที เมื่อเจ้าของฝ่ามือเรียวนั้นดึงมือกลับไปอย่างนุ่มนวล ราวกับไม่ต้องการคำขอบคุณหรือการแสดงความขอบใจอะไรทั้งสิ้น 



    "นายรังเกียจฉันขนาดนั้นเลยหรือ" เอวานอดตัดพ้อไม่ได้กับการกระทำที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนของอาเธอร์ 



    "นายก็รู้ดีว่ามันไม่เหมาะ.." นัยน์ตาสีอ่อนไม่แม้แต่จะแสดงความวูบไหวผ่านออกมาให้ใครได้เห็น "นายกำลังจะขึ้นเป็นคนของสเปนเซอร์แล้วก็ควรจะระวังตัวให้มากกว่านี้เสียหน่อยนะเอวาน" 



    "ฉันขอโทษ.." 



    ความรู้สึกผิดมากมายนั้นยังคงอัดแน่นอยู่ภายในอกของเอวาน.. ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่พบเจอกับอาเธอร์มันก็ทำให้เอวานรู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน 



    ความขมขื่นของชีวิตที่ไม่สามารถเลือกได้นั้นนับว่าเป็นความอัปยศสิ้นดี..



    "มันไม่ใช่ความผิดของนาย.."



    "...."



    "ถ้ามันจะผิด.. ก็คงจะผิดที่ฉันเองที่โง่



    คนที่โง่ให้กับความรักพวกนั้นจนทำให้ตัวเองต้องกลายเป็นแบบนี้ มันก็คือเขาเอง..  



    "ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลยสักนิด.." ดวงตาของเจ้าของวันเกิดเริ่มคลอหน่วงไปด้วยน้ำตา ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้อาเธอร์รู้สึกอะไร "ถ้าเลือกได้ล่ะก็ ฉันเองก็อยากจะทำแบบที่ตัวเองต้องการเหมือนกัน"



    "บางทีฉันเองก็คิดเหมือนกันว่าจริงๆ แล้วความรักมันอาจจะเป็นเรื่องที่ไร้สาระที่สุดในชีวิต" 



    "แต่ความรักของนายคือความรักที่บริสุทธิ์



    "ไร้ค่าทั้งนั้น.." 



    รอยยิ้มของอาเธอร์ที่ถูกส่งมานั้นทำให้คนมองอย่างเอวานรับรู้ได้ถึงความเข้มแข็งที่ซ่อนความเจ็บปวดไว้ภายในอย่างท่วมล้น 



    "ทำไมถึงไม่ยอมบอกฉันก่อนว่าจะออกมาที่นี่"  



    เสียงที่ดังมาจากด้านหลังที่คุ้นเคยทำให้อาเธอร์สลัดความรู้สึกที่จมดิ่งของตัวเองก่อนหน้าออกไปให้หมด แล้วกลับมาเผชิญกับความเป็นจริงอีกครั้ง 



    "ริโอ.." 



    ไม่ใช่เสียงของอาเธอร์ที่เอ่ยเรียกผู้มาใหม่ แต่กลับเป็นเอวานนั่นเองที่เป็นฝ่ายเอ่ยเรียกรอยัลอัลฟ่าหนุ่ม 



    "ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัว.." อาเธอร์ว่าก่อนจะก้มหัวเล็กน้อยให้กับเอวานด้วยท่าทีอ่อนน้อม แล้วหมุนตัวเตรียมที่จะหันหลังเดินออกไปจากที่นี่ให้ได้โดยเร็วที่สุด



    "นายมีเรื่องต้องคุยกับฉัน" 



    ทว่ามือใหญ่ที่รั้งช่วงต้นแขนของอาเธอร์เอาไว้ทำให้เจ้าตัวได้แต่หยุดยืนนิ่งตามคำสั่งของคนที่มีอำนาจมากกว่าตนเอง



    "เกรงว่าจะเป็นการทำให้นายต้องเสียเวลา.. อีกอย่างนี่ก็เป็นงานของคู่ชีวิตนาย อย่าลืมสิ" 



    ทันทีที่พูดจบ คุณชายเลสลีย์ก็กระชากแขนของตัวเองออกจากฝ่ามือของรอยัลอัลฟ่าในทันที โดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ทักท้วงอะไร 



    "อาเธอร์!" 



    จะมีวิธีไหนบ้างนะที่ทำให้ตัวเขาหลุดพ้นจากการเป็นตัวของตัวเอง.. 












    ตั้งแต่กลับมาถึงที่ห้องของตัวเอง อาเธอร์ก็ยังคงยืนเหม่อมองออกไปทางด้านนอกหน้าต่างอย่างไม่ละสายตา หิมะที่กำลังร่วงโรยยังคงเป็นภาพที่สวยงามเสมอยามที่ได้เห็น แต่ความหนาวเย็นของมันก็กลับทำให้คนที่มองอยู่นั้นด้านชาขึ้นเรื่อยๆ 



    น่าตลกดีที่เคยมีคนเปรียบพี่น้องตระกูลเลสลีย์ว่าไม่ต่างจากหิมะของแดนเหนือ ฟังดูดีไม่หยอกแต่ในความจริงหิมะก็เป็นเพียงแค่หิมะ 



    สวยงามยามกำลังร่วงหล่นแต่ไร้ค่ายามตกถึงพื้น 



    ความสวยงามที่ไม่ได้สร้างประโยชน์ มิหนำซ้ำยังสามารถฆ่าชีวิตของผู้คนที่ทนต่อความหนาวเหน็บไม่ไหว 



    "การที่นายออกไปแบบนั้นมันไม่ดี นายไม่รู้บ้างหรือ" 



    แรงสวมกอดจากทางด้านหลังจนแผ่นหลังบางแนบชิดกับหน้าอกแน่นตึง ทำให้คนที่กำลังเหม่อมองออกไปด้านนอกนั้นเม้มปากแน่น 



    "ไม่ดีกับฉันหรือไม่ดีกับนายกันแน่" 



    "อย่าชวนฉันทะเลาะนักเลยอาร์ธ" คนถูกกล่าวหาว่า พลางกระชับกอดคนในอ้อมกอดมากขึ้น จนคนถูกกอดรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะจมหายเข้าไปในอกของอีกคน "นายหายออกไปแบบนี้ มันทำให้ฉันตกใจแทบแย่"



    "งั้นหรือ?"  



    เจ้าของผิวขาวอมชมพูแค่นหัวเราะในลำคอเมื่อได้ฟัง มือเรียวสวยวางทับที่ฝ่ามือของรอยัลอัลฟ่าด้านหลังก่อนจะบีบแน่นเมื่ออีกฝ่ายนั้นไม่มีท่าทีที่จะยอมปล่อยตนเอง 



    "เลิกผลักไสฉันเสียที" 



    ช่างเป็นคำอ้อนวอนที่เห็นแก่ตัวสิ้นดี.. 



    "นายมันเป็นคนเห็นแก่ตัวที่สุดที่ฉันเคยเจอในชีวิตเลยริโอ" 



    "ฉันยอม.."



    แล้วยังไงล่ะ? 



    "ทุกอย่างมันผิดมามากพอแล้ว.. นายควรจะหยุดเสียที" 



    "ฉันหยุดไม่ได้" ริโอตอบด้วยน้ำเสียงที่แข็งขึ้น "ถ้าหยุด นายก็ต้องไปจากฉัน"



    "ทำไมฉันถึงรักคนเห็นแก่ตัวแบบนายไปได้กัน.." กลีบปากสีระเรื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "คนที่ไม่แม้แต่จะรักษาสัญญาอย่างนาย ไม่ควรได้รับอะไรจากฉันเลยด้วยซ้ำ" 



    "ฉันไม่ใช่มัน!"



    คนตัวขาวในอ้อมกอดถูกพลิกให้กลับมาเผชิญหน้ากับรอยัลอัลฟ่าที่ขึ้นเสียงแข็งกร้าว แววตาคมดุดันขึ้นจนตัวอาเธอร์เองก็รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดกับตัวเองในไม่ช้า 



    "แน่นอนว่านายไม่ใช่..." 



    การโต้ตอบของอาเธอร์โดยทันควันของอาเธอร์ด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง นับเป็นจุดแข็งของคุณชายเลสลีย์
    ที่ริโอเกลียดหนักเกลียดหนา 



    "ทั้งที่ฉันยืนอยู่ตรงหน้า แต่นายกลับ.."



    "ถ้าทำได้ ฉันอยากจะมองนายเป็นแค่ธาตุอากาศด้วยซ้ำ"  อาเธอร์สวนกลับโดยที่ริโอยังไม่ทันได้พูดจบ ดวงตาคู่สวยของเจ้าตัวยังคงสวยงามและน่าดึงดูดทุกครั้งที่ได้สบตา 



    "นายทำไม่ได้หรอก.. ฉันรู้ว่านายรักฉันมากแค่ไหน"



    "อย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง" 



    "มันคือเรื่องจริง" ริโอตอบเสียงมั่นใจ ในขณะที่มือใหญ่ยังคงสัมผัสอยู่ที่หน้าท้องบาง "หรือนายจะตอบว่าไม่" ยิ่งพูดมือนั่นก็ยิ่งลูบวนที่หน้าท้องของอาเธอร์จนอัลฟ่าหนุ่มยืนนิ่ง 



    "อย่าทำให้ฉันขยะแขยงนายไปมากกว่านี้" 



    "นายโกหกความรู้สึกตัวเองไม่ได้หรอกอาเธอร์.. ถึงฉันจะคาดเดานายไม่ได้ แต่ร่างกายของนายมันซื่อสัตย์กับฉันเสมอ" 



    "ฉันไม่ใช่สุนัขที่จะต้องซื่อสัตย์กับนายตลอดไป..."



    "...." 



    "ถึงฉันจะเคยยอมทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อนาย แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่กล้าทิ้งความรักพวกนั้นนะริโอ" 



    "อย่าพูดเหมือนนายจะหนีฉันไปแบบนั้น" 



    "ถ้าคนอย่างฉันจะไปต่อให้ต้องตายฉันก็ยอม นายก็รู้" 



    คนที่เคยโง่ไม่ได้จำเป็นต้องโง่ตลอดไป.. ความเจ็บปวดที่กัดกินไปทั่วทั้งอกนั้นมันสร้างกำแพงบางอย่าง
    ให้อาเธอร์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ  ต่อให้ไม่ร้องไห้ออกมาก็ใช่ว่าไม่รู้สึกเจ็บปวด 



    แต่เพราะมันเจ็บจนไม่รู้จะระบายยังไงเสียมากกว่า..



    "อยากหนีไปจากฉันขนาดนั้นเลยหรือคนดี"



    ทั้งที่ประโยคที่ออกมาจากปากของอาเธอร์นั้นจะแสนเจ็บปวดสักเพียงใด แต่ริโอก็ไม่เคยเห็นหยดน้ำตาจากอัลฟ่าที่ตัวเองรักเลยสักครั้ง รอยยิ้มเย้ยหยันกับแววตาที่ยังคงเฉยชานั้นซ่อนอะไรเอาไว้บ้างรอยัลอัลฟ่าหนุ่มเองก็ไม่เคยรับรู้ เป็นความแข็งแกร่งที่งดงามเสียจนต่อให้ตายริโอก็จะไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายหายไปจากตนเอง 














    ////









    "ฉันไม่อยู่ไม่เท่าไหร่ นายสนิทกับเซเบอร์แล้วหรือเชอร์ชิล" เจ้าของเกรย์วูล์ฟตัวจ้อยเอ่ยทักทันทีเมื่อเห็นเจ้าของร่างสูงของลูอิสหรือลูฟที่หลายๆคนรู้จักกันดีนั้นนั่งเล่นกับเจ้าขนปุย 



    "คนเรามันก็ต้องมีการพัฒนาบ้าง" คนถูกทักตอบก่อนจะลูบหัวเกรย์วูล์ฟตัวเล็กเป็นครั้งสุดท้าย "จะให้โจชัวเลี้ยงเกรย์วูล์ฟทั้งฝูงคนเดียวก็ดูจะใจร้ายเกินไปหน่อย" 



    "ไม่ใช่ว่านายอยากเล่นกับพวกมันหรอกหรือ" แอชเชอร์สังเกตตั้งแต่แรกๆ แล้วล่ะว่าจริงๆแล้วเชอร์ชิลเป็นพวกชอบเจ้าสัตว์ขนปุยนี่ แต่ไม่มีโอกาสได้เข้ามาสัมผัสเสียเท่าไหร่ 



    "ฉันว่าฉันก็ไม่ได้แสดงออกชัดขนาดนั้น" เมื่อถูกจับได้แบบนี้ เชอร์ชิลเองก็อดที่จะยกมือขึ้นมาเกาแก้มตัวเองไม่ได้  "แต่นายก็จับได้ซะอย่างงั้น" 



    "ระวังจะโดนงับเข้าให้อีกล่ะ" 



    "พูดแบบนี้เป็นลางไม่ได้เท่าไหร่นะเลสลีย์ แผลครั้งที่แล้วฉันก็พึ่งจะหายไป" 



    "ชีวิตนายคงไม่โชคร้ายอะไรขนาดนั้นหรอกน่า" 



    เจ้าของเกรย์วูล์ฟตัวจริงทรุดตัวลงนั่งใกล้กับเกรย์วูล์ฟตัวเล็กที่ยังเดินเตาะแตะไปมารอบๆ ขาของตัวเอง จมูกของมันดมกลิ่นของคนที่มาใหม่ฟุดฟิดก่อนที่จะใช้หัวกลมถูไถกับช่วงขาของแอชเชอร์



    "พอเจอเจ้านายตัวเองล่ะอ้อนใหญ่เชียว ไอ้ตัวเล็ก" โจชัวที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ เอ่ยก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มครึ้มมากขึ้นเรื่อยๆ "ท่าทางวันนี้นายจะมาเสียเที่ยวแล้วล่ะแอชเชอร์ ยังไงวันนี้ฝนก็คงตกแน่ๆ" 



    "เลือดร้อนในตัวยังไม่ยอมหมดอีกหรือเลสลีย์ ได้ข่าวว่านายยังไม่หายเจ็บดีไม่ใช่หรือไง" ลูฟเอ่ยก่อนจะมองสภาพร่างกายของเลสลีย์ที่ยังดูไม่เต็มร้อยเสียเท่าไหร่ 



    "ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาใช้กำลังอะไรเสียหน่อย ก็แค่ไม่อยากอยู่ที่บ้านก็เท่านั้น" 



    แอชเชอร์ตอบกลับด้วยความสัตย์จริง  ยิ่งเมื่อเช้าที่เจอเข้ากับแม่สาวโอเมก้าแดนใต้นั่นก็ยิ่งทำให้แอชเชอร์ฉุนกึกอย่างบอกไม่ถูก เกลียดทั้งสายตาที่เหมือนดูถูกตัวเอง เกลียดทั้งคำพูดที่ตั้งใจเหยียดหยันนั่น 



    "ตีกับเชสมาอีกหรือเปล่า? ท่าทางนายอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่" โจชัวก็ยังคงเป็นฝ่ายประนีประนอมที่ดีเสมอ 



    "ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะ ฉันหงุดหงิดไปเองก็เท่านั้น"  ใบหน้ารูปสลักของอัลฟ่าแดนเหนือเริ่มบึ้งขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อถูกถามเรื่องของไทเลอร์  



    "ฉันเดาว่าต้องตีกับเชสมาแน่ๆ!" ลูฟว่าอย่างรู้ทันก่อนจะส่งสายตาจับผิดอัลฟ่าแดนเหนือ "แต่จะว่าไป ฉันว่าหมอนั่นก็ไม่น่าจะกวนประสาทอะไรนายเท่าไหร่แล้วนะ"



    น้อยไปสิ.. ทั้งกวนประสาท แล้วก็กวนใจของแอชเชอร์ด้วยเหมือนกัน ไอ้ความรู้สึกยุบยิบๆในใจนี่มันน่ารำคาญชะมัด 



    "ว่าแต่นายได้เจออลิเซียหรือยัง?" จู่ๆ ลูฟก็ถามขึ้นมาเหมือนพึ่งนึกออก ซึ่งนั่นก็ทำให้คนถูกถามหัวเราะในลำคอ 



    "ฉันให้นายลองเดา?" 



    ทั้งลูฟและโจชัวต่างหันมามองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย เมื่อแอชเชอร์โยนคำถามพวกนั้นมาให้เดา ซึ่งเมื่อมองจากที่เห็นแล้ว ทั้งคู่ก็ต่างลงความเห็นไว้ในใจเลยว่าแอชเชอร์คงเจอฤทธิ์ของอลิเซียไปแล้วเป็นแน่ 



    "ถามกันแบบนี้คงไม่ต้องเดาแล้วล่ะมั้ง" หัวหน้าครูฝึกของเดอะฮิลล์ว่าก่อนจะควงของเล่นที่อยู่ในมือหน้าตาเฉย 



    "ที่หัวเสียมาแบบนี้ก็เพราะอลิสด้วยหรือเปล่า พึ่งรู้นะว่าคนแบบนายเวลาหงุดหงิดจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้นี่จะลงที่ของกิน" 



    สภาพของชามที่กองรวมกันตรงหน้าเลสลีย์เมื่อช่วงเช้าลูฟยังจำได้ติดตา แม้จะโดนจำกัดอาหารก็จริงแต่ก็ใช่ว่าจะโดนควบคุมขนาดนั้นเสียเมื่อไหร่ เรียกได้ว่าถ้าเชส ไทเลอร์ เผลอก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามายุ่งกับอัลฟ่าแดนเหนือแล้วทั้งนั้น 



    "เพราะฉันหิวต่างหากล่ะ กินอาหารคนป่วยมาหลายวันเสียขนาดนั้น" แอชเชอร์หยิบยกเหตุผลเรื่องที่ตัวเองป่วยมาว่า แต่ดูท่าลูฟเองก็ไม่ค่อยจะเชื่อเสียเท่าไหร่  "ทำหน้าแบบนี้ ไม่เชื่อฉันหรือไงเชอร์ชิล"



    "เชื๊อ!" 



    เสียงสูงขนาดนั้นจริงใจให้กันมากเลยสินะเชอร์ชิล.. 



    "จริงใจจนฉันอยากจะร้องไห้เลยเชอร์ชิล"  คนตัวขาวซีดประชดเข้าให้ก่อนจะก้มลงไปอุ้มเจ้าเซเบอร์ที่ออเซาะไม่ยอมเลิก 



    " แล้วสรุปว่าวันนี้นายก็จะอยู่ที่นี่ทั้งวันเลยว่างั้นสิ" ถึงแม้แอชเชอร์จะชอบมาขลุกตัวอยู่กับโจชัวบ่อยๆ แต่ก็ใช่ว่าหัวหน้าครูฝึกของหน่วยจะว่างทั้งวันเสียเมื่อไหร่ 



    "ก็คงต้องเป็นแบบนั้น อย่างน้อยที่นี่ก็น่าจะมีอะไรให้ฉันทำมากกว่าที่บ้าน" 



    ที่แอชเชอร์พูดมันก็ถูก แต่ที่มันไม่ถูกก็คงจะเป็นการที่เจ้าตัวมาอยู่ผิดเวลาที่ทั้งโจชัวและลูฟจะต้องไปทำงานตามที่หัวหน้าหน่วยสั่ง 



    อุโมงค์นั่นยังคงรอคอยพวกเขาให้เข้าไปสำรวจ ในขณะเดียวกันเรื่องนี้เองก็ต้องปิดเป็นความลับเช่นกัน ไม่ว่าจะจากทั้งคนในเดอะฮิลล์หรือแม้กระทั่งแอชเชอร์เองก็ด้วย 



    "แต่วันนี้ฉันกับลูฟมีงานที่ต้องออกไปทำ" โจชัวว่าโดยที่พูดด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนอย่างที่ใช้คุยทั่วไป "เกรงว่านายคงออกไปกับพวกฉันไม่ได้"



    "ทำไมล่ะ? พวกนายต้องออกไปข้างนอกหรือ" คิ้วสวยขมวดเข้าหากันทันที เมื่อรับรู้แล้วว่าวันนี้ตัวเองคงต้องถูกทิ้งแน่ๆ "แบบนี้ฉันก็ต้องกลับไปอุดอู้ที่บ้านน่ะสิ"



    พอทำหน้าหงอยแบบนั้นก็เล่นเอาเชอร์ชิลและคาร์ลินถึงกับมองหน้ากันไปมาอีกครั้ง ให้ตายเถอะ เลสลีย์นี่ทำให้พวกเขาตกใจหลายเรื่องเสียเหลือเกิน ปกติก็มักจะเห็นแต่หน้านิ่งๆ พอมาวันนี้ดูท่าเจ้าตัวคงจะเหงาจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ทำหน้าเศร้าเหมือนกำลังถูกทิ้งแบบนี้หรอก 



    "เซเบอร์ก็กลับไปกับนายนี่ไง" โจชัวพยายามหาเหตุผลมาชักจูง  "ปกติเห็นบ่นเหนื่อยทุกทีเวลาที่ซ้อมเหนื่อยแล้วกลับไปเลี้ยงเจ้านี่ วันนี้มีเรื่องให้ทำแค่อย่างเดียวเหนื่อยก็น้อยลง ไม่ดีหรือ?"



    "อีกอย่างถ้านายไปด้วยก็เท่ากับว่าพวกเราต้องพาร็อคกี้ไปด้วย อย่าลืมสิ" เกรย์วูล์ฟตัวสีขาวปลอดที่นอนอยู่ไม่ไกลหูกระดิกทันทีที่ถูกเอ่ยชื่อถึง  



    "เมื่อไหร่หมอนั่นจะเลิกให้เจ้านี่ตามฉันก็ไม่รู้" แอชเชอร์บ่นอุบอิบพลางเหลือบมองร็อคกี้ที่ลืมตามามองหน้าตัวเอง ตาสีฟ้าใสนั่นน่ะตัวดีเลยด้วยซ้ำ ให้เผลอหน่อยไม่ได้เจ้านี่มันพร้อมจะแกล้งแอชเชอร์อยู่เสมอ 



    อย่างเช่นเมื่อเช้าที่กระโดดใส่แอชเชอร์เมื่อเจอหน้าจนแทบล้มนั่นก็เรื่องหนึ่ง... 



    "ที่มันแกล้งนายก็เพราะชอบเล่นกับนายหรือเปล่าเลสลีย์" 



    "ถ้างั้นก็อย่าชอบฉันเลยดีกว่า นายดูตัวมันซะก่อน ถ้าทับฉันจริงๆขึ้นมา เชื่อเถอะว่าฉันจะตายเอา" 



    คำพูดของแอชเชอร์เรียกเสียงหัวเราะของอัลฟ่าหนุ่มได้อย่างไม่ยาก เพราะตามที่เจ้าตัวพูดมามันก็จริงทั้งนั้น เกรย์วูล์ฟที่โตเต็มที่มันตัวเล็กเสียเมื่อไหร่กัน ขนาดลูฟที่เป็นอัลฟ่ารูปร่างสูงใหญ่ยังต้องยอมแพ้กับแรงของเจ้าพวกนี้



    "ฝนก็ใกล้จะตกแล้ว ฉันว่านายควรรีบกลับไปที่บ้านได้แล้วนะเลสลีย์" คนที่สังเกตสภาพฝนฟ้าอากาศอยู่เรื่อยๆ รีบบอกอัลฟ่าแดนเหนือในทันที ดูท่าแล้ววันนี้ฝนคงจะตกหนักไม่น้อย หากไม่รีบกลับเสียตอนนี้มีหวังว่าแอชเชอร์คงได้ติดฝนเป็นแน่ 



    "ทั้งที่ฝนจะตก พวกนายก็จะออกไปทำงานอย่างนั้นน่ะหรือ" 



    "หัวแข็งแบบพวกฉัน ฝนแค่นี้ทำอะไรไม่ได้หรอกเลสลีย์" 



    ถ้าเทียบกับคนแดนเหนือที่ไม่ค่อยเจอฝนแบบนาย...



    แม้ในใจของลูฟอยากจะพูดต่อแค่ไหน แต่ก็ต้องเก็บมันไว้ในใจ มีหวังถ้าพูดต่อไปคงได้โดนอัลฟ่าแดนเหนือต่อยเอาเปล่าๆ 



    ใช้เวลาเกลี้ยกล่อมเลสลีย์ไม่นาน จนในที่สุดอัลฟ่าตัวขาวก็ยอมโบกมือลาทั้งลูฟและโจชัวอย่างจำใจก่อนจะเดินมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านพักของหัวหน้าหน่วย ซึ่งแอชเชอร์ก็เดาได้ว่าในตอนนี้คงไม่มีใครอยู่ทั้งนั้น เจ้าของบ้านเองก็เช่นกัน รายนั้นน่ะโดยปกติแล้วถ้าไม่ถึงช่วงเย็นก็ไม่มีทางกลับมาที่พัก 



    ระหว่างทางเดินกลับ เจ้าของร่างขาวก็มองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อยอย่างปกติตามนิสัยคนชอบสำรวจ หางตาก็ยังคงเห็นเกรย์วูล์ฟตัวขาวที่เดินทอดน่องตามไม่ห่าง ส่วนเจ้าเซเบอร์เองก็ยังคงอยู่คงซุกในอ้อมแขนของแอชเชอร์ 



    เลสลีย์คิดแล้วก็ได้แต่ภาวนาให้เจ้านี่โตเร็วๆ เสียที  อย่างน้อยถ้าเซเบอร์รวมกับฝูงได้เร็วขึ้น บางทีมันอาจจะไม่ต้องมาเป็นเกรย์วูล์ฟของแอชเชอร์ 



    เขาไม่อยากสร้างความผูกพันอะไรไว้ที่นี่..  เพราะหากวันหนึ่งถ้าเขาต้องไปจริงๆ อย่างน้อยเขาเองก็จะไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ต้องทิ้งไป 



    เจ้าเกรย์วูล์ฟนี่ก็ด้วย.. มันเป็นเกรย์วูล์ฟของแดนใต้ก็สมควรจะอยู่ที่นี่  ไม่ใช่ติดตามเขาไปเสียทุกที่



    อยู่ให้ถูกที่และอยู่ในที่ๆควรอยู่คงจะเป็นเรื่องดีที่สุด 



    แต่จะว่าไปสภาพอากาศแบบนี้ก็ดูคลับคล้ายคลับคลากับแดนเหนือยามที่จะเกิดพายุหิมะอยู่เหมือนกัน จะแตกต่างกันก็ตรงที่หยาดน้ำฝนในแดนใต้คงไม่หนาวเหน็บเท่ากับหิมะในแดนเหนือ ฝนที่ตกลงมาของที่นี่นั้นมีแต่จะทำให้ชุ่มฉ่ำเสียด้วยซ้ำ นับว่าเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่แอชเชอร์เองก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วนั้นตัวเขาชอบมันหรือเปล่า



    ทันทีที่เดินเข้าในเขตของบ้านพักของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ แอชเชอร์เองก็รู้สึกถึงความแปลกๆของที่นี่อย่างบอกไม่ถูก แปลกที่ว่านั่นไม่ใช่การที่พวกการ์เดียนหายไปเพราะมันก็คือเรื่องปกติที่เจ้าพวกนี้จะต้องออกไปทำงานอย่างเช่นคนในหน่วย 



    แต่แปลกที่ว่ามันคือกลิ่นบางอย่างที่ทำให้อัลฟ่าแดนเหนือชาไปทั้งร่างกาย ก่อนที่ก้อนเนื้อในอกจะสูบฉีดหนักขึ้นเรื่อยๆ จนพาลให้เหงื่อที่ไม่เคยมีก่อนหน้านั้นผุดขึ้น แขนที่เคยโอบอุ้มเจ้าเซเบอร์นั่นก็คลายออกปล่อยเกรย์วูล์ฟตัวน้อยลง 



     กลิ่นโอเมก้าในช่วงฮีท..



    แอชเชอร์ไม่เคยรับมือกับสถานการ์ณแบบนี้ ยามที่ใช้ชีวิตอยู่ในแดนเหนือ นายน้อยของเลสลีย์มักจะได้รับยาที่ป้องกันกลิ่นฮีทของโอเมก้าอยู่ตลอด  พออยู่ในสถาการ์ณแบบนี้ก็ทำให้เจ้าตัวหัวหมุนไปหมด ระยะห่างจากบ้านพักของหัวหน้าหน่วยกับที่รักษาก็ห่างไกลกันระยะหนึ่ง 



    แม้จะไม่มีโอเมก้าในหน่วยแต่ก็ใช่ว่าการผ่านอัลฟ่าพวกนั้นจะเป็นเรื่องง่ายเสียเมื่อไหร่ ระบบวรรณะที่จัดนั้นมันไม่ได้ใช้ได้ทุกที่เสมอไป 



    ฝ่ามือเรียวบีบเข้าหากันแน่นก่อนจะกัดฟันก้าวเดินเข้าไปในบ้านแทนที่จะฝืนตัวเองให้เดินไปที่หน่วยรักษา แต่เสียงที่ดังมาจากภายในบ้านก็ทำให้อัลฟ่าแดนเหนือเบิกตากว้างไม่น้อย 



    "เอาอลิเซียออกไปให้ไกลฉัน!! ออกไปให้หมด!" 



    เสียงของไทเลอร์ที่ตะโกนลั่นอย่างชัดเจน ก่อนที่ประตูบ้านจะเปิดออกมาพร้อมๆกับโอเมก้าสาวที่อยู่ในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยและเบต้ารับใช้ที่อยู่ในสภาพตกใจไม่แพ้กัน และทันทีที่สาวเจ้าเหลือบมาเห็นแอชเชอร์ก็ทำให้อัลฟ่าแดนเหนือรับรู้ได้ทันทีว่ากลิ่นที่ทำให้ตัวเองปั่นป่วนจนแทบบ้าในตอนนี้ มันก็คือกลิ่นของอลิเซีย



    แม้สัญชาตญาณจะสั่งให้แอชเชอร์กระโจนเข้าใส่โอเมก้าสาวมากแค่ไหน แต่เจ้าตัวก็ยังคงพยายามอดทนอย่างถึงที่สุดแล้วกลั้นใจเดินก้าวเร็วๆ เข้าไปในบ้านเพื่อออกให้ห่างจากบุคคลที่เป็นอันตรายกับตัวเองในตอนนี้ 



    ถ้าไทเลอร์ยังอยู่ในบ้าน ยังไงเสียเจ้าตัวก็คงต้องมียาระงับอาการของอัลฟ่าไม่มากก็น้อย.. และนั่นก็เป็นทางเลือกสุดท้ายที่แอชเชอร์พอจะเหลืออยู่ 



    ประตูบ้านที่เปิดค้างไว้นั้นทำให้เจ้าของผิวขาวซีดไม่ต้องเสียแรงเปิดใดๆ ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าตัวนั้นแทบหมดแรงที่เหลืออยู่ก็คือกลิ่นหอมของไม้สนซีดาร์นั้นชัดกว่าทุกครั้งที่ได้รับกลิ่น 



    ภาพของไทเลอร์ที่ยืนหันหลังเปลือยเปล่าเท้าแขนกับผนังไม้ของบ้านจนเส้นเลือดตามแขนแกร่งนั้นปูดนูนอย่างชัดเจน ไล่มาจนถึงช่วงลำคอที่มีเส้นเลือดใหญ่นั่นก็เช่นกัน 



    "น นายมียาระงับหรือเปล่า" แอชเชอร์เค้นเสียงของตัวเองออกมาอย่างยากลำบากด้วยความหวังที่มีอยู่ริบหรี่



    "ออกไปให้ห่างจากฉันเลสลีย์!" 



    น้ำเสียงดุดันไม่แพ้ในวันที่ไทเลอร์โกรธจัดทำให้อัลฟ่าแดนเหนือรับรู้ได้ทันทีว่าความหวังที่ว่านั้นมันไม่มีจริงๆ 



    "บ้าเอ้ย!" เสียงทุ้มนุ่มสบถออกมาด้วยความเจ็บใจ นี่พระเจ้ากำลังกลั่นแกล้งอะไรเขาอีก จะเป็นจะตายอยู่ตรงหน้าแอชเชอร์ยังไม่รู้สึกทรมานเท่ากับอาการรัทที่แก้ไม่ได้ในตอนนี้เลยสักนิด 



    "ฉันบอกให้ออกไป!" 



    ดวงตาดุคมตวัดกลับมามองคนตัวขาวที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนด้วยความโมโห เชส ไทเลอร์ รู้ตัวดีว่าสถานการ์ณแบบนี้ตัวเองควรจะต้องทำอย่างไร แต่กลับไม่ใช่กับแอชเชอร์ เลสลีย์ ที่ยังพาตัวเองเข้ามาใกล้กับไทเลอร์



    อลิเซียสร้างปัญหาให้กับเชส ไทเลอร์ ได้อย่างมากที่สุด กลิ่นฮีทของสาวเจ้าคงทำให้อัลฟ่าในหน่วยปั่นป่วนกันไปหมด ไม่ต่างจากเชส ไทเลอร์ ด้วยเหมือนกันที่กำลังรับมือกับอาการรัทในตอนนี้ 



    ถ้าหากอัลฟ่าด้วยกันเองว่าอันตรายแล้ว เลสลีย์ก็คงต้องตอบเลยว่าอัลฟ่าพวกนั้นไม่อันตรายเท่ากับทรูอัลฟ่าที่กำลังรัทอยู่นี่เลยสักนิด



    และแอชเชอร์เองก็อยู่ในสถานการ์ณที่อันตรายนี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้..


    แม้ว่าความรู้สึกของทั้งคู่นั้นพร้อมจะพุ่งเข้าหากันมากแค่ไหนก็ตาม



    "ถ้าฉันทำได้ ฉันคงไม่มายืนอยู่แบบนี้หรอก!"  คนตัวขาวขบกรามแน่นในขณะที่ฝ่ามือขาวนั้นก็กำจิกมือตัวเองจนได้เลือด สมองที่เคยย้ำคิดและคอยควบคุมการสั่งการของร่างกายก็เริ่มจะว่างเปล่าจนเจ้าของร่างกายไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ 



    ความต้องการของร่างกายที่เพิ่มขึ้นสูงเรื่อยๆ ยิ่งสร้างความทรมานจนแอชเชอร์ขยะแขยงร่างกายที่ไม่รักดีของตัวเอง ความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้พวกนี้มันทำให้เขาดูตกต่ำอย่างน่าละอาย คงเพราะการกลบกลิ่นของไทเลอร์ก่อนหน้านี้ที่ทำให้เลสลีย์ไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่แล้วยิ่งไม่เป็นตัวของตัวเองมากกว่าเดิม กลิ่นไม้สนซีดาร์นั้นกำลังกดให้อัลฟ่าแดนเหนือที่กำลังรัทอยู่อ่อนกำลังลงอย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่ตนเองนั้นกลับยิ่งมีแรงมากขึ้นจนน่ากลัว


     
    สักอย่างที่จะช่วยเติมเต็ม หรือ  สักวิธีที่จะทำให้หลุดพ้นจากความทรมานพวกนี้



    นั่นคือสิ่งที่ลอยเข้ามาในหัวของเลสลีย์...



    "ออกไปซะ ก่อนที่นายจะได้เป็นตัวแก้อาการรัทของฉันเลสลีย์" 



    ขาเรียวที่สั่นเทาจนแทบจะเดินไม่เป็นของร่างขาวพยายามที่จะก้าวเดินเลี่ยงขึ้นไปยังด้านบนเพื่อหวังจะขังตัวเองไว้ในห้อง ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในอนาคตข้างหน้า สิ่งที่เจ้าตัวรู้อย่างเดียวในตอนนี้ก็คือต้องออกให้ห่างจากไทเลอร์ให้ได้มากที่สุดก่อนที่ทรูอัลฟ่านั่นจะหมดความอดทน 



    ทว่าคำภาวนาของเลสลีย์ที่วิงวอนต่อพระเจ้าคงส่งไปไม่ถึง...



    เพราะแรงกระชากจากทางด้านหลังอย่างแรงจนร่างทั้งร่างลอยหวืดเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของทรูอัลฟ่านั่นก็เหมือนกับฟางเส้นสุดท้ายที่ขาดสะบั้นลง ความร้อนของร่างกายที่แนบชิดจนรับรู้ได้ถึงความแข็งแรงนั่นเป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่าหากไม่มีใครหยุดทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป... 



    "ฉันให้โอกาสนายแล้วเลสลีย์"



    "...."



    "อย่าหวังว่าฉันจะหยุดจนกว่าจะขย้ำนายให้จมเขี้ยว" 








    HASTAG #youngmastermn 








    ตอนนี้แอบยาวนิดหน่อยกว่าทุกตอน.. มีตัวละครใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งตัวละครแล้วนะคะ จริงๆก็มีอีกเรื่อยๆแต่จะค่อยๆโผล่มาเน้อ  อ่านคอมเมนต์ที่เดากันของหลายๆคนแล้วยังไม่บอกนะคะว่ามีใครถูกไหม เอาไว้อ่านในเนื้อเรื่องกันเอาดีกว่าเนอะ เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ  


































Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in