เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
A SUITCASE & A DREAMTermfan
@DisneyUSA | (5) You wouldn't want to mess with me
  • “หน้าชา” คือความรู้สึกแรกที่ฝันได้รับ หลังจากก้าวออกมาจากสนามบิน Seattle–Tacoma International Airport หน้าชาในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าฝันถูกตม.ต่อว่า หรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไล่ตะเพิดแต่อย่างใด แต่มันคือสภาพอากาศที่คนเมืองร้อนอย่างเราไม่ได้สัมผัสบ่อยๆในชีวิตประจำวัน คนเอเชียหน้าแห้งกร้านกรำแดดอย่างเราพอเจอลมหนาวพัดมาที ก็สั่นสะท้านกันไปตามๆกัน ที่นี่ไม่ได้หนาวขนาดมีหิมะตก แต่ก็หนาวพอที่จะให้ฝันกระชับเสื้อคลุมเข้ามาอีกนิดเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย เรามีเวลาเดินเล่น 12 ชั่วโมงก่อนการเดินทางครั้งต่อไป ฝันจึงจะถือโอกาสนี้สำรวจรอบๆเมืองซีแอตเทิล เพื่อนของฝันคนหนึ่งที่เจอกันบนเครื่องบอกว่าเมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ “ติสท์” สุดๆเมืองหนึ่งของโลก แล้วเรามาดูกันว่าที่ว่าติสท์เนี่ย จะติสท์ขนาดไหนกัน

    เรารวบรวมสมัครพรรคพวกหัวดำๆได้ราวๆสิบคน พวกเราตกลงกันว่าจะนั่งรถไฟเข้าเมืองเพื่อไปหาต้นกำเนิดกาแฟเลื่องชื่อสัญชาติอเมริกา “สตาร์บัคส์” นั่นเอง บอกตามตรง ฝันเป็นไม่ค่อยจะพิศวาสกาแฟเท่าไรนัก ฝันจะปวดหัวมากเวลาได้กลิ่นกาแฟแรงๆเป็นเวลาเกินสิบนาที ฝันเคยใช้กาแฟวาดภาพเพราะได้ข่าวว่าสีที่ได้สวยมากแถมยังหอมอีกต่างหาก ฝันวิ่งไปทั่วบ้านเพื่อขอกาแฟจากลุงและคุณตา เมื่อนำมาชงและวาด สิ่งที่ได้สวยงามมากจริงๆ ฝันวาดไปทั้งหมดสิบภาพเพื่อส่งเป็นการ์ดวันคริสมาสให้เพื่อนๆ และหลังจากนั้น ฝันถูกทำร้ายด้วยไข้สูงไปอีกเกือบสามวันเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ไหนๆก็มาถึงที่แล้ว จะไม่ไปก็เสียดาย อย่างน้อยก็ได้มากลับมาอวดเพื่อนๆคอกาแฟว่าเราไปมาแล้วน้า ร้านกาแฟสตาร์บัคส์แห่งแรกน่ะ เป็นแผนที่เยี่ยมไปเลยจริงมั๊ยคะ

    จุดหมายปลายทางไม่ใช่ปัญหาของเราอีกแล้ว แต่การเดินทางไปดูจะเป็นปัญหามากกว่า เราคงไม่นั่งรถแท็กซี่เข้าไปเพราะสมาชิกสิบคนคงจะต้องใช้หลายคันพอดู มอเตอร์ไซค์รับจ้างแบบบ้านเราก็ไม่มี ทางเลือกที่ดีที่สุดเลยกลายเป็นการนั่งรถไฟ หลังจากเราลองผิดลองถูกกันแล้ว เราก็ได้ตั๋วกันมาคนละใบพร้อมขึ้นรถไฟ เมื่อเข้าไปข้างใน เราค้นพบว่าที่นั่งทั้งหมดถูกจับจองหมดแล้ว เราจึงยืนทำตัวฟีบๆติดกันเป็นแพเกาะที่จับเพื่อไม่ให้เสียหลัก หลังจากรถไฟจอดไปได้สองสามสถานีก็มีผู้ชายคนหนึ่งเข้าขบวนมา เขายืนหันหลังอยู่ด้านหน้าฝันพอดีเป๊ะ เห็นครั้งแรกก็รู้แล้วว่าคนนี้ไม่ธรรมดา ก็คนธรรมดาที่ไหนเขาจะสักไปทั่วทั้งตัวจนไม่มีที่ว่างขนาดนี้ เจาะจมูก และระเบิดหู สวมเสื้อกล้ามและกางเกงยีนส์ขาดๆพร้อมสายโซ่ประดับเส้นใหญ่รอบกางเกง เขาผิวคล้ำ และผมสั้นเกรียนสีดำ ตั้งแต่เขาเข้ามา ฝันก็ละสายตาจากเขาไม่ได้จริงๆ คงเป็นความรู้สึกของความอยากรู้อยากเห็นผสมกับความระวังตัวล่ะมั้ง ผ่านไปซักครู่ พี่รอยสักก็หันข้างไปหาผู้หญิงแต่งตัวแนวพังค์ แล้วยื่นนามบัตรให้ เขาบอกว่าเขาเปิดร้านสักร่างกายถ้าสนใจให้ติดต่อเขาได้เลย แล้วเขาก็เริ่มสาธยายผลงานชิ้นโบว์แดงต่างๆของเขารวมไปถึงคนที่(คาดว่าจะพอ)มีชื่อเสียงที่เคยมาใช้บริการเขา สองคนนี้พูดคุยกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยอยู่ซักพัก ก็ถูกขัดจังหวะเมื่อขบวนรถหยุดรับผู้โดยสารที่สถานีถัดไป ผู้คนมากมายทยอยเข้ามายืนภายในรวมถึงคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่เดินลากจักรยานเสือหมอบกันมาคนละคัน เมื่อสองคู่นี้มาประจันหน้ากัน พี่รอยสักก็เริ่มบทสนทนาอันเป็นมิตรด้วยหน้าเปื้อนรอยยิ้ม (แฝงความไม่พอใจ) แล้วชี้จักรยานของคนที่เป็นสามีแล้วชี้อีกครั้งไปตรงที่แขวนจักรยานราวกลับจะบอกว่า “เอามาตรงนี้ทำไม มีจักรยานก็เอาไปแขวนตรงนู้นซะ ที่นี่เกะกะคนอื่น” พี่ชายอีกคนก็ดูจะเข้าใจความหมายที่พี่รอยสักต้องการจะบอก เขาพยักหน้าแต่ก็พูดขอโทษเพราะตอนนี้คนแน่นไปหมด การจะขยับตัวไปไหนมันไม่ง่ายเลย ยิ่งมีจักรยานคันใหญ่ขนาดนั้นมาด้วย แต่เรื่องราวไม่จบง่ายๆเพียงเท่านั้น พี่รอยสักเริ่มต่อว่าพี่ชายจักรยานให้ผู้หญิงพังค์ฟังด้วยเสียงที่ดังเกินพอดี คงจงใจที่จะให้คนอื่นๆได้ยินกันถ้วนหน้าไปพร้อมๆกับกวนพี่ชายจักรยาน และด้วยจังหวะที่เหมาะเจาะเกินพอดีอีกครั้ง รถไฟชะลอความเร็วลงขณะเข้าโค้ง พี่ชายจักรยานเสียหลัก เอียงไปทางข้างหลังนิดหน่อย ซึ่งคนที่อยู่ข้างหลังเขานั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากพี่รอยสัก พี่รอยสักผลักทันที และบอกว่าเฮ้ อย่ามาโดนตัวฉันนะ พี่รถจักรยานหันหลังกลับไปอย่างเอาเรื่อง และไม่ว่าเขาจะพูดอะไร พี่รอยสักก็จะพูดว่า ไม่รู้ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ไม่อยากให้โดนตัวฉัน อย่ามาโดนตัว อย่า อย่ามาโดน... ฤทธิ์ของพี่รอยสักยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เขายังหาทางมายั่วอารมณ์อีกฝ่ายเรื่อยๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ จนกระทั่งเข้าจะมีเรื่องต่อยกันในขบวนนี่แหละค่ะ ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมกัน พูดโต้ไปมาว่าจะเอายังไง ไม่กลัวนะ อย่างคิดว่าใหญ่ ไปใหญ่มาจากไหน จะมาก็มาเลย และจบด้วยการที่คู่สามีภรรยาและพี่รอยสักลงสถานีเดียวกัน ไม่มีใครรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรต่อจากนั้น ทิ้งให้รถไฟตกอยู่ในความสงบอีกครั้ง เสียงหายใจหน่วงๆนั้นสลายหายไปหมดแล้ว ทุกคนคงกลั้นหายใจกันอยู่เหมือนกันสินะ 

    ชีวิตคนเราก็คงเป็นแบบนี้ ควรจะได้พบเจออะไรแปลกๆให้ได้ตกใจเพื่อกระตุ้นการเต้นของหัวใจกันซักหน่อย แต่ถ้าเจอบ่อยๆก็คงจะไม่ดีต่อระบบหายใจที่ต้องค่อยๆผ่อนลมหายใจออกเหมือนกัน นี่เพิ่งวันแรกในอเมริกาเองก็เจอคนจะต่อยกันซะแล้ว วันที่เหลือจะเป็นยังไงกันนะ น่าตื่นเต้นจัง
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in