เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
สิ่งละอัน วันละหน่อยgood morning
WWOOF Japan ดินแดนสีเขียวครึ้ม
  • WWOOF นี่หมาป่าปะ?
    ไม่ใช่หมาป่า นั่นมัน Wolf!
    WWOOF ย่อมาจาก World Wide Opportunities on Organic Farms
    เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้เราได้ใช้ชีวิตแบบวิถีชาวสวนชาวไร่ในต่างแดน เราในฐานะผู้มาเยือน (WWOOfer) จะสามารถเข้าไปพักอาศัยอยู่กับเจ้าบ้านหรือโฮส (Host) แบบอยู่ฟรีกินฟรี! (ช่างเหมาะกับคนมีฐานะ...ยากจน อย่างเราจริงๆ เล้ย!) แต่สิ่งที่ต้องแลกคือแรงงานของเรา โดยการช่วยงานที่โฮสมอบหมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานเกษตรอินทรีย์ ปศุสัตว์ และอื่นๆ อีกมากมาย ขึ้นอยู่ก้บโฮสแต่ละบ้านว่าทำงานในส่วนไหน

    เป็นโครงการแลกเปลี่ยนแบบ win-win ที่คุ้มค่ามากๆ เราให้สิ่งที่เรามี ในขณะเดียวกันเราก็ได้รับสิ่งที่เราไม่มี

    นอกจากเราจะได้ทำงานแลกที่พักและอาหารแล้ว สิ่งที่ได้รับกลับมาเต็มๆ คือโอกาสที่จะได้เรียนรู้วิถีชีวิตแบบ local จริงๆ ได้สัมผัสวัฒนธรรม การกินอาหาร การทำงาน และใช้ชีวิตราวกับเป็นสมาชิกในครอบครัวโฮสเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังอาจได้พบปะเพื่อน WWOOFer จากชาติอื่นๆ อีกด้วย ได้ทั้งเพื่อน แถมยังได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ภาษาและประสบการณ์ คุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้วววว

    ต้องทำอะไร ยังไง ที่ไหน เมื่อไร?
    เข้าไปที่เว็บไซต์ www.wwoofjapan.com
    สมัครกรอกข้อมูล โอนเงินค่าสมัครสมาชิก 5500 เยน (จ่ายหนึ่งครั้งสามารถไปวูฟได้อีกโดยไม่ต้องสมัครใหม่ภายในระยะเวลา 1 ปีเลยนะ) พอโอนเงินเรียบร้อยก็สามารถแก้ไขเพิ่มเติมโปรไฟล์ของเราได้ และสามารถติดต่อกับโฮสได้ทันที ขั้นตอนก็ง่ายๆ คือเลือกภูมิภาคที่สนใจ จังหวัดไหน เมืองอะไร ประวัติโฮสเป็นอย่างไร งานที่จะให้ทำมีอะไรบ้าง เมื่อพบโฮสที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของเราก็ส่งข้อความทักทาย แนะนำตัวสั้นๆ และระบุช่วงเวลาที่ต้องการไป WWOOFing รอประมาณ 3-4 วัน ถ้าโฮสตกลงก็จะส่งข้อความกลับมาบอกเรา แล้วเราค่อยกดช่อง Request Contact Information เพื่อเข้าถึงข้อมูลการติดต่อและการเดินทาง ขั้นตอนนี้ถ้ารอประมาณ 1 สัปดาห์แล้วไม่มีข้อความตอบกลับจากโฮส อาจต้องเปลี่ยนโฮสนะคะ แต่ควรติดต่อไปทีละโฮสนะ จะได้ไม่เกิดความยุ่งยากถ้าเกิดโฮสตกลงพร้อมกันอาจต้องยกเลิกคนใดคนหนึ่งจะเป็นการเสียมารยาท เมื่อตกลงปลงใจเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็อย่าลืมปริ้นท์ WWOOF Permit เพื่อนำไปยืนยันตัวตนกับโฮสด้วยเด้อ

    เม้าส์หน่อย
    จริงๆ แล้วโครงการวูฟเนี่ยมีหลายประเทศเลยนะ เช่น นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ ไทยเองก็มีแหละ แต่ที่เราไปก็คือประเทศยอดฮิตอย่างญี่ปุ่น ด้วยความที่ไม่ไกลมาก มีความปลอดภัยสูง มีรีวิวและหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับวูฟเจแปนมากมาย เราก็พอได้ภาษาญี่ปุ่นด้วย คงพอเอาชีวิตรอดได้ ไม่วายป่วง แต่ก็มีเรื่องเศร้าอยู่นิดนึงคือตอนแรกเราจะไปกับเพื่อน แต่ก็โดนเทซะเฉยๆ ความวุ่นวายก่อนเดินทางจึงเกิดขึ้น เพราะเราเป็นคนเอ๋อ คนต๊อง เชื่องช้าเยี่ยงสล็อต ไปเที่ยวกับเพื่อนก็ไม่เคยวางแผน เป็นผู้ตามที่ดี และที่สำคัญไม่เคยไปเที่ยวคนเดียวมาก่อน! แค่ต่างจังหวัดในไทยก็ไม่เคยไป! แค่ขึ้นรถเมล์ในกรุงเทพยังผิดฝั่งเล้ย! แต่จะทำยังไงได้ ติดต่อโฮสไปแล้วนิ เราจะเทโฮสก็กระไรอยู่ เสียชื่อเสียงตัวแทนประเทศไทยนะคะ...

    แต่สุดท้ายเราก็ต้องขอบคุณเพื่อนนะ เพราะการไปคนเดียวนี่แหละ ทำให้เราได้อะไรกลับมาแบบเต็มๆ! มากๆ!

    จะไปได้ยัง!?
    เอาล่ะ เราตัดสินใจไปวูฟ 13 วัน จุดหมายปลายทางคือสถานี JR hida-hagiwara เมือง Gero จังหวัด Gifu ภูมิภาค Chubu เราเดินทางจากสนามบินนานาชาติ Chubu Centrair จังหวัดนาโกโย่า นั่งรถไฟต่อไปยาวๆ บรรยากาศสองข้างทางขนาบไปด้วยภูเขาและป่าไม้อุดมสมบูรณ์เขียวครึ้มเป็นที่สุด

    ถึงแล้ว เย่!

    โฮสมารับเราที่สถานีรถไฟค่ะ แล้วก็ขับรถไปที่บ้าน บ้านที่เราอยู่แยกกับบ้านโฮส เป็นบ้านสำหรับ WWOOFers โดยเฉพาะ แต่โฮสก็จะกลับมานอนกับเราเกือบทุกคืนนะ

    บรรยากาศที่บ้าน
    มีงานศิลปะเยอะด้วย อิ่มเอมใจจริง



    โฮสของเราชื่อฟุตะมุระ นานาโกะ (Futamura Nanako) เป็นผู้หญิงติสท์ๆ เมื่อ 30 ปีที่แล้วเคยอยู่ไทย 1 ปี ในฐานะอาสาสมัครมูลนิธิดวงประทีป ก็เลยพูดภาษาไทยได้นิดหน่อย 
    มีหนังสือที่คนไทยเขียนถึงที่นี่ถึง 2 เล่ม โฮสเรานี่ดังใช่เล่นเลยนะ


    ที่บ้านโฮสมีหมาร่าเริง 3 ตัว แมวเคร่งขรึม 2 ตัว (ไม่ค่อยโผล่มาให้เห็นเลยไม่ได้ขอถ่ายรูป) มีฟาร์มวัว พื้นที่แปลงเกษตรแบบครัวเรือนขนาดย่อม และสวนดอกไม้


    งานทีได้รับมอบหมายก็มีปรับปรุงโดมแห่งนี้ ชื่อว่า 野原のミュージアム (Nohara no Museum) สวยใช่มั้ยล่ะ แปลว่าพิพิธภัณฑ์แห่งท้องทุ่ง ตั้งอยู่กลางธรรมชาติเขียวขจีแบบนี้เลย จุดประสงค์ที่นานาโกะซังสร้างขึ้นมาก็เพื่อให้ชุมชน ได้มีสถานที่ให้พบประสังสรรค์ เล่นดนตรี แคมป์ปิ้ง และนี่ก็เป็นผลงานจากน้ำพักน้ำแรงของ WWOOFers รุ่นก่อนๆ นั่นเอง

    วันฝนตกก็นั่งแกะฝ้ายค่ะ เพื่อเอาไปปั่นเป็นเส้นด้าย และนำไปทอเป็นผ้าต่อไป

    งานไร่ก็มีเก็บลูกบ๊วย เก็บมันสำปะหลัง เก็บผัก ปลูกฝ้ายและเรียนรู้กระบวนการทำฝ้ายกับเด็กๆ โรงเรียนประถมด้วย 


    ถอนวัชพืชที่สวนดอกไม้ เมื่อยหน่อยนะ ฮึบๆ



    เป็นลูกมือช่วยโฮสทำกับข้าว อาหารส่วนใหญ่คลีนมาก เป็นเมนูจากผักที่ปลูกเองจึงหวาน กรอบและสดมากๆ มั่นใจได้เลยว่าไม่มียาฆ่าแมลงอย่างแน่นอน คนกินผักไม่เก่งอย่างเรายังชอบ โฮสของเราชอบอาหารไทยมาก เลยมีเครื่องปรุงสำเร็จรูปทั้งผัดกะเพรา แกงเขียวหวาน น้ำพริกตาแดง น้ำปลา กะทิก็มา เราจึงได้แสดงฝีมือแบบงงๆ (งงมาก ปกติทำอาหารไม่เป็น! แต่อร่อยไม่อร่อยไม่มีใครรู้หรอก ต้องมั่นหน้าบอกไปว่านี่แหละค่ะ Thai style ของแท้แน่จริง!) และที่นี่ส่วนใหญ่กินชาแทนน้ำเปล่าเลยค่ะ 


    วันหยุดไปเที่ยว Takayama เป็นเมืองเก่าเดินเที่ยวเล่นได้เลย มีบ้านเรือนแบบโบราณเรียงราย วัดมากมายและพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น 

    อาหารขึ้นชื่อของที่นี่คือเนื้อวัว

    ซาลาเปาเนื้อฮิดะร้อนๆ วันฝนตก ฟู่ววว~ (สักพักไต้ฝุ่นก็เข้า... โถ)


    เราทำงานหกชั่วโมงต่อวัน มีช่วงเวลาพักเรื่อยๆ งานมีความหลากหลาย ความหนักเบาต่างกันไป
    สูดกลิ่นไอธรรมชาติกันหน่อยยย


    แม่น้ำฮิดะ ใสมากๆ บางวันก็จะมีคนจากต่างเมืองขับรถมาตกปลากันที่นี่ด้วย และน้ำจากแม่น้ำฮิดะนี่แหละที่คนที่นี่ใช้อุปโภค บริโภคกัน


    เวลาว่างส่วนใหญ่เราอ่านหนังสือ เพราะช่วงหลังอาหารเย็น ฟ้ามืด ทุกบ้านจะเงียบสงบกันหมด 


    แอบบอก
    การมาวูฟได้อะไรเยอะก็จริง แต่ไม่ได้งดงามแบบในหนังเรื่อง Little Forest สวยๆ แบบสาวน้อยบ้านนาไปซะหมดนะ ยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ เตรียมพร้อม และยอมรับด้วยนะจ๊ะ

    1. คนญี่ปุ่นตรงเวลามากๆ เวลาตื่นนอน เวลาเริ่มงาน ต้องเป๊ะนะ ก็จะให้อารมณ์เหมือนเข้าค่ายหน่อยๆ

    2. ยามงานเราทำงานจริงๆ ไม่ได้มาเล่นๆ ไม่ได้มา
    ชิลๆ ขนาดนั้น เพราะมันคืองานเกษตรกรรม บางวันงานค่อนข้างหนัก ต้องอดทนนะคะ แต่ไม่หนักเกินกำลังแน่นอน

    3. รอยฝกช้ำ รอยแมลงกัดต่อย ผิวสีแทน แผลขีดข่วน คือตราประทับที่จะติดตัวเราต่อไปสักพัก เราจะได้ไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นกสิกร แข็งขันเป็นกระดูกสันหลังของชาติ~ (พอ!) วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือเตรียมเสื้อคลุมแขนยาว ปลอกแขน กางเกงขายาว หมวก แบบจัดเต็มไปเลย

    4. ซื้อของฝากจากไทยติดไม้ติดมือมาให้โฮสนิดๆ หน่อยๆ ก็ดีนะ แนะนำว่าพวกเครื่องปรุงสำเร็จรูป มาทำให้โฮสทานจะน่ารักมาก

    5. ก่อนการเดินทางศึกษาคันจิชื่อเมืองไว้บ้างก็ดีนะ เพราะรถไฟหรือรถบัสในเมืองเล็กๆ อาจไม่มีภาษาอังกฤษบอก ถ้าไม่แน่ใจว่าต้องขึ้นรถไฟขบวนไหนหรือลงสถานีนี้ใช่มั้ยก็ถามไปเลยค่ะ ถ้าไม่ได้ภาษาญี่ปุ่นก็ถามภาษาอังกฤษ และแม้เขาจะตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น ภาษามือและท่าทางจะทำให้คุณเข้าใจได้ ท่องไว้ ต้องรอด! อย่างไรก็ดีเราสามารถใช้ Wi-fi ฟรีตามสถานีรถไฟได้เลย เช็คตารางเวลาเดินรถไฟที่ถูกต้องแม่นยำสุดๆ ได้ทาง Hyperdia.com หรือ Google maps เนี่ยแหละ สะดวกสุดแล้ว

    6. อากาศช่วง มิถุนายน-กรกฎาคม ค่อนข้างร้อนและ
    มีฝนตก (คล้ายที่ไทย) แต่เนื่องจากอยู่ท่ามกลางหุบเขาช่วงกลางคืนถึงเช้าตรู่อากาสจะเย็นลง อย่าลืมเตรียมเสื้อกันหนาวบางๆ ติดไปด้วยนะ เป็นห่วงๆ 

    7. ส้วมที่บ้านนี้เป็น composting toilet นะจ๊ะ เป็นแบบแห้ง ใช้ขี้เลื่อยเทลงไปในโถส้วมแทนน้ำกันไปเลย จุดประสงค์ก็เพื่อนำอุนจิของเราไปทำปุ๋ยนั่นเอง (ไม่เคยคิดว่าตัวเองมีคุณค่าขนาดนี้มาก่อน) ตอนแรกก็แปลกๆ หน่อย แต่เดี๋ยวก็ชินนะ รับรองเรื่องความสะอาดถูกสุขอนามัยไม่มีกลิ่นกวนใจแน่นอนจ้า

    8. ไม่ต้องอ่านรีวิวเยอะค่ะเดี๋ยวจะกังวลเกินไป ไป
    ประสบเองเลยตื่นเต้นกว่า... (แกมาบอกอะไรตอนนี้?...) แหะๆ


    บ่นอีกหน่อย
    *ตกผลึกประสบการณ์และความคิดแบบสวยๆ


    - เสียดายเวลากังวลก่อนออกเดินทางมากอ่ะ คือไม่เคยเที่ยวคนเดียวไง ก็เลยเครียดมาก เตรียมตัวเยอะมาก แต่ข้อดีก็คือข้อมูลเราแน่นจริง ทำให้การเดินทางราบรื่นขึ้น

    - การกล้าที่จะออกจาก comfort zone มันทำให้เราโตขึ้นและค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง อีกสิ่งหนึ่งคือเราได้ขยาย comfort zone ของเราออกไป ใครจะไปรู้ อาจจะกลายเป็นว่า "โอ้...ฉันอยู่ที่ไหนก็ได้ อยู่ที่ไหนก็สบาย ทุกที่คือบ้านของฉัน" ก็ได้

    - สัญชาติญาณการเอาตัวรอดจะเกิดขึ้นจริงเมื่อเราอยู่คนเดียวในสภาวะจวนตัว อย่าไปคิดว่าตัวเองทำไม่ได้! Push the limit!

    - จะเด๋อด๋าบ้างก็ไม่เป็นไร ไม่มีใครจำเราได้หรอก เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ เอาหัวใจเธอมา~~ ชิมเหม่โจได๋ (?!)

    - แม่นานาโกะซังอายุ 88 ปีแล้ว แต่ยังแข็งแรงมาก การได้ยินปกติ พูดรู้เรื่อง ชวนเราคุยด้วย สายตาดีอ่านหนังสือพิมพ์ก็ได้ เบื่อๆ ก็ออกไปเก็บผัก ที่เท่มากคือขับรถยนต์ออกไปหาเพื่อนได้ทุกวัน! คนญี่ปุ่นเขาดูแลสุขภาพดีจริงๆ นะ น่าอิจฉาจัง life's goal ของเราจะเป็นคนแก่ที่น่ารัก เท่ และแข็งแรงแบบนี้ให้ได้!

    - ในวันที่ไม่มีเพื่อน WWOOFer คนอื่นแล้วเราต้องทำงานคนเดียวนี่มันเหงาสุดๆ ไปเลย จึงเมสเสจไปบ่นกับเพื่อนวูฟเฟอร์ชาวฝรั่งเศสที่เพิ่งกลับไป เขาตอบกลับมาดีมาก
    "But it's cool to spend quality time with yourself sometimes, right??"
    นั่นสินะ... เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองเนอะ ยิ่งในสถานที่แบบนี้ด้วยแล้ว เป็นจังหวะที่เหมาะสม สุดท้ายเราก็รู้จักตัวเองมากขึ้นจริงๆ ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ทำอะไรแล้วมีความสุข

    - แทบจะไม่เล่นโซเชียลเลยนอกจาก LINE กับ Facebook messenger (บ้างเวลาเหงา) รู้สึกว่าได้อยู่กับปัจจุบันอย่างแท้จริง เราซึมซับธรรมชาติรอบตัวและผู้คนรอบข้างได้อย่างเต็มที่ ก้มลงมองดอกไม้อยู่ปลายเท้า แหงนหน้าเห็นดวงดาวบนท้องฟ้า โอ้ชีวิตช่างเรียบง่าย

    -「生きるために食べる。
        食べるために作る。」
    คำโปรยจากหนังเรื่อง Little Forest แปลได้ว่า "กินเพื่ออยู่ ทำเพื่อกิน" ทำไมแปลแล้วฟีลมันไม่อบอุ่นเลยนะ 555 ก็คือรู้สึกว่าเหมือนใช้ชีวิตแบบนางเอกเลยวันๆ ส่วนใหญ่จะง่วนอยู่กับการทำอาหาร การกินอาหาร ทำไร่ทำสวน (เพื่อนำมาทำอาหาร) น่ารักดีนะที่เราได้กินอาหารที่ทำเอง ปลูกเอง เราเห็นทุกกระบวนการ มันเป็นความภูมิใจเหมือนได้สร้างงานศิลปะดีๆ สักชิ้นหนึ่ง หรืออันที่จริงเรื่องใหญ่ในชีวิตมันก็อาจจะแค่นี้เอง "มื้อนี้เราจะทำไรกินกันดี"

    - เรื่องอาหารยังไม่จบ รู้สึกว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาเราบริโภคเนื้อสัตว์อย่างฟุ่มเฟือยมาก กินเจ กินมังก็กินได้เป็นพักๆ แต่พอมาใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นเราได้ค้นพบเมนูโออิชี่มากมายที่มีแค่ผัก เห็ด เต้าหู้ มันสำปะหลัง มันคือสิ่งดีงามทั้งต่อปากท้องไปจนถึงลำไส้ใหญ่ตอนปลายกันเลยทีเดียว feeling heathy มากๆ

    - ชีวิตแบบเกษตรกรนี่คือการใช้ฟังก์ชันของร่างกายมนุษย์อย่างถูกต้อง ตอนทำงานแบบใช้แรงงานรู้สึกเลยว่า มันต้องอย่างงี้ ร่างกายต้องใช้แบบนี้ จะมานั่งหน้าคอมฯ อย่างเดียวมันไม่ใช่!

    - การท่องเที่ยวที่แท้ทรู สงสัยมาตลอดว่าตัวเองชอบเที่ยวหรืออยู่บ้านกันแน่ เพราะเวลาจะไปไหนทีก็รู้สึกว่าต้องลุกออกจากเตียงจริงๆ เหรอ ม่ายยยยย! บางครั้งไปเที่ยวก็เหมือนพาตัวเองไปลำบาก ฝนตกบ้าง อุปสรรคนู่นนี่นั่น ห้วย! บางทริปก็รีบมาก อ้าวต้องกลับแล้วเหรอ เห้อ! บางทีไปก็เอาแต่ถ่ายรูป จนลืมตั้งใจมองภาพที่อยู่ตรงหน้า เอาแต่มองจอ ปัดโธ่! ก็เลยอยากลองเที่ยวแบบ WWOOF เที่ยวแบบใช้ชีวิต เที่ยวเหมือนอยู่บ้าน อยู่มันไปเลยนานๆ เนี่ย ทำงานไปด้วยอะ ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำด้วย เป็นโอกาสดีที่อนุญาตให้เราเข้าไปดู เข้าไปรู้ เข้าไปเห็น เข้าไปลงมือทำ ได้สัมผัสวิถีชีวิตแบบคนท้องถิ่นจริงๆ นี่แหละการท่องเที่ยวที่แท้ทรูสำหรับเรา

    - สุดท้ายนี้ขอบคุณมิตรสหายทุกท่านที่เชื่อมั่น ช่วยเหลือ ผลักดันจนเราได้ไปและมีชีวิตรอดกลับมาพร้อมประสบการณ์อันโชกโชนนี้ คิดถึงมาก อยากให้มาด้วยกัน และขอบคุณนานาโกะซังที่ดูแลผู้มาเยืือนทุกคนอย่างดีมากๆ จะกลับไปเยี่ยมอีกแน่นอนค่ะ

    สำหรับใครที่สนใจอยากเปิดประสบการณ์แบบนี้บ้างก็ทำเลยค่ะ คนเอ๋ออย่างเราทำได้ ใครๆ ก็ทำได้!

    : )

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Piakpoon Siriyubon (@fb1734534283345)
ตามมาจากดูให้รู้ค่ะ ขอบคุณที่แบ่งปันนะคะ หวังว่าวันหนึ่งจะได้ไปสัมผัสแบบนี้บ้างค่ะ :)