เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อว่างแปล | A Translator is TranslatingMeen Geywalin
[แปลสัมภาษณ์] Nakamura Tomoya - Trill 2019.12.14
  • นากามุระ โทโมยะ
    เพราะชีวิตมีแค่ครั้งเดียว
    จึงอยากวิ่งชนกำแพงที่หลากหลาย

    *บทสัมภาษณ์นี้ให้สัมภาษณ์ขณะโปรโมตภาพยนตร์เรื่อง 
    Shijinso no Satsujin (Murder at Shijinso) โทโมยะรับบทเป็น "อาเคจิ เคียวสุเกะ"


    --อาเคจิที่คิดว่าตัวเองเป็นเชอร์ล็อก โฮล์มส์ในคราบนักศึกษาที่ไม่ทราบอายุ คุณคิดว่าเขาเป็นคนแบบไหน?

         "เด็กผู้ชายน่ะชอบเล่นรถของเล่นใช่มั้ยครับ และคงมีรถสวนทาง, คน, ต้นไม้ ที่มีแต่เด็กคนนั้นเท่านั้นที่เห็น แล้วแล่นรถหลบหลีกสิ่งเหล่านั้นไปตลอดทาง ผมเห็นอาเคจิเป็นเด็กผู้ชายคนนั้นที่แม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังเล่นสืบสวนสอบสวนแบบรถของเล่นอยู่ เพราะฉะนั้นเวลามีคดีหรือปัญหาเกิดขึ้นเขาจะเสนอหน้าเข้าไปมีส่วนร่วม เข้าสู่โหมดเดียวกับการเล่นรถของเล่น สนุกจนมองไม่เห็นสิ่งรอบข้าง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถออกไปสู่สังคมภายนอกได้และยังคงอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย(ยิ้ม)"


    --อาเคจิชอบเรื่องสืบสวนสอบสวนจึงน่าจะเป็นคนที่มีตรรกะ ตัวคุณเองหากมีอะไรเกิดขึ้นจะคิดอะไรอย่างมีเหตุมีผลหรือทำอะไรออกไปโดยสัญชาตญาณ?

         "ทำงานตรงนี้ผมคิดว่าตัวเองมีหลายด้านอยู่ครับ แต่ผมคิดว่าโดยนิสัยแล้วในระบบความคิดค่อนข้างมีเหตุมีผลครับ แต่เวลาทำงานจะเอาด้านของประสาทรับกลิ่นและอะไรที่เหมือนสัญชาตญาณออกมา เพราะมันมีช่วงที่การเชื่อในสิ่งเหล่านี้ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าด้วย เพราะฉะนั้นผมคิดว่าผมมีทั้งสองอย่างนะครับ ทั้งด้านที่ใช้เหตุผลและด้านที่พุ่งไปด้วยสัญชาตญาณ แต่ว่าระยะหลังมานี้เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนประเภทอยากรู้ถึงแก่นแท้ของสิ่งต่างๆ ให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นงานหรืองานอดิเรกก็ตาม อย่างเช่น ผมชอบสัตว์ แต่ไม่ใช่แค่เพราะมันน่ารักหรือเท่ อย่างถ้าเป็นหมาก็อยากรู้ว่าทำไมถึงอยู่ในระบบนิเวศแบบนี้ได้ ผมชอบหาข้อมูลเกี่ยวกับพวกทฤษฎีวิวัฒนาการน่ะครับ"


    --หากเปรียบงานแสดงเป็นอะไรสักอย่าง?

         "การค้นหาตัวเองตลอดกาลครับ บทบาทของตัวเองและวิธีการทำงานในผลงานแต่ละชิ้นย่อมแตกต่างกัน แน่นอนว่ามันเป็นเรืิ่องสไตล์ของชิ้นงานด้วย แต่สำหรับการทำงาน การได้เผชิญหน้ากับตัวละครทำให้เราได้หันกลับมาพิจารณาตัวเอง ได้มองลึกเข้าไปในตัวเองด้วย"

    --การเผชิญหน้ากับตัวละครเชื่อมโยงกับการเผชิญหน้ากับตัวเอง?

         "ผมคิดว่าในการใช้ชีวิต ทั้งสิ่งที่มองเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู สัมผัสด้วยกลิ่น... มันเต็มไปด้วยปัจจัยหลายอย่างที่เราต้องพิจารณานอกเหนือจากเรื่องของตัวเอง การมองดูตัวเองเราต้องส่องกระจกเท่านั้น และภาพของตัวเองที่เห็นผ่านกระจกโดยปกติแล้วก็ไม่ใช่ตัวเองที่แท้จริงด้วย ดังนั้นผมคิดว่าตัวตนของตัวเองจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตัวเองไม่รู้จักมากที่สุดครับ"

    --การตามหาตัวเองไปเรื่อยๆ สนุกกว่าเหรอ?

         "ต่อให้รู้สึกว่าเจอแล้ว เราก็อาจไม่ยอมมองตัวตนที่แท้จริงของตัวเองก็ได้ ในชีวิต เรามักจะทำผิดพลาดในเรื่องเดิมซ้ำๆ ใช่มั้ยครับ ได้แต่คิดว่าทำไมถึงทำอย่างนั้นลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า พอรู้สึกว่ารู้แล้ว เราอาจถอยออกมาแล้วใช้ชีวิตอยู่ภายในรั้วอย่างสบายใจก็ได้ แต่เพราะชีิวิตมีแค่ครั้งเดียว ผมเลยมีความอยากจะไปเห็นอะไรๆ ที่อยู่นอกรั้วนั่น ดังนั้นผมจึงอยากใช้ชีวิตในแบบที่ไม่รู้ไปเรื่อยๆ มากกว่าครับ"

    --ที่ TRILL เรามีธีมว่า "ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง" ตอนนี้คิดว่าความเป็นตัวเองของคุณเป็นแบบไหน?

         "อืม...เป็นคำถามเชิงปรัชญาเลยนะครับ(ยิ้ม) 'ความเป็นตัวเอง' ของตัวเองจริงๆ นี่ มันเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ตอนอยู่คนเดียว ตอนอยู่สองคน ตอนอยู่กับทีมงานหรืออยู่ในสภาพแวดล้อม ผมคิดว่ามันไม่เปลี่ยนไม่ได้ ต่อให้เป็นตัวเองแบบตอนที่อยู่คนเดียวแล้วออกไปพบปะคนอื่น นั่นก็ไม่เท่ากับว่าจะมี 'ความเป็นตัวเอง' อยู่เสมอไป ในชีวิตประจำวันที่เป็นแบบนั้น ผมคิดว่าถ้าผมเป็นคนที่สามารทำให้คนมีความสุขและเป็นแรงผลักดันให้ใครได้ในขอบเขตที่ไม่เกินความสามารถของตัวเอง ทำให้คนที่อยู่ด้วยกันคิดตอนก่อนนอนว่า 'วันนี้ดีจังเลยที่ได้อยู่กับคนคนนี้' ได้แล้วล่ะก็ นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดหรับผมแล้วล่ะครับ"


    --คุณแสดงทั้งภาพยนตร์, ละคร, ละครเวที และอื่นๆ สำหรับคุณแล้วการแสดงมีความหมายอย่างไร?

         "มันเป็นทุกด้านนะ มันเป็นงานด้วยและเป็นสิ่งที่ผมสนุกที่จะทำอย่างแท้จริง และการทำให้ชีวิตของคนที่ได้ดูผลงานและการแสดงของผมมีความหลากหลาย ทำให้ช่วงสุดสัปดาห์ของพวกเขาสนุกขึ้น ก็ถือว่างานของผมเป็นทั้งความบันเทิงและการถ่ายทอดบางอย่างออกไปด้วย สิ่งที่ผมคิดเกี่ยวกับงานของตัวเองคือ มันเป็นสิ่งที่มนุษย์เท่านั้นที่จะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้และมนุษย์เท่านั้นที่จะสามารถรื่นรมย์ไปกับมันได้ มีบทที่คนเขียนบทเขียนขึ้น นักแสดงอย่างพวกผมโกหกฉากใหญ่และคนดูก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องโกหก มันเป็นงานที่มีระดับความน่าเชื่อถือสูงทีเดียว"

         "งานที่เราทำเข้าไปขับเคลื่อนพลังจินตนาการของคนดู ให้พวกเขานำไปเชื่อมโยงกับประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง แทรกซึมลึกลงไปในโลกของผลงานนั้นแล้วสนุกไปกับมัน พอคิดว่าท่ามกลางสัตว์ทั้งหลายนี่คือสิ่งที่มีแต่มนุษย์ซึ่งมีพลังจิตนาการเท่านั้นที่ทำได้ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งมีคุณค่ามาก ผมคิดว่ามันเป็นงานที่มีเกียรติเลยล่ะครับ"

         "สิ่งที่พวกผมทำคือแค่เล่นสมมติเป็นพ่อแม่ลูกอย่างจริงจังมากในรูปแบบที่ยาวขึ้นเท่านั้น แต่มันทำให้คนที่มาดูพวกเราหัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง มีความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และประทับใจไปกับมัน ผมคิดว่ามันวิเศษมาก ผมทำงานทุกครั้งด้วยความคิดอยากส่งมอบสิ่งเหล่านั้นให้ทุกคนที่ได้ดูครับ"

    --ในการใช้ชีวิตเราย่อมต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกอยู่บ่อยครั้ง เวลาที่ต้องเลือกคุณใช้อะไรเป็นเกณฑ์?

         "เลือกสิ่งที่ยากที่สุดครับ ถ้ามีตัวเลือกที่ต้องเลือกว่าจะได้อะไรมาหรือสูญเสียอะไรไป ผมจะคิดให้ดีแล้วเลือกไขว่คว้าในสิ่งที่ตัวเองต้องการมากที่สุดครับ และถ้ามีความรู้สึกว่ายิ่งเสี่ยงมากยิ่งได้มาก ผมจะไปทางที่ยากที่สุดครับ"

    --เสี่ยงเลือกสิ่งที่ยากที่สุดเพื่อให้ตัวเองเติบโตขึ้น?

         "อาจจะเป็นอย่างนั้นครับ ผมคิดว่าขณะเรามีชีวิตอยู่ไม่ว่ายังไงก็มันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่าพื้นที่ปลอดภัย (comfort zone) ในความรู้สึกขึ้นมาจากประสบการณ์ของเรา แต่ถ้าเราไม่ออกจากพื้นที่นั้นเราจะไม่ได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ และไม่ได้เจอตัวตนของเรา ถ้าไม่มีการค้นพบอะไรใหม่ เราก็จะไม่เจอกำแพงอุปสรรคด้วย การไม่ออกจากพื้นที่นั้นก็อาจมีความสุขและสงบก็ได้ แต่ผมคิดว่าชีวิตมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จึงอยากวิ่งชนกำแพงที่หลากหลาย ผมพยายามเลือกเส้นทางที่พาตัวเองออกนอกรั้วของพื้นที่ปลอดภัยนั้นครับ"


    --คุณใส่ใจเรื่องค่านิยมทั่วไปของสังคมที่บอกว่าควรทำแบบนั้นแบบนี้รึเปล่า?

         "ไม่ครับ ถ้ามันทำให้คุณภาพของงานดีขึ้นก็อาจจะใส่ใจปรับเปลี่ยนบ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วไม่ค่อยใส่ใจนะ"

    --มีบางคนที่ใส่ใจสายตาและการให้ค่าจากคนอื่ีนใน SNS (โซเชี่ยลมีเดีย) มากเกินไปอยู่ คุณมีเคล็ดลับอะไรไม่ให้ใส่ใจเรื่องพวกนี้มากเกินไปไหม?

         "ลองใส่ใจให้ถึงที่สุดดูสักครั้งดีไหมครับ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเราเขย่ามันแรงๆ ดูสักครั้ง เราจะเจอจุดอยู่ตัวแน่ๆ ผมรู้สึกว่าการทำอย่างนั้นเราจะได้กลับมาพิจารณาตัวเองใหม่ได้ด้วย"

    --ไม่สนใจการยอมรับใน SNS เลย?

         "ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับวิธีการเผชิญหน้าครับ ด้วยหน้าที่การงานแล้วผมต้องเปิดเผยตัวเองกับSNS แต่ผมก็มีจุดอะลุ่มอล่วยของตัวเองที่ชัดเจนเหมือนกัน ถ้าสามารถกำหนดขอบเขตนั้นเป็นหลักการง่ายๆ ของตัวเองได้แล้ว เราจะไม่สับสนว้าวุ่นกับเรื่องอื่นๆ อีก ที่เหลือคือต่อให้แคร์สายตาคนอื่น พอถึงอาทิตย์หน้าคนรอบข้างก็จะไม่ได้แล้วว่าเราทำอะไรไป ผมจึงใช้ชีวิตแบบที่ไม่คิดว่ามันสำคัญนัก

         "ยกตัวอย่างเช่น ในชีวิตนี้สักวันหนึ่งอาจมีคนที่บอกว่าคำพูดคำหนึ่งในสัมภาษณ์ของ TRILL นี้ช่วยเขาไว้ปรากฏตัวขึ้นมาก็ได้ ดังนั้นผมจึงใช้ชีวิตโดยคำนึงถึงความรับผิดชอบนั้นหรือการยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนด้วย แต่ถ้าเข้าใกล้หลายสิ่งหลายอย่างมากเกินไปมันก็จะดูไม่เป็นธรรมชาติ ดังนั้นถ้าได้มีชีวิตอยู่โดยการได้ใช้สิ่งที่ตัวเองมีทำเพื่อคนอื่นแล้วก็คงจะดีครับ ทำอย่างนั้นแล้วมันก็จะกลายเป็นประเมินคุณค่าภายในตัวเองด้วย"

    --ประเมินคุณค่าภายในตัวเองที่ว่าคือ?

         "ตอนนี้ตัวเองไม่ได้โกหกอยู่ใช่ไหม ไม่ว่าจะงานหรือเรื่องอะไรก็ตามตั้งใจทำเพื่อคนอื่นอยู่รึเปล่า พอทำอย่างนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือคุณค่าตายตัว ไม่ใช่คุณค่าเชิงเปรียบเทียบที่นำไปเปรียบเทียบกับใครต่อใคร แล้วถ้าคุณค่าตายตัวภายในตัวเอง 'ดี' แล้ว ต่อให้ใครพูดอะไรเราก็จะสามารถยืดอกได้อย่างภาคภูมิใจ และต่อให้ผิดพลาดล้มเหลวเราก็จะสามารถกลับมาพิจารณาคุณค่าตายตัวภายในตัวเองได้และเติบโตขึ้นอีกครั้ง ผมใช้ชีวิตแบบนั้นครับ"



    -------------------------------------------------------------------

    *มีการตัดบางส่วนออกเล็กน้อย(ส่วนคำถาม)
    แปล&เรียบเรียง(ญี่ปุ่น-ไทย)โดย: @meengeywalin
    *เราแปลสัมภาษณ์คนที่เราชอบจากใจ, เวลา และความสามารถที่เรามีอย่างเต็มที่
    รบกวนไม่นำเนื้อหาที่แปลไปใช้หรือเผยแพร่ต่อโดยไม่ให้เครดิตหรือไม่ได้รับอนุญาตนะคะ
    -------------------------------------------------------------------

    Translator's Note

         ที่จริงแล้วนี่คือบทสัมภาษณ์ของโทโมยะที่อยากแปลมานานแล้ว เพราะเป็นบทสัมภาษณ์ที่เราได้อ่านในช่วงที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางเส้นทางหลายสายที่ไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองควรจะก้าวไปทางไหน 
         เราเป็นคนชอบก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยทุกครั้งเมื่อมีโอกาส เลือกสิ่งที่ยากที่สุดและล้มลุกคลุกคลานกับมันมาหลายต่อหลายครั้ง แต่สิ่งที่เราลืมไปคือการกำหนดบางอย่างภายในตัวเอง
         เราอยากรู้อยากลองไปทุกอย่าง ซึ่งพอเป็นแบบนั้นเราลุยจริง ลุยแล้วยุ่ง ยุ่งแล้วลืม วิ่งมาไกลจนมองไม่ได้มองกลับไปเลยว่า Start Line ของเราอยู่ตรงไหน รู้ตัวอีกทีมองไม่เห็นและยืนงงกับเส้นทางที่จะวิ่งต่อไป
         ตอนนั้นอ่านบทสัมภาษณ์นี้จบแล้วเราพบว่า การกำหนดบางสิ่งบางอย่าง แนวคิด หรืออะไรสักอย่างเป็นหลักไว้ในตัวเองมันเป็นเรื่องสำคัญที่เราลืมไป กำหนดมันไว้ เมื่อเกิดอะไรสักอย่างขึ้นก็กลับมาพิจารณามัน อาจจะเชื่อมั่นมากขึ้นเมื่อทำถูกหรือไม่ก็ปรับเปลี่ยนมันไปในอีกทางเมื่อล้มเหลว เติบโตขึ้นทางความคิด มีบางอย่างในตัวในใจไว้ยึด มันจะทำให้เราไม่หลงทาง ไม่เอาตัวเองไปผูกไว้กับใคร ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางด้วยเช่นกัน 

         เป็นบทสัมภาษณ์ที่ช่วยดึงเราไว้ในวันที่ตัวตนภายในสั่นคลอนสับสนวุ่นวาย เลยอยากให้คนอื่นๆ ได้อ่านด้วย เผื่อว่าบางทีส่วนอื่นๆ ในบทสัมภาษณ์นี้อาจช่วยใครได้บ้างค่ะ?
         
         

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in