เรื่องมันเริ่มจากช่วงม.ต้นย้ายเข้ามาเรียนตอนม.ปลาย เราเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเดิมเพราะคิดว่าไม่อยากปรับตัวมาก
เราเลือกที่จะสอบเข้าห้องสายศิลป์ภาษา ซึ่งตอนม.ต้นเราเรียนห้องเรียนพิเศษเรียกง่ายๆประมาณห้องที่เด็กเรียนดีในระดับหนึ่งพอจะเลือกเข้าสายศิลป์ภาษาครูที่ปรึกษาเราตอนม.ต้นแทบจะไม่อยากให้เข้าเตือนแล้วเตือนอีกว่าห้องศิลป์เป็นห้องที่เด็กไม่เรียนกันแย่มากคือภาพโดยรวมบอกว่าอย่าเข้าห้องนี้มีแต่เด็กไม่ดีรุ่นพี่ที่เคยเข้าไปก็อยู่ไม่ได้ต้องลาออกกัน ซึ่งเราก็ไม่เชื่อคิดว่าครูอาจจะแค่อคติรุ่นพี่กับเราคงไม่เหมือนกันหรอก คนเราจะเหมือนกันหมดได้ยังไง
แต่พอเข้าไปเรียนปรับพื้นฐานวันแรกแน่นอนเป็นแบบที่ครูบอกทุกอย่างเด็กทุกคนในห้องไม่ตั้งใจเรียนเล่นกันคุยกันนอนหลับบ้างซึ่งเราเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนมากเรียกได้ว่าตอนนั้นรับไม่ได้ที่ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้และยังหาเพื่อนไม่ได้เพราะเด็กเก่าที่รู้จักเขาก็คบกันเองเด็กใหม่ก็คบกับเด็กใหม่และเนื่องจากเรามาจากห้องพิเศษก็จะโดนมองเหยีดหน่อยๆและไม่มีใครคบเราก็คิดว่าคงแค่วันแรกไม่มีอะไรหรอก
พอตอนเลิกเรียนก็ออกไปเจอกับเพื่อนที่เรียนมาห้องเดียวกันตอนม.ต้นเลือกเรียนศิลป์เหมือนกันแต่คนละห้องเพื่อนก็เจอสภาพในห้องไม่ต่างกัน เพื่อนบอกกับเราว่าไม่คิดว่าจะเจออะไรแบบนี้ในห้องไม่มีเพื่อนสักคนแล้วก็ร้องไห้ออกมา
ตอนนั้นเราตกใจมากไม่คิดว่าเพื่อนจะร้องไห้เพราะพึ่งวันแรกเราเลยบอกว่าแค่วันแรกเองเราอาจจะยังปรับตัวไม่ได้สังคมมันใหม่ไม่เหมือนกันอยู่ต่อไปอีกหน่อยคงปรับตัวได้ทนๆเอาหน่อยนะ
เปิดเรียนทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิมเราจะมีค่าแค่ตอนที่ทำงานส่งครูเพราะในห้องไม่มีใครได้อะไรเลยเอาจริงๆตอนนั้นรู้สึกกดดันมากเพราะต้องทำทุกอย่างคนเดียวสงสัยอะไรก็ถามเพื่อนคนไหนไม่ได้เพราะไม่มีใครเรียนทุกคนจะเข้ามาคบด้วยเพราะหวังผลเวลามีงานกลุ่มหลายๆคนอยากได้เราเพราะเราเป็นคนที่ทำคนเดียวเราเคยคิดเหมือนกันว่าเวลาที่เราทำงานคนพวกนั้นเขาเอาเวลาไปทำอะไรทำไมเราต้องทำงานให้เขาไม่ทำก็ไม่ได้เพราะจะไม่มีงานส่งและไม่ได้คะแนนเราคาดหวังเรื่องเกรดมากเพราะหลายๆคนคงรู้ว่าเพื่อที่จะต่อมหาลัยคะแนนเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ
ตอนนั้นก็ยังไม่มีเพื่อนเหมือนเดิมเวลาไปนั่งกินข้าวก็นั่งกินคนเดียวหรือไม่ก็ไปกินข้าวกับเพื่อนอีกห้องซึ่งเวลาว่างก็ไม่ค่อยจะตรงกันในตอนแรกทำเหมือนว่าไม่มีอะไรกินข้าวคนเดียวก็ได้แต่หลังๆมาเราเริ่มรู้สึกและไม่อยากกินข้าวเที่ยงเลยตัดสินใจไม่กินข้าวเที่ยงวันไหนที่หิวก็จะลงไปกิน
ตอนที่ปรับตัวไม่ได้ไม่เคยเล่าให้คนที่บ้านฟังว่าต้องนั่งกินข้าวคนเดียวทำงานคนเดียวที่บ้านก็คิดมาตลอดว่าทุกอย่างคงสดใสไม่มีอะไร
หลายๆคนอาจจะบอกบอกในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นที่โรงเรียนลองปรึกษาครูดูสิที่พึ่งสุดท้ายสำหรับนักเรียน
แต่ครูที่เราเจอไม่ได้เป็นแบบที่วาดฝันไว้
เนื่องจากเราอยู่ห้องศิลป์ครูที่ดูแลเราจะเป็นครูศิลป์เป็นทั้งหัวหน้าหมวดครูประจำชั้นและครูผู้สอนเรา
แต่เข้าไม่ได้สนใจเราเลยเรียกได้ว่าที่รร.เราเป็นเหมือนเงาขาดโรงเรียนไปก็ไม่มีใครรู้
ครูที่เป็นครูประจำชั้นเราเขาไม่ค่อยจะถูกกับครูตอนม.ต้นของเราเท่าไรพอรู้ว่าเราเป็นเด็กจากห้องเรียนพิเศษก็จะยิ่งพูดกระแนะกระแหนพูดประมาณว่าเด็กจากห้องพิเศษก็จะแบบนี้แหละ ลูกคนรวย ลูกคุณหนู อะไรประมาณนี้งานทำได้ดีมากแค่ไหนก็จะถูกกดคะแนนตอนนั้นก็ทำใจและพยายามเข้าใจว่าคงไม่มีอะไร
มีครั้งหนึ่งมีการแข่งวิชาการเขาเลือกให้เราไปแข่งตอนนั้นพูดดีทำดีกับเรามากจากกลับหน้าเป็นหลังเราก็แปลกใจแต่ก็ไม่ได้คิดออะไรเพราะคิดว่าเขาเป็นครูเราคงทำได้แค่ทำตามที่เขาบอกเขาให้อะไรมาก็แค่ขอบคุณ
ช่วงเตรียมด้วยแข่งเราได้ยินเขาคุยกับรุ่นพี่ว่าทำไมถึงเลือกเราประมาณนี้เขาบอกว่าถ้าแข่งชนะก็ดีมีใครบ้างที่ไม่อยากได้หน้า
เขาเลือกเราเพราะคิดว่าเราจะแข่งชนะ
และเราก็แข่งและชนะจริงๆตอนนั้นเหนื่อยมากเพราะต้องเตรียมตัวสอบเตรียมแข่งกลัวว่าจะไม่ชนะและโดนว่าเราโดนกดดันจากหลายที่มาก
พอแข่งชนะครูคนนั้นก็เปลี่ยนไปทำดีกับเราไม่ว่าอะไรไม่กดคะแนนแถมให้คะแนนมากกว่าเดิมแต่เรารู้สึกแปลกคิดตลอดว่าเขาจะทำอะไรเรามั้ยเพราะเมื่อก่อนเขาว่าเราเยอะมากแต่ตอนนี้กลับทำดี
เขาเป็นครูที่เรากลัวมากๆและไม่ไว้ใจที่สุดเพราะเคยมีครั้งหนึ่งตอนที่เยี่ยมบ้านผู้ปกครองของเพื่อนบอกเขาว่าในห้องมีการบูลลี่กันนะเขาบอกกับผู้ปกครองไปว่ายังไงเรื่องแบบนี้ก็คงมีกันบ้างและไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น
พอลับหลังเขากับมาพูดกับเราว่าเรื่องแบบนี้ครูจะไม่ยุ่งให้จัดการกันเองครูคิดว่าแม่ของxxอคติมากเกินไป พูดประมาณว่าอะไรที่เป็นปัญหาของพวกเธอครูไม่อยากจะมีปัญหาด้วยอย่าเอาปัญหามาให้ฉัน
ยิ่งประโยคที่เขาพูดนี้ทำให้เรากลัวเขามากๆไม่อย่าจะคุยเวลาเจอก็พยายามลับหน้าตลอดเขาพยายามทำให้เราเชื่อใจบอกว่ามีอะไรก็ปรึกษาได้นะแต่พอปรึกษาก็เอาเรื่องเราไปพูดลับหลังซึ่งเราไม่ชอบเอามากๆเวลาเจอเขาถามอะไรเราก็พยายามตอบให้สั้นที่สุดหรือไม่ก็ไม่ตอบเลย
ตอนนี้เริ่มกลายเป็นลูกรักครูเขาก็พูดเรื่องของเรามาขึ้นในชั้นเรียนส่วนใหญ่จะพูดเรื่องคะแนน
เพื่อนเริ่มหมั่นไส้จากที่หมั่นไส้อยู่แล้วเพราะมาจากห้องพิเศษ
ครั้งนี้งานเริ่มหายไปที่ละชิ้นสองชิ้นเราเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ปกติแล้วที่งานหายตอนงานหายครั้งแรกเรายังคิดว่าอาจะทำหายเองหรือไม่ได้เอามาตอนนั้นก็รีบทำอันใหม่ไปส่งจนมันหายบ่อยผิดปกติเลยลองทำไปสองชิ้นจนเราไปเจอว่างานเราอยู่ในถังขยะตอนนั้นก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าใครทำคนเกลียดเราเยอะไปหมดเลยไม่ได้สนใจเราแค่ทำงานใหม่ไปส่ง
เพราะเหตุการณ์งานหายทำให้เราเริ่มทนไม่ไหวแล้วบอกแม่ว่างานหายและเล่าเรื่องครูกับเพื่อนให้แม่ฟังแต่ไม่ได้เล่าแบบจริงจังส่วนใหญ่ก็จะพูดเหมือนบ่นๆว่า
เนื่ยแม่งานหายอ่ะไม่รู้ใครเอาไปต้องทำใหม่อีกแล้ว
วันนี้ครูพูดเรื่องคะแนนอีกแล้วน่าเบื่อมาก
อะไรแนวๆนี้แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่บอกมาว่าเนี่ยรร.นั้นเปิดสอบม.4ใหม่อยากลองไปสอบดูไหม
ตอนนั้นคิดว่าคงเรียนได้ไม่มีอะไรเลยบอกไปว่าไม่เป็นไรถ้าย้ายไปก็ต้องซ้ำชั้นขี้เกียจปรับตัวด้วย
จนช่วงใกล้สอบทุกอย่างมันหนักมากๆเพราะต้องเตรียมตัวสอบอ่านหนังสือทำงานกลุ่มคนเดียวเตรียมแข่งอีกเรารับทุกอย่างในเวลาเดียวกันไม่ได้ตอนนั้นคิดว่ายังไงก็ไหว อดหลับอดนอนเป็นวันๆจนร่างกายไม่ไหวต้องเขาโรงพยาบาลอาเจียนตลอดเวลาตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรหมอก็บอกว่าเป็นอาการเริ่มต้นของไมเกรน
หมอบอกอีกว่าอายุแค่นี้ทำไมเป็นไมเกรนมีเรื่องให้เครียดอะไรนักหนาขนาดนั้น
เราเป็นไมเกรนหนักมากจนต้องนอนโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ฉีดยาทุกๆ4ชั่วโมงเพื่อแก้ปวด
ช่วงที่ป่วยก็ต้องขาดเรียนพอกลับไปเรียนเราเริ่มรู้สึกว่ารับสภาพเดิมๆไม่ได้มันเป็นเหมือนเดิมทุกวัน
เริ่มบอกที่บ้านว่าอยากย้ายรร.ตอนนั้นเขาก็ไม่เข้าใจว่าจะย้ายทำไมก็เห็นเราเรียนได้ที่บ้านก็ได้แต่บอกว่าอดทนหน่อย
เป็นประโยคเดิมซ้ำๆที่เราบอกกับตัวเองเราเลยคิดว่าทำอะไรได้บ้างนอกจากอดทนตอนนั้นความคิดติดลบสุดๆ
เริ่มเป็นโรคซึมเศร้าแล้วแต่ยังไม่รู้ตัวคิดอยู่ตลอดเวลาว่าทำไมต้องอดทน ต้องอดทนอีกต่อไปนานแค่ไหน ทำไมเราทำดีมาตลอดแล้วทุกอย่างกลับพังลงมา คิดแบบนี้วนๆซ้ำไปซ้ำมา
แต่ก็ยังตื่นไปรร
วันนี้เป็นฟางเส้นสุดท้ายของเรา
เราตื่นเช้ามาแล้วบอกตัวเองว่าไม่เป็นไรนะลองไปดูอาจจะไม่มีอะไรก็ได้วันนี้เป็นวันที่เราคิดแล้วว่าจะพยายามใช้ชีวิตที่โรงเรียนให้ได้แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นแบบที่เราหวังเพราะเราขาดเรียนหลายวันเนื่องจากป่วยครูหลายๆคนก็ว่าหลายอย่างว่าทำไมไม่มาเรียนอยากจบไหมพูดหลายอย่างมากที่ทำให้รารู้สึกไม่โอเคแล้วก็บอกว่าไม่ได้ส่งงานนั้นนี้ตอนนั้นเราไม่ได้สนใจอะไรแล้วในหัวมีแต่คิดว่าก็หนูไม่สบายทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ที่พวกที่ไม่มาเรียนโดนเรียนทำใครูถึงไม่ด่าเขา
แต่ทุกอย่างได้แต่เก็บไว้ในใจ
ตอนเที่ยงไม่รู้ว่ายังไงจนตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าเราทำเรื่องอะไรผิดโดนคนในห้องหาเรื่องจะตบอีกเรื่องก็เป็นแบบวัยรุ่นทั่วไปคือมองหาหาเรื่อง
ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกแล้วป่วยก็ป่วยพึ่งออกจากโรงพยาบาลมาสิ่งที่ต้องเจอคือมีแต่เรื่องแบบนี้เหรอ
เราไปทำอะไรทำไมต้องเจอเรื่องแบบนี้จากวันนั้นเราก็กลับบ้านไปร้องไห้ร้องไห้หนักมากทั้งวันทั้งคืนตอนนั้นทำอะไรไม่ได้มืดแปดด้านมากสำหรับเราตอนนั้นคิดว่าลาออกจากโรงเรียนก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ทำได้แค่อดทนต้องอดทนนานแค่ไหน
ไม่กินข้าว ไม่ยิ้ม ไม่มีความสุข นอนร้องไห้คิดว่าไม่มีใครเข้าใจ แต่ก็คิดว่าใครก็ได้ช่วยด้วยอยากให้มีใครสักคนที่ไหนก็ได้รับรู้ความเจ็บปวดนี้และเข้าใจเรา
ที่บ้านก็ถามว่าเป็นอะไรก็ต้องพูดเรื่องเดิมๆซ้ำๆทำให้ทุกอย่างมันตอกย้ำเราที่บ้านก็บอกว่าทำไมไม่สู้ตอนนั้นเราก็ทำอะไรไม่ได้ก็ร้องไห้อย่างเดียวและยังไม่มีใครเข้าใจว่าเรารับรู้ยังไง
เราอยากจะบอกกับหลายที่ชอบพูดว่าคนโดนรังแกแล้วทำไมไม่สู้ไม่ปกป้องตัวเอง
เราก็ยังคงร้องไม่หยุดที่บ้านบอกให้ไปรร.ก็ไม่ไปบอกว่าจะย้ายรร.อย่างเดียว จากนั้นก็เข้าโรงพยาบาลอีกรอบเป็นเหมือนเดิมคือไมเกรนและอาเจียนหมอเริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมถึงเป็นบ่อยขนาดนี้เด็กอายุแค่นี้ไม่น่าจะเป็นหนักหนาขนาดนี้เลยเล่าเรื่องที่รร.ให้หมอที่รักษาฟังหมอก็บอกว่างั้นไม่ได้แล้วต้องไปหาหมอจิตเวช
เรื่องราวทั้งหมดที่เล่ามาเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งที่เราได้พบเจอไม่อยากเล่าหรือลงรายละเอียดมากแต่อยากให้รู้ว่าเรื่องๆเล็กที่หลายๆคนคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรแต่มีผลทางจิตใจมากสำหรับเรา
นี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆจากการที่เราอึดอัดกับสิ่งเล็กๆและคิดว่าไม่เป็นอะไรตอนนั้นทำได้บอกกับตัวเองว่าอดทนเอาหน่อยเดียวมันก็จะผ่านไปแต่สุดท้ายเมื่อฟางเส้นสุดท้ายขาดลงทุกอย่างก็กลับหนักหนาขึ้นกว่าเดิม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in