เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
WHAT A LIFE!NANA1994
03 Stay at home (4 months lockdown in Milan)
  • NOTE : 
    Chapter นี้เราจะมาเล่าถึงประสบการณ์ การกักตัว (Self quarantine) ตลอดระยะเวลากว่า 4 เดือน ที่มิลาน ประเทศอิตาลี  เริ่มตั้งแต่ปลายเดือน ก.พ. ไปจนถึงต้นเดือน มิ.ย.เและป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนมีผู้ติดเชื้อ จนถึงก่อนคลายมาตรการ lockdown ขอเกริ่นก่อนว่าเรื่องอาจจะยาวนิดนึง ถ้าอ่านไม่ไหวอยากให้ skip ไปอ่าน end note กันก่อนนะ
    .
    .
    .

    21/02/2020
    เรื่องราวทั้งหมดในบทนี้เริ่มต้นขึ้นขึ้นในวันนี้ วันเกิดปีที่ 26 ของเรา วันเกิดที่ยาวนานที่สุดในชีวิต และเป็นวันที่เราไม่รู้เลยว่ามันจะนำพาชีวิตเราไปสู่อะไรบ้าง


    เราเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในมิลาน ประเทศอิตาลี หลังจากกลับไปพักผ่อนสั้นๆที่ไทยในช่วงปิดหลังปีใหม่ ก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับมาเพื่อเรียนต่อเทอมที่ 2 ซึ่งเราได้ไฟล์จากกรุงเทพมายังมิลานตอนค่ำ ผู้โดยสารกว่า80% เป็นชาวต่างชาติ (คาดว่าเกือบทั้งหมดเป็นชาวอิตาลี) ตอนที่เครื่องกำลังจะ take off เกิดมีผู้โดยสารท่านหนึ่งไม่รู้สึกตัว และเราเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเพราะนั่งอยู่ด้านหลังถัดมา 3 แถว คุณพี่แอร์โฮสเตสพยายามปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น คนในห้องโดยสารต่างเริ่มเป็นกังวล กัปตันประกาศตามหาผู้โดยสารที่เป็นหมอหรือพยาบาลมาช่วยตรวจสอบผู้โดยสารท่านนี้ เหตุการณ์ตึงเครียดกว่า 20นาที โดยเฉพาะเมื่อฉากถังออกซิเจนและเปลถูกลำเลียงมา พคุณพี่แอร์โฮสเตสถึงกับประกาศให้ทุกท่านอยู่ในความสงบ เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง แต่รู้สึกเหมือนนานเป็นชั่วโมงผู้โดยสารค่อยๆรู้สึกตัวแบบที่ยังคงสะลืมละสือ คุณหมอยืนยันว่าผู้โดยสารน่าจะทานยานอนหลับไปเฉยๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าทานยาอื่นไปด้วยไหม สุดท้ายแล้วเนื่องจากไฟลท์บินตรงยาวนานกว่า 12 ชม. เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกท่าน กัปตันตัดสินใจจะหันเครื่องกลับไปสู่เกทเพื่อพาผู้โดยสารท่านนั้นลงก่อน เราได้แต่ภาวนาในใจ ขอให้ผู้โดยสารคนนั้นไม่เป็นอะไร.. เราก็เช่นกัน


    เหตุการณ์ขณะพนักงานต้อนรับพยายามปลุกผู้โดยสาร

    เอาล่ะ... เพิ่งจะเริ่มต้นเอง ทุกอย่างราบรื่นดี เรามาถึงมิลานโดยสวัสดิภาพ เวลาที่อิตาลีช้ากว่าไทย6 ชม. ทำให้ในตอนที่มาถึงยังคงเป็นวันเดิมอยู่ อากาศสดใส ไม่มีวี่แววของความลำบากที่กำลังจะเจอเลยแม้แต่น้อย เราใช้เวลาในวันนั้นไปกับการเตรียมตัว(และเตรียมใจ) ก่อนเปิดเทอม ออกไปเดินเล่นชมสวน ดอกไม้กำลังเริ่มผลิบาน เราได้แวะร้านคาเฟ่ และเข้ามิวเซียม แต่ก็รู้สึกได้ว่าตลอดทั้งวันมีคนมองเรากับเพื่อน(คนไทย)เป็นจำนวนมาก จนเมื่อกลับมาถึงบ้านถึงได้รู้ข่าวว่า มีประกาศแจ้งพบผู้ติดเชื้อ Covid-19 ที่เวนิสในวันนี้ และได้มีมาตรการห้ามผู้เดินทางมาจากจีนเข้ามาในมิลาน ซึ่งนั่นทำให้แผนการในวันรุ่งขึ้นของเราถูกม้วนเก็บไปโดยปริยาย แผนการไปเที่ยวเวนิส 3วัน 2คืน กับเทศกาลคาร์นิวัลที่เราตั้งตารอคอย...มาอย่างยาวนาน ที่เดียวกับที่พบผู้ติดเชื้อเลย ใครมันจะไปกล้าเสี่ยงละเฮ้อ นี่แค่วันแรกเองนะ

    ไปนั่งเล่นในสวน  Giardini Pubblici Indro Montanelli 
    ไปนั่งชิวคาเฟ่ : Bar Luce 

    ในช่วง 1 สัปดาห์หลังจากนั้น เราอยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ พยายามใช้ชีวิตแบบปกติไม่ตื่นตระหนก (ซึ่งก็ค่อนข้างยากเพราะยอดพุ่งเร็วมาก) ช่วงปลายสัปดาห์มหาลัยส่งอีเมลล์มาแจ้งว่าขอเลื่อนการเปิดเทอม... ตอนนั้นคือคิดในใจว่าแล้วเราจะรีบบินมาทำไมล่ะเนี่ย แต่แบบไหนๆก็มาแล้ว เอาล่ะค่อยๆดูสถานการณ์ไปก่อน เราได้พูดคุยกับเพื่อนชาวอิตาลีและจีน รู้สึกได้เลยว่า awareness ต่างกับมาก ที่จีนตอนนั้นมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากแล้ว และเริ่มดำเนินมาตรการ lockdown เพื่อนๆต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามึงต้องไปตุนของก่อนที่เค้าจะปิดพวกร้านค้า ต้องใส่หน้ากาก และอย่าออกจากบ้าน เราก็ไม่รอช้า เริ่มพกหน้ากากไปด้วยเวลาต้องออกจากบ้าน และเข้าซุปเปอร์อย่างบ้าคลั่ง (หมดไปกว่า 100ยูโรในรอบแรก) ในขณะที่เพื่อนอิตาลีและคนที่นี่ต่างยังใช้ชีวิตกันอย่างปกติ'มาก' ขอย้ำอีกครั้งว่า'มาก' พร้อมบอกว่าให้เชื่อประกาศจากทางรัฐ ซึ่งไม่ได้มีมาตรการให้สวมหน้ากาก มีแค่ให้ล้างมือกับกินอาหารที่ปรุงสุก (ซึ่งเราก็งงๆว่ามันคือเชื้อโรคที่ติดต่อระบบทางเดินหายใจนะ ไม่ใช่ทางเดินอาหาร) ก็เอิ่ม... va bene


    ชีวิตเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆเมื่อยอดผู้ติดเชื้อในแคว้น Lombardia (ซึ่งรวมหลายเมืองทางตอนเหนือ รวมทั้งมิลาน) เพิ่มสูงขึ้นเร็วมากจนทำให้ยอดรวมขยับเข้ามาในไลน์ Top 10 ทางการณ์เริ่มเตรียมประกาศปิดแคว้น และมหาลัยประกาศใช้รูปแบบการเรียนออนไลน์แทน ทำให้เพื่อนๆชาวเอเชีย ทั้งไทย จีน และอินเดียตัดสินใจกลับบ้านกันกว่าครึ่ง และทุกๆคนต่างบอกให้เรากลับเถอะ รวมทั้งพ่อแม่ของเรา ที่โทรมาถามทุกวันว่าเป็นไงบ้าง ไหวมั้ย บอกให้เราทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ เอาตัวเองกลับไปไทยก่อน พ่อแม่ยินดีจ่ายค่าบ้านและค่าตั๋วเครื่องบิน เราลังเลตลอดเวลา ถามทุกคนว่าควรทำอย่างไร ไปตั้งกระทู้ก็แล้ว ไม่มั่นใจกับทุกทางเลือกเพราะเราเพิ่งจะบินมาถึงไม่กี่วัน ค่าบ้านก็เพิ่งจ่ายล่วงหน้าไป 3เดือน แล้วที่สำคัญคือไม่รู้ว่าถ้ากลับไปแล้วจะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ เราได้แต่คำนวณค่าเสียโอกาสต่างๆ เหตุการณ์ตึงเครียดจนเรานอนไม่หลับ เราตัดสินใจว่ารอดูอีกนิดก่อนดีกว่า


    การตัดสินใจยื้อเวลาของเราไร้ความหมายลงเรื่อยๆ เหตุการณ์ยอดผู้ติดเชื้อค่อยๆไต่ระดับมาเรื่อยๆจนเริ่มขยับมาที่อันดับ 7, 6, และติด Top 5 แบบไม่ผิดคาดเลย เพราะคนยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม มีบางครั้งที่เราออกไปนอกบ้านและใส่หน้ากาก แต่กลับโดนล้อด้วยการตะโกนว่า'Hey! Corona virus (คนที่นี่อ่านวีรุส)' หรือบ้างก็แกล้งไอ บ้างก็ 'ni hao' เราก็คิดไม่อะไรมาก พยายามไม่ถือว่ามันคือการ bully เพราะคนอิตาลีค่อนข้างขี้เล่นอยู่แล้ว บางทีพอไอมาเราก็แกล้งไอกลับ ก็ขำๆกันทั้งสองฝ่ายก็มี แต่มันค่อนข้างโดนบ่อย ประกอบกับช่วงนั้นมีข่าวคนเอเชียในอังกฤษถูกทำร้าย ทำให้เราเริ่มไม่ค่อยมั่นใจเวลาออกไปไหน สิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่ที่สุดคือการที่โดนคนไทยด้วยกันพูดจาแย่ๆใส่ เนื่องจากเราไปเล่าว่าเคยโดนล้อในกระทู้หนึ่ง (ซึ่งเป็นกระทู้สอบถามว่าควรกลับไทยไหม) แล้วมีกลุ่มคนไทยที่เป็นภรรยาชาวอิตาลีมาบอกว่ามันไม่น่าจะจริง ใครเค้าจะไปล้อ เราทำตัวแตกต่างหรือเปล่า... ซึ่งเราแค่ใส่ mask เราไม่ได้แต่งตัวอะไรแปลก และเราที่สำคัญ เราพูดความจริง!


    ในส่วนของรัฐบาลเริ่มมีมาตรการเตรียมจะ lockdown ทั้งประเทศ ตอนนั้นพ่อแม่เราโทรมาทุกวัน พร้อมกับขอร้องว่ากลับเถอะลูก บางครั้งพ่อแม่ก็เหมือนจะร้องไห้... มันเป็นช่วงเวลาที่ยากจริงๆ พอมีเรื่องของความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง ลองคิดกลับกันถ้าพ่อแม่เราอยู่ที่นี่เราก็คงขอร้องให้ท่านกลับเหมือนกัน แต่หลังจากอ่านคอมเม้นท์หนึ่ง (จากกระทู้เดิมนั่นแหละ) ของนักเรียนในจีนที่ตัดสินใจกลับไทย บอกว่ามันจะยาวนานกว่าที่คิด ถ้าเราคิดว่าจะกลับก็ควรจะคืนบ้านไปเลย ทำให้เราเริ่มเสียดายเงินที่จ่ายไปแล้ว ประกอบกับคอมเม้นท์ของคุณหมอท่านหนึ่งที่บอกว่าความเสี่ยงติดเชื้อในการกลับไทยมีพอๆกับอยู่ที่นี่ และที่ไทยยังไม่มีมาตรการกักตัวจากรัฐบาล ต้องไปหาที่กักตัวเอง เราอาจจะติดเชื้อโดยไม่รู้ตัวและคนที่อันตรายกว่าคือคนในครอบครัว ทำให้เราตัดสินใจว่าเราจะอยู่สู้ต่อที่นี่ เพราะตอนนั้นที่มิลานคนติดเชื้อเยอะมาก เราไม่รู้เลยว่ารอบๆตัวตรงไหนมีเชื้อบ้าง แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่แน่ใจว่ามีเชื้อไหม และที่สำคัญเราไม่พร้อมที่จะเอาคนในครอบครัวมาเสี่ยง


    หลังจากนั้น ชีวิตในพื้นที่ 11 ตารางเมตร ก็ได้เริ่มต้นขึ้น  ต้องบอกก่อนว่า 11 คือพื้นที่ห้องนอนอย่างเดียว แต่มีครัว ห้องน้ำและระเบียงที่ใช้ร่วมกับ flatmate อีก 2 คน ในขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเริ่มมีมากขึ้นจนโรงพยาบาลรองรับไม่ไหว การเรียนออนไลน์เทอมในนี้เริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบๆ ในพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็กๆ ชีวิตประจำวันในทุกๆวันค่อนข้างเหมือนเดิม วนลูปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตื่นเช้ามา ชงกาแฟ เปิดคอม เริ่มเลคเชอร์ พักเที่ยง ทำอาหาร ทำงานกลุ่ม ทำอาหารเย็น ดูหนัง นอน ทุกๆวันไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก มีเพียงใบไม้นอกหน้าต่างที่ค่อยๆเปลี่ยนจากกิ่งก้านแห้งๆมาผลิใบอ่อนๆ กับเกสรดอกไม้ที่ปลิวล่องลอยอย่างอิสระจนทำให้เรารู้สึกอิจฉาได้ ตอนนี้ตัวเลขยอดผู้ติดเชื้ออันดับ 4 และยอดผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก ก็ไม่ทำให้เรารู้สึกอะไรเท่าไหร่ โลกภายนอกจะเป็นอย่างไรก็ไม่ได้ส่งผลต่อเรามากนัก การได้ออกไปซื้อวัตถุดิบในการทำกับข้าวเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง (หรือนานกว่านั้น) เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ชีวิตรู้สึกว่ามีอะไรขึ้นมาบ้าง เวลาในช่วงนี้หมุนไปไวมาก รู้ตัวอีกทีผ่านไปอีกแล้ว 1 สัปดาห์ 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือน... แสงสว่างริบหรี่ลงเรื่อยๆ แม้ว่าเหตุการณ์ในจีนและหลายประเทศในเอเชียจะค่อยๆดีขึ้น จนบางเมืองเริ่มผ่อนคลายมาตรการได้แล้ว กราฟทางนี้ยังคงพุ่งขึ้นด้วยความชันคงที่ ยังไม่มีวี่แววจะถึงยอดและดิ่งลงบ้าง


    วิวจากหน้าต่างห้องเราในเดือน มีนาคม 
    วิวจากหน้าต่างห้อง ภาพนี้ถ่ายในเดือนพฤษภาคม 

    เช้าวันเสาร์วันหนึ่งที่อากาศแจ่มใสมากๆ ในขณะที่กำลังต่อแถวรอเข้าซุปเปอร์มาเก็ตใกล้บ้าน เพื่อซื้อวัตถุดิบมาต่อชีวิตไปอีก 1 สัปดาห์ บทสนทนาอันเรียบง่าย ซ้ำซาก ระหว่างเรากับเพื่อนก็ได้เริ่มต้นขึ้น 
    เรา : "อากาศเริ่มร้อนละอะ ขี้เกียจต่อแถวจังเลย ไม่อยากยืนตากแดด"  
    เพื่อน : "จริง! ไม่รู้สึกว่าต่างอะไรกับอยู่ไทยเลย นี่ขนาดยังไม่หน้าร้อนนะเนี่ย"
    เรา :  "หืม! จริงปะเนี่ย หน้าร้อนจะร้อนขนาดไหน แล้วถ้าต้องอยู่แต่ในบ้านจะทำไงอ่ะ ไม่มีแอร์ด้วย"
    เพื่อน :  "ไม่รู้เลยอ่ะ ปกติหน้าร้อนจะไม่ค่อยอยู่บ้าน นี่ก็นึกภาพไม่ออก เออว่าแล้วก็เช็คยอดดีกว่า"
    เรา : "อืมจริงด้วย ไม่ได้เช็คยอดนานละอ่ะ รู้สึกเฉยๆไปแล้ว อยากรู้เหมือนกันว่าจะถึงอันดับหนึ่งยัง"

    15 วินาทีผ่านไป
    เพื่อน : "เห้ยยยยยย! สเปนแซงละว่ะ"
    เรา : "ห๊ะ อะไรนะ"
    เพื่อน (ยังคงอึ้ง) : "เห้ยยยยย! อังกฤษด้วย แล้วตอนนี้ยอดคนติดก็ลดลง"
    เรา (อึ้งด้วย) : "ห๊ะ!!!! ดูผิดป่าว มันจริงหรอ"
    เพื่อน : "อะดูๆ นี่ลดจริงๆ เหลือเชื่อ" (พร้อมยื่นหน้าจอมือถือให้ดู)
    เรา (ยังเงิบอยู่) : "... แล้วมันจะยังไงต่ออ่ะ"
    เพื่อน (นี่ก็เงิบไม่เลิก) : "เออนั่นสิ..."


    บทสนทนาจบลงอย่างรอคอยภาคต่อ เนื่องจากเจ้าหน้าที่เรียกให้เราเข้าไปในซุปเปอร์ได้แล้ว ระหว่างที่กำลังเลือกซื้อวัตถุดิบ เราก็ได้แต่คิดวนไปมาว่าเราควรจะซื้ออะไรดี เราจะได้ออกนอกบ้านจริงๆใช่มั้ย แล้วมันจะปลอดภัยหรือ ถ้ามันคุมไม่ได้ล่ะ แล้วเราจะกลับไทยได้ไหม ควรคืนบ้านมั้ย แต่เอ๊ะ เครื่องยังไม่กลับมาบินนี่นา ตลอดการเดินจับจ่ายจนกระทั่งแยกย้ายกันกลับบ้าน เรากับเพื่อนต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเหตุการณ์ในบทสนทนาก่อนหน้า และดำเนินชีวิตปัจจุบันในพื้นที่ 11 ตารางเมตรต่อไปเหมือนเช่นวันก่อนหน้า... แต่ไม่สิ อย่างน้อยก็มีความหวังขึ้นมานิดนึงละ

    Lemon Granita และ Dark Chocolate Milkshake จากร้าน Amorino ต้อนรับการได้ออกมาใช้ชีวิต 


    END NOTE :
    จุดเปลี่ยนในครั้งนี้มันทำให้เรานึกถึงโควทอันนึงที่ชอบมาก ได้อ่านครั้งแรกจากหนังสือ Italy Crafted ที่คุณพลอย จริยะเวช ยืมมาปิดท้ายบทที่ 2 มันคือคำกล่าวจากหนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์แฟชั่นชื่อดังที่มีต้นกำเนิดมาจาก Sicily นั่นก็คือ Dolce&Gabbana และมันยังคงใช้ได้เสมอกับทุกช่วงเวลาที่เราสิ้นหวัง และอยากให้ทุกคนที่อ่านยังคงไม่หมดหวังกับทุกๆเรื่องในชีวิต เพราะ...
    "The worse time can be the best if you think with positive energy." 
    - Domenico Dolce -





     


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in