เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Until These Daysfran
2. Maxence

  •  ถึงแม้ว่าเพื่อนๆส่วนใหญ่ในห้องจะเคยอยู่ห้องเดียวกันมาก่อนเมื่อปีที่แล้ว (มอสี่) แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด  แมคซองค์เป็นอีกคนที่เราเคยเห็นหน้าค่าตามาบ้างแล้ว ความรู้สึกที่ผ่านๆมาคือ รู้สึกห่างไกลกับเรามากเลย ดูยากที่จะเข้าถึงมาก แมคซองค์เป็นผู้ชายร่างสูงโปร่ง ผมบลอนด์หยักศกนิดๆ ตาสีฟ้า ผิวขาว (เวลาเรียนประวัติศาสตร์สงครามโลก แล้วพูดถึงชาวอารยันนาซี ทุกคนคือมองมาที่แมคซองค์หมดเลย) เป็นคนที่เวลาเราลงรูปคู่ในเฟสบุ๊คจะมีสาวไทยเข้ามาคอมเม้นกรี๊ดกร๊าดอยู่ไม่น้อยทุกครั้ง


    แมคซองค์ไม่มีกลุ่มเพื่อนเหมือนหนุ่มๆ คนอื่นๆ ในห้องที่มักจะเกาะกลุ่มกันซะส่วนใหญ่ เป็นคนสันโดษที่ใช้เวลาพักเบรคไปกับการนั่งฟังเพลง


    คาบที่สองของการเรียนวิชาSI (science de l'ingénieur) คือวิชาวิศวกรรมศาสตร์ เราต้องทำงานกันเป็นคู่ ชื่อฟรานถัดจากแมคซองค์พอดี เลยได้ทำงานคู่กัน เลยเป็นครั้งแรกที่ได้ทำความรู้จักกันจริงๆ แมคซองค์เป็นคนชิวมากๆ มากเกินไปด้วยซ้ำ คือไม่ค่อยจริงจังกับงานที่ทำเลย แต่เขาก็บอกกับฟรานว่า มันไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจอยู่แล้ว เอาแค่ให้ผ่านก็พอ เลยเป็นอะไรที่ทั้งเหมือนและต่างกัน ที่ๆ เรียนอยู่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราสนใจ แต่เราก็จะทำสุดความของสามารถเราอยู่ดี เป็นเพราะลึกๆเรากลัวคนอื่นมองว่าเราไม่พยายาม เราโง่ เราขี้เกียจ ก็เลยกดดันตัวเองมาตลอด

    ทั้งๆ ที่จริงในใจเราคือ แค่ผ่านก็พอแล้ว


    เขาชวนคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องประเทศไทย เขาสงสัยว่าโรงเรียนที่ไทยเป็นยังไง แตกต่างจากที่ฝรั่งเศสมากน้อยแค่ไหน ฟรานก็บอกว่าที่ไทยมียูนิฟอร์ม ต้องเข้าแถวตอนเช้า

    รร.ที่ฟรานอยู่ แต่ละห้องมีห้องเรียนของตัวเองละไม่ต้องย้ายไปเรียนห้องอื่นในแต่ละคาบ และฟรานคิดว่ามันทำให้นักเรียนในห้องสนิทกันมากขึ้น เพราะได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น จึงไม่แบ่งกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยเหมือนที่นี้ แมคซองค์ดูจะคล้อยตามกับเรื่องที่ฟรานเล่า

    เขาเป็นคนที่ชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น และฝันว่าวันนึงจะได้ไปแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น และท่องเที่ยวในเอเชีย


    คาบSIเป็นคาบสุดท้ายของวัน กริ่งไม่ทันจะดัง แมคซองค์ก็เก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินออกจากห้อง แล้วออกทันทีเมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น เราเขียนชื่อตัวเองลงบนแบบฝึกหัด ปิดคอมของตัวเองและเครื่องข้างๆ เก็บเก้าอี้เข้าที่ให้เรียบร้อย ก่อนจะออกจากห้องเรียนเพื่อที่จะเดินกลับบ้าน


    อีกฝั่งนึงของถนน เราเห็นแมคแซองค์เดินใส่หูฟังอยู่ เขาหันหน้ามาพอดี เราเลยโบกมือให้

    เขาเลยข้ามถนนมาเดินฝั่งเดียวกับเรา เดินไปเรื่อยๆ พอถึงทางแยกดันเลี้ยวซ้ายเหมือนกันอีก จึงรู้ว่าบ้านเราอยู่ทางเดียวกัน โดยที่บ้านฟรานจะอยู่ใกล้กว่า แล้วบ้านแมคซองค์เดินตรงขึ้นไปอีกห้านาที แต่ไม่เคยเห็นกันหรือเดินสวนกันมาก่อน


    วันนั้นแมคซองค์เลยเดินมาส่งเราถึงหน้ารั้วอพาทเม้น เราเลยบอกว่าเนี้ยแหละที่อยู่เราเอง เขาเลยถามว่าอยู่ชั้นไหนหรอ ฟรานก็ชี้ขึ้นไปชั้นบนสุด ห้องที่มีดอกไม้ตรงระเบียง

    แมคซองค์ถามว่าจะ faire la bise ไหม คือการทักทายหรือบอกลาแบบฝรั่งเศสด้วยการเอาแก้มนาบกันขวาซ้าย ด้วยความที่เขาเห็นว่าฟรานเป็นคนเอเชียเลยถามก่อน ฟรานก็ตอบไปว่าได้สิ ฟรานไม่ถืออะไร


    วันพุทธเป็นวันที่คาบเรียนส่วนใหญ่จะแบ่งนักเรียนออกเป็นสองกลุ่มแล้วคาบเรียนจะคนละเวลากันในแต่ละกลุ่ม หรือเรียนกับครูคนละคน เพื่อให้มีเวลาถามตอบกับครูมากขึ้น

    ร่วมถึงแลปฟิสิกส์-เคมีด้วย เราไม่ได้อยู่กลุ่มกับลิซ่า หลังจากที่เราวางกระเป๋า ถอดเสื้อโค้ดแขวนไว้หลังห้อง ใส่เสื้อกาวน์ ถุงมือป้องกัน พร้อมกับแบบเรียนและกล่องดินสอในมือ เราก็มองไปรอบๆ ห้อง เพื่อดูว่าจะนั่งที่ไหนดี ก็เดินงงๆ หาที่นั่ง เพราะส่วนใหญ่เขาก็นั่งข้างกันหมดแล้ว แมคซองค์หันมามองอย่างขำๆแล้วกวักมือให้เราไปนั่งข้างๆ ละบอกว่า มานั่งกับเรานี่ เราเลยยิ้มแล้วก็เดินไปนั่งที่ว่างข้างๆ


    การทำงานคู่กับแมคซองค์เป็นอะไรที่ต่างกันกับลิซ่าอย่างสุดขั้ว คนนึงชิวสุดๆอีกคนจริงจังสุดๆ แต่เวลาทำงานกับแมคซองค์รู้สึกเราได้มีส่วนร่วมกับงานมากกว่าเพราะได้ใช้เวลาคิดเยอะ เวลาหันไปถามแมคซองค์ เขาก็หันกลับมา ถอดหูฟังแล้วตอบว่า “ไม่รู้” เราเลยต้องกลับมาพยายามหาคำตอบด้วยตัวเองอีกครั้ง กลับกันกับลิซ่า ฟรานพึ่งเริ่มตอบข้อแรก นางตอบเสร็จไปแล้วสี่ข้อ เวลาข้อความช่วยเหลือก็จะได้คำอธิบายทันที บางทีเลยรู้สึกว่าไม่ได้ใช้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่


    ถ้าฟรานไม่ได้ทำงานคู่กับลิซ่า ส่วนใหญ่ก็จะได้คู่กับแมคซองค์แทน เพราะเวลาหันไปมาในห้อง ทุกคนก็กระตือรือร้นหาคู่ทำงานได้แล้ว ส่วนใหญ่ก็จะคู่กับคนเดิมๆทุกครั้ง

    เราก็ได้แต่มองคนที่เหลือ ก็จะมีแมคซองค์ที่ยังดูชิวอยู่เหมือนเดิม ที่คู่กับใครก็ได้ยังไงก็ได้


    มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เป็นงานกลุ่มสามคน ฟรานคู่กับลิซ่าอยู่แล้ว เลยชวนแมคซองค์เข้ามาให้ครบ (เพราะเป็นคนเดียวที่เหลือด้วย) สรุปไปไม่รอดค่ะ ฟรานต้องคอยไกล่เกลี่ยสองคนนี้ให้อยู่ในความสงบตลอดเวลา เขาต่างกันเกินไปจริงๆ ไม่สามารถทำงานด้วยกันได้เลย


    กลับไปที่งานคู่ของฟรานกับแมคซองค์ เลยนัดกันไปเตรียมพรีเซ้นที่บ้านของแมคซองค์ ก็ขึ้นไปที่ห้องนอนเขา เพราะโต๊ะคอมอยู่ในห้องนอน (ไม่มีใครอยู่บ้านด้วยนะ สองต่อสองสุดๆ //แหมมม 555) แต่ก็เป็นฟรานที่ทำงานซะส่วนใหญ่ ผ่านไปครึ่งนึงของงาน แม็คซองค์ก็เริ่มเดินวนไปวนมา แล้วชวนลงไปหาอะไรกินที่ห้องครัว ฟรานก็ตกลง ดีเหมือนกัน พักก่อนแล้วค่อยกลับขึ้นมาทำต่อ


    เรานั่งลงที่เก้าอี้ของโต๊ะกินข้าวกลางห้องครัว การตกแต่งของบ้านเป็นสไตล์โมเดิร์น ทันสมัย บ้านดูสะอาดสะอ้าน (มารู้ที่หลังว่า มีคนมาทำความสะอาดที่บ้านอาทิตย์ละสองสามครั้ง)

    แม็คซองค์เอาขนม ผลไม้ และเครื่องดื่มที่มีอยู่ในบ้านออกมาวางกองบนโต๊ะกับข้าวตรงหน้าเรา แล้วบอกว่า อยากกินอะไรก็เชิญ  //ขอบคุณค่ะ


    แล้วเขาก็ตั้งหน้าตั้งตากินบัตเตอร์เค้กอย่างจริงจัง กลับเข้ามาบทสนทนาเดิมๆ เรื่องความแตกต่างระหว่างไทยกับฝรั่งเศส พอดูเวลาก็คุยกันเพลินจนค่ำแล้วเลยไม่ได้ทำงานต่อ เราเลยบอกว่าเดี๋ยวเรากลับไปทำพาวเวอร์พ้อยต่อให้เสร็จเอง อย่าลืมอ่านทวนให้เข้าใจก่อนถึงวันพรีเซ้นท์ด้วยละ ก่อนจะกลับบ้านเลยคิดไอเดียได้ว่า มาทำวีดีโอขำๆ กันไหม ฟรานจะให้แมคซองค์พูดตามประโยคที่ฮิดๆในไทยในช่วงเวลานั้น เช่น พวกประโยคที่ลิ้นพันกัน ไม่ก็คำที่ฮิตในโซเชี่ยวเช่น รู้หมือไร่ แมคซองค์เลยตอบกลับมาว่า เอาดิ ไม่มีปัญหา ตอนที่ตอบตกลง ก็มีเสียงเหมือนคนกำลังเข้าบ้านพอดี แมคซองค์เลยให้บอกว่า ขึ้นไปบนห้องดีกว่า คงไม่ได้บอกที่บ้านว่าพาเพื่อนมาทำงานที่บ้าน แถมเป็นผู้หญิงด้วย 555+ พออัดวีดีโอไปได้ซักระยะนึง ก็มีเสียงมาเคาะประตูห้อง เป็นแม่ของแมคซองค์ สุดท้ายก็ไม่พ้น ได้แนะนำตัวทำความรู้จักกันไป

    พออัดวีดีโอเสร็จก็ลำลากันกลับบ้าน ฟรานบอกว่าฟรานเดินกลับเองได้ใกล้ๆ แค่นี้เอง เขาเลยเดินลงมาส่งที่หน้าประตูรั้ว 


    หลังจากวันนั้นเวลาแมคซองค์จัดงานอะไรที่บ้านก็จะชวนฟรานด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นการแฮงค์เอาท์กลุ่มเล็กๆ ไม่เกินห้าหกคน ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนสมัยเด็กของแม็กซองค์ คนที่เรียนรร.เดียวกันกับฟราน รวมถึงแม็กซิมมิเลียนที่อยู่ห้องเดียวกันกับฟรานด้วย


    ครั้งนึงรร.จัดงานวิ่งการกุศล พอวิ่งเสร็จด้วยความที่ฟรานเดินกลับบ้านทางเดียวกับแมคซองค์ เขาจึงชวนเรากับเพื่อนสนิทเขาอีกคนที่ชื่อ Nathan (แต่ภาษาฝรั่งเศสจะออกเสียงว่านาตอง)

    ไปกินข้าวที่บ้าน เราก็เป็นคนไปไหนไปกันอยู่แล้ว เลยตอบว่า ไปดิ

    วันนั้นแมคซองค์ทำไข่เจียวฝรั่งเศสให้กิน ก็อร่อยดีนะ :) กินเสร็จก็ดูหนังกันในห้องรับแขกก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน


    บ้านเราอยู่ใกล้กัน หลังจากที่รู้จักกัน ก็ได้เดินกลับบ้านพร้อมกันบ่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นวันที่เลิกคาบสุดท้ายตรงกัน เวลาฟรานจะแวะร้านสะดวกซื้อหรือร้านขายยาก่อนกลับบ้านเพื่อที่จะซื้อยาหยอดตาให้หมาชิสุห์ของฟรานแมคซองค์ก็จะแวะด้วย ป้าๆ ในร้านมองเหมือนกันนะ เข้าร้านขายยากับผู้ชาย

    เวลาฟรานแวะซื้อของหนักๆ เช่นแพ็คขวดน้ำหกขวด แม็กซองค์ก็จะเป็นสุภาพบุรุษช่วยถือจนไปถึงหน้ารั้วบ้านเราอยู่  มีช่วงนึงที่ฟรานต้องซื้อยาหยอดตาทุกสองอาทิตย์ บางทีแมคซองค์ก็เป็นคนเตือนเหมือนกัน ว่าวันนี้ไม่แวะร้านขายยาหรอ


    บางทีฟรานเดินออกจากห้องเรียนคนเดียว แต่พอถึงหน้าโรงเรียนก็เห็นแม็คซองยืนฟังเพลงพิงกำแพงอยู่ ฟรานเลยแกล้งถามไปว่ารอใครอยู่หรอ เขาก็ตอบกลับมาว่า รอเธอนั้นแหละ มันชินแล้วที่ต้องเดินกลับบ้านพร้อมเธอ (//เขินเลย)

    ฟรานก็เลยตอบกลับไปว่า Merci beaucoup :)


    ที่จริงสำหรับฟราน เราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น เพราะที่โรงเรียนใช้เวลาด้วยกันน้อยมาก ยิ่งขึ้นมอหกยิ่งน้อยไปอีกเพราะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน (ได้ทำงานกลุ่มด้วยกันอยู่บ้างเพราะเลือกเรียนวิชาเขียนโปรแกรมเหมือนกัน) แต่มีวันนึงที่ได้เดินกลับบ้านด้วยกันอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายกันไปนาน แมคซองค์บอกเราว่า ที่โรงเรียนเขามีเพื่อนสนิทแค่สามคน มีมาริยง แม็คซิมมิเลียน แล้วก็ฟราา นี่อึ้งไปเลยนะที่เราเป็นหนึ่งในนั้น แต่กลับมาคิดอีกที ก็จริงด้วยแหะ เพราะเขาก็เป็นคนโลกส่วนตัวสูงมากคนนึงเลย


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in