เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryNon Nantawat
ความอ่อนแอในวัยเด็ก

  • ในตอนที่เรายังเป็นเด็ก เราเป็นคนที่อ่อนแอมากๆครับ ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ป่วยง่ายกว่าเพื่อนคนอื่นๆในห้องเรียน เพื่อนทุกคนรู้ อาจารย์ก็รู้ รู้ไปถึงยัน ผอ. โรงเรียนเลยครับ ในช่วงเวลา 08:30 นนักเรียนก็จะมาเข้าแถวหน้าเสาธง ซึ่งตัวของผมเองบ่อยครั้งที่ไม่ได้เข้า เพราะถ้าเราป่วยหรือไม่สบาย อาจารย์จะไม่ให้เราเข้าแถว อาจารย์บอกว่ากลัวเราตาย 55555 จริงๆหลายๆคนอาจจะคิดว่า สบายว่ะ ไม่ต้องเข้าแถว อยู่ในร่มละมองดูคนอื่นทำกิจกรรม มันก็คงสบายจริงๆแหละ แต่มันก็เหงานะเพราะว่า มันก็มีแค่เราคนเดียวที่อยู่ตรงนั้น นั่งนิ่งๆ ไม่รู้จะทำไร มันก็เป็นแบบนี้อยู่ค่อนข้างบ่อยเลยครับ

    หลังจากนั้นก็มีคนที่ป่วยแล้วอาจารย์ก็ไม่ให้เข้าแถวอยู่บ้างครับ แต่เราก็ยังครองสถิติผู้ที่ไม่เข้าแถวบ่อยที่สุดอยู่ดี แล้วหลังจากนั้นอาจารย์กับ ผอ. ก็เริ่มคุยกันว่าจะย้ายเวลาทำกิจกรรมหน้าเสาธงใหม่ ให้เร็วกว่าเดิม พอเรารู้เราก็เริ่มคิดว่ามันเป็นเพราะเรารึเปล่า ผิดที่เราอ่อนแอและเข้าแถวไม่ได้ แล้วก็เริ่มรู้สึกผิด แล้วก็ร้องไห้ ละก็ไปขอโทษเพื่อนตัวเอง มึงเพราะกู เพราะกูเอง กูขอโทษ ความผิดทั้งหมดเป็นของกู  (ตอนเด็กๆติดละครหลังข่าวครับ ดูละครเยอะมากๆ น่าจะเอาความน้ำเน่ามาจากละครแหละส่วนนึง) แล้วเพื่อนก็งง พอมาคิดย้อนกลับไปมันก็ตลกมากๆเลยครับ ความคิดตอนนั้นมันก็เด็กอะเนาะ คิดไรไปเรื่อยเปื่อยจริงๆ ก็ดีแล้วที่โตมาได้ 


    พอมาช่วงมัธยมต้น เราก็ยังคงอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจเหมือนเดิม ก็มีที่เราไม่ไปเข้าแถวแต่ไปโผล่อยู่ห้องพยาบาลบ้าง แต่ก็น้อยกว่าตอนประถมมากๆ และ ครับ มันจะมีวิชานึงที่เราเกลียดดดดดดด มันเข้าไปในไส้ วิชานั้นก็คือ วิชา ลูกเสือ ไม่โอเคมากๆกับวิชานี้ 555555 ตอน ม.1 ก็อาจจะแค่ยืนตากแดดเฉยๆ (จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจ ให้ทำทำไม น่าจะฝึกความอดทนแหละ !) แต่พอ ม.2 มันก็มีการเข้าค่ายลูกเสือ ที่ไปต้องเดินขึ้นไปบนเขา ตั้งแคมป์ ทำกิจกรรม (แค่คิดก็ท้อแล้ว) วันที่ต้องไปเข้าค่าย จำได้ว่าตอนนั้นเครียดมากๆ สิวหัวช้างขึ้นกลางหน้าผากใหญ่มากกก  อาจารย์นัดเช้ามากๆ ก็ต้องจำใจ จำทนตื่นขึ้นไปแต่งตัวไปโรงเรียนตอนตี 4  นอนก็นอนน้อย แรงก็ไม่มี ร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง มีแค่ใจที่สู้ 5555 แต่สู้ได้ไม่นานหรอกครับ หน้ามืด เป็นลมบนเขาพระวิหารไปเลยยย เข้าแถวอยู่ดีๆรู้สึกหน้ามืด จริงๆเราพยายามแล้วนะ ว่า นน มึงต้องสู้ กัดฟัน ตอนนั้นเพื่อนหลายๆคนก็เริ่มเป็นลมลงไปทีละคนสองคน แต่เราก็สู้ สู้ไปได้ซักพักก็สะกิดเพื่อนข้างๆ มึง กูไม่ไหว




    แล้วล้มฟึบลงไปเลย (พวกที่ยืนอยู่ข้างหลังไม่มีใครรับกูเลยสุดยอดมากๆ ??)แต่ก็มีเพื่อนที่เรียกอาจารย์ให้ (ขอบคุณเกียรติศักดิ์มากๆที่ช่วยเรา5555)หลังจากที่อาจารย์ให้สัมภาษณ์เรื่องของเรา อาจารย์บอกว่า เราหน้าซีดมาก อาจารย์ 4-5 คนมารุมล้อมเรา เอายาดม เอาน้ำมาให้เรา เราก็ยังไม่ดีขึ้นทั้งๆที่เพื่อนที่เป็นลมก่อนหน้าเราเริ่มดีขึ้นแต่เรายังนอนอยู่เลย อาจารย์ก็เลยตัดสินใจ ขับรถลงมาจากเขาแล้วพาเราไปส่งโรงพยาบาลที่ตัวเมือง ในระหว่างการเดินทางนั้น อาจารย์ก็คอยตบหน้าเราอยู่ตลอดเวลาละถามว่า มีสติอยู่มั้ย ยังมีสติอยู่มั้ย อยากจะบอกอาจารย์ว่า มีสติทุกอย่างรู้เรืื่องทุกอย่าง(รวมถึงเรื่องที่อาจารย์ตบหน้าผมตั้งแต่บนเขาจนถึงโรงพยาบาล) 


    แต่ยังไงก็อยากขอบคุณและก็ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายกัน แอบรู้สึกผิดเหมือนกัน ยังจำหน้าพี่ๆ เพื่อนๆ อาจารย์ทุกคนที่เคยช่วยเอาไว้ได้ตลอดครับ หลังจากนั้นวิชาลูกเสือก็ไม่ผ่านนะ ต้องมาแก้อีกทีนึงตอนอยู่ ม.3 ครับ 55555 ก็จบมัธยมต้นไปแบบ ทุรนทุราย ทุลักทุเล รันทดและแสนเข็น 


    หลังจากนั้นผมก็เริ่มทำความเข้าใจตัวเองใหม่ กลับไปคิดทบทวนตัวเองว่า เราร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงน๊า เราต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้ ถึงมันจะดูเป็นเรื่องที่เราคิดว่าเราโชคร้ายที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ แต่เรื่องที่โชคดีก็คือ เวลาที่เราอ่อนแอหรือเราไม่โอเค เรามีคนที่อยู่ข้างๆเราตลอดเลย ถ้าในอนาคตเราได้มีโอกาสดูแลใคร เราก็คงทำมันให้ดีที่สุดเพราะเรารู้ว่าเวลาที่มีคนอยู่ข้างๆนั้นมันดีมากแค่ไหน …………



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in