เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Vantage PointTeepagorn W.
On Online Disinhibition Effect
  • เมื่อไม่นานมานี้ มีรุ่นพี่คนหนึ่งบอกว่า 'พวกที่มีเรื่องๆ กับพี่ในเนตนะ เจอตัวจริงก็พูดจาดีด้วยกันแทบทุกคน เรียบร้อย ไม่เห็นจะทะเลาะกันจริงเลย'

    เราดาวน์โหลดเปเปอร์เก่าปี 2004 ชื่อ The Online Disinhibition Effect (ความเป็นอื่นในโลกออนไลน์) ของจอห์น ซูเลอร์​มาอ่านเพื่อเขียนคอลัมน์ นานแล้วแหละครับ แต่เป็นการตั้งข้อสังเกตในปี 2004 ที่ปัจจุบันผ่านมา 12 ปี ก็ยังใช้ได้อยู่ ซึ่งคนที่มาก่อนกาลแบบนี้นี่เก่งเหลือเชื่อเลย

    จอห์น ซูเลอร์ตั้งข้อสังเกตว่าบนโลกออนไลน์เรามักจะประพฤติปฏิบัติต่างไปจากการพบหน้ากันจริงๆ ซึ่งเขาบอกว่ามันเกิดจาก 6 ประการหลัก คือ Dissociative anonymity (การเป็นนิรนาม), Invisibility (การไม่เห็นกัน), Asynchronicity (การเหลื่อมเวลา), Solipsistic Introjection (การคิดตุตะถึงบริบทไปเอง), Dissociative Imagination (การแสดงเป็นอื่น) และ Minimization of Authority (การขาดภาวะควบคุมภายนอก)

    มาดูกันว่าปัจจัยแต่ละข้อมีการเขยื้อนไปจาก 12 ปีก่อนอย่างไร

    - Dissociative Anonymity เราเป็นอื่นบนโลกออนไลน์เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่าอีกคนหนึ่งเป็นใคร เราอาจเห็น username และ email address แต่ว่ามันก็ไม่ค่อยบอกถึงตัวตนความเป็นเขานัก ทำให้ตัวตนจริงไม่ต้องแบกรับภาระของสิ่งที่ตัวตนอื่นบนโลกออนไลน์ทำ, คิดว่าข้อนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหน่อยตรงที่ว่าในโลกเฟซบุ๊กปัจจุบัน เราค่อนข้างเห็นว่าใครเป็นใคร (เมื่อก่อนเราจะมี Handle หรือมี Username ที่ค่อนข้างฉีกไปจากชื่อจริงๆ ปัจจุบันไม่ค่อยเห็นแล้ว หรือมีเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่า - เท่าที่สังเกต) แต่ถ้าพูดถึงการเชื่อมกันระหว่างตัวตนออนไลน์กับตัวตนจริงที่ไม่ทับทาบกันสนิท ก็ยังเป็นอยู่

    - Invisibility คนไม่เห็นหน้ากัน จึงทำให้เปรียบเสมือนว่ามีผ้าคลุมล่องหนที่ทำอะไรต่อกันได้ สื่อสารกันด้วยตัวหนังสือ, คิดว่ามีลดลง เพราะปัจจุบันโลกออนไลน์น่าจะเคลื่อนไปทางการสื่อสารกันด้วยวิดีโหรือภาพยิ่งขึ้น

    - Asynchronicity การเหลื่อมของเวลา ที่พิมพ์ทิ้งไว้ แล้วคนอื่นมาตอบในจังหวะเวลาที่เราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นแล้ว หรือข้อความของเราไปแสดงให้คนอื่นเห็นในจังหวะที่เขารู้สึกอีกแบบ การเหลื่อมหรือเคลื่อนกันนิดหน่อยนี้ทำให้มีปฏิกิริยาต่อกันแตกต่างกันไป, คิดว่าปัจจุบันก็ยังมีปัญหานี้อยู่ แต่เมื่อโลกเคลื่อนไปทางด้าน Live ก็จะลดลง

    - Solipsistic Introjection เราจินตนาการถึงเสียงของผู้พูดอีกฝั่ง ถึงอารมณ์ไปเอง ด้วยบริบทที่เรามโนขึ้นเองในหัว, ยังเป็นอยู่ โดยเฉพาะวัฒนธรรมออนไลน์ที่มีการอัพสเตตัสแซะมากขึ้น หรือทวีตแซะมากขึ้น ยิ่งทำให้เป็นกันมากขึ้น

    - Dissociative Imagination เราคิดว่าตัวตนออนไลน์ที่เราสร้างขึ้นหรือเราเป็นบนนั้น ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ (คล้ายกับเกมออนไลน์) อันนี้คิดว่าเป็นกันน้อยลง

    - Minimization of Status and Authority มารยาทหรือการควบคุมบนโลกออนไลน์ไม่เท่าโลกจริง เช่นคิวทางวัฒนธรรมบางอย่างเมื่อเจอหน้ากัน (เช่น เราจะไม่พูดตรงๆ หรือวิจารณ์บางเรื่องตรงๆ ต่อหน้า เพราะกลัวมาตรการลงโทษทางสังคมหรือทางกฎหมาย) ยังมีอยู่

    คิดว่าจากทั้ง 6 ปัจจัย โลกออนไลน์ในปี 2016 กับปี 2004 เมื่อเทียบกันแล้ว ปัจจุบันเรามีความเป็นอื่นบนโลกออนไลน์น้อยลง คนคิดอย่าง Dualism (แยกตัวตนออกเป็นสอง) กันน้อยลง คิดว่าตัวตนบนโลกออนไลน์ก็คือตัวตนจริงๆ กันมากขึ้น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันยิ่งขึ้น ซึ่งการคิดแบบนี้ก็มีทั้งข้อดี (เช่นทำให้มีความรับผิดชอบมากขึ้นว่าพูดอะไรซี้ซั้วไม่ได้ เพราะอาจซวยในภายหลัง) และข้อเสีย (เช่น การสร้างสถานะบางอย่างบนโลกออนไลน์แล้วคิดว่าตัวเองเป็นเช่นนั้นจริงๆ)  
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in