เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Vantage PointTeepagorn W.
On Second Try
  • ปีที่แล้วเป็นปีแห่งการวิ่งของเรา

    เราวิ่งอย่างสม่ำเสมอ และวิ่งได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จากคนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน ก็กลายเป็นคนที่ออกกำลังกายถี่จนคนรอบข้างทัก เราไปยิมมากกว่าสองร้อยครั้ง นับเป็นประมาณ 60-70% ของทั้งปี จากคนที่เคยวิ่งหนึ่งกิโลเหนื่อย กลายเป็นสามกิโล ห้ากิโล เริ่มลงวิ่งมินิมาราธอนสิบกิโล และก็วิ่งได้มากที่สุดประมาณสิบแปดกิโลติดต่อกันโดยไม่พัก จากคนที่นิยามตัวเองว่าเป็น "คนไม่ออกกำลังกาย" ก็เปลี่ยนนิยามตัวเองได้ใหม่กลายเป็น "คนฟิตๆ" จนฮึกเหิมลงสมัครวิ่งฮาล์ฟมาราธอนตอนปลายปี

    แต่ทุกอย่างก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อเราเดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลาหนึ่งเดือน เมื่อกลับมา นิสัยดีทุกอย่างที่เคยสร้างไว้ก็พังพินาศ เพราะความเคยชินเก่าได้ถูกลบล้างไปเรียบร้อยแล้ว เราพยายามกลับไปยิม กลับไปวิ่งอีกครั้ง ก็พบว่าต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่า เหมือนกราฟมันชันขึ้น ลู่ขึ้น จนไม่สามารถฝ่าไปได้ ด้วยความยากที่เพิ่มขึ้นนี้ บวกกับภารกิจต่างๆ ที่มาก (เพราะคั่งค้างไว้ตอนไปเที่ยว) ก็ทำให้หลักไมล์ในการวิ่งลดลง ลดลง จนกลายเป็นไม่วิ่งในที่สุด สุขภาพที่เคยสร้างไว้แข็งแรงก็เริ่มหย่อน เริ่มคลาย กลายเป็นคนเหนื่อยง่ายแทบจะเหมือนเดิม

    พักนี้เราเริ่มกลับมาวิ่งอีกครั้ง จะทำมันอย่างช้าๆ ไม่หักโหม จะได้ยั่งยืน

    เรารู้สึกว่าการเริ่มอะไรใหม่ๆ เป็นครั้งที่สอง เมื่อเทียบกับครั้งแรก นั้นมีความยากอย่างมีนัยยะสำคัญ การทำอะไรเป็นครั้งแรกนั้นเรามักทำด้วยความไร้เดียงสา ด้วยความกล้าอันบริสุทธิ์ ด้วยความลองผิดลองถูก นั่นทำให้เราสามารถสำรวจเส้นทางใหม่ๆ ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดเท่าใดนัก เราไม่รีบร้อน ไม่เร่งร้อน เพราะเราไม่มีอะไรมาค้ำคอ มาผูกมัดหรือคาดหวัง เราเป็นเพียงคนคนหนึ่งที่ไม่เคยทำอะไรมาก่อน ดังนั้น เราใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ได้ เพื่อให้เรากลายเป็นคนที่ "ทำอะไร"

    ความพยายามครั้งที่สองนั้น แม้มากับประสบการณ์ที่มากขึ้น ที่สั่งสมมาจากครั้งแรก แต่มันก็มาพร้อมกับบาดแผลเก่าๆ ที่ทำให้เราไม่กล้าเดินเข้าไปในทางเดิมด้วย

    ใช่ - บางคนอาจจะบอกว่านี่คือการเรียนรู้ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าบาดแผลเดิมนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความบังเอิญ การที่เราเคยล้มในทางนั้นไม่ได้แปลว่าเราจะล้มอีกครั้งเสมอไป เราอาจก้าวเดินไปทางเดิมด้วยความมั่นใจใหม่ๆ ด้วยความรู้ที่มากขึ้นก็ได้ แต่ประวัติศาสตร์ก็มักจะทำให้เรากลัว

    ความพยายามครั้งที่สองยังมาพร้อมกับความร้อนใจ - เราเคยชินกับความสำเร็จของครั้งแรก จนเราคิดว่าเราสามารถผลิตมันได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก นั่นเป็นความคิดที่ผิด เวลาของโลกนี้เคลื่อนไปข้างหน้า ตัวแปรต่างๆ เปลี่ยนไปแล้ว ความสำเร็จในอดีตไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกความสำเร็จในอนาคต มันเป็นเพียงใบบอกค่าประสบการณ์เท่านั้น แต่เราก็มักละเลยความจริงข้อนี้ ใจร้อน เร่งให้เกิดความสำเร็จขึ้นอีกครั้งโดยไม่ระมัดระวัง

    ความสำเร็จจากครั้งแรกยังทำให้เราชะล่าใจด้วย เรามักจะจำอะไรเป็นจุดหนึ่งในกาลเวลา ไม่ได้จำมันเป็นเส้นทางยาว ดังนั้นเราจึงจำเพียงว่า เราเคยยืนอยู่ในจุดนั้น เปรียบเทียบกับในปัจจุบัน เราต้องสามารถกลับไปยืนจุดเดิมได้อีกครั้งสิน่า - นั่นเป็นความคิดที่ไม่ถูกเสียทีเดียว

    ความสำเร็จหนึ่งครั้งไม่ได้แปลว่าเราจะสำเร็จซ้ำอีกครั้ง หากเรามองมันเป็นของตาย

    ทางที่ดี เราคิดว่า เราอาจจะต้องมองความพยายามครั้งที่สองนี้เป็น "ความพยายามครั้งแรก หลังจากความพยายามครั้งที่แล้ว"

    มองแบบนี้แล้วก็หนทางก็ถูกปูด้วยความเป็นไปได้มากขึ้น 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in