เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Global Volunteer: ประสบการณ์เปลี่ยนชีวีตAiesec Chulalongkorn
บทที่ 2: สโลวาเกีย
  • สโลวาเกีย ไม่ใช่ประเทศทางยุโรปตะวันออก’’                                                            

    พัฒน์ สินอนันต์พัฒน์ และชาวสโลวาเกียทุกๆคน


    การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความคาดหวัง หากคุณเปรียบความคาดหวังเหมือนกับการเล่นพนัน เมื่อคุณพนันมาก เวลาที่คุณชนะพนัน คุณก็จะได้มาก แต่เวลาที่คุณแพ้พนัน คุณก็จะเสียไปมากเช่นกัน ในทางกลับกัน ถ้าคุณพนันเพียงเล็กน้อย ถ้าคุณชนะคุณจะได้น้อย และถ้าคุณเเพ้ คุณก็จะเสียไปเพียงเล็กน้อยเช่นกัน 


    แต่น่าเสียดายที่ผมไปสโลวาเกียพร้อมกับทัศนคติของคนที่ติดพนันมากจนเเทบจะขายไตไปเล่นพนัน

     


    ผมขอถามคุณหน่อย ถ้าคุณกำลังจะไปสโลวาเกีย สิ่งที่คุณจะคาดหวังคืออะไร? ผมเชื่ออย่างโง่เขลาอย่างยิ่งเลยว่ากว่าร้อยละ 50 ของคนทั่วไปจะมีความดิ้นรนเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนี้ถ้าให้ผมเดานะมากกว่า 48 เปอร์เซ็นต์มักจะพูดเกี่ยวกับ 4 สถานที่เหล่านี้ ได้แก่ ประเทศทางยุโรปตะวันออก, สโลเวเนีย, สาธารณรัฐเช็ก และสโลวาเกีย รวมไปถึงสหภาพโซเวียต หรือนอกเหนือจากสถานที่ที่กล่าวมาทั้งหมด

    และอย่างที่คุณคิด ผมตกอยู่ในกลุ่มคน 48 เปอร์เซ็นต์นี้ เป็นผลให้ผมสมัครไปโครงการของประเทศสโลวาเกียไปด้วยความคาดหวังอย่างเต็มที่ว่าจะได้พบกับ การดื่มด่ำวอดก้า สูบบุหรี่อย่างไม่หยุดหย่อน รวมไปถึง การพบเจอกับชาวสลาฟ

     



    สิ่งที่น่าตลกก็คือ ในช่วงแรกชาวสโลวาเกีย ดูเหมือนจะปฏิบัติตนอย่างเป็นไปตามที่ผมหวังไว้ทุกอย่าง ในวันแรกๆที่ผมไปถึง ผมอาศัยอยู่ในเมืองที่ชื่อว่า Nitra และหลังจากนั้นเพื่อนผมที่ชื่อ Michaela ก็พาผมไปเที่ยวชมกับสถานที่รอบๆนั้น และชวนผมไปที่บาร์  


    ในการไปครั้งนั้นผมคาดหวังว่าจะได้เปิดหูเปิดตากับสิ่งใหม่ๆในสถานที่ใหม่ๆ แต่พอผมไป คืนนั้นกลับกลายเป็นคืนที่เหมือนกับความฝัน และเป็นประสบการณ์สุดแปลกที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อน  ถ้าจะให้เล่าคร่าวๆก็คือ ทุกๆคนในบาร์สงสัยที่เห็นชาวเอเชียสองคนนั่งดื่มในบาร์ท้องถิ่นของพวกเขา และตัดสินใจมาร่วมโต๊ะกับพวกเรา 


    หลังจากที่พวกเราพูดคุยกันเล็กน้อย และดื่มเบียร์ท้องถิ่นไปจำนวนไม่น้อย 

    ผู้ชายคนหนึ่งก็พูดกับผมว่า


    “พวกเราต้องการที่จะต้อนรับคุณในการที่คุณมาประเทศของเรา แต่พวกเราอยากจะเตือนคุณเอาไว้อย่าง ตามที่ได้มีการจัดอันดับมา สโลวาเกียเป็นประเทศที่มีคนที่เหยียดมากที่สุดในยุโรป” 


    โดยคำพูดประโยคนั้น ทำให้ผมคิดมาก เปรียบเหมือนกับ โรคระบาดที่ผมถูกคุกคามตั้งแต่สัปดาห์แรกในการมาอาศัยอยู่ในประเทศนี้




    หลังจากหลายสัปดาห์ผ่านไป ผมคิดว่าสิ่งต่างๆเริ่มจะเปลี่ยนแปลง ผมเผชิญกับเรื่องราวมากมายในช่วงเวลาเหล่านั้น เช่น การที่เป็นคนเอเชียคนเดียวในเมือง ผู้คนดูเหมือนว่าจะปฏิบัติต่อผมแตกต่างไปเล็กน้อย จากการจ้องมองจนถึงมองด้วยสายตา ก่อนที่พวกเขาจะเข้าหาผมและเริ่มที่จะพูดภาษาจีนใส่ ก็นะ ตอนแรกผมก็รู้สึกอึดอัดนะ แต่แล้วผมก็หยุดคิดดูแล้วพบว่าบางทีพวกเขาอาจจะแค่สงสัย หรืออยากเรียนรู้ในสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยก็ได้ หรือบางครั้งผมก็ใช้ความคาดหวังมาครอบงำการรับรู้และความคิดของผมมากเกินไป ทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนใจแคบคนนึง



     “บางครั้งผมก็ใช้ความคาดหวังมาครอบงำการรับรู้และความคิดมากเกินไป”



    คนประเทศนี้ทุกๆคนที่ได้พูดคุยกับผมจะถามผมถึงประเทศเกี่ยวกับประเทศของเราเสมอ บางครั้งพวกเขาก็เข้าใจอะไรผิดไปเยอะเหมือนกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็น พวกเขามักจะถามผมว่า จริงๆแล้วประเทศของเราเป็นอย่างไร ถ้ามองข้ามเรื่อง stereotypes ไป หลังจากนั้นพวกเขาก็พยายามอย่างมากในการบอกเคล็ดลับเกี่ยวกับประเทศของเขา ไม่ว่าจะเป็นเมืองไหนที่สวย สถานที่ไหนสวย จะไปสถานที่เหล่านั้นอย่างไร และไม่ต้องพูดถึงเวลาที่ฉันไปเที่ยวบาร์เพราะพวกเขาจะเขามาทักทายและพาผมไปที่โต๊ะอยู่เสมอๆ 


    หลังจากที่ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆที่กล่าวมาด้านบนแล้ว มันทำให้ผมเริ่มจะรู้จัก Slovakia มากขึ้น และถ้าผมจะต้องกลับไปที่นั่นอีกครั้ง ผมก็หวังว่าจะได้เจอบุคคลที่เป็นมิตรที่สุดและจริงใจที่สุดแบบคนเหล่านี้อีกครั้ง


    โปรเจคที่ผมทำอยู่นั้นเรียกว่า “greenway” โดยจุดมุ่งหมายเกี่ยวกับโปรเจคนี้เพื่อที่จะสร้างความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมทั่วโลก ตั้งแต่ปัญหาโลกร้อน ไปจนถึงการรุกรานสัตว์ ให้กับเด็กๆ ตอนที่ผมเห็นคำว่าเด็กๆครั้งแรก ผมคาดหวัง (อีกแล้ว) ว่าคำว่าเด็กๆนั้นจะเป็นเด็กอายุประมาณ 12-17 ปีที่เข้าใจภาษาอังกฤษบางส่วน แต่แล้วก็ไม่ได้เป็นไปดังที่หวัง เพราะคำว่าเด็กๆในที่นี้นั้นดูเหมือนจะหมายถึงเด็กอายุ 6-12


    ปัญหาจริงๆก็คือ บางส่วนของเด็กกลุ่มนี้ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เด็กๆฟัง presentation ที่ผมและเพื่อนๆของผมเตรียมมา มันเหมือนกับการฟังเสียงสวดมนต์สำหรับพวกเขา

     

    อย่างที่คุณคิดแหละ เด็กๆฟังผมได้ไม่นาน ก่อนที่พวกเขาจะวิ่งเล่นกันอย่างบ้าคลั่ง


    จุดๆนั้นเอง ทำให้ผมตระหนักคิดได้ว่าการใช้วิธี presentation ไม่น่าที่จะได้ผล สิ่งๆเดียวที่จะทำให้เด็กกลุ่มนี้สนุกได้คือการเล่นเกมกับพวกเขา โดยทั่วไปแล้ว พวกเรามีตัวเลือกสองตัวเลือกคือ ทำให้เด็กมีความสุขแต่การเลือกทางนี้จะทำให้เด็กไม่ทันโลก หรือ เป็นเด็กที่ไม่ค่อยมีความสุข แต่การเลือกทางนี้ก็ไม่ได้ทำให้เด็กทันโลกอยู่ดี อย่างเห็นได้ชัด ผมและเพื่อนจึงเลือกที่จะเล่นกับเด็กๆ แต่พวกเราก็ยังทำตามเป้าหมายของโครงการอยู่ โดยการแทรกความรู้บางส่วนลงไปในเกมเพื่อที่ว่า เราจะได้ไม่รู้เหมือนว่าเราเป็นแค่พี่เลี้ยงเด็ก

    เรื่องที่น่าตลกก็คือ พวกเรามีความสุขกันมาก เพราะเวลาที่เล่นกับพวกเด็กๆ ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตวัยเด็กอีกครั้ง และเวลาที่เห็นเด็กๆยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขเวลาที่พวกเขาสนุก มันทำให้เรารู้สึกดีไปทั้งวันเลย ในท้ายที่สุดแล้ว ผมก็รู้สึกว่าผมประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เพราะอย่างน้อยเราก็เห็นว่าเด็กๆเปิดใจกับวัฒนธรรมอื่นๆที่ไม่ใช่ของพวกเขา และตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวพวกเขา เพราะฉะนั้นแล้ว การบอกลากับทุกคนจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก



    ผมได้เรียนรู้ว่าการคาดหวังมากเกินไปมันจะไปจำกัดหลายๆสิ่ง แต่ถ้าเราเปิดใจและให้ความจริงของสิ่งต่างๆรอบตัวเราเป็นตัวกำหนดความคาดหวังใหม่ๆนั้น คุณจะมีความสุขและสนุกกับสิ่งที่คุณกำลังประสบอยู่มากขึ้น

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in