เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
สูญสิ้นทิวา เสน่หาอนธกาลdiabolicjade
[2] อิงฮวากลางนภากระจ่าง





  • "นี่... พวกเจ้าว่าช่วงนี้ศิษย์พี่เจียงสนิทสนมกับเจ้าคนสกุลเวินหน้าบอกบุญไม่รับคนนั้นเกินไปหรือไม่"


    "ชู่วววววว... เบาหน่อย นั่นน่ะคุณชายใหญ่ของตระกูลเวินอันเหี้ยมโหดเชียวนะ พูดอะไรไม่ระวัง ปากอย่างเจ้าน่ะมีกี่ชีวิตจะพอ!"


    "โธ่เอ๊ย! ก็ศิษย์พี่สุภาพออกปานนั้น นุ่มนวลก็ออกปานนั้น เกรงว่าจะมิทันเล่ห์ ถูกเจ้านั่นล่อลวงเอาน่ะสิ ข้าทนไม่ได้!"


    "ศิษย์พี่เจียงคงไม่อ่อนแอถึงเพียงนั้น..."


    "หึ! เจ้าอย่าเถียง! หากเวินรั่วหานผู้นี้รังแกศิษย์พี่เจียงแม้ประมุขเวินมาเองข้าก็จะไม่ไว้หน้า!"


    "ข้าด้วย!"


    "พวกเจ้านี่น้า--" พูดมิทันขาดคำ สายตาคู่เดียวที่หันใบหน้าไปอีกทางกลับเหลือบไปเห็นชายแขนเสื้อสีขาวย้อมสีแดงเจิดจ้าดุจดวงตะวัน... ขณะที่หูทุกคู่ได้ยินเสียงเยียบเย็นเสียงหนึ่งพร้อมกัน


    "ต่ำชั้นอย่างพวกเจ้า... คงมิต้องแปดเปื้อนถึงท่านบิดา..."


    สิ้นเสียงเรียบเฉยแต่ทรงอานุภาพยิ่งกระแสนั้น... คิมหันต์อันอบอุ่นกลับให้สัมผัสหนาวยะเยือก


    ลมแรงพัดหวีดหวิว…


    หากแต่การเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งกลับชะงักนิ่งดุจไร้เรี่ยวแรงสิ้นพละกำลัง สรรพเสียงเงียบงันดุจสิ้นวิญาณไร้ลมหายใจ 


    ศิษย์จากสำนักน้อยใหญ่ที่ล้อมวงกัน “พาดพิง” ถึงบุรุษระบือนามจากฉีซานต่างปิดปากเงียบกริบ ดวงตาหลายคู่สบกันเลิ่กลั่กก่อนสัญชาติญาณบางอย่างกระตุ้นเตือนให้ค่อยๆ เอี้ยวตัวกลับ มองหาต้นเสียงซึ่งแม้ใครเคยได้ยินเพียงครั้งย่อมไม่มีทางหลงลืม


    "เวินรั่วหาน!!!!"


    "อย่าเข้ามานะ!"


    วงล้อมแตกฮือเยี่ยงวิหคตระหนกเกาทัณฑ์


    เมื่อได้ยินว่าบุรุษที่ตนเพิ่งกล่าวถึงได้มายืนอยู่ต่อหน้า เหล่าศิษย์ทั้งหลายจึงรีบวิ่งหายไปในทิศตรงกันข้าม เผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิตทั้งที่เวินรั่วหานใช้เพียงสองนิ้วเรียกลูกไฟเล็กๆ ออกมาถือเล่นเท่านั้น...



    .

    .

    .



    แว่วเสียงหัวเราะนุ่มนวลสายหนึ่ง


    เวินรั่วหานมุ่นหัวคิ้ว... ในใจทราบดีว่าเจ้าของเสียงหัวเราะเป็นผู้ใด แต่ใบหน้าเรียบเฉยเป็นนิจกลับฉายความขุ่นเคืองแช่มชัด...


    อันที่จริงแล้ว... ตั้งแต่มาเยือนกูซู... เขาพบว่าตนเองมิอาจปกปิดซุกซ่อนอารมณ์ได้ดีเหมือนดั่งเคย ทุกคราที่อยู่ต่อหน้าบุคคลผู้หนึ่ง แม้แต่น้ำเสียงเย็นเยียบที่มักกังวานใสก็มักเอ่ยออกมาอย่างขัดข้องฟังคล้ายขุ่นเคืองอยู่หลายส่วน ดังเช่นคราวนี้... "มีเรื่องใดน่าขัน?"


    เสียงหัวเราะน่าฟังยังคงดังแผ่วๆ คล้ายคนผู้นี้เพียงโต้ตอบบทสนาด้วยรอยยิ้ม


    ลมคิมหันต์พัดพาอาภรณ์สีขาวแซมกลีบบัวปลิวไสว ผมสีหมึกรัดไว้ด้วยผ้าสีม่วงเย็นตาต้องลมสยายพลิ้ว คลอเคลียกรอบหน้า ขับเน้นให้พวงแก้มนวลเนียนยิ่งดูผุดผาดเรื่อเรือง... ผนวกกับรอยยิ้มประดับริมฝีปากชุ่มชื้นที่ส่งประกายนุ่มนวลสะท้อนถึงดวงตาคู่นั้น...


    ดวงตาที่สุกสกาวราวเพชรพลอย แต่กลับทอแสงอ่อนหวานอย่างยิ่ง...


    นัยน์ตาพายุเพลิงจับจ้องพิจารณาอัญมณีสีม่วงอยู่นาน...


    เพ่งพินิจ...


    จับผิดอยู่ในที...


    "คุณชายใหญ่..."


    แต่เมื่อริมฝีปากแต้มยิ้มนั้นขยับเคลื่อนไหว เรียกขานตัวเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มเย็น... ดอกอิงฮวาปริศนากลับเบ่งบานในใจของเวินรั่วหาน ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลจนหน้ามืดตาลาย... เมื่อครู่ขบคิดสิ่งใดอยู่ก็มิอาจรู้ได้แล้ว


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in