เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
อ่านเล่นข้างเตาผิงmissxbar
พรุ่งนี้จะกินอะไรดี

  • เธอกำลังเดินอยู่บนทางเดินคดเคี้ยว สองข้างทางมืดมิด สภาพแวดล้อมไม่คุ้นเคย ที่นี่ที่ไหนกันนะ เธอคิดในใจขณะก้าวขาไปข้างหน้า ก่อนจะพบว่าก้าวขาอย่างลำบากมากขึ้น เพราะมีของเหลวใส แต่ทว่าเหนียวหนืด กำลังเอ่อท่วมทางเดินแคบๆนั้น เธอมองเห็นว่า มันมีส่วนที่เป็นสีส้มเหลืองแยกออกเป็นเกาะ เมื่อเหยียบเท้าไปโดนก็แตกออก ไหลรวมกับของเหลวใสที่อยู่โดยรอบ “อี๋ นี่มันไข่ นี่นา”


    “พริม”

    เธอหันไปตามเสียงเรียก ก็โล่งใจเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย สิริในชุทสูทผ้าทวีท สวมรองเท้าส้นสูงสีดำค่อยๆก้าวย่องแย่งลุยไข่ขาวที่ตอนนี้เปรอะไปด้วยสีส้มเหลืองของไข่แดงที่แตก
    “ตื่นได้แล้ว วันนี้ต้องรีบออกจากบ้านนะ ที่ร้านมีแขกพิเศษไง” ก่อนที่เธอจะทำความเข้าใจกับสิ่งที่สิริพูด ทุกอย่างรอบตัวก็เป็นสีขาวสว่างจ้าโดยพลันเมื่อสิริเอื้อมมือมาคว้าแขนเธอ

    พริมสะดุ้งตื่นขึ้น ถอด..หูฟังสีฟ้า ออกด้วยความง่วงงุน ก่อนจะกดปิดชุดค่ำสั่งการปลุก
    “ยกเลิกคำสั่งดีพ อะลาร์ม กำลังเชื่อมต่อข้อมูล” เสียงของสิริดังขึ้น คราวนี้จากสมาร์ทโฟนข้างเตียง
    “เฮ้ย วันนี้ต้องรีบไปร้านนี่นา” เธอเด้งตัวออกจากเตียงทันที
    เธอไม่อยากไปทำงานสายแน่ เพราะเจ้าของร้านสุดเฮี้ยบจะต้องบ่นจนหูชาไปทั้งวัน
    “ยัยไข่ระเบิด บ้านไม่มีนาฬิกาหรือไงฮึ” เธอนึกภาพเสียงเชฟป้องลอยมาชัดเจน “ก็เผลอทำไข่แตกแค่ครั้งเดียว ล้ออยู่ได้ ดูซิเนี่ย เก็บไปฝันเลย” พริมพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเตรียมเสื้อผ้าแล้วรีบเข้าไปอาบน้ำ

    นับเป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้ว ที่พริม ย้ายกลับมาอยู่บ้าน และเริ่มงานกับร้านสวนครัว ร้านอาหารเล็กๆในตัวจังหวัด
    “คิดดีแล้วหรอลูก กลับมาอยู่บ้านแบบนี้ แทนที่จะได้ทำงานดีๆในเมือง” แม่เอ่ยขึ้นเมื่อรู้ว่าเธอตัดสินใจลาออก
    “ตอนเรียนเห็นว่าอยู่ทีมวิจัย ทำไข่สังเคราะห์ อะไรนั่นไม่ใช่หรอ ทำไมพวกบริษัทอาหารถึงไม่รับแกไปทำงานนะ” พี่ชายพูด
    “พริมเลือกเอง พริมอยากกลับมาอยู่บ้านเรา พี่เองเป็นนักบิน อยู่บ้านซะที่ไหนเล่า แม่ก็สุขภาพแย่ลงทุกวัน”
    “ทำงานร้านอาหาร จะโดนปิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่มั่นคงเลยลูก อยู่โรงงานอาหารดีๆไม่ชอบ” แม่กังวล
    “พริมอยู่ทำงานที่นี่ ตอนกลางวันได้อยู่ดูแลแม่ไง ตอนเย็นค่อยเข้าร้าน ร้านเค้าขายเฉพาะมื้อเย็นจ้ะแม่” พริมตัดบท แต่ในใจคิดสับสน จริงอยู่ที่เธอมีใบปริญญาวิทยาศาสตร์อาหาร เอกโปรตีนสังเคราะห์ แถมยังเคยไปฝึกงานในโรงงานของบริษัทวิจัยอาหารชื่อดัง ดูเหมือนว่าอาชีพการงานของเธอน่าจะไปได้ไกล แต่ในใจเธอเหมือนยังติดค้างอะไรสักอย่าง เธอคิดว่า เธออยากจะเรียนรู้รากเหง้าของอาหารจริงๆ และจะมีอะไรดีไปกว่าการได้มาทำงานในร้านอาหารที่มีคนทำอาหารเป็นจานๆ ไม่ใช่ในโรงงานที่มีแต่การประกอบอาหารในระดับอุตสาหกรรม เธออยากเรียนรู้ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบที่นำมารังสรรค์เมนูต่างๆ แถมร้านสวนครัวยังพิเศษตรงที่ปลูกพืชผักเองทั้งหมดด้วย รู้ตัวอีกทีพริมก็รู้สึกสนุกกับการทำงานที่นี่ ถึงตอนนี้เธอก็ยังตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ออกไปหลังร้าน เก็บไข่ไก่สดๆมาสำหรับทำอาหาร ยังคงชอบเสียงหั่นผัก ภาพเปลวไฟแลบเลียกระทะเวลาเชฟทำเมนูผัด และกลิ่นหอมฟุ้งของอาหารที่ทำเสร็จใหม่ๆ

    รถบรรทุกสีขาวมาจอดหน้าบ้านตามเวลา

    “สวัสดีจ้า ลุงศักดิ์ ลุงสิทธิ์” พริม เปิดประตูรีบเดินออกมาที่รั้ว
    “อาหารมาแล้วจ้า บ้านที่ 48 ผู้ใหญ่ 2 คนป่วย 1” ชายสูงวัยสวมชุดเครื่องแบบสีขาวขลิบสีเขียว เดินลงจากรถ ในมือถือกล่องกระดาษ
    ลุงสิทธิ์พยักหน้าให้ ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาตรวจสอบยอดของเหลือและภาชนะในถังแยกขยะรีไซเคิลหน้าบ้าน
    “แหม จำได้แม่นเลยนะลุง” พริมทัก พลางรับอาหาร
    “ไอ้จำคนน่ะมันจำได้ ส่งกันทุกวัน แต่เมนูอาหารนี่หมดปัญญา เดือนหน้ามีโปรโมชั่นใหม่ ได้งงกันอีก” ลุงศักดิ์ตอบ
    “ก็ใครจะไปนึกล่ะว่าพรบ.ไขมันจะผ่านสภาเร็วขนาดนั้น นี่ยังไม่ถึงเดือนหลังอนุมัติพรบ.คุมน้ำตาลเลยนะ เส้นใหญ่จริงๆเลย เจ้านายบริษัทลุงเนี่ย”
    “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร”
    “เฮ้ย โม้ยาวเลยนะเอ็ง ไปได้แล้ว เหลือโรงอาหาร กับออฟฟิศอีก 2 แห่ง ให้ไว” ลุงสิทธิ์ตะโกนมาแว่วๆ
    “งั้นวันนี้ ไปก่อนละจ้ะ” ลุงทั้งสองโบกมือลา ก่อนที่รถจะแล่นออกไป

    พริมเดินเข้าบ้าน จัดการวางกล่องอาหารลง “อาหารมาแล้วนะ”
    ได้ยินเสียงรถเข็นแม่เลื่อนมาตามทางเดิน เธอจัดแจงเปิดกล่องอาหารของแม่ และเตรียมหลอดให้อาหารทางสายยาง
    “บัญชีของบ้านเราแจ้งเตือนเรื่องลงทะเบียนอาหารตามสั่งแล้วนะ เดือนหน้า”
    “ชั้นว่า เดือนหน้าอยากจะลองน่องไก่สังเคราะห์อันที่ออกใหม่ เห็นบอกว่าไขมันแค่ 1% แถมมาพร้อมกระดูกเหมือนจริงด้วยนะ มีให้เลือกแบบต้ม แบบตุ๋น แบบย่าง เฮ้ย น่ากินอ่ะ”
    “นั่นมันของ ชลาทิศฟู้ด นี่พี่ เราจ่ายไม่ไหวหรอกนะ”
    “ก็ชั้นเบื่อไอ้โปรตีนราสังเคราะห์นี้แล้วนี่”
    “ไมโครโปรตีน ต่างหาก พูดซะไม่น่ากินเลย” พริมแย้ง “ราคาประหยัด แถมมีประโยชน์ครบถ้วน แค่รสชาติอาจจะไม่เท่าพวกเนื้อสังเคราะห์ก็แค่นั้นเอง”
    “จ้า แม่สาวบัณฑิตวิทยาศาสตร์การอาหารไฟแรง” เขาล้อ “ปากว่า ตาขยิบจริงๆเลย เรียนสูงจบมาดันมาทำงานในร้านอาหารซะนี่”
    “ชั้นก็ไม่ได้กินอาหารจริงๆพวกนั้นสักหน่อย พี่ก็รู้นี่” เธอตอบ “ต่อให้ได้รับข้อเสนอกินอาหารฟรีจากร้านทั้งปี ก็ไม่คุ้มกับที่ต้องเสียสิทธิ์ประกันสุขภาพหรอกนะ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาน่ะ”
    “แม่ว่าไม่ต้องเปลี่ยนร้านหรอก ของครัวยิ่งศักดิ์ก็อร่อยออกนะลูก แม่ชอบ” แม่พูดขึ้นหลังอาหารเหลวในท่อให้อาหารหมด
    “โธ่แม่ ไม่ต้องมาล้อพวกฉันเลยนะ” พี่ชายแหย่

    อาหารเหลวสำหรับให้ทางสายยางหน้าท้องของแม่ เธอและพี่ชายเลือกลงทะเบียนซื้อแพ็คเกจที่มีสารครบถ้วนที่สุด ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ แต่อาหารของลูกๆทั้งสองเองนั้น ก็สลับกันไปในแต่ละเดือน ส่วนมากจะเป็นแบบราคาประหยัด
    พริมรีบจัดการกินอาหารในจาน ก่อนที่จะเป็นคนแยกเศษอาหารและภาชนะของทุกคน รวบรวมไปใส่ตู้รีไซเคิลสำหรับตรวจสอบการบริโภคที่ตั้งอยู่หน้าบ้าน
    “ไปก่อนนะพี่ ไปแล้วนะจ๊ะแม่ วันนี้ออกเช้าหน่อย มีลูกค้าจองโต๊ะ” พริมบอกลา ก่อนจะหยิบเป้ใบเก่งขึ้นสะพายและออกจากบ้าน

    พริมจอดจักรยานบริเวณหลังร้านติดกับเรือนกระจก เปิดประตูเข้าไปในโกดัง เผยให้เห็นตู้กระจกขนาดใหญ่ สว่างไสวด้วยแสงสีม่วง ภายในเต็มไปด้วยรางเพาะปลูก เรียงกันเป็นแถว ซ้อนกันเป็นชั้นสูงขึ้นไปถึงเจ็ดชั้น ภายในประกอบไปด้วยพืชหลากหลายชนิดเติบโต บ้างก็เป็นผักใบเขียวสด บางส่วนยังเป็นเมล็ดพันธุ์ที่นอนสงบนิ่งอยู่ในดินเทียม วันนี้เธอรีบเนื่องจากเป็นวันเก็บเกี่ยว เชฟป้องยืนยันที่จะใช้ระบบเก็บเกี่ยวด้วยมือ เพื่อให้ได้วัตถุดิบตามที่ต้องการ เธอล็อกอินเข้าหน้าจอ พลางสวมเสื้อคลุมปลอดเชื้อขณะรอดาวน์โหลดข้อมูล

    “อ้่าว มาเช้านะเรา” เสียงเชฟป้องดังขึ้น หน้าจอขึ้นรูปโลโก้ร้าน
    “สวัสดีค่ะเชฟ” พริมเอ่ยทัก พลางกดดูหมายเลขพืชที่ต้องเก็บเกี่ยววันนี้ “ถาด X2Y3 แถว Z1-4”
    เธอเข็นรถที่มีตะกร้าเล็กๆ พลางเหลือบมองแปลงผักทางขวามือ
    “เชฟ สงสัยระบบเรารวนอีกแล้วแน่ๆ ต้นกล้าคะน้ามันขึ้นติดกันเป็นพรืดเลย”
    “คะน้า เป็นพืช เธอไม่เข้าใจตรงไหนมิทราบ” ได้ยินเสียงเชฟตอบจากลำโพงมุมห้อง
    “ทำตลกอีกละ”
    “นี่ ยัยพริม พึมพัม อะไร” เชฟป้องว่า “แปลงปลูกนั้นเธอยังไม่ต้องสนใจ งวดนี้ ชั้นอยากลองวิธีหว่านกระจายดู”
    พริมเหลือบมองและรู้สึกว่าช่างเป็นการกระจายตัวที่ไม่สม่ำเสมอพิลึก
    “เออ นี่ ดูมิเตอร์ความชื้น ให้หน่อยสิ ที่เครื่องชั้นมันเตือนว่าน้ำแห้งอีกแล้ว”
    “อุณหภูมิ 25 ชื้นสัมพัทธ์ 90%”
    “ระดับคาร์บอนดูดซึม ปกติ เอาล่ะ ผักบุ้งของเราจะพร้อมเก็บอาทิตย์หน้าแล้ว” เชฟยังคงไม่หยุดพูด
    “เชฟคะ”
    “ชั้นได้ยินแล้วน่ะ งานนี้ต้องตามเจ้าแทนมาเช็คระบบพัดลมดูดอากาศอีกแล้ว ฮึ พวกวิศวะเครื่องกลนี่นะ ทุกทีเลย” เชฟป้องว่า “มีก็แต่ AI Green Haus ที่เชื่อใจได้เสมอ” เขาพูดถึงระบบที่ดูแลเรือนกระจกนี้

    พริมง่วนอยู่กับการเก็บพริกขี้หนูไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรอีก หากไม่มีระบบที่ว่านี้ ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า ต้องใช้คนทำงานกี่คนในร้านอาหารแห่งนี้ ระบบปฏิบัติการเรือนกระจกทำหน้าที่พื้นฐานตั้งแต่ควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การปรับสูตรปุ๋ย ไปจนถึงเป็นฐานข้อมูลของพืชแต่ละต้น จริงอยู่ที่เชฟป้องสามารถสั่งการทั้งหมดได้จากที่บ้านที่เชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์ของร้านไว้ทั้งหมด แต่เขาเองมักจะชอบมาขลุกอยู่ที่เรือนกระจกนี้เสมอๆ และเรียกสิ่งที่ตัวเองเป็นว่า “โอลด์ สคูล”
    หลังจากจัดการกับพืชสวนครัวเสร็จ พริมเดินไปทางด้านหลัง มุ่งหน้าสู่โรงเรือนเล็กๆ แม่ไก่ส่งเสียงร้องที่พิมคิดเอาเองว่าเป็นเสียงทักทายเธอ
    “เดี๋ยวเก็บไข่แล้ว จะปล่อยพวกเธอไปเดินเล่นในลานนะจ๊ะ” เธอร้องทักทายบรรดาไก่ในเล้า
    หลังจากที่เปลี่ยนเป็นรองเท้าและถุงมือปลอดเชื้อแล้ว เธอกดที่หน้าจอลักษณะเหมือนกับที่เรือนกระจก พริมมักจะไม่รอดูหน้าจอประมวลผล แต่เดินไปที่รางเก็บไข่เลย
    “ไหนดูซิ วันนี้แม่ไก่ออกไข่มาทั้งหมดเท่าไหร่น้า”
    “ก3 ไม่ยอมออกไข่สักที ส่วน ก15 วันนี้ไข่มีรอยแตก กับ ก18-20 เบอร์เล็กเกินไป คัดทิ้งนะ สรุปรวมทั้งหมดก็ 15 ฟอง ” เสียงเชฟป้องอ่านรายงานสรุปฐานข้อมูลดังขึ้น
    “โธ่เอ๊ย เฉลยอีกละ ให้ทายสักวันไม่ได้หรอ”
    “ก็ใครจะไปรู้ ว่าเธอคิดอยากจะมาลุ้นอะไรแบบนี้ หืม ยัยไข่ระเบิด”

    เป็นเรื่องปกติที่เชฟป้องจะต้องรู้ข้อมูลทุกอย่างโดยเฉพาะผลผลิตที่ได้ เพราะเมล็ดพันธุ์ทุกเมล็ด รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงในฟาร์มเล็กๆในสวนหลังร้านของเขา ล้วนแล้วแต่ขึ้นทะเบียนและมีระบบตรวจสอบวัตถุดิบเหลือทิ้งในแต่ละวัน และด้วยกฏหมายตรวจสอบคุณภาพอาหารที่เข้มงวดขึ้นทุกวัน เป็นที่น่าหนักใจว่า ธุรกิจร้านอาหารที่เหลือน้อยลงทุกวันแบบนี้ จะไปรอดหรือไม่
    “ชั้นต้องคงมาตรฐานดีเลิศเอาไว้ หน็อยแน่ะ เดือนที่แล้วเจ้าหน้าที่พวกนั้นมาตรวจแล้วหาว่าโปรตีนในไข่ขาวของร้านเราค่าไม่ถึงมาตรฐาน เฮอะ ก็นั่นมันไข่ล็อตแรกของไก่สาวนี่” เสียงเชฟป้องบ่นแว่วมาตามลำโพง
    พริมนึกขัน ทุกวันนี้คนเราเลือกได้แล้วว่าจะบริโภคไข่เป็นสัดส่วนเท่าไหร่ จะเลือกกินไข่สังเคราะห์ชนิดไข่ขาว หรือชนิดไข่แดง หรือทั้งสองชนิดปนกันเพื่อเลียนแบบไข่ไก่จริงก็ได้ แต่เมื่อได้มาทำงานที่ร้านแห่งนี้ เธอกลับรู้สึกหลงสเน่ห์ไข่ไก่แท้ๆ ให้ความรู้สึกอุ่นในมือ และความรู้สึกลุ้นเหมือนเด็กเปิดกล่องของขวัญเมื่อตอกไข่ออกมา
    “ฟาร์มที่นครปฐมแจ้งมาว่าไม่มีเนื้อหมูให้เราเดือนหน้า หมดล็อตนี้ คงต้องเลื่อนเมนูหมูตุ๋นไปก่อน เอ้อ แต่ข้าวหอมมะลิจะมาส่งพรุ่งนี้นะ 5 กระสอบ ไม่ขาด ไม่เกิน” เสียงเชฟป้องแว่วมาตามสาย

    ในปัจจุบัน ที่การเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ของเกษตกรรายย่อย ก็ทำรายได้ไม่คุ้มการลงทุนกับวัตถุดิบแสนแพง และโรคระบาดที่เปลี่ยนแปลงทุกฤดูกาล ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจึงตกเป็นของกลุ่มทุนผูกขาดซึ่งมีเพียงไม่กี่รายในประเทศ แต่สิ่งเหล่านั้นก็ยังถือว่าเป็นสัดส่วนการลงทุนที่น้อย เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อาหารสังเคราะห์ที่แต่ละบริษัททุ่มเม็ดเงินและกำลังคนวิจัยมากกว่าเป็นไหนๆ ด้วยข้อมูลทางวิชาการระดับโลกทีออกมายืนยันว่าอาหารสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพของมนุษย์ ทำให้ในหลายประเทศมีความพยายามที่จะควบคุมเรื่องการบริโภค เช่น ในประเทศไทยเอง ก็มีการออกกฏหมายให้ผู้ประกอบการอาหาร ต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพว่ามีสารอาหารครบถ้วนตามหลักหรือไม่ และมีมาตรการให้ผู้บริโภคหันมารับประทานอาหารที่ขึ้นทะเบียนถูกต้อง โดยจะให้สิทธิ์ประกันสุขภาพเป็นสิ่งจูงใจ ร้านอาหารรายย่อยจึงเป็นธุรกิจที่กำลังจะสาบสูญ

    “เอาล่ะ เจอกันในครัว อีกครึ่งชั่วโมง” ได้ยินดังนั้นแล้ว พริมก็สลัดความคิดเรื่อยเปื่อยของเธอออกไป และรีบเข็นรถเข็นไปที่ครัว
    พริมกำลังเริ่มล้างผัก เชฟป้องก็เดินเข้ามาในครัวพอดี เขาเป็นชายร่างผอมสูง ใบหน้าเรียบเฉย ออกจะกวนๆอยู่บ่อยครั้ง ดูคล้ายผู้คงแก่เรียนมากกว่าคนทำอาหาร
    “รายชื่อแขกวันนี้ มีคุณไบรอัน ตันด้วยนะ”
    “ใคร”
    “เชฟนี่เชยจริง” พริมว่า “นักวิจารณ์อาหารที่มีผู้ติดตามเยอะมาก กำลังมาแรงเลยล่ะ”
    “เชื่อหรือยังล่ะ ว่า ในที่สุดเทรนด์อาหารจริงกำลังจะกลับมา” เขารู้สึกฮึกเหิม “เอาล่ะ ไปทอดไข่ดาวได้”

    ชายผิวขาว ปอยด้านบนผมสีน้ำเงิน สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายกราฟฟิกเข้าคู่กันกับกางเกงยีนส์สกินนี่สีขาว ยืนโบกไม้โบกมือ เบื้องหน้าของเขาเป็นหญิงร่างสูงโปร่งสวมจั๊มสูทสีเมทัลลิคแวววาวในมือถือกล้องขนาดพกพา
    “สวัสดีแฟนๆรายการตระเวนกินกับตันนะฮะ วันนี้พิเศษอีกแล้ว ไบรอันกับซูซี่มาทำกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นสุดๆ”
    “ใช่แล้ว ตอนนี้เราอยู่กันที่ร้านครัวสวน”หญิงสาวสลับมือที่ใช้จับกล้อง หมุนตัวเองเข้ามาอยู่ในเฟรม
    “ร้านสวนครัว” ไบรอันแก้
    “นั่นแหละค่ะ เราจะมาลองชิมอาหารที่แท้จริงกัน”
    “อาหารจริงๆ ! แต่เอ๊ะนี่ เดี๋ยวนี้ยังมีใครเค้ากินกันอีกหรอฮะ คุณซูซี่” หนุ่มหน้ามนทำเสียงสูงใส่เพื่อนสาว
    “อย่างที่เรารู้กันนะคะว่่า สมัยนี้ทั้งโลกก็หันมากินอาหารสังเคราะห์กันแล้ว เพราะต้องยอมรับในคุณภาพสารอาหารและรสชาติที่แบบว่า อร่อยสั่งได้” ซูซี่จีบปากจีบคอเล่า “แต่ ล่าสุดค่ะ เราได้เบาะแสมาว่าร้านนี้กำลังอินเทรนด์ในหมู่ดารา เซเล็บเลย”
    “คือต้องจองคิวนะคะ รับจำกัดด้วย” ไบรอันว่า
    “เราจะพาทุกคนมาลองประสบการณ์ใหม่ กินอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์จริงๆ พืช ผัก ที่เค้าปลูกเองจริงๆ ต้องบอกเลยนะคะว่า เป็นสุดยอดเชฟจริงๆ”
    “เดี๋ยว ต้องบอกผู้ชมนิดนึงก่อนว่า เชฟคืออะไร”
    “เชฟ ก็หมายถึงคนที่ทำอาหาร เป็นอาชีพที่เด็กๆสมัยนี้อาจจะนึกไม่ออกละ”ซูซี่ตอบ พลางหยิบ ผ้าสีสดใสสองผืน ที่มีเชือกผูกห้อยลงมา “ซูซี่ก็ไปค้นข้อมูลมาเล็กน้อย และเตรียมสิ่งนี้มาให้เราใส่กันด้วยค่ะ”
    ทั้งสองผลัดกันผูกเชือกที่ด้านหลังของแต่ละฝ่าย
    “เรียกว่า ผ้ากันเปื้อน นั่นเอง ซึ่งเชฟในสมัยก่อนเนี่ยก็จะใส่เวลาทำอาหาร”
    “อ่ะ ก็ต้องคอสเพลย์กันนิดนึงนะ เพื่อคุณผู้ชม”ไบรอันพูด “อ้าว แล้วจะกินเมนูอะไรล่ะเนี่ย”
    “อันนี้ก็ต้องบอกเลยนะว่าร้านนี้ เราเดินเข้ามาจะไม่รู้เลยว่ามีเมนูอะไร ต้องแล้วแต่วัตถุดิบที่มีในวันนั้น”
    “งั้นเราไปชมกันเลยดีกว่าค่ะ” ทั้งสองเดินเข้ามาในร้านอย่างเริงร่า

    ในส่วนของร้านอาหารสวนครัวนั้น เชฟป้องเลือกที่จะดัดแปลงจากเรือนกระจกหลังเก่า ทำให้ได้เป็นห้องอาหาร ขนาดไม่กว้างนัก แต่มีเพดานสูงโปร่ง ตรงกลางเป็นโต๊ะไม้สักยาว ขนาบด้วยเก้าอี้ยาวสองฝั่ง ตกแต่งด้วยดอกไม้และเทียนไร้กลิ่น เชฟป้องออกมายืนต้อนรับทุกคน เมื่อแขกของวันนี้ทยอยนั่งจนครบ เขาก็กล่าวทักทาย

    “สวัสดีครับ แขกผู้มีเกียรติของผมทุกท่าน ขอต้อนรับสู่ร้านสวนครัว ผมเชฟป้อง ครับ” ทุกคนปรบมือ
    “ผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้ เชิญทุกท่านให้มาลิ้มลองกับเมนูที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากวัตถุดิบแท้ๆ เนื้อสัตว์จริง ผัก ผลไม้ที่ปลูกเอง เพราะผมเชื่อว่า มนุษย์เราต้องกินอาหารที่มาจากธรรมชาติจริงๆครับ ”
    พริมทยอยยกอาหารไปเสิร์ฟ
    “เมนูวันนี้คือ ข้าวหอมมะลิราดกะเพราหมูสับ ไข่ดาว” เชฟป้องเริ่มแนะนำ “โดยที่ข้าวหอมมะลิเราได้จากเกษตรกรพันธมิตรอินทรีย์กับร้านเรา เช่นเดียวกับเนื้อหมูจากฟาร์มระบบปิด ส่วนเครื่องปรุง พริกขี้หนู กระเทียม ใบกะเพรานั้นเราปลูกเองในเรือนกระจก และที่พิเศษที่สุด ไข่ดาวเราใช้ ไข่ไก่แท้ๆ จากแม่ไก่ที่เราเลี้ยงกึ่งปล่อยครับ”
    อาหารในวันนั้นได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก เชฟป้องอยู่เพื่อตอบคำถามต่างๆจนค่ำ

    “ต้องยอมรับเลยนะคะว่า อาหารของร้านนี้ทำออกมารสชาติดีมาก เหมือนมาก”ไบรอันพูดขึ้น
    “ไม่ใช่สิคุณ ต้องบอกว่าของแท้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ที่ผ่านมาเราคุ้นเคยแต่อาหารสังเคราะห์ ซูซี่คิดว่ามันอร่อยมากๆเลยนะคะ บอกไม่ถูกอ่ะ”
    “ใบกะเพราของที่นี่คือกลิ่นหอมมาก เหมือนมันทำให้รสชาติกลมกล่อมมาก”
    “แล้วทีเด็ดเลยคือไข่ดาวนะคะ บอกได้เลยว่าต้องมาลอง”ซูซี่ย้ำ
    “คือทุกที ไบรอันจะสั่งแต่ไข่ขาวกินนะ แต่อันนี้ลองกินดูแล้วมันพอดีมาก ไข่ขาวกรอบฟู ไข่แดงก็ฉ่ำเยิ่ม”
    “รสชาติอาหารนี่ คะแนนความอร่อย เต็ม 10 ไปเลยนะคะ มาต่อกันที่คะแนนสารอาหาร อ้างอิงจากฐานข้อมูลที่สำรวจพบว่าร้านนี้ 8 คะแนนเท่านั้น”
    “ก็ถือซะว่าเป็นประสบการณ์สนุกๆเนอะ ได้ลองมากินอาหารจริงๆดูบ้าง”
    “ใช่ค่ะ แต่อย่าลืมนะคะว่า คนเราต้องกินอาหารให้ครบถ้วน ถ้ากินแต่แบบนี้เนี่ย อร่อยจริงแต่ไม่รู้ว่าจะได้สารอาหารแค่ไหน”
    “เพราะผลประเมินจากทางกรมการแพทย์ได้ 8คะแนนเอง สารอาหารอาจจะไม่ได้เต็มๆเหมือนสั่งจากร้านที่ผ่านการรับรองนะฮะ”
    “สุดท้ายนี้ก็ต้องฝากกันเอาไว้ กับผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด น่องไก่สวรรค์ จากชลาทิศฟู้ด กับไขมัน 1% แต่โปรตีนเต็มพิกัดเหมือนเดิมนะคะ”
    “ใช่แล้วฮะ มีให้เลือกทั้งแบบต้ม ตุ๋น ย่าง รังสรรค์ด้วยสูตรพิเศษ เรื่องความอร่อยนี่ไม่ต้องห่วงเลย ชลาทิศการันตีแน่นอน”
    “วันนี้ลาไปก่อนแล้ว สวัสดีค่า” ทั้งสองประสานเสียง

    เชฟป้องกดปิดหน้าจอ เบ้ปาก “หึ นักวิจารณ์อาหารอะไร นี่มันพวกหน้าม้าบริษัทอาหารชัดๆ”
    พริมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง แต่ฟังไปด้วยขณะรวบรวมภาชนะใส่เครื่องล้างจาน
    “แต่ยอดจองก็มีเข้ามาเรื่อยๆเลยนะคะ พริมคิดว่าร้านเราก็กำลังไปได้สวย”
    “หลังจากพวกรีวิวหน้าม้านี้เผยแพร่ไปก็อาจจะไม่แน่นะ” เชฟว่า “คิดดูสิ การที่เราดูแลเรือนกระจกของเราอย่างดี เก็บเกี่ยวผักผลไม้ แล้วก็ไข่ไก่พวกนั้น มาเตรียมปรุงอาหาร ทำอาหารสดๆใหม่ๆให้ลูกค้าได้กิน แต่คนพวกนี้สัมผัสอะไรไม่ได้เลย คงกินแต่อาหารสำเร็จเคยตัว”
    “เชฟคะ เราก็ว่าพวกเขาไม่ได้หรอกนะคะ ถ้าต้องมาทั้งเตรียมอาหาร ทำอาหาร ไหนจะต้องมาล้างถ้วยชาม หม้อกระทะเนี่ย ยุคนี้ไม่มีใครเค้าทำกันแล้วแหละค่ะ” พริมถอนหายใจ
    “ก็แน่สิ อาหารสังเคราะห์ตามสั่งที่รัฐบาลสนับสนุนนักหนาว่าสารอาหารครบถ้วน แถมยังสะดวก บริการส่งถึงที่ ไม่ต้องเก็บล้าง” เชฟถอนหายใจ
    “แล้วจะยังมาบีบร้านอาหาร ด้วยมาตรการตรวจสอบสารอาหาร เฮอะ” เชฟป้องร่ายยาว “เธอรู้อะไรไหม นี่แหละคือธรรมชาติยังไงล่ะ ไข่ไก่แต่ละฟองไม่ได้มีขนาดเท่ากัน พืชผักแต่ละใบก็แตกต่างกันไป ธรรมชาติสร้างให้เราต้องกินอาหารที่หลากหลายต่างหาก”
    “แต่ร่างกายคนเราก็ต้องการสารอาหารที่ครบถ้วน เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนะคะ” พริมแย้ง “พวกการปรุงอาหารมันก็เป็นเหมือนเปลือกเท่านั้นเอง”
    “แล้วมันต่างอะไรจากที่แม่ของเธอกินล่ะ” เชฟว่า “เราไม่ใช่ผู้ป่วยรับอาหารทางสายยางนะ เรายังต้องการกินอาหารที่หลากหลาย รสชาติแตกต่างกันไป ไม่ใช่อาหารสำเร็จรูปโรงงาน รสชาติเหมือนกันทุกจานแล้วหลอกตัวเองว่าอร่อย”

    พริมเงียบไป

    เชฟป้องลุกขึ้นเดินมาหาเธอ “นี่ ขอโทษนะที่ต้องพูดเปรียบเทียบตรงๆ ชั้นก็เผลอปากไม่ดีอยู่เรื่อย”
    เงียบกันไปพักหนึ่ง
    “แต่มาคิดๆดูแล้ว มันก็จริงที่เชฟว่านะคะ” พริมเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา
    “พอเถอะๆชั้นก็พล่ามไปเรื่อยแหละ วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว ไป กลับบ้านดีกว่า เดี๋ยวชั้นปิดร้านเอง” เชฟป้องโบกมือ ไม่ต่อล้อต่อเถียงอีก
    พริมยิ้ม และเก็บของ สะพายเป้เตรียมออกจากร้าน เชฟป้องเปิดหน้าจอตรวจสอบบัญชีให้เรียบร้อยก่อนที่จะกดยืนยันคำสั่งปิดร้าน ไฟในครัวค่อยๆดับลง
    คนหนุ่มสาวทั้งสองเสร็จสิ้นภารกิจประจำวัน ต่างมุ่งหน้ากลับที่พักอาศัย แต่ลึกๆยังมีคำถามอยู่คำถามหนึ่งที่วนเวียนอยู่ในใจ แม้คำตอบจะต่างกันไป คือคำถามที่ว่า

    “พรุ่งนี้ จะกินอะไรดี”

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in