เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
อ่านเล่นข้างเตาผิงmissxbar
การหนีไปสวนสนุกวันนั้น
  • พฤหัสบดีที่  25 ตุลาคม

    “ตอนนี้ก็เหมือนเคย หลังประชุมวันพฤหัสบดี ศาสตราจารย์ก็จะตรงกลับที่บ้านพักเลย เดี๋ยวอีกสักครู่ก็คงออกจากห้องประชุม วางใจได้โยชิ ตอนนี้ยังไม่มีเหตุการณ์ผิดสังเกต” เรย์รายงานสารวัตรโยชิทางโทรศัพท์ โดยหารู้ไม่ว่าทาเคดะ แอบยืนฟังอยู่หลังประตูไม้บานใหญ่

    ก็แน่ล่ะ ทางตำรวจเล่นส่งบอดีการ์ดตามกันทุกฝีก้าวขนาดนี้ โจรที่ไหนก็คงสังเกตเห็นได้ไม่ยาก ทาเคดะคิดในใจ เรย์กดปุ่มวางโทรศัพท์จังหวะเดียวกับที่ทาเคดะเปิดประตูออกมา สีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ

    “วันนี้เสร็จตรงเวลานะครับศาสตราจารย์ เชิญทางนี้”

    “วันนี้ผมคิดว่าจะแวะซื้ออาหารสำเร็จรูปที่อิโตะหน่อย”

    “ไม่มีปัญหาครับ”

    เขาเลือกซื้อข้าวกล่องเพียงลำพังในซุเปอร์มาร์เกต เรย์ปฎิเสธอย่างสุภาพหลังจากที่เค้าเสนอจะซื้ออาหารเผื่อ แต่ก็ยืนรออยู่ข้างนอกในระยะสายตา เขาแสดงความเป็นมืออาชีพให้เห็นชัดในหลายๆครั้ง มีความพยายามที่จะให้ความเป็นส่วนตัวกับทาเคดะแต่ก็ไม่ลืมที่จะคอยสอดส่องอยู่เสมอ สารวัตรหนุ่มยืนกรานให้ทาเคดะเรียกเขาว่าเรย์ แทนที่จะเป็นสารวัตรเรย์นั้นปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่องสักนิด นั่นเป็นสิ่งที่เขาสามารถยืนยันกับสารวัตรโยชิได้ แต่การที่ต้องอยู่ภายใต้การจับตามองแบบนี้ทำให้เขาอึดอัดใจ เขาใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับบ้านพัก มหาวิทยาลัย ภายใต้การดูแลของบอดี้การ์ดรายนี้มาร่วมเดือนแล้ว ยังไม่มีเหตุผิดปกติเกิดขึ้น ในวันนี้ก็เช่นกัน

    ศุกร์ที่ 26 ตุลาคม

    ทาเคดะซึ่งตามตารางแล้วควรจะใช้เวลาในช่วงเช้าเข้าประชุมภาควิชา ปรากฏตัวตอนแปดนาฬิกาก่อนเวลา ระหว่างรอการประชุมที่จะเริ่มเก้านาฬิกา เขาเดินออกไปเข้าห้องน้ำแต่ขากลับจงใจเดินตรงไปยังบันไดหนีไฟ  และวิ่งเหยาะลงมาจากชั้น7 เขาหยุดมองสำรวจรอบตัวเล็กน้อยตอนที่ออกมาจากตึก  เขาแน่ใจว่าไม่มีคนสังเกตเห็นจึงเดินตรงออกไปจากมหาวิทยาลัย ที่ป้ายรถประจำทางมีคนรออยู่เพียงเล็กน้อย โชคดีที่ไม่มีคนที่รู้จักมักคุ้นหน้าตาอยู่ที่นั่น ในใจรู้สึกตื่นเต้นระคนกลัวนิดๆ โดยรวมแล้วเป็นความรู้สึกที่ดีมากกว่าที่ได้ทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้ เขารู้สึกผิดเล็กน้อยก็เพียงแต่ว่าเรย์อาจจะโดนตำหนิว่าบกพร่องในหน้าที่ แต่ถึงอย่างไรเขาจะแก้ต่างกับโยชิให้ก็แล้วกัน เขาตั้งใจจะออกไปใช้เวลาคนเดียวเงียบๆ อย่างน้อยก็ในวันนี้ และตั้งใจว่าจะรีบกลับไปตอนเย็นเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต รถประจำทางขับตรงมาที่ป้าย เขาจำได้ว่าเป็นสายที่วิ่งไปยังใจกลางเมือง ไม่นานรถก็มาจอดเทียบที่สถานีขนส่งกลางชินจูกุ เขาเดินตรงไปที่เคานเตอร์จำหน่ายตั๋ว

    “สวัสดีครับ มีตั๋วแล้วหรือยังครับ”พนักงานหนุ่มใส่แว่นกล่าวทักทาย

    “รถรอบต่อไปที่เร็วที่สุด ไปลงที่ไหนบ้าง”

    “ขอประทานโทษ ท่านต้องการไปที่ไหนนะครับ เคานเตอร์เราจำหน่ายตั๋วไปคาวา..”

    “รอบ 8.30 น.ใช่ไหม ขอตั๋วไปกลับ เอ เปลี่ยนเป็น เอาตั๋วขาไปอย่างเดียว หนึ่งที่นั่ง”

    “ถ้าซื้อไปกลับ จะได้ส่วนลดเข้าเอฟคิว ไฮแลนด์ด้วยนะครับ”

    “รถคันนี้ไปสวนสนุกรถไฟเหาะงั้นหรือ”

    “แนะนำให้ซื้อไปกลับคุ้มกว่าครับ ไม่กำหนดเวลาก็ได้”พนักงานแนะนำ

    “ตกลง”

    ใครรู้เข้าจะต้องหาว่าเขาเสียสติไปแล้ว ซึ่งศาสตราจารย์ทาเคดะคิดว่าถึงไม่ใช่ก็คงใกล้เคียง จากเหตุปองร้ายหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นจดหมายขู่เอาชีวิต ร่องรอยการงัดห้องทำงานส่วนตัว กับชายชุดดำที่ขี่มอเตอไซค์ตามในคืนนั้นคงไม่ใช่เพียงเรื่องบังเอิญ แต่ชัดเจนว่าเป็นการพยายามฆาตกรรมของคู่แข่งผู้ชิงตำแหน่งสมัยหน้า ตลอดชีวิตทางการศึกษาของเขาไม่เคยต้องมาเผชิญเรื่องที่ยุ่งยากไปกว่าการอธิบายสมการออยเลอร์ต่อหน้าคณะกรรมการวิจัยที่จบสาขาสังคมศาสตร์ แม้วัยวุฒิจะยังไม่มากนัก แต่ดีกรีปริญญาใบที่สองจากมักซ์ พลังค์ ไฮเดลแบร์ก เป็นอีกหนึ่งในการันตีความสามารถของอาจารย์หนุ่มรายนี้

    หนึ่งในเหตุจูงใจอาจจะเป็นความคิดหัวก้าวหน้านำร่องโดยการปรับระบบกายภาพของพื้นที่มหาวิทยาลัยเพื่อการประหยัดพลังงาน รวมถึงความคิดที่จะรุกคืบไปถึงการปรับปรุงคุณภาพ ซึ่งนั่นหมายถึงโครงสร้างองค์กร บุคลากรรุ่นเก่าหลายคนย่อมต้องได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย เพื่อนสนิทอย่างสารวัตรโยชิเสนอกึ่งบังคับให้เขาไปไหนมาไหนภายใต้การคุ้มกันของบอดี้การ์ดที่จัดหามาให้ ซึ่งเขาอดทนทำตามได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ เวลานี้เขากลับกำลังนั่งอยู่บนรถประจำทางสายชินจูกุ-คาวากูจิโกะ มุ่งหน้าสู่เอฟคิวไฮแลนด์ สวนสนุกที่ขึ้นชื่อเรื่องรถไฟเหาะสุดโหดระดับโลก มันจะไปต่างอะไรกับชีวิตทุกวันนี้ที่มีความเป็นความตายอยู่เพียงเงื้อมมือกันล่ะ ไม่บ่อยนักที่เขาปล่อยให้ตัวเองทำอะไรตามความคิดชั่ววูบเช่นคราวนี้ ปกติแล้วทาเคดะเป็นคนชอบวางแผน และใช้ชีวิตมีระบบเสมอ ความคิดแผลงๆชั่ววูบไม่เคยมีอิทธิพลเหนือแผนประจำวันของเขา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่วันนี้

    ภายนอกทาเคดะเป็นคนหนุ่มที่มีบุคลิกนิ่ง ดูสุขุม เขายื่นบัตรโดยสารให้พนักงานตรวจสอบก่อนจะก้าวขึ้นรถดูราวกับคนปกติธรรมดาที่รู้ว่ากำลังจะมุ่งหน้าไปไหน แต่แท้ที่จริงแล้วเขากำลังทำสิ่งที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ และในสภาวะปกติคงเรียกมันว่า ไม่เข้าท่า ชักจะไม่แน่ใจแล้วว่านี่จริงๆเรากำลังทำอะไรกันแน่นะ

    "เขาคิดว่าเขากำลังจะทำอะไรกันนะ" เรย์พึมพำใต้หมวกกันน็อค เขาเฝ้ามองทาเคดะก้าวขึ้นรถประจำทางไปก่อนที่จะบิดมอเตอร์ไซค์CBR500R ตามหลังโดยทิ้งระยะห่าง ไม่ผิดแน่ เขามีลางสังหรณ์อยู่แล้วว่าศาสตราจารย์กำลังอยู่ในภาวะกดดันตึงเครียด และคนที่ตกอยู่ในสภาวะแบบนี้ก็มักจะทำอะไรแผลงๆอย่างเช่นกรณีนี้คือ โดดการประชุมไปนั่งรถไฟเหาะ งั้นหรอ หึ พิลึกคนจริงๆพวกนักฟิสิกส์สติเฟื่องนี่

    เกือบสองชั่วโมงต่อมา รถบัสคันใหญ่ก็มาถึงที่หมาย ใครกันที่ช่างคิดมาสร้างสวนสนุกที่นอกเมืองแบบนี้ ภาพรางรถไฟเหาะหลากหลายชนิด วาดลวดลายคดโค้งไปบนท้องฟ้า ตัดกับฉากหลังที่เป็นทิวเขาดูสวยแปลกตา แต่ก็น่าพรั่นพรึงไม่น้อย ทาเคดะรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากความยุ่งเหยิงในเมืองใหญ่ ที่นี่จะไม่มีใครตามมาลอบทำร้าย หรือมาคอยเป็นบอดี้การ์ดอีกต่อไป ความรู้สึกตื่นเต้นเข้ามาแทนที่ความหวาดกลัว

    “รับเป็นบัตรผ่าน หรือ one day pass คะ” พนักงานสวนสนุกถาม

    “one day pass 2 ใบ ผู้ใหญ่” เสียงคุ้นหูดังขึ้น ทาเคดะชะงักและหันไปพบกับเรย์ บอดี้การ์ดของเขานี่เอง

    “เรียบร้อยค่ะ เที่ยวให้สนุกนะคะ” เรย์ยิ้มขอบคุณพนักงาน เขายื่นมือไปรับบัตรหลังจากจ่ายเงินสด

    “เล่นอย่างน้อย 4อันก็คุ้มแล้ว วันนี้คนน้อย ไม่ต้องซื้อ fast pass ด้วยซ้ำ ดูท่าแล้วน่าจะเล่นได้เกิน”

    “ขอโทษที คุณตามผมมาได้ยังไง”

    “ผมแค่ทำตามหน้าที่” เรย์ตอบเรียบๆ “ผมเห็นด้วยที่คุณจะออกมาพักผ่อนบ้าง เราอาจไม่จำเป็นต้องบอกโยชิเรื่องนี้”

    “ไกลขนาดนี้คงไม่มีไอบ้าที่ไหนตามมาก่อเรื่องอีก ผมว่า..”

    “ขนาดผมเองยังตามมาแบบประชิดตัว โดยที่ศาสตราจารย์ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยซะด้วยซ้ำ” เรย์แย้งขึ้น ทำเอาทาเคดะชะงักไป เป็นความจริงที่เถียงไม่ได้เลยเสียด้วย

    “คุณ..นั่งรถมาคันเดียวกับผมงั้นหรอ” ทาเคดะพยายามคาดเดา ไม่น่าเป็นไปได้ เขากวาดตามองผู้โดยสารในรถเป็นอย่างดี และเขาเองก็เป็นหนึ่งในสองคนสุดท้ายที่ขึ้นรถ

    “ไปเถอะครับ มีเวลาแค่วันนี้วันเดียว” เรย์ตัดบทและเดินนำเข้าไปที่ทางเข้า

    ภาพชายสองคนในชุดเสื้อเชิร์ตปล่อยชาย กางเกงแสล็ค เดินดุ่มๆไปต่อคิวเล่นรถไฟเหาะคงจะดูผิดที่ผิดทางไม่น้อยต่อสายตาผู้คนที่มาเที่ยวสวนสนุกในวันนั้น ทาเคดะกางดูแผ่นพับ ขณะที่เขากำลังกวาดตาไปที่รายชื่อเครื่องเล่นที่มีสัญลักษณ์กำหนดระดับความน่าหวาดเสียวแบ่งประเภทอย่างชัดเจน เรย์ก็เดินนำมายังเครื่องเล่นรถไฟเหาะอันแรก

    "วันนี้โชคดีที่คนไม่มาก" เรย์เริ่มต้นบทสนทนา

    "นายเคยมาที่นี่งั้นหรอ"

    "นานมากแล้วครับ" เรย์ตอบ พวกเขาขยับขึ้นไปตามแถว อีกแค่รอบเดียวจะถึงคิวของพวกเขาแล้ว

    “ท้าทายสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง ด้วยรถไฟแนวดิ่งที่ชันที่สุดในโลก“ ทาเคดะอ่านตามป้าย เขาพลิกแผ่นพับเพื่อดูคำบรรยายเพิ่มเติม

    "แค่เพียงเสี้ยววิน่ะครับ ตรงจุดที่หักโค้งก่อนจะทิ้งดิ่งลงมา" เรย์ชี้มือไปตามภาพแสดงให้เห็นว่ารถไฟเหาะไม่เพียงแต่ทิ้งดิ่งลงหลังจากไต่รางขึ้นไปสูงลิบ แต่ยังเล่นตลกด้วยการทำมุม121 องศา

    "รถไฟเหาะนี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้หลักการฟิสิกส์อย่างแท้จริง"

    "งั้นหรือครับ เสียแรงที่ตอนมัธยมไม่ใช่วิชาที่ผมชอบนัก"

    "ในยุคก่อน ไม่ได้ใช้เครื่องยนต์เลยด้วยซ้ำ ใช้หลักการว่าพลังงานศักย์สะสมที่ความสูงระดับหนึ่งโดยเกิดง่ายๆจากผลคูณของมวลรถไฟ กับแรงโน้มถ่วงของโลก ก่อนจะปล่อยลงมาตามรางด้วยพลังงานที่แปรเปลี่ยนไปเป็นพลังงานจลน์ ความเร็วไม่ใช่ปัญหา แต่ความเร่งต่างหากที่ทำให้ตื่นเต้นเร้าใจ" ทาเคดะหยุดไปนิดหนึ่งหลังจากเห็นสีหน้าของเรย์ "นายคงสังเกตเห็นว่ารถไฟเหาะจะตั้งต้นที่เนินสูงสุดเสมอ เนินต่อๆมาจะไม่เคยขึ้นสูงกว่าเนินแรกเลย"

    "ผมเคยได้ยินว่าเขาใช้ไม้ในการก่อสร้างเสียด้วยซ้ำในสมัยก่อน"

    "ยุบตัวตามแรงมากเกินไป ส่งเสียงดังระหว่างทางมากเกินไป ขึ้นรูปได้ยากกว่าโครงเหล็ก แต่นั่นย่อมเป็นสเน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้สวนสนุกหลายแห่งยังอนุรักษ์มันไว้ เป็นจุดขายเสียด้วยซ้ำ"

    "แล้วคุณเคยเล่นบ้างหรือเปล่าตอนที่อยู่ต่างประเทศ"

    "ไม่เคยเลยสักครั้ง" สองหนุ่มหัวเราะออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำลายกำแพงไปได้อีกขั้นหนึ่ง ก่อนที่พนักงานสาวจะปลดที่กั้นแถวลงและบอกว่าถึงคิวต่อไปแล้ว

    ก่อนจะขึ้น Takabisha ผู้เล่นต้องนำของติดตัวไว้ที่ล็อกเกอร์ทั้งหมด หมวกหรือแว่นตา รวมทั้งรองเท้าที่ต้องถอดวางไว้ พนักงานเดินเข้ามาตรวจสอบตัวล็อคทีละที่นั่ง เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นหลังจากการตรวจเช็คเสร็จเรียบร้อย รถไฟเคลื่อนตัวออกจากรางอย่างช้าๆโดยมีพนักงานยืนปรบมืออยู่สองฝั่ง เคล้ากับเสียงดนตรีแบบร่าเริง นั่นยิ่งทำให้ทาเคดะรู้สึกหลอนอย่างประหลาด

    "เค้าพยายามสร้างบรรยากาศดีนะครับ" เรย์ซึ่งนั่งอยู่ทางขวาหันมาพูด

    "ต้องขอบคุณคุณที่ตามมาด้วย ไม่งั้นแย่แน่" ทาเคดะพูดตามความจริง รถไฟเคลื่อนที่ความเร็วสูงขึ้น เบื้องหน้าเป็นอุโมงค์มืดมิด

    "แย่อะไรนะครับ"เสียงเรย์ตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ ก่อนที่รถไฟจะตีลังกาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย วนลูปอยู่ในความมืด เสียงกรีดร้องของกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่นั่งแถวหลังดังขึ้น รถไฟโผล่พรวดออกมาในแสงสว่างจ้า ทาเคดะถอนหายใจเฮือกเรย์เห็นหน้าเพื่อนร่วมชะตากรรมเข้าแล้วก็หัวเราะ

    "นี่แค่ช่วงแรกนะ"

    รถไฟไต่ขึ้นรางที่วางตัวในแนวดิ่ง สูงขึ้น สูงขึ้น ทาเคดะรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ แต่จะทำอย่างไรได้ ณ จุดนี้จะกลับใจก็ไม่ทันเสียแล้ว เขามองดูท้องฟ้าฤดูใบไม้ร่วงที่ปลอดโปร่ง สีฟ้าจัด มันเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นๆ จนรถไฟไต่ถึงระดับสูงสุดที่สองร้อยฟุตหรือเกือบเท่าตึกยี่สิบชั้น รางรถไฟม้วนตัวลงเตรียมจะทิ้งดิ่ง จังหวะนี้รถไฟเคลื่อนตัวช้าๆราวกับจะบีบคั้นหัวใจผู้เล่น มันคงอยากจะพูดว่า “จะเปลี่ยนใจไหมล่ะ แต่คงไม่ทันแล้วนะ” รถไฟเคลื่อนมาหยุดที่จุดลาดเอียง121องศา เท่ากับว่าทุกคนในขบวนอยู่ในมุมที่หน้าทิ่มลง มองเห็นพื้นดินด้านล่างโดยไม่เห็นรางที่โค้งหักศอกลงไปใต้จุดลาดเอียงนี้  ทาเคดะเหลือบไปมองเรย์ที่กำลังส่งเสียงร้องด้วยความสะใจ เจ้านั่นยังยิ้มได้ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่เห็นความกลัวเลยสักนิด ไม่ทันไรรถไฟก็ทิ้งดิ่งลงมาตามราง ทาเคดะร้องเสียงหลง

    "สุด ยอด ไป เล้ยยย" เสียงตะโกนของเรย์ลอยมาตามลม รถไฟตีลังการอบแล้วรอบเล่าก่อนจะเคลื่อนตัวเป็นเส้นตรง และเลี้ยวเข้าสู่สถานี

    พวกเขาเลือกเล่น Eejanaika เป็นอันถัดมา

    "โห คิวสั้นกว่าเยอะเลยนะ” ทาเคดะนึกว่าจะมีเวลาเตรียมใจนานกว่านี้

    "เค้าบอกกันว่าอันนี้น่ากลัวที่สุด" เรย์กดดูโทรศัพท์สมาร์ทโฟน "ผมเลยคิดว่าค่อยๆไต่ระดับไปดีกว่า ถ้าเล่นอันนี้อันแรก อันอื่นคงหมดสนุก"

    "โห ถ้าอย่างนั้นผมว่าอาจจะไม่ไหว" มองเห็นเรย์เลิกคิ้วขึ้น ทาเคดะชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า เขาเองเป็นตัวตั้งตัวตีจะมาสวนสนุกเพื่อหลีกหนีจากชีวิตน่าเบื่อนั่นแท้ๆ แถมยังจะมาคนเดียวเสียด้วยซ้ำ หากเรย์ไม่แอบตามมาด้วยคงดูไม่จืด

    "คุณทำได้ดีกับ Takabisha ไม่หลับตาปี๋ตลอดทางเสียด้วยซ้ำ แต่กับอันนี้ถ้ารู้สึกว่าไม่ไหวก็.."

    “ช่างเถอะ เรารีบไปต่อแถวกันดีกว่า ผมไม่ยอมแพ้เจ้าเครื่องนี้แน่ มาเอฟคิวทั้งที จริงไหม"

    ถ้าเครื่องเล่นเมื่อครู่เป็นรถไฟเหาะที่ชันที่สุด อันนี้ก็คงเป็นรถไฟเหาะที่หมุนควงสว่านมากที่สุด ตัวรถไฟเป็นที่นั่งห้อยขาพื้นเปิดโล่ง มีกลไกให้เก้าอี้แกว่งไกวไปมา คว่ำหน้าคว่ำหลังเหมือนชิงช้า ทำให้นอกจากจะหมุนไปตามรางที่คดเคี้ยวแล้ว ยังแกว่งไปมาตามแรงเหวี่ยงอีกด้วย ทาเคดะรู้สึกว่าประสบการณ์เครื่องเล่นอันแรกไม่ได้ช่วยเขามากนัก ยังคงร้องเสียงหลงเหมือนเดิม ส่วนเรย์ดูจะสนุกสนานตลอดการเล่น

    “บ้ามาก บ้ากว่าอันมะกี้อีก”ทาเคดะพูดพลางลูบผมที่ชี้ไปมาให้เป็นทรง

    “ฮ่าๆยังเหลืออันที่คลาสสิคและได้เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิเต็มๆ รีบไปกันเถอะครับ” พวกเขาเอาของออกจากล็อคเกอร์และเดินตรงไปยังเครื่องเล่นที่เหลือ

    “เราทำเวลาได้ไม่เลวเลย รถไฟเหาะตัวดังๆเล่นได้ครบภายในครึ่งวันเช้า” ทาเคดะรู้สึกสนุกมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อผ่านไปแต่ละด่าน

    พวกเขาเริ่มรู้สึกหิว แต่เห็นตรงกันว่าจะกินไทยากิเป็นมื้อกลางวัน เนื่องจากไม่อยากอิ่มท้องเกินไป สองหนุ่มนั่งลงที่ม้านั่ง มองดูผู้คนเล่นชิงช้าลอยฟ้า เด็กๆส่งหัวเราะอย่างสนุกสนาน

    “ผมอยากรอให้มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันกว่านี้ แต่คิดว่าพอจะบอกคุณได้ ว่าโยชิได้ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลต้องสงสัยบ้างแล้ว” เรย์เอ่ยขึ้น

    “ต้องขอบคุณทีมของพวกคุณ เพราะผมแทบไม่ได้ให้เบาะแสอะไรมากนักเลย ผมเองก็มืดแปดด้าน” ทาเคดะตอบก่อนจะถามขึ้นอีกว่า “คุณมักจะทำอย่างนี้หรือ”

    “คุณหมายถึงแจ้งผลการสืบสวนหรอ”

    ทาเคดะหัวเราะ “ผมหมายถึง พาบุคคลในความคุ้มครองหนีเที่ยวขณะอยู่ในหน้าที่น่ะ”

    “ในกรณีนี้คงกลับกัน” เรย์ยิ้ม “หากไม่เป็นเพราะผมเห็นด้วยที่ศาสตราจารย์ควรจะผ่อนคลายเสียบ้าง เอ่อจริงๆหมายถึง ควรจะหยุดพักงานเลยเสียมากกว่า”

    “ทำแบบนั้นก็เข้าทางพวกโจรนั่นน่ะสิ การที่ต้องใช้ชีวิตแบบที่คนอื่นมากำหนดกฏเกณฑ์เป็นสิ่งที่ผมเกลียดที่สุด”

    “จริงสิ ผมและโยชิก็เป็นหนึ่งในกฏเกณฑ์นั้นไง”เรย์หัวเราะออกมา “แล้วจะยังไงต่อ”

    “ผมแค่อยากออกมาพักสมอง อยากก้าวออกมาจากสภาวะแวดล้อมตรงนั้น แค่เพียงชั่วครู่ชั่วยามก็ยังดี” ทั้งคู่เงียบไป ต่างคนต่างกัดขนมรูปปลาในมือ

    “ผมไม่เคยรู้สึกว่าความตายมันใกล้ตัวเรามากขนาดนี้ เรื่องนี้ทำให้ผมใช้ชีวิตด้วยความกลัว มีความรู้สึกหวาดระแวงด้วย แต่มันเหมือนเป็นความกลัวมากกว่า รู้สึกว่าไร้การควบคุม”นี่เป็นครั้งแรกที่ทาเคดะพูดเกี่ยวกับความรู้สึกตัวเองหลังจากเกิดเรื่อง การพูดออกมาเหมือนเป็นการยอมรับกับตัวเอง

    “ไม่ได้เป็นอะไรที่เกินกว่าเหตุเลยครับ เป็นความรู้สึกที่สมเหตุสมผลที่สุดกับสถานการณ์นี้” เรย์พูดขึ้นหลังจากที่ทาเคดะเงียบไป

    “รถไฟเหาะตีลังกาหวาดเสียว  มันจะมีอะไรต่างล่ะ ในเมื่อชีวิตทุกวันนี้ก็มีความเป็นความตายอยู่แค่เอื้อมเท่านั้น แถมยังน่ากลัวตรงที่ไร้การควบคุมเสียด้วย”

    “ก็เลยต้องพาตัวเองมาเล่นเครื่องเล่นเสี่ยงตาย หนามยอกเอาหนามบ่งสินะ”

    “มันฟังดูโง่ใช่ไหม” ทาเคดะยิ้ม “ไม่ก็ เหมือนกับว่า หนีปัญหาไปซะยังงั้น”

    “ผมรู้สึกเพียงแต่ว่า สองสัปดาห์ที่ผ่านมามันตึงเครียดเกินไป การได้พักผ่อนบ้างเป็นความคิดที่ดี” เรย์ตอบ เขาพูดต่ออีกว่า “เราไม่มีวันรู้ว่าอะไรรอเราอยู่ ถ้ารู้ตัวว่าอยากทำอะไรแล้วล่ะก็ อย่ารออีกเลย แค่นั้นเอง”

    เงียบกันไปสักพัก

    “โรงพยาบาลร้าง กับตำนานสุดหลอน นั่นแหละที่รอเราอยู่” ทาเคดะเก็บห่อกระดาษที่กินเสร็จแล้วพลางลุกขึ้น

    “อ้อ บ้านผีสิงน่ะหรือ ไปสิครับ”

    พวกเขาเดินไปตามทางในแผนที่ มีป้ายหลอนบอกทางเป็นระยะๆ บ้านผีสิงของสวนสนุกแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าน่ากลัวติดอันดับ ด้วยตัวตึกที่เคยเป็นโรงพยาบาลมาก่อน มาปรับปรุงให้เป็นบ้านผีสิงที่มีทางเดินคดเคี้ยวขึ้นลงไปมา ยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร

    “เครื่องรางทำให้วิญญาณร้ายอ่อนกำลังงั้นหรอ มีตัวช่่วยแบบนี้ด้วย” เรย์ยืนมองดูตู้หยอดเหรียญห้าร้อยเยน

    “แบบนั้นก็ขี้โกงน่ะสิ” ทาเคดะหัวเราะ “เข้าบ้านผีสิงอะไรต้องใช้เครื่องรางด้วย สู้ไม่ต้องเข้าเสียเลยดีกว่า”

    บ้านผีสิงเป็นเครื่องเล่นที่รอคิวสั้นที่สุดของวันนี้ พนักงานตรวจดูบัตรของทั้งสอง พวกเขาได้เข้าเป็นคู่ถัดไปเว้นจากคู่หนุ่มสาวก่อนหน้าพักหนึ่ง ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้คนต่างกล่าวขานในความน่ากลัวเห็นจะมาจากนโยบายการจำกัดผู้เล่นแต่ละรอบ ปล่อยตัวทีละไม่เกินสามคน และทิ้งช่วงห่างนานพอตัว ไม่นานนักก็ถึงคิวของทั้งคู่

    “คุณมีสิทธิที่จะเดินออกเมื่อถึงทางแยก ไม่จำเป็นต้องเดินจนครบถ้าไม่ไหวแล้วจริงๆ”พนักงานแจ้งพร้อมกับยื่นไฟฉายให้

    บรรยากาศเหมือนโรงพยาบาลไม่มีผิด มีกลิ่นยาและสารเคมีจางๆ แต่มืดทึมและมีของวางระเกะระกะ พวกเขาเดินผ่านห้องแรกไป ผ่านโซนเครื่องมือแพทย์ เตียงผ่าตัดมีหุ่นนอนอยู่ ท้องถูกผ่าเปิดไว้อย่างนั้น พวกเขารีบเดินออกจากห้องผ่าตัดสยองขวัญ เข้าสู่ห้องถัดไปเป็นโซนวอร์ดผู้ป่วย เรย์สะดุ้งและร้องเสียงหลง

    “มีอะไรหรือ” ทาเคดะหันมองตามไปทางด้านหลัง

    “ไม่มีน่ะ แค่ตกใจ รีบไปเถอะ” พวกเขาพากันเร่งฝีเท้า ก่อนที่ผีผมยาวในชุดผู้ป่วยมีคราบเลือดเปรอะจะโผล่มาจากมุมห้องทางขวา แล้วเริ่มวิ่งตามพวกเขา เรย์วิ่งนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทาเคดะรีบตามมา หายใจหอบ ประตูกระจกปิดลงทันเวลา

    “นี่ นายทำชั้นกลัวไปด้วยนะ ไม่ต้องวิ่งขนาดนั้นก็ได้ มันก็แค่คนแต่งเป็นผี”

    “อย่างอื่นผมไม่กลัว แต่เรื่องผีนี่ผมไม่ไหวจริงๆครับ” หากพูดไปก็คงยากจะเชื่อว่าเจ้าของคำพูดนี้คือคนเดียวกับที่เล่นรถไฟเหาะอย่างสนุกสนานเมื่อสักครู่

    “ทำไมกลุ่มข้างหลังถึงยังไม่ตามมาอีก ผมไม่ได้ยินเสียงเลย”เรย์พูดเสียงเบา

    “นั่นน่ะสิ พวกเราเดินเร็วมากด้วยนะ แต่ก็ไม่ทันกลุ่มข้างหน้าด้วยซ้ำ”

    พวกเขาเดินมาถึงห้องที่มีขวดโหลตั้งเรียงราย มีชิ้นส่วนมนุษย์ อวัยวะภายในต่างๆจำลองอยู่ในนั้น

    “รีบไปเถอะ” เรย์ดันให้ทาเคดะรีบเดินนำ พลางเหลือบมองข้างหลังเป็นระยะๆ

    ตลอดทางทาเคดะไม่รู้สึกกลัว ตรงกันข้ามเขากลับสนุกปนขบขันที่ได้เห็นเรย์ในมุมที่แสดงความกลัวสุดขีด สะดุ้งตัวโยน ร้องเสียงหลงทุกครั้งที่มีผีโผล่ออกมา ในที่สุดพวกเขาก็เดินจนครบระยะทาง ทั้งสองออกมาจากบ้านผีสิงอย่างปลอดภัย เขาคิดในใจเสียด้วยซ้ำว่าไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัว

    เรย์หัวเราะงอหายเมื่อได้เห็นรูปถ่ายที่ระลึกตรงทางออก ทาเคดะหน้าเรียบเฉย ในขณะที่เรย์มีสีหน้าตกใจสุดขีด ทั้งยังทำท่าโผเข้าเกาะแขนศาสตราจารย์อีกต่างหาก

    “สิ่งที่น่ากลัวคือ ช่วงจังหวะที่”ทาเคดะหยุดเพื่อนึกคำพูด “จังหวะที่ใจเราคิดไปเอง”

    “ยังไงครับ” เรย์จ่ายเงินเพื่อซื้อภาพที่ระลึก

    “ตอนที่ผีโผล่ออกมา ผมกลับรู้สึกโล่งใจว่า อ๋อ อยู่นี่นี่เอง แต่ตอนจังหวะที่ลุ้นระทึก มันก็คิดไปต่างๆนานา ว่าจะโผล่มาจากทางไหน”ทาเคดะอธิบาย

    “แต่คุณดูไม่กลัวเลยสักนิด” เรย์พูด “สำหรับผมไม่ว่าตอนไหนก็น่ากลัว ผมไม่ชอบบ้านผีสิง”

    พวกเขามองดูรูปถ่ายที่ระลึก

    เรย์หัวเราะ

    ทาเคดะหัวเราะตาม

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in