แด่ ไฟนีออนสีชมพูของเรา
ชาร์ม 19 ปี ไม่รู้มาก่อนว่าเธอจะสามารถตกหลุมรักใครบางคนในวิธีเดียวกับที่เธอตกหลุมรักแสงไฟนีออนสีชมพูในความมืด
ด้วยความจำเป็นของชีวิต ที่บางคนเรียกมันว่าหน้าที่ บางคนเรียกมันว่าความฝัน หรือบางคนอาจเรียกมันว่าภาระ ชาร์มย้ายออกจากบ้านแถบชาญเมืองเข้ามาอยู่ใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสีและความโกลาหลแต่มันไม่ใช่สิ่งที่เธอจะบ่นหรอก มันคืออพาร์ตเมนต์ในตรอกเล็กๆ ห้องสี่เหลี่ยมขนาด 25 คูณ 25 ตารางเมตรของชาร์มอยู่ชั้นบนสุดของตึก
ห้องขนาดกะทัดรัด สะอาดสะอ้านกับเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้นฟังดูไม่แย่เกินไปสำหรับราคาที่เธอพอจ่ายได้ ขาดแค่ตู้เย็นกับเครื่องสำหรับทำอาหารซึ่งร้านสะดวกซื้อที่ตรอกข้างๆ ทำให้ชาร์มไม่เดือดร้อนในส่วนนี้นัก
เธอใช้ชีวิตเรื่อยๆ เริ่มจากการตื่นนอน กิจวัตรประจำวัน มหาวิทยาลัย และกลับมาที่ห้องสี่เหลี่ยมที่ชาร์มค้นพบหลังจากอาศัยมาสามอาทิตย์ว่ามันใจเย็นกับเธอที่สุดในเมืองนี้ คืนหนึ่งหลังจากกิจวัตรประจำวันเหล่านั้น ชาร์มกลับมาที่ห้องพร้อมกับความเหนื่อยล้าจากอากาศร้อนระอุ เธอหลับไปบนเตียงก่อนจะตื่นมาอีกทีเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า อุณหภูมิที่เย็นลงพรางทำให้ความเหงากลับมาทรงพลังในห้องเล็กๆ
เมื่อครุ่นคิดกับตัวเอง ว่าลมเย็นๆ คงจะช่วยปัดเป่าความอ้างว้างปานสนิมเหล็กที่เริ่มเกาะอยู่บนหัวใจออกไปได้บ้าง ชาร์มพาตัวเองไปที่ระเบียง จนกระทั่งค้นพบว่าเธอไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าระเบียงเล็กๆ ของห้องเล็กๆ จะมีหลอดไฟทรงยาวแปะอยู่บนผนัง มันดูค่อนข้างผิดที่ผิดทางไปหน่อยสำหรับระเบียงอพาร์ตเมนต์ชั้นบนสุดใจกลางเมืองที่แสงจากหลอดไฟเล็กๆ เช่นนี้ แทบจะไม่เป็นที่ต้องการเลยเทียบกับแสงสว่างปานดวงดาวบนยอดตึกสูงข้างเคียง
อย่างไรก็ตาม เมื่อความอยากรู้อยากเห็นเกิดขึ่นแล้ว มันยากที่จะแกล้งทำเป็นลืมสิ่งที่อยากรู้ ชาร์มควานหาสวิตช์ไฟก่อนจะกดเปิดมันขึ้นมา แสงไฟนีออนสีชมพูสาดคอบคลุมบริเวณเล็กๆ ของระเบียงเหมือนนมรสสตรอว์เบอร์รี่ ชามขมวดคิ้วแต่อดไม่ได้ที่จะนึกขันในความไม่เข้ากันกว่าเดิมของหลอดไฟหลอดนี้ ใครจะต้องการแสงไฟแบบนี้ในที่แบบนี้กัน?
นานวันเข้า ชาร์มกลับรู้สึกว่าบางที ระเบียงห้องขนาดราวๆ 10 คูณ 10 ตารางเมตรกับแสงไฟสีสตรอว์เบอร์รี่ตอนเที่ยงคืนคือที่ที่เธอโปรดที่สุดในกว่า 1560 ตารางกิโลเมตรของเมืองนี้เสียอีก อาจเพราะมันพลันทำให้เธอนึกถึงใครบางคนในห้วงความทรงจำที่ไม่ชัดเจนเท่าความรู้สึกที่เธอมี ทำให้เธอนึกถึงประโยคหนึ่งของเขาที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเอ่ยมันภายใต้แสงไฟนีออนสีชมพูหน้าร้านโชว์ห่วยเล็กๆ ในเมืองที่เธอจากมา
‘—มันคือความฝันของเธอนี่นา ถ้าคิดถึงฉันตอนที่อยู่ไกล ให้มองหาแสงไฟแบบนี้ มันจะบอกกับเธอ ว่าฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน’
ชาร์มใช้เวลากับมันบ่อยๆ ภายใต้แสงไฟนีออนสีชมพู ที่ชนะดวงดาวทุกดวงบนฟ้าในใจของเธอ เธออ่านหนังสือกับมันเหมือนที่เคยมีบทสนทนาล้ำค่ากับเขา เธอนั่งอยู่เงียบๆ กับมันในยามที่เธอเศร้าราวกับสีชมพูจางๆ บนตัวของเธอนั้นคืออ้อมกอด คำปลอบประโลมที่เธอเคยได้รับจากเขาคนนั้น เธอยิ้มทุกครั้งที่สวิตช์นั้นถูกกดเปิดเพราะเขาจะคิดถึงเธอ เธอใจหายทุกครั้งที่จะต้องกดปิดเพราะไม่ต่างจากครั้งสุดท้ายที่เธอต้องบอกลาเขา
อย่างไรก็ตาม มันไม่เหมือนกันทั้งหมด แสงไฟแสบตาในค่ำคืนที่มืดมิดไม่ได้แทนที่ทุกอย่างในใจของเธอได้ บางที แม้แต่นิดเดียวมันก็ทำไม่ได้ แต่ชาร์มยังคงคิดว่ามันสวยที่สุดในวิธีของมัน สดใสที่สุด แม้พอฟ้าสางมันจะหายไป อบอุ่นที่สุดแม้เธอจะไม่สามารถสัมผัสมันได้เหมือนที่เขาเคยบอกมันอาจทำให้มือของเธอพุพอง เหมือนกับที่ทำให้ใจของเธอเจ็บปวดถ้าไปหลงรักเขาเข้า
มันจึงเป็นความสัมพันธ์แบบที่เธอจะนั่งอยู่ข้างๆ เขาในความมืด ได้มองเห็น และได้ชื่นชมความสว่างไสวของเขา แลกเปลี่ยนความสนใจ ความรู้สึกที่ว่าเขาจะเป็นแสงที่เธอชอบที่สุด แม้ไม่อาจเข้าใกล้กันได้มากกว่าการสะท้อนบนพื้นผิว และแม้ว่าวันหนึ่งเขาจะกระพริบและอาจดับไปตามกาลเวลา ในห้วงความทรงจำของของชาร์ม ชมพูเฉดนี้ ความรู้สึกแบบนี้ จะไม่มีวันเสื่อมไปตามกาลเวลาเหมือนที่หลอดไฟลูออเรสเซนซ์และเขาคนนั้นเป็น
by pinkginfroyo
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in