เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แปลบทความ The Boy From Hell by Antony Santossxrxxm_
"เด็กชายผู้มาจากขุมนรก" ที่ชื่อ แอนโทนี ซานโตส
  • นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ แต่ผมเกิดในนรก เพื่อน ๆ ชาวยุโรปของผมที่อาจจะไม่รู้ แต่ผมเติบโตขึ้นในสลัมที่เมืองเซาเปาโล มันถูกเรียกว่า Inferninho หรือแปลว่า “นรกขุมน้อย”

    หากคุณต้องการที่จะเข้าใจผมในฐานะคน ๆ นึง คุณต้องเข้าใจก่อนว่าผมมาจากไหน ประวัติศาสตร์ของผม รากเหง้าของผม อยู่ที่นี่ ที่ Inferninho

    มันเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงไม่ดี เพียงก้าวขาออกมาจากหน้าประตูบ้านแค่สิบห้าก้าว คุณก็จะเจอกับพ่อค้ายาที่กำลังติดต่อซื้อขายกันอยู่เสมอ กลิ่นของมันลอยคละคลุ้งอยู่นอกหน้าต่างจนเป็นเรื่องปกติ หนึ่งในความทรงจำแรก ๆ ของผมคือตอนที่พ่อของผมลุกขึ้นจากโซฟาในวันอาทิตย์และตะโกนใส่พวกค้ายาที่เดินอยู่บนถนนให้เดินออกไปและเงียบ ๆ หน่อย เพราะพวกเรากำลังนั่งดูเกมฟุตบอลกันอยู่ในบ้าน

    พวกเราเห็นกระบอกปืนอยู่ทุกวันจนไม่กลัวมันเลยแม้แต่น้อย มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน พวกเรากลัวตำรวจมาเคาะประตูบ้านมากกว่าเสียอีก มีครั้งนึงพวกเขาบุกเข้ามาในบ้านเราเพื่อค้นหาใครบางคน มีคนวิ่งและกรีดร้องไปทั่ว แต่ก็ไม่เจออะไร แน่ล่ะ เพราะพวกเราไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นตอนที่คุณยังเด็ก ช่วงเวลาเหล่านั้นจะฝังใจคุณ

    เพื่อน บางสิ่งบางอย่างที่ผมเคยเห็นน่ะ ต้องเป็นคนที่เคยอาศัยอยู่ที่นั่นเท่านั้นถึงจะเข้าใจ ตอนผมอายุประมาณสัก 8-9 ขวบ ผมเดินไปโรงเรียนในตอนเช้าและบังเอิญเห็นผู้ชายคนนึงนอนอยู่ในตรอกแคบ ๆ เขาไม่ขยับเขยื้อนตัวเลย เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ ๆ ผมถึงรู้ว่าเขาตายแล้ว ในสลัมอย่างนี้ คุณต้องทำเป็นชินชากับมัน ผมต้องไปโรงเรียนและมันไม่มีทางอื่นให้เดินแล้ว ก็เลยทำได้แค่หลับตาและกระโดดข้ามศพของเขาไป

    ผมไม่ได้พูดอย่างนี้เพื่อให้มันฟังดูหนักหนาหรือน่ากลัวอะไรนะ แต่มันเป็นเรื่องจริงในชีวิตผมเท่านั้นเอง อันที่จริงผมบอกตลอดว่าผมโชคดีในฐานะเด็กคนนึง เพราะนอกเหนือจากความลำบากของเราแล้ว ผมได้รับพรจากสวรรค์ ลูกบอลคือผู้ช่วยชีวิตผม เป็นสิ่งที่ผมรักมาตั้งแต่ยังนอนอยู่ในเปล ในนรกขุมน้อยนี้ ไม่มีใครหรอกจะสนใจของขวัญวันคริสต์มาส แค่ลูกบอลที่กลิ้งได้สักลูกก็สมบูรณ์แบบสำหรับเราแล้ว

    ทุก ๆ วัน พี่ชายผมจะพาไปเล่นฟุตบอลที่ลานกว้างในชุมชน ในสลัมนี้ ทุกคนเล่นฟุตบอล ไม่ว่าจะเด็ก คนแก่ คุณครู คนงานก่อสร้าง คนขับรถเมล์ พ่อค้ายา แก๊งอันธพาลก็ด้วย ณ ที่นั่น ทุกคนเท่าเทียมกัน สมัยพ่อของผม มันเป็นสนามดินเครอะ ๆ แต่พอมาถึงรุ่นผม มันก็เปลี่ยนเป็นสนามยางมะตอย ช่วงแรก ๆ ผมเล่นด้วยเท้าเปล่า เลือดนี่ไหลตลอดเลย แต่เราไม่มีเงินพอจะซื้อรองเท้าดี ๆ หรอก ตอนนั้นผมยังเด็กก็จริง แต่ผมเลี้ยงลูกบอลด้วยความคึกคะนองที่เป็นพรจากพระผู้เป็นเจ้า การเลี้ยงลูกบอลคืออะไรบางอย่างที่อยู่ในตัวผม มันเป็นสัญชาตญาณตามธรรมชาติ ผมไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ผมใช้ทริคต่าง ๆ เลี้ยงหลบพวกพ่อค้ายาและคนขับรถเมล์ เตะบอลลอดหว่างขาพวกลักขโมยด้วย ผมไม่แคร์อะไรเลยจริง ๆ

    แค่มีบอลอยู่ที่เท้า ผมก็ไร้ซึ่งความกลัว

    ผมเรียนรู้เทคนิคทั้งหมดจากตำนาน ทั้งโรนัลดินโญ เนย์มาร์ รวมถึงคริสเตียโนด้วย ผมเคยดูพวกเขาเล่นใน YouTube ต้องขอบคุณคุณลุงโตนิโอโล เขาไม่ใช่ลุงแท้ ๆ ของผม เขาเป็นเพื่อนบ้านของเรา แต่เขาก็ดูแลผมเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ตอนผมยังเด็ก เขามักจะให้ผมขโมยใช้สัญญาณ WiFi ผมจึงสามารถเข้า YouTube และเรียนรู้เทคนิคฟุตบอลดี ๆ จากในนั้นได้ วิดีโอเกมอันแรกในชีวิตผมก็ได้มาจากเขา ถ้าคุณลุงโตนิโอโลมีขนมปังสองก้อน ก้อนนึงจะเป็นของเขา ส่วนอีกก้อนเขาจะแบ่งให้เรา นี่คือเรื่องเกี่ยวกับสลัมที่คนอื่นไม่เข้าใจ หากมีคนคนนึงทำเรื่องเลวร้าย มันก็มักจะมีคนสองคนทำเรื่องดี ๆ เสมอ

    ผมบอกตลอดว่าผมเติบโตขึ้นในสถานที่ที่เลวร้าย แต่ได้ใช้ชีวิตท่ามกลางคนดี ๆ ตอนผมอายุ 8 ขวบ ผมกำลังเล่นฟุตบอลอยู่ในลานกว้างในชุมชน ตอนนั้นเองที่ทูตสวรรค์จากพระเจ้าเข้ามาในชีวิตผม ชายคนนึงกำลังดูผมใช้ทริคฟุตบอลกับพวกแก๊งอันธพาลราวกับคนบ้าที่ไม่เกรงกลัวอะไรเลย เขาหันไปถามคนอื่นที่กำลังดูอยู่เช่นกันว่า

    “เจ้าหนูนี่ใครน่ะ?”

    “เจ้าหนูนั่นน่ะเหรอ? เขาชื่อแอนโทนี”

    ชายคนนั้นคือผู้จัดการสโมสรเกรมิโอ บารูเอรี เขามอบโอกาสแรกในชีวิตผมเพื่อออกจากสลัมและไปเล่นให้กับทีมฟุตซอลของพวกเขา นับแต่นั้นผมก็เริ่มที่จะใฝ่ฝัน ผมจำได้ว่าวันนึงตอนที่กำลังเดินกับแม่อยู่ ผมเห็นรถสีแดงโคตรเท่คันนึงเล่นผ่านระแวกบ้านเราไป มันคือรถแลนด์โรเวอร์ แต่ในสายตาผมมันเหมือนเป็นรถเฟอร์รารีเลย ทุกคนมองกันเป็นตาเดียว แม่งโคตรเจ๋งเลยเพื่อน

    ผมหันไปหาแม่แล้วบอกว่า “แม่ วันนึงตอนผมเป็นนักฟุตบอล ผมจะซื้อรถแบบนั้น”

    แน่นอนว่าแม่ผมหัวเราะ

    แต่ผมโคตรจริงจัง

    ผมบอกแม่ว่า “ไม่ต้องห่วงนะแม่ หลังจากซื้อมาได้สักพัก ผมจะให้แม่ขับบ้าง”

    ย้อนกลับไปตอนนั้น ผมจะได้นอนอยู่ระหว่างพ่อและแม่ เราไม่มีเงินพอจะซื้อเตียงให้ผมใช้คนเดียวหรอก ทุก ๆ คืน ผมนอนหันไปข้างนึงก็จะเจอพ่อ หันไปอีกข้างก็จะเจอแม่ เราใกล้ชิดกันมาก และนั่นคือสิ่งที่ช่วยให้เรารอดมาได้ หลังจากนั้นก็มีบางสิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตผมไป

    ตอนผมอายุ 11 ขวบ พ่อแม่ผมแยกทางกัน มันเป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุดในชีวิตผมเลยล่ะ เพราะก่อนหน้านี้จะเจอเรื่องอะไรก็ตาม อย่างน้อยเรายังมีกันและกัน แต่ตอนนี้ พอผมนอนพลิกตัวหันไปอีกข้างกลางดึกก็จะไม่เห็นแม่อีกต่อไปแล้ว มันแย่มาก ๆ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นแรงกระตุ้นให้ผมด้วย ผมหลับตาและคิดว่า “ผมจะออกไปจากที่นี่ให้ได้”

    พ่อของผมออกจากบ้านตั้งแต่ตี 5 ทุกเช้า และกลับมาถึงบ้าน 2 ทุ่มตลอด ผมบอกพ่อว่า “ตอนนี้พ่อทำงานหาเลี้ยงผม แต่อีกไม่นาน ผมจะเป็นคนทำงานเลี้ยงพ่อบ้าง”

    ถ้าคุณพูดกับนักข่าว พวกเขาจะถามคุณเสมอว่าความฝันของคุณคืออะไร ได้ไปเล่นแชมป์เปียนส์ลีกเหรอ? หรือไปเล่นบอลโลก? หรือได้บัลลงดอร์?

    สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความฝัน มันเป็นเป้าหมายต่างหาก ความฝันเดียวของผมคือการพาครอบครัวออกไปจากสลัม มันไม่มีแผนสำรอง ผมต้องทำให้ได้หรือไม่ก็ตายเท่านั้น

    ตอนอายุ 14 ผมได้โอกาสที่สโมสรเซาเปาโล ทุก ๆ วันหลังเลิกเรียน ผมจะเดินทางไปอะคาเดมีแบบหิวไส้กิ่ว ไม่มีอะไรตกถึงท้อง บางครั้งนะ ถ้าวันไหนเป็นวันดี ๆ ผมกับเพื่อนจะรวมเงินกันไปซื้อคุ้กกี้เอาไว้กินระหว่างนั่งรถเมล์กลับบ้าน ผมไม่แม้แต่จะต้องแสร้งทำเป็นกระหายเพื่อสร้างแรงกระตุ้นหรืออะไรเลย เพราะสำหรับผม ความหิวโหยคือเรื่องจริง

    ข้างในตัวผมมีความเอาจริงเอาจัง หรืออาจเรียกมันว่าความฉุนเฉียวก็ได้ ผมมีปัญหาบางอย่างกับอารมณ์ของตัวเอง สามครั้งสามคราที่ผมเกือบจะโดนไล่ออกจากสโมสร ผมอยู่ในรายชื่อของคนที่จะถูกปล่อยตัวจากทีมแล้วด้วยซ้ำ และสามครั้งสามคราที่ใครบางคนในทีมก็ยืนหยัดเพื่อผม พวกเขาขอร้องให้ผมได้อยู่ต่อ ผมว่ามันคือพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า

    ตอนนั้นผมตัวผอมมาก แต่ผมตั้งใจเล่นจนเลือดตาแทบกระเด็นอยู่เสมอ นี่แหละคือความเอาจริงเอาจังที่มาจากข้างถนน คุณแสร้งทำไม่ได้หรอก คนชอบคิดว่าผมโกหกตอนเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง แม้กระทั่งตอนที่ผมเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพครั้งแรกที่สโมสรเซาเปาโล ผมยังอาศัยอยู่ที่สลัมอยู่เลย นี่เรื่องจริงนะ ตอนอายุ 18 ผมนอนเตียงเดียวกับพ่อ ไม่งั้นก็ต้องไปนอนบนโซฟา เราไม่มีทางเลือกอื่นหรอก เพื่อน แม้แต่ในปี 2019 ตอนผมยิงประตูใส่สโมสรคอรินเทียนส์ในการแข่งขันเปาลิสตา (Paulista) รอบชิงชนะเลิศได้ ผมเดินทางกลับบ้านในคืนนั้น คนที่ระแวกบ้านชี้นิ้วมาที่ผมแล้วถามว่า

    “ไอหนุ่ม ฉันเพิ่งเห็นนายในทีวี นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ?”

    “พี่ บ้านผมอยู่นี่ครับ”

    แล้วทุกคนก็หัวเพราะ ไม่มีใครเชื่อที่ผมพูด

    หนึ่งปีต่อมา ผมเป็นนักฟุตบอลของอายักซ์และได้เล่นแชมป์เปียนส์ลีก ตอนนี้แหละที่ทุกสิ่งเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ผมมีเตียงนอนของตัวเองนะ แต่มีแลนด์โรเวอร์สีแดงจอดอยู่ถนนหน้าบ้านแม่ผมด้วย ผมบอกแม่ว่า “เห็นไหมแม่ ผมบอกแล้วว่าผมจะทำให้ได้ และผมทำได้จริง ๆ”

    เมื่อตอน 10 ขวบ ผมบอกอย่างนั้นแล้วแม่หัวเราะ

    มาวันนี้ ผมเตือนความจำแม่เรื่องนั้นแล้วแม่ก็ร้องไห้

    ผมเดินทางจากสลัมไปยังอายักซ์ และจากอายักซ์ไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในระยะเวลาเพียงสามปี ผู้คนถามผมเสมอว่าผมประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร เอาจริง ๆ เลยนะ มันเป็นเพราะว่าผมไม่มีความกดดันอะไรเลยตอนอยู่ในสนาม ไร้ซึ่งความกลัว คุณไม่รู้จักความกลัวหรอกหากคุณเติบโตมาด้วยการต้องกระโดดข้ามศพคนตายเพื่อที่จะไปโรงเรียน

    ในชีวิตนี้ เราทุกข์ทรมาน กังวล และร้องไห้มามากพอแล้ว

    แต่ในฟุตบอล เมื่อมีลูกบอลอยู่ที่เท้า คุณควรจะมีแต่ความสุขเท่านั้น ผมเกิดมาเพื่อเลี้ยงลูกฟุตบอล มันเป็นส่วนหนึ่งของรากเหง้าผม มันเป็นของขวัญที่ทำให้ผมออกจากสลัมมายังโรงละครแห่งความฝันนี้ได้ ผมจะไม่มีวันเปลี่ยนวิธีการเล่นของผมหรอก มันไม่ใช่สไตล์ แต่มันคือตัวตนของผม เป็นส่วนหนึ่งของผม เป็นหนึ่งในเรื่องราวของพี่น้องชาวบราซิล หากคุณดูแค่คลิปของผมที่มีความยาวแค่สิบวินาที คุณไม่มีทางเข้าใจหรอก ในชีวิตนี้ไม่มีเรื่องไหนเลยที่ผมทำเล่น ๆ ทุกสิ่งที่ผมทำ ผมทำอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพื่อมุ่งไปข้างหน้าด้วยความกล้าหาญ เพื่อโจมตีคู่แข่งให้หวาดกลัว เพื่อหาพื้นที่ว่าง และเพื่อช่วยให้ทีมของผมเกิดความแตกต่าง

    ถ้าคุณคิดว่าผมมันเป็นแค่ตัวตลก นั่นแสดงว่าคุณไม่เข้าใจเรื่องราวของผม ทักษะและศิลปะการเล่นฟุตบอลจากโรนัลดินโญ คริสเตียโน และเนย์มาร์เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเมื่อตอนเป็นเด็ก ผมเฝ้าดูเทพเจ้าลูกหนังเหล่านี้ด้วยความประหลาดใจจากสัญญาณ WiFi ที่ขโมยมา หลังจากนั้นผมก็ออกไปเล่นบนสนามคอนกรีตเพื่อเลียนแบบความอัจฉริยะของพวกเขา

    แม้คุณจะเกิดในขุมนรก แต่ก็ยังมีพรจากสวรรค์

    เมื่อมีคนถามผมว่า “สไตล์การเล่นคุณมีจุดประสงค์เพื่ออะไร? คุณต้องการจะสื่อสารอะไรออกไป?”
    ผมตอบว่า

    พี่ชาย ผมกำลังส่งข้อความกลับบ้าน ถึงรากเหง้าของผม

    ในยุโรป ที่ซึ่งมีขนมปังวางอยู่บนโต๊ะอาหารทุกค่ำคืน บางครั้งผู้คนก็หลงลืมไปว่าฟุตบอลเป็นเกมเกมนึง แน่ล่ะว่ามันสวยงาม แต่ก็ยังเป็นเกมอยู่ดี ชีวิตต่างหากที่สาหัสและจริงจัง อย่างน้อยก็สำหรับพวกเราที่เกิดและเติบโตในนรกขุมเล็ก ๆ บนโลกใบนี้

    ผมพูดอยู่เสมอว่าไม่ว่าผมจะไปที่ใด และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมคือตัวแทนของสถานที่ที่สอนผมทุกอย่าง หากปราศจากบ้านของผม หากปราศจากครอบครัว พี่น้อง และเพื่อนของผมเหล่านั้น สิ่งเหล่านี้ก็ไร้ความหมาย ก่อนเริ่มเกมทุกเกม ผมจะเขียนคำนี้ไว้บนรองเท้า

    “FAVELA.” (สลัม)

    ตอนผมก้มลงไปผูกเชือกลงเท้า ผมระลึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้นได้ ผมจำได้ทุกอย่าง

    นี่คือเรื่องราวของผม หากคุณยังไม่เข้าใจผมหรือยังคิดว่าผมเป็นแค่ตัวตลก ผมจะชี้ไปที่รอยสักที่แขน...


    Quem vem de lá sabe um pouco do que eu já passei.
    มีเพียงแค่คนที่มาจากสลัมเท่านั้นที่รู้ว่าผมผ่านอะไรมาบ้าง


    ถ้อยคำเหล่านั้นพูดแทนผม และพูดแทนพวกเราทุกคน


    __________________________________________________

    Antony. “The Boy from Hell: By Antony.” The Players' Tribune, The Players' Tribune, 15 Nov. 2022, https://www.theplayerstribune.com/posts/antony-brazil-world-cup-soccer-premier-league-manchester-united. 

     

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in