เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[นิยาย] ดุจเรือนใจMepMhee
ดุจเรือนใจ (บทที่ ๑๓)

  • ท้องฟ้าเดือนมิถุนายนนั้นสดใส สีจัด ไร้เมฆปกคลุม แม้จะเริ่มมีฝนบ้างแล้ว หากเป็นฟ้าของเมืองชายทะเลก็คงเปรียบได้ดั่งช่วงเวลาที่ดีงามเหมาะแก่การเที่ยวเล่น ทว่าเมื่อปรากฏในกรุงเทพมหานครเมืองที่เกือบไร้ร่มเงาพฤกษ์ คนก็เลยต้องอาศัยเงาตึกและสะพานรถไฟฟ้าเพื่อหลบแดดเริงแรงพลางเดินสูดควันพิษและฝุ่นละอองเข้าปอดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

     จตุรวัชรเอารถไปจอดที่คอนโดมิเนียมของพี่ชาย แล้วจึงหอบอาหารกลางวันซึ่งภามินและเพื่อนฝากซื้อขึ้นรถไฟฟ้ามายังสถานที่จัดงาน ทันทีที่ก้าวออกมาเขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนกำลังตามคนจำนวนมาก ที่ต่างพากันเดินลงจากตัวสถานีลงบันไดมาจนกระทั่งถึงจากหน้าประตูใหญ่ที่มีทหารเวรยืนเฝ้ายามอยู่ ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปตามทางเดินด้วยความประหลาดใจ แค่เห็นคนที่กำลังจะเข้างานเขาก็คิดแล้วว่า ‘งานหนังสือ’ ที่ภามินบอกท่าทางจะค่อนข้างใหญ่กว่าที่คิด ทว่าพอเขาได้เลี้ยวผ่านแนวต้นไม้เข้าสู่ถนนเลียบสระที่อีกฟากหนึ่งเป็นสนามหญ้าเขียว ชายหนุ่มถึงได้รู้ว่าตนเองคิดผิดอย่างมหันต์

    งานหนังสือค่อนข้างใหญ่...อันนี้ใช่ ถึงกับใช้หอประชุมในค่ายทหารจัด

    แต่คนมาก...นี่ผิด! เขาควรจะบอกว่าคนมหาศาลมากกว่า

    ผู้คนมากเกินนับได้ยืนต่อแถวตั้งแต่ใต้ร่มอาคาร ยาวออกมาจนสามารถวนรอบตัวอาคารได้หลายทบ ชวนให้สงสัยว่าผู้ที่มาแรกสุดนั้นมากันตั้งแต่กี่โมง เพราะตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดงานเสียด้วยซ้ำ แต่คนก็มหาศาลจนกลัวว่าสถานที่จะไม่สามารถรองรับคนได้ ถ้าให้พูดกันตรงๆ ด้วยคนเท่านี้แอร์คงยากที่จะเย็นฉ่ำได้

    ชายหนุ่มเดินเข้าไปด้านในเพราะภามินโทรศัพท์มาบอกเมื่อครู่ เขาชะเง้อหาแฟนตนเอง แล้วก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนรออยู่ก่อนแล้ว พร้อมผมทรงใหม่ ที่เธอเชื่อใจและยอมให้จตุรวัชรออกแบบ

    ปลื้มไหมล่ะ!

    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จตุรวัชรขับรถพาอีกฝ่ายไปที่ร้านทำผมของเพื่อนย่านทองหล่อ เมื่อไปถึงก่อนเวลาทั้งสองเลยนั่งรออยู่ในร้านพลางจิบของว่างที่พนักงานเตรียมมาให้ เมื่อถึงเวลาที่ภามินต้องทำผมชายหนุ่มก็นั่งรออย่างไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรนัก เขาเปิดแทบเล็ทนั่งอ่านอีเมลธุระไปพลาง หลังสระผมเสร็จเพื่อนผู้เป็นช่างทำผมก็พาเธอมานั่งหน้ากระจก และถามอย่างใส่ใจว่ามีความต้องการอะไรบ้าง เจ้าของผมกลับกะพริบตาปริบๆ เงยหน้ามองเขาราวขอความช่วยเหลือ เพราะเธอบอกก่อนที่จะถึงร้านว่าตนเองอยากเปลี่ยนทรงผมแต่นึกไม่ออกว่าจะเลือกทรงอะไรดี ก็คงจะตัดสั้น แต่จะให้ซอยเป็นทรงเหมือนผู้ชายก็ไม่ชอบ

    ‘จริงๆ ถ้าตัดเป็นบ๊อบยาวเท่าแนวกรามก็น่าจะเหมาะ’ เขาออกความเห็น ‘เอาทรงที่ไม่ต้องดูแลมาก เป่าแห้งด้วยดรายร์หรือพัดลมก็พอ ไม่ต้องมานั่งม้วนนั่งเซ็ท เอาสบายๆ ใช้เวลาน้อยๆ จะได้มีเวลานอนเยอะๆ’

    ‘โอ้โห สั่งราวเป็นหัวตัวเอง’ เพื่อนแซวพลางหัวเราะ ‘มีอะไรอีกไหม’

    ‘หน้าม้า’ จตุรวัชรสั่งเสียงเฉียบ ‘ตัดหน้าม้าด้วย ผมคุณแพร์หนา ตัดหน้าม้าหนาหน่อยได้สบาย แต่อย่าเต่อ อย่ายาวปิดคิ้ว เพราะทรงคิ้วเขาสวย ตาก็สวย ควรโชว์คิ้วโชว์ตา แต่อย่าตัดตรงๆ ทื่อๆ เป็นคลีโอพัตรานะเว้ย ไม่อยากเป็นมาร์คแอนโธนี่’

    ภามินที่นั่งอยู่ฟาดสีข้างเขาด้วยความหมั่นไส้ หรือเขินอายก็ไม่อาจจะล่วงรู้ได้ ‘มาร์ค แอนโธนี่หรือมาร์คแอนโธตี่’

    ‘คุณแพร์ทำร้ายสี่ด้วยวาจาทำไม’

    เธอวางท่าไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนตอบ ‘เอาตามนั้นค่ะ ตามที่สี่บอก ลองดู’

    ‘ย้อมเข้มด้วยนะ น้ำตาลเข้ม ไม่ต้องฟอก’ จตุรวัชรเสริม ‘แต่จะย้อมเข้มโทนไหน แทรกไฮไลท์อะไรยังไง ตามสบายเลย จัดการได้ ขอดูเป็นธรรมชาติ สบายๆ’

    ‘สั่งจังมึง’ เจ้าของร้านหัวเราะระหว่างค้อมกายและใช้มือสัมผัสผมภามิน 

    ‘แต่ก็ได้ตามสั่งแน่นอนอยู่แล้ว’ 

    เขาสบตากับหญิงสาวผ่านกระจก ชายหนุ่มกำมือทำท่า ‘สู้นะ’ ให้กำลังใจ แต่อีกฝ่ายกลับย่นจมูกตอบ

    แล้วผลก็ออกมาดูดีอย่างนี้แหละ

    อยากจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับหัวตาเพราะซาบซึ้งในความปราดเปรื่องของตัวเอง

    “สี่”

    “คร้าบ” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ยืนรอให้อีกฝ่ายเดินมาหา

    การย้อมสีเข้มและตัดผมบ๊อบทำให้ภามินไม่ต้องเสียเวลาจัดแต่งทรงผมนานเท่าแต่ก่อน รวมถึงไม่ต้องแต่งหน้าจัดด้วย จากการสังเกตเพื่อนสาวใกล้ตัว ถ้าย้อมผมสีจัดๆ โดดเด่นเมื่อไหร่ ก็จะเผลอแต่งหน้าจัดให้โฉบเฉี่ยวตามในทันที ฉะนั้นหากจะแก้ปัญหาให้แฟน เขาว่าการเริ่มที่ทรงผมเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะวันนี้อีกฝ่ายก็แต่งหน้าโทนธรรมชาติมา แปลกหูแปลกตา แต่น่ามอง

    “สี่หยุดยืนทำไมล่ะ รีบมาสิ”

    จตุรวัชรประหลาดใจที่น้ำเสียงอีกฝ่ายดูร้อนรนและมีท่าทีกระวนกระวายอย่างประหลาด “มีอะไรหรือเปล่าคุณแพร์”

    แทนที่เธอจะรับเสบียงอาหารกลางวันในมือ เธอกลับหยิบเชือกร้อยบัตรบางอย่างคล้องหัวเขาและจูงเดินเข้างาน โดยไม่ลืมพลิกท้องแขนให้สตาฟฟ์หน้าประตูปั๊มหมึกเสียก่อน ชายหนุ่มเดินตามอีกฝ่ายไปด้วยความงุนงง พลางมองอาคารจัดเลี้ยงที่มีโต๊ะเรียงรายและมีเสียงเซ็งแซ่ของผู้คนที่ต่างรีบจัดข้าวของในบูธของตัวเองให้เรียบร้อย

    “อีกสิบนาทีจะให้เซอร์เคิลได้ซื้อของ เตรียมตัวกันนะคะ ดูด้วยว่าที่บูธมีคนเฝ้าแล้ว ระวังเงินหล่นหายด้วยค่ะ”

    เซอร์เคิล...คืออะไร

    ชายหนุ่มได้แต่มุ่นคิ้ว

    “บิ่มบิ๋ม สี่มาแล้ว” 

    ศศิอาภาที่นั่งอยู่หลังโต๊ะถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอลุกขึ้นมารับข้าวกล่องลงไปวางไว้ใต้โต๊ะ ก่อนหันกลับมาจับมือเขาเขย่าเบาๆ

    “คุณสี่ บิ๋มฝากด้วยนะคะ ต้องอยู่บูธขายของ”

    เขากะพริบตาปริบๆ “ให้สี่ทำอะไรนะครับ”

    “คืองี้” ภามินเพิ่งนึกได้ว่าต้องอธิบาย “เพื่อนรุ่นน้องที่แพร์จะมาช่วยขายการ์ตูน ไอ้คนที่จองได้โต๊ะข้างๆ เนี่ยรถติดยังมาไม่ถึง แต่ของมาถึงแล้ว บอกให้ช่วยขายแทนไปเลย”

    “อาฮะ” คนฟังพยักหน้า

    “แล้วเพื่อนอีกคนที่จะมาช่วยขายกับวิ่งซื้อของให้เมื่อเช้าท้องเสีย มาไม่ทันก่อนเข้างาน แต่อาการดีขึ้นแล้ว ยังดูๆ อยู่ว่ามาไหวไหม” ศศิอาภาอธิบายต่อ “เพราะงี้แหละเลยขาดคน แพร์วิ่งซื้อคนเดียวไม่ทันแน่”

    “ก็เลยจะให้สี่ช่วยซื้อแทนใช่ไหม” เขามองทั้งสองคนพยักหน้ารัวๆ “ไม่มีปัญหาหรอก จดมาว่าจะเอาอะไรบ้าง เดี๋ยวสี่เดินไปซื้อให้”

    “ถ้าสี่เดิน สี่จะไม่ทันกินนะบอกเลย” ภามินตบไหล่

    “ฮะ...” ชายหนุ่มอุทาน “ยังไง”

    “วิ่ง” ทั้งสองคนพูดพร้อมกัน

    คนเป็นแฟนคงรู้ว่าสีหน้าที่จตุรวัชรแสดงออกไปเป็นอย่างไร เธอจึงตบบ่าเบาๆ “แต่ละบูธที่มีเลขมีชื่อเนี่ย เขาเรียกว่าเซอร์เคิล”

    “ที่แปลว่าวงกลมน่ะนะ” เขาถามย้ำ

    “ใช่ แล้วสี่ก็แค่ไปซื้อตามใบนี้” เธอตอบ “จำนวนเล่ม จำนวนเงิน แพร์กับบิ่มบิ๋มเขียนไว้ให้หมดแล้ว เงินที่มัดหนังยางไว้ให้พอดีเป๊ะ ไม่ต้องทอน ยื่นให้เขาได้เลย สี่แค่ไปให้ครบทุกเซอร์เคิล เสร็จแล้วก็กลับมานั่งพักที่นี่นะ”

    “นี่มันงานขายหนังสือหรือแข่งแรลลี่!” ชายหนุ่มโพล่งด้วยความประหลาดใจ

    “บางคนทำน้อยไงคะคุณสี่” ผู้ที่นั่งอยู่กับบูธถอนใจ “บิ๋มอยากไปวิ่งเองจะตาย สนุกสุดๆ”

    “บิ๋มข้อเท้าแพลงน่ะสี่” ภามินอธิบาย

    “อ๋อ เข้าใจละ งั้นเดี๋ยวสี่จัดการให้” เขารับถุงผ้าที่ข้างในมีกล่องพลาสติกใสบรรจุธนบัตรม้วนเป็นมัดพร้อมติดหมายเลขไว้อย่างเป็นระเบียบ ชายหนุ่มก้มลงดูผังเซอร์เคิลต่างๆ ที่เขียนอยู่บนกระดาษแผ่นใหญ่ และไล่สายตาอ่านว่ามีชื่อหนังสืออะไรบ้าง ทันใดนั้นเขาก็พบวงเล็บเล็กๆ ที่เขียนไว้ข้างหลังชื่อหนังสือ

    (เบญจ์+เอรี่)

    เอ๊ะ...

    “เดี๋ยวนะ นี่มีของนางเบนจี้กับนางเอรี่ด้วยเหรอ”

    “ถึงให้สี่เป็นคนซื้อไง จะได้ถือเป็นบุญคุณกันได้ในอนาคต” ภามินยิ้มกว้าง

    จตุรวัชรทำหน้าซาบซึ้งก่อนลูบผมอีกฝ่ายเบาๆ “ช่างรู้ใจกันจริงๆ ขอบคุณนะคุณแพร์”

    “เลิกหวานได้แล้วย่ะ” ศศิอาภาขัด “เตรียมตัวเร็วเข้า”

    “โอเค” ทั้งจตุรวัชรและภามินตอบพร้อมกัน

    “เซอร์เคิลคะ” เสียงประกาศออกไมค์ทำให้ทุกคนตื่นตัว ราวเป็นนักกรีฑา ณ จุดสตาร์ทของงานวิ่งมาราธอน เตรียมตัวนะคะ สตาฟฟ์จะปล่อยให้ซื้อของกันเองแล้ว”

     ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก เตรียมพร้อมด้วยใจระทึกเมื่อได้ยินเสียงเลขนับถอยหลังน้อยลงเรื่อยๆ



  • จตุรวัชรนั่งจ้วงข้าวหมูทอดกับถั่วลันเตาหวานผัดกุ้งเข้าปาก ในเวลาบ่ายคล้อย

    ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้ออกจากงานไปเดินเล่นฆ่าเวลาที่ห้างอย่างที่ตั้งใจในที่แรก เพราะเพื่อนที่ป่วยของภามินนั้นไม่สามารถมางานได้ ชายหนุ่มเลยอยู่โยงช่วยขายหนังสือยาว พอเข้าช่วงเที่ยงวันหนังสือบางเล่มก็หมดจากบนโต๊ะจนต้องตั้งป้ายว่าสามารถสั่งรอบไปรษณีย์ได้ในเว็บเพจคนจึงเริ่มซาลงบ้าง เขาเลยถือโอกาสไล่สาวๆ ทั้งสามคนลงไปนั่งกินข้าวกล่องที่ตนเองเตรียมไว้ให้ ข้าวกล่องนี้ทีแรกเขาว่าจะซื้อกับข้าวสำเร็จมาฝาก แต่เมื่อเช้าดันตื่นไวจึงได้ไปใส่บาตรพร้อมกับแม่ และเลยเข้าตลาดสดไปซื้อวัตถุดิบมาทำข้าวกล่อง

    เพื่อนทั้งสองของภามินชมว่าอร่อยไม่ขาดปาก แถมยังกล่าวอีกว่าเธอโชคดีที่มีแฟนทำอาหารอร่อย นับเป็นหนุ่มในฝันของสาวๆ หลายคน ฟังแล้วก็น่าดีใจอยู่แต่จตุรวัชรก็ไม่ได้คิดว่าตนเองดีเลิศขนาดนั้น เขายังมีอีกหลายเรื่องที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นนิสัยไม่ดี แต่นั่นคือส่วนหนึ่งของตัวเขาซึ่งไม่อาจจะเปลี่ยนได้

    แค่ตอนนี้ทุกคนยังไม่รู้ตัวก็เท่านั้น

    “สี่ ซื้อน้ำเปล่ามาให้” ภามินทรุดตัวลงขัดสมาธิใกล้ๆ ก่อนบิดเปิดขวดน้ำพร้อมใส่หลอด “เหนื่อยหน่อยนะ แทนที่จะได้ไปเดินเล่น กลับต้องมาเหนื่อยยาวๆ เลย เที่ยวก็ไม่ได้เที่ยว เดทก็ด้วย”

    “ก็ถือซะว่าเดทกันในงาน” เขายิ้ม รับน้ำมาดื่ม

    “อุตส่าห์แต่งมาซะหล่อ เสื้อยืดเทาพาดลายขวางสีดำ กางเกงสีเขียวมินท์ นี่นานๆ เห็นใส่กางเกงขาสั้นนะเนี่ย” 

    “ร้อนนี่นา” คนพูดจิบน้ำอีกครั้ง

    “แต่ก็ยังใส่สนีกเกอร์ ไม่ใส่รองเท้าแตะล่ะ”

    “มันไม่สุภาพ” เขาตอบ “จริงๆ คือสี่ลืมแตะฟองน้ำไว้ที่อยุธยาน่ะ ไม่งั้นใส่มาละ”

    “แล้วคาร์ดิแกนสีเหลืองนี่เคยใส่แล้วนี่นา ตอนเอาเค้กมาส่ง ชอบเหรอ” 

    คนโดนถามยิ้มเขิน “จำได้ด้วย แหม ก็ชอบนี่นา ผ้ามันนิ่มดี สบาย กันแดดได้อีกต่างหาก” พูดเสร็จเขาก็ขยับนั่งให้หลังตรงกว่าเดิมอีกนิด

    “สี่นี่...” เธอก้มลงมอง ก่อนเงยหน้า “ไม่มีขนหน้าแข้งเนาะ แวกซ์เหรอ”

    จตุรวัชรเกือบสำลักพรวดพ่นน้ำออกมา แต่เพราะกลั้นเอาไว้ได้จึงทำให้เขาไออยู่ครู่หนึ่ง จนอีกฝ่ายต้องเข้ามาใกล้เพื่อลูบหลัง “คุณแพร์มามองอะไรหน้าแข้งชาวบ้าน!”

    “ก็สงสัยนี่ ผู้ชายเขาไม่ค่อยแวกซ์ขนหน้าแข้งกันหรอก ถ้าไม่ใช่นายแบบหรือดารา”

    “เมื่อก่อนก็เคยแวกซ์ ตอนเด็กๆ สมัยโน้นนนน” ชายหนุ่มตอบ ก่อนขยายความ “คือนางตัวดีสองตัวนั่นชอบลองครีมแวกซ์ แล้วมันก็มาลองกับหน้าแข้งสี่”

    “แล้วก็ยอมเขาเนาะคนเรา”

    “ก็มันไม่ค่อยมีขนหน้าแข้งอยู่แล้วไง พวกนั้นถึงมาลอง อยากรู้ว่าประสิทธิภาพจะดีไหม แบบเส้นขนน้อยอยู่แล้วก็ยังดึงออกมาได้”

    “ผลเป็นยังไงกัน” ภามินถามด้วยความสนใจสนใจ

    “น้ำตาแทบเล็ด” คนพูดถอนหายใจ ทำท่าขนลุกขนพองเมื่อนึกถึงอดีตอันขมขื่น 

    หญิงสาวหัวเราะเสียงดัง ก่อนเปลี่ยนไปนั่งข้างๆ และยืดขาผ่อนคลาย “เมื่อกี้แพร์เจอกระถาง บอกว่ามากับเพื่อน”

    “เออ เมื่อกี้สี่เจอคิตตี้ด้วย นางเคยเล่าว่ามางานแบบนี้ประจำแหละ ชอบอ่านการ์ตูนแต่เด็กแล้ว”

    “ไปๆ มาๆ ก็เหมือนโลกกลมเนาะ รู้จักข้ามกันไปข้ามกันมา” เธอหยิบส้อมมาจิ้มกุ้งและถั่วลันเตาหวานในกล่องข้าวของคนนั่งข้างเข้าปาก แฟนหนุ่มใช้ช้อนตักข้าวส่งไปจ่อปาก แล้วภามินก็งับข้าวทั้งคำอย่างไม่ลังเล

    “ถ้าโลกไม่กลมเราจะเป็นอย่างตอนนี้เหรอยะนังแพร์”

    ภามินยกรีบมือปิดปากเพราะเผลอหัวเราะเสียง ‘เจ๊สี่’ จนเกือบพ่นข้าวออกมาเหมือนเครื่องหว่าน เธอฟาดคนข้างๆ ดังผัวะ แต่อีกฝ่ายก็ลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ หญิงสาวกลั้นหายใจเสหน้าไปทางอื่นเพื่อเคี้ยวข้าวจนหมดคำแล้วจึงฉวยเอาน้ำเปล่าที่วางอยู่มาดื่ม จากนั้นจึงเอ่ยกับคนใกล้ตัว

    “อีกแป๊บก็กลับได้แล้วล่ะ ไม่มีของขายแล้ว เหลือนิดหน่อยเอง พวกเล่มเก่าๆ รีปรินท์ น่าจะไม่ยุ่งละ ปล่อยให้เขาขายกันเอง เราชิ่งไปเที่ยวเล่นกัน”

    “ก็ได้นะ”

    “สี่จะดูหนังหรือเปล่า เห็นบ่นในเฟซบุ๊คว่าอยากดูหนังเรื่องไหนนะ แพร์จำไม่ได้”

    “ไม่ดูอะ”

    “อ้าว” ภามินอุทาน “ทำไมล่ะ ก็อยากดูนี่ ไปดูด้วยกันสิ”

    “ก็คุณแพร์ไม่ได้อยากดูนี่นา ถ้าอยากดูเหมือนกันคงจำชื่อเรื่องได้ จริงไหม”

    หญิงสาวพยักหน้ารับ “ขอโทษนะ...”

    “โธ่ ขอโทษทำไม” เขาหัวเราะ “คือ เราต่างคนต่างก็ยุ่ง เวลาเจอกันก็น้อย จะเอาเวลาอยู่สองคนไปทำอะไรที่สามารถทำตามลำพังคนเดียวได้เพื่ออะไรกัน หนังน่ะ เดี๋ยวสี่ว่างสี่ก็ดอดไปดูคนเดียว สี่ไม่ซีเรียสหรอก”

    “ตามนั้นเลย” เธอยิ้มตอบ “มันไม่ได้สำคัญที่อยากดูด้วยกันต้องเข้าไปนั่งข้างๆ กันเนอะ เอาไว้ถ้าอยากดูเหมือนกันเราค่อยนัดไปดู รอบค่ำก็ได้ หลังเลิกงาน ดีไหม”

    แฟนหนุ่มยกนิ้วโป้งแทนคำตอบ

    “แล้วก่อนกลับบ้านสี่จะไปกินขนมอะไรดีล่ะ” ภามินถามพลางช่วยเขาเก็บกล่องลงถุงผ้าที่หิ้วมา “แพร์เลี้ยงนะ สี่อุตส่าห์มาช่วยขายของ อยากกินอะไรบอกเลย เลี้ยงหมด”

    “ฮันนี่โทสต์ ไอศครีมหนึ่งก้อน” เขาตอบอย่างไม่ลังเล แล้วจึงลุกและฉุดหญิงสาวให้ยืนตาม

    “งั้นไปอารีย์ละกัน ใกล้ๆ”

    “ได้เลย” จตุรวัชรเดินกลับไปประจำที่นั่งของตนเอง สอดส่ายสายตาดูปริมาณหนังสือที่เหลือติดโต๊ะแค่ไม่กี่เล่ม “ของใกล้หมดแล้วใช่ไหม สี่ว่ารอหมดเลยดีกว่า จะได้ออกพร้อมๆ กัน ทิ้งคุณบิ๋มขาแพลงไว้คนเดียวน่าสงสาร ว่าแต่คุณบิ๋มจะกลับยังไง”

    “เอารถมาค่า จอดอยู่ที่ลานหน้าตึกนี่เอง” ศศิอาภาตอบ แล้วจึงหันไปทอนเงินให้ลูกค้า

    “เอ๊า ขาแพลงแล้วขับรถยังไง สี่ขับกลับให้มั้ย”

    “นางขาแพลงข้างซ้าย” ภามินตอบแทน 

    “รถบิ๋มเป็นเกียร์ออโต้ค่ะ ถ้าเป็นขาขวานี่คงแท็กซี่ดีกว่า อันนี้พอไหวๆ ใกล้หายแล้วด้วย ขอบคุณที่ห่วงใยกันนะคะ ใจดีจริงๆ”

    “แฟนพี่แพร์หล่อ ใจดี แล้วยังทำกับข้าวอร่อยด้วยอะ” ผู้ที่ขายของบูธติดกันและมาสายยิ้มร่า “ขอบคุณพี่สี่มากเลยนะคะ”

    “ไม่เป็นไร กันเองๆ” เขาตอบก่อนจัดระเบียบธนบัตรในกล่องเหล็กที่เอาไว้เก็บเงิน

    หญิงสาวสองคนเดินตรงมาที่บูธด้วยความเร่งรีบ เธอหยุดยืนพักหายใจโดยมีศศิอาภาใช้สมุดพัดให้ 

    “สั่งฟิคของคุณมูนบีมไว้ค่ะ สองเล่ม มารับในงาน ยังทันไหมคะ” คนพูดมองซ้ายขวาเพราะหาหนังสือเล่มที่ตนต้องการไม่เจอ

    “รบกวนขอทราบชื่อและรหัสการจองค่า” เจ้าของหนังเปิดแฟ้มที่สอดกระดาษซึ่งพิมพ์รายชื่อเอาไว้

    “โมโกะ เอส ค่ะ” ลูกค้าตอบ พลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู “รหัส เอ็มบี ศูนย์สองสอง”

    “สั่งกี่เล่มนะคะ” ศศิอาภาถามซ้ำ

    “สองค่ะ สองชุด”

    “โอเคถูกต้องค่า” คนขายก้มลงไปหยิบหนังสือที่เก็บเอาไว้ในกระเป๋าเดินทางใส่ถุงกระดาษและยื่นให้ “ขอบคุณมากนะคะที่อุดหนุน”

    จตุรวัชรลอบฟังอยู่และคิดว่ารอบคอบดี เพราะถ้าให้ดูแผ่นรายชื่อตรงๆ อาจจะโมเมได้ง่ายว่ารหัสของผู้อื่นเป็นของตนเอง นับว่าเป็นความใส่ใจของคนขายที่ต้องชื่นชม

    “ถัดจากฟิคแล้วจะพิมพ์งานออริจินัลไหมคะ” แฟนผลงานถามต่อ “เรื่องที่ลงอยู่ตอนนี้น่ะค่ะ น่ารักมากกกกก”

    “พิมพ์ค่า ไม่นานนี้แหละ”

    “คุณมูนบีมไม่ลองส่งสำนักพิมพ์หรือคะ” หญิงสาวอีกคนเสนอ “ไม่น่าต้องพิมพ์เองเลย ลองส่งสำนักพิมพ์นะคะ จะเอาใจช่วย เราว่าผ่านแน่ๆ”

    “ขอบคุณนะค้า” ศศิอาภายิ้มอย่างซึ้งใจ

    “เรื่องในบอร์ดนายเอกน่ารักมากกกก แรดสุดๆ คือดูเป็นผู้ชายนะคะ ไม่สาว แต่แรด คำพูดคำจา การแต่งตัว เก๋ไม่มีใครเกิน น่าเอ็นดูค่ะ” คนพูดปรายตามองมาทางชายหนุ่มคนเดียวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ “คงแต่งตัวเก๋เหมือนคุณคนนี้เลยนะคะ”

    คนเขียนนิยายหันมามองและยิ้มหวาน “เก๋แบบคุณคนนี้แหละค่ะ ใช่เลย”

    จตุรวัชรได้ยินบทสนทนาพาดพิงเลยได้แต่ยิ้มตอบ โดยไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดภามินถึงลงไปซบหน้ากับโต๊ะแล้วหัวเราะจนสั่นไปทั่งสรรพางค์กาย



    จตุรวัชรนั่งนิ่งอยู่ตรงชุดโซฟาห้องรับแขก ที่เก้าอี้นวมเดี่ยวเข้าชุดกันมีชายร่างใหญ่โตนั่งเอนหลังมองมาทางเข้าอย่างพินิจพิเคราะห์ เขารู้จากภามินว่าอีกฝ่ายคือภาคินหรือพี่พลับพี่ชายของเธอ ซึ่งโดยปกติแล้วจะอยู่คอนโดมิเนียมของตนเองและนานครั้งจะกลับบ้านที ประจวบเหมาะต้องกลับมาวันที่ชายหนุ่มมาส่งภามินที่บ้าน แถมในบ้านยังมีพ่อและภรรยา รวมถึงเด็กๆ ซึ่งเป็นลูกติด โฉบมาดูเขาเป็นระยะ

    บางทีชายหนุ่มก็อยากหันป้ายไปให้ทุกคนอ่านออกเสียงว่า ‘ถ้าไม่ให้อาหารห้ามถ่ายรูป’

    นั่นเพราะเขากำลังรอกินข้าวเย็นกับทุกคนอยู่

    “คุณสี่อายุสามสิบหรือยัง”

    ผู้เป็นแขกมองพี่ชายแฟนซึ่งเคยได้แต่คุยกันผ่านทางเฟซบุ๊ค “ยังครับพี่พลับ แต่ก็จวนแล้ว”

    “หน้าตาไม่ให้เลย”

    “ดูอย่างกับเด็กนักศึกษาจริงๆ นะ” ภาคินหัวเราะ “นี่ผมยังกลัวๆ อยู่ว่าถ้าเดินควงกับแพร์แล้วแพร์จะดูเป็นป้าแก่ไป แต่เห็นตัดผมใหม่แล้วก็เข้าที ดูเด็กลง”

    “คุณแพร์หน้าไม่ได้แก่กว่าวัยหรอกครับ” เขาตอบในทันที “เพียงแต่ผู้หญิงโฉบเฉี่ยวหน่อยแล้วทำสีผมจัดๆ ด้วย ถ้าไม่แต่งหน้าให้เป๊ะตลอดเวลาก็จะดูซีดศพไปเลย พอคุณแพร์ย้อมผมเข้มขึ้นก็แต่งเบาลงได้ เน้นบำรุงผิว เผยผิวธรรมชาติแทน ช่วงนี้รันเวย์ต่างประเทศนิยม แต่เอาจริงๆ มันก็เป็นเทรนด์มาทุกยุคแหละครับ คนไทยเราเองไปบ้าทำให้หน้าเนียนกริบตลอดเวลา คือนอกจากมีรอยดำแล้วปกปิด ผู้หญิงไม่ต้องลงรองพื้นหนาหรอก นี่เมืองร้อน เหงื่อไหล ปล่อยให้ผิวหายใจบ้างน่ะดีแล้ว”

    ชายร่างสูงใหญ่ที่นั่งใกล้กะพริบตาปริบๆ

    จตุรวัชรมองตอบ แล้วจึงอธิบายต่อ “เอาเป็นว่าเสียเวลาแต่งหน้าน้อยลง มีเวลานอนเยอะขึ้น”

    “อันนี้ค่อยเก็ท” ลูกชายคนโตของบ้านเอ่ย “คุณสี่นี่ดูเข้าอกเข้าใจแพร์ดีจริงๆ”

    “เป็นเพื่อนกันมาก่อนนานแล้วเหมือนกันครับ” คนพูดยิ้ม “แต่ถ้าสี่จะขอว่าพี่พลับไม่ต้องพูดสุภาพก็ได้ครับ เรียกคุณสี่พิลึก เรียกสี่เฉยๆ ก็ได้”

    “งั้นก็เอาตามนั้น”

    “คุยไรกันอยู่” ภามินเดินเข้ามาพร้อมกับเหยือกน้ำเขียวโซดาและแก้วเปล่าสามใบ “ข้าวรอเดี๋ยวนะ พ่อทำอยู่”

    “หือ” แฟนหนุ่มเบิกตากว้างแต่นั่นก็ยังไม่เท่าขนาดตายามปรือของพี่ชายเธอ “คุณอาทำคนเดียวหรือ”

    “คนนี้” ภามินชี้พี่ชาย “ทำอาหารได้ในระดับกันตายแต่โคตรขี้เกียจทำ ส่วนคนนี้” เธอชี้ตัวเอง “ทอดไข่เจียวแล้วไม่ไหม้ถือเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติระดับปีอธิกสุรทิน ส่วนพ่อนี่เลิศเลอ”

    “ถ้าพ่อว่างก็แทบไม่เคยกินอาหารถุง” ภาคินเสริมพลางพยักหน้า

    “โอ้ย งั้นสี่ไปช่วยดีกว่า ครัวไปทางไหนฮะ” เขาหันมองแฟน

    “ให้แขกช่วยไม่ดีนะแพร์” พี่ชายเอ็ด

    “แต่ปล่อยให้คุณอาทำอาหารคนเดียวก็ไม่ดี ไม่มีลูกมือด้วย ไม่ต้องเกรงใจ สี่ทำกับข้าวบ่อย” ชายหนุ่มมองภามินอีกครั้ง

    “พี่พลับ สี่ทำกับข้าวอร่อยมาก...ปลาทูต้มเค็มอร่อยสุด”

    ดวงตาคนฟังเป็นประกาย “แล้วปลาทูต้มมะดันล่ะ”

    “ถ้ามีมะดันก็ทำได้” คนได้รับการการันตีรสมือตอบ

    “งั้นสี่เข้าครัวไปช่วยพ่อเลย พี่ซื้อปลาทูสดมาสี่ตัว ทีแรกว่าจะให้พ่อฉู่ฉี่ เปลี่ยนใจละ เดี๋ยววิ่งไปขอมะดันข้างบ้าน” ภาคินพูดด้วยความกระตือรือร้น ก่อนผลุนผลันออกไป ทิ้งให้ผู้เป็นแขกและน้องสาวนั่งมอง

    “ฤดูนี้มีมะดันเหรอ” จตุรวัชรหันไปถามเจ้าของบ้าน 

    “มี ของป้าข้างบ้าน ไม่รู้ทำไมออกแทบทั้งปี พี่พลับไปขอซื้อแกไม่ให้ บอกว่าอยากกินเท่าไหร่ก็ไปเด็ด” ภามินลุกยืน “ปะ เดี๋ยวพาไปหาพ่อ”

    ชายหนุ่มถอดคาร์ดิแกนทิ้งไว้กับกระเป๋าแล้วลุกเดินตามไปแต่โดยดี ทั้งที่ใจเต้นครึกโครมรัวเร็วราวมีคนตีเปิงมางคอกอยู่ในนั้น เพราะมาบ้านแฟนหนแรกก็ว่าตื่นเต้นหนักแล้ว แต่นี่ต้องเข้าครัวกับพ่อแฟนตามลำพัง...

    เอาเถอะ ทำให้ดีตามที่เป็นปกติก็พอแล้ว

    เขาเดินผ่านทางเดินที่มีกรอบรูปเล็กๆ ติดผนัง หลายรูปดูเก่าแก่และมีร่องรอยของความทรงจำอยู่ในนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นรูปเด็กชายเด็กหญิงสองคน นานครั้งถึงจะปรากฏรูปบิดาให้เห็นบ้าง รูปเหล่านั้นวางตำแหน่งกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบหรือเป็นแถวเป็นแนวนัก แต่ดูรู้ว่าตั้งใจให้อยู่ในระดับสายตาเพื่อที่คนเดินผ่านจะได้มองเพลิน เด็กในภาพเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้ถึงห้องครัวจึงเหลือเพียงผนังเปล่ารอให้มีกรอบรูปมาประดับไว้

    “พ่อคะ แพร์พาลูกมือมาให้”

    จตุรวัชรก้าวเข้าไปในครัวที่โอ่โถงไม่น้อยไปกว่าบ้านตนเอง เขามองผนังและการตกแต่งแบบดิบๆ ที่เน้นวัสดุและปูนเปลือยแล้วก็รู้สึกในทันทีว่านี่คือห้องครัวของผู้ชาย เพราะผู้หญิงน้อยรายที่จะชอบสไตล์เช่นนี้ และดูเหมือนว่าห้องครัวบ้านพี่ชายเขาก็จะรูปลักษณ์แผกไปไม่มากนัก

    “ให้สี่ช่วยหยิบจับอะไรบอกได้นะครับ” ถึงปากจะพูดแต่เจ้าตัวก็ก้าวเข้าไปหยิบกะหล่ำที่วางอยู่บนไอส์แลนด์กลางครัวไปที่ซิงค์เพื่อล้างในทันที “กะหล่ำปลีคุณอาจะทำอะไรครับ”

    ภากรซึ่งกอดอกรอเวลาให้ไก่ตะเกียบในกระทะได้ที่มองคนที่ใช้ผักบัวเล็กล้างผักอย่างถ้วนถี่ “ก็คิดว่าจะผัดผักกินง่ายๆ”

    “งั้นทำเป็นกะหล่ำปลีทอดน้ำปลาไหมครับ เดี๋ยวสี่ทำให้ ไม่ยาก”

    “แบบตามร้านน่ะหรือ” ผู้สูงวัยกว่าเลิกคิ้ว “ไม่เคยลองทำเลย”

    “เดี๋ยวสี่ขออนุญาตจัดการเลยนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง “คุณแพร์ไปหยิบปลาทูที่พี่พลับบอก เอาออกมาหมดเลย แล้วต้องใช้หม้อใหญ่...”

    “หม้อใหญ่รั่วไหม” ภามินสัพยอก

    “ไม่ใช่ร้านชิลเอาท์ของพ่อมดแม่มด แหม่...” จตุรวัชรย่นจมูกเมื่ออีกฝ่ายเล่นมุกพาดพิงวรรณกรรมเยาวชนชื่อดังอย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์ “เอาปลาทูออกมาก่อน เดี๋ยวที่เหลือสี่จัดการเอง”

    “เอาปลาทูออกมาทำไม” ผู้เป็นพ่อถามด้วยความประหลาดใจ

    “พี่พลับน่ะสิ” ลูกสาวตอบระหว่างเปิดตู้บิลท์อินหยิบหม้อใบโตออกมา “พอรู้ว่าสี่ทำปลาทูต้มเค็มได้ เลยถามว่าทำต้มมะดันเป็นไหม พอบอกว่าทำได้ก็เลยวิ่งปรู๊ดไปบ้านป้านาแล้ว”

    “ไว้พ่อจะหามะดันมาปลูกนะ...ชักเกรงใจพี่นาแล้ว” ภากรพึมพำ พลางชะโงกดูไก่ในกระทะที่ยังไม่ได้ที่ ก่อนหันกลับมามองแฟนของลูกสาวที่ยกกะหล่ำใส่ตะกร้าสะเด็ดน้ำเอามาวางบนไอส์แลนด์กลางครัว ก่อนดึงใบออกมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำด้วยท่าทางคล่องแคล่ว โดยมีภามินเป็นลูกมือคอยตระเตรียมข้าวของที่อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเก็บอยู่ตรงไหน

    ผู้เป็นพ่อยังบอกไม่ถูกว่าแฟนคนนี้ของลูกเป็นเช่นไร แต่การที่ใช้ให้ภามินไปหยิบปลาทูและหม้ออย่างไม่เกรงใจก็น่าประทับใจไม่ใช่น้อย อีกฝ่ายไม่ได้อวดอ้างตนเป็นสุภาพบุรุษเกินควรจนทำให้ลูกสาวเขาดูเป็นผู้หญิงพิกลพิการทำอะไรไม่เป็น แสดงว่าทั้งสองคนสนิทสนมและเข้าใจกันดี ไม่ใช่ต่างคนต่างวางท่าเป็นเทพบุตรเทพธิดาในช่วงโปรโมชั่นซึ่งต่อให้กินบอระเพ็ดก็ว่าหวาน และเพิ่งมารับรู้ความขมลิ้นขื่นคอในภายหลัง

    ก็อาจจะดีก็ได้...ถึงจะอ่อนกว่าสี่ซ้าห้าปีก็ตามที

    “มะดันมาแล้ว!” ภาคินเข้ามาในครัวพร้อมกับฐิิติและฐิตา ที่ต่างจับชายเสื้อไว้สำหรับวางมะดันด้วยกันทั้งสามคน

    “อ้าว ไปคนเดียวไหงกลับมาสาม” ภากรหัวเราะ

    “พวกตัวเล็กนี่เห็นพลับวิ่งออกไปเลยถามว่าไปทำอะไร บอกว่าไปเก็บมะดัน เลยตามมา”

    “พีชเพิ่งเคยเก็บมะดัน” เด็กหญิงยิ้มกว้าง

    “แล้วกินเป็นหรือคะ” จตุรวัชรถามเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานจนคนเป็นแฟนประหลาดใจ

    ฐิตาที่ไม่ค่อยคุ้นกับคนแปลกหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความระแวดระวัง แม้พ่อเลี้ยงจะแนะนำให้รู้จักอีกฝ่ายแล้ว แต่เธอก็ยังสงวนท่าทีจนกระทั่งเด็กหนุ่มใช้ศอกสะกิดและก้มไปกระซิบกับน้องสาว

    “พีชไม่เคยกินค่ะ แต่ลองได้ พี่พลับบอกถ้าไม่ลองก็ไม่รู้”

    “ใช่เลย” ผู้เป็นแขกยิ้มกว้าง “ไม่ว่าใครๆ ก็มีหนแรกทั้งนั้นแหละ ดีนะเนี่ยอยู่กับพี่พลับเลยได้ลองทำอะไรใหม่ๆ งั้นทั้งสองคนวางมะดันลงตะกร้าแล้วล้างน้ำเลย”

    “พลัมกับพีชทำนะ พลัมเอาเก้าอี้มาให้น้องยืนด้วย” ภาคินยกหน้าที่ให้ “เนื่องจากเป็นเด็กดีช่วยพี่ทำงาน เดี๋ยวพี่ขึ้นไปเอามันฝรั่งทอดกรอบรสแปลกๆ ที่เอามาจากอังกฤษให้ลองสองรส”

    “เย่” เด็กหญิงร้องอย่างร่าเริง และค่อยๆ ก้าวขึ้นเก้าอี้ตัวเตี้ยที่พี่ชายเลื่อนมาให้

    ภามินมองภาพตรงหน้าด้วยความหลากใจ เธอเดินเข้าไปใกล้พ่อ เอ่ยด้วยเสียงเบาพอได้ยินกันสองคน “พี่พลับสนิทกับเด็กๆ ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

    “ก็ช่วงก่อนที่เราทำงานไม่ได้กลับบ้าน พลับกลับมาแทบทุกอาทิตย์ พากันถีบจักรยานไปวัด แล้วก็ขับรถพาไปถีบจักรยานเล่นที่บางกระเจ้า เลยสนิทกันแล้ว”

    “งี้นี่เอง” หญิงสาวพึมพำ “สนิทกันเร็วดีเนาะ”

    “เราต่างหากที่สนิทสนมช้าไป” ภากรเปิดฝาครอบก่อนใช้ที่คีบอาหารค่อยพลิกปีกกลางไก่ซึ่งถูกสับแบ่งครึ่งตามยาวดูทีละชิ้นว่าแห้งพอดีหรือยัง “พ่อไม่เร่งรัดแพร์หรอก แค่เอ็นดูเด็กๆ บ้างพ่อก็ดีใจแล้ว”

    “คุณแพร์ ขอกระทะ” เสียงผู้เป็นแขกเรียกทำให้เธอผละไปดูและเตรียมข้าวของให้ เด็กๆ ที่ล้างมะดันเสร็จแล้วพากันมายืนดูพี่ชายแปลกหน้าจะทำอะไรสักอย่างกับกะหล่ำปลี

    “กะหล่ำไม่อร่อยหรอกนะคะ”

    จตุรวัชรมองเด็กหญิงทำหน้าจริงจัง “ทำไมล่ะคะ”

    “แม่เคยทำให้พีชกิน” เธอถอนหายใจ “เหม็นผักมากเลยค่ะ แข็งด้วย จืดด้วย มันด้วย”

    ชายหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หัวเราะ “เดี๋ยวไว้โตหน่อยพี่สอนให้พลัมทำให้้น้องกินเอาไหม”

    ผู้เป็นพี่ชายเบิกตากว้างก่อนถอนหายใจยาว “ก็คงต้องทำแหละครับ พึ่งแม่ไม่ได้เรื่องนี้ อย่าบอกแม่นะครับ”

    ภากรหัวเราะเสียงดัง เขามองหน้าลูกติดของภรรยาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ลุงจะไม่บอกแม่หรอก พวกพี่ๆ ก็ด้วยใช่ไหม”

    ทั้งสองคนพยักหน้าให้ความเชื่อมั่นเด็กๆ ก่อนที่จตุรวัชรจะโยนกระเทียมจีนที่บุบและสับไว้ลงกระทะซึ่งเทน้ำมันตั้งไฟแรงรอก่อนแล้ว จากนั้นจึงใส่กะหล่ำลงไปกลับให้ผักด้านบนลงไปโดนน้ำมันข้างล่างบ้าง ค่อยใส่น้ำปลา ทอดจนติดกลิ่นไหม้นิดๆ แล้วจึงตักขึ้นมาใส่จาน โดยมีสายตาสนอกสนใจของทุกคนเพ่งมาที่อาหารเมนูล่าสุด

    “ชิมได้นะ เอาเลย เดี๋ยวพี่ผัดอีก แค่นี้ไม่พอกินกันหรอก ถือว่าอันนี้เป็นของกินเล่น”

    ภามินแจกส้อมให้เด็กๆ คนละคัน และจิ้มกะหล่ำปลีชิ้นหนึ่งไปฝากพ่อซึ่งกำลังตักปีกไก่ขึ้นสะเด็ดน้ำมัน

    “ฮื้อ อร่อย” เขาโพล่งออกมา “สี่ทำอร่อยมาก กรอบ หอมน้ำปลา ไม่เหม็นเขียวเลย” 

    เมื่อภากรยืนยันดังนั้นเด็กๆ สองคนจึงเอาใส่ปากตนเอง ทั้งฐิติและฐิตาต่างตั้งใจสัมผัสรสชาติของอาหารในปาก เด็กหญิงหลับตาปี๋เพราะกลัวจะมีรสแย่กลิ่นเขียวอย่างที่เคยกินมา แต่เมื่อไม่รู้สึกเช่นนั้นเธอจึงลืมตาและกลืนลงคอไป

    “อร่อย” ฐิตาออกปากชม “อร่อยมากเลยค่ะ ชอบจังเลย พี่สี่เก่งจัง”

    “เดี๋ยวรอกินปลาทูต้มมะดันก่อนเถอะ” จตุรวัชรยิ้มมุมปาก

    “งี้ไก่ตะเกียบของลุงก็เป็นหมันแล้วซี” ภากรเย้าเล่น ทว่าเด็กๆ พุ่งเข้ามาเอาอกเอาใจเขาเพราะคิดว่าจะน้อยใจ                                                                                                              ไปจริงๆ “ล้อเล่นน่า ช่วยกันยกออกไปจัดโต๊ะซิไป ในครัวต้องการพื้นที่ แพร์พาน้องไปหน่อย”

    “ตามมานี่มา พลัม เราพี่ชาย ยกไก่ทอดออกไป เอากะหล่ำปลีถ้วยเล็กให้น้องถือ” 

    ฐิติทำตามในทันทีส่วนภามินก็เดินนอกไปยังห้องกินข้าวโดยง่าย จตุรวัชรรอจนทุกคนไปแล้วจึงล้างภาชนะที่ตนใช้เมื่อครู่ ก่อนเอาหม้อใหญ่ตั้งน้ำร้อน ชายหนุ่มหยิบเขียง หยิบมีดมาเตรียมไว้ จากนั้นจึงเอาปลาทูสดที่ล้างและพักเอาไว้มาวาง

    “ให้เด็กๆ ออกไปเพราะจะจัดการปลาใช่ไหมล่ะ”

    ชายหนุ่มมองผู้สูงวัยกว่าที่ยังอยู่เก็บข้าวของในครัว “ครับ ถ้าเห็นว่าตอนเอาไส้เอาเครื่องในปลาทูสดออกมันแหวะขนาดไหน เดี๋ยวจะพาลไม่อยากกินปลา เด็กๆ นี่ภาพติดตาง่าย”

    “ดีแล้ว” ภากรตบไหล่เบาๆ “ให้อาช่วยทำกะหล่ำไหมล่ะ ตอนนี้อาว่างๆ สี่ก็สอนอาแล้วกัน”

    “ยังไงก็รบกวนด้วยครับ มือสี่คงคาวกลิ่นปลาแล้ว”

    “เดี๋ยวอาจัดการผักให้ก่อน” ผู้เป็นพ่อของแฟนสาวหยิบเอามะดันมาหั่นเป็นเสี้ยวพร้อมต้ม เตรียมข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดให้พร้อมสรรพ  ชายหนุ่มจึงไหว้ขอบคุณแล้วจึงจัดการทำปลาทูต้มมะดันต่อ เขาอธิบายวิธีการทำให้อีกฝ่ายฟังโดยละเอียด มือก็หั่นและจัดการทำความสะอาดปลาทูสดอย่างคล่องแคล่ว จนกระทั่งใส่เครื่องต้มมะดันเรียบร้อย ใส่ปลาทูลงไป เหลือแต่รอให้สุกได้ที่ โดยระหว่างนั้นผู้เป็นเจ้าบ้านได้ขะมักเขม้นทำกะหล่ำปลีทอดน้ำปลาตามที่เพิ่งได้เรียนรู้สูตรมาอย่างตั้งใจ

    “คุณอาเทน้ำปลาลงข้างๆ กระทะดีกว่าลงตรงๆ ครับ” จตุรวัชรแนะนำ “อันนี้สี่อ่านกระทู้ในเน็ทมา ก็เพิ่งรู้ไม่นานมานี้ว่าใส่น้ำปลาแบบนี้ดีกว่า”

    คนฟังทำตาม ปล่อยให้ผู้เป็นแขกไปล้างมือในอ่าง “สี่ไม่ต้องล้างนะ”​

    “ครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว 

    “เรามีหน้าที่ทำแล้ว หน้าที่ล้างเป็นของคนที่ไม่ได้ทำ เดี๋ยวปล่อยให้พลับกับแพร์จัดการ”

    “ก็เหมาะสมแล้วครับ” คนพูดยิ้มกว้าง 

    “ว่าแต่ไปหัดทำอาหารมาจากไหนกัน”

    “อ๋อ สี่ชอบกินครับ ตอนเด็กๆ ชอบเดินเกร่ไปมาอยู่แถวโรงครัวบ้านย่าที่อยุธยา คือทำตัวเป็นสัมภเวสีขอส่วนบุญคอยตอดกินเรื่อยๆ จนคุณป้าแม่ครัวรำคาญ เลยสอนให้สี่ทำ ไปๆ มาก็ ก็เลยเป็นนายก้นครัว ทำกับข้าวกับปลา สนุกเลย”

    “ไม่น่าล่ะ” ภากรหัวเราะ “พ่อน่ะคนเมืองเพชร”

    “อ๊ะ เขาว่าพ่อครัวแม่ครัวเพชรบุรีรสมือดี”

    “ช่าย แต่เมืองน้ำตาล แก่หวานไปหน่อย แต่ปรับจนได้รสกลางๆ มานานแล้ว เว้นแต่จะทำกินเอง ก็ทำติดหวานไป เกรงใจลูก ลิ้นมันรับรสหวานจัดไม่ไหว”

    “ถ้ามีโอกาสจะขอชิมอาหารที่ทำรสแบบคนเพชรนะครับคุณอา”

    “ได้” 

    กลิ่นหอมของกะหล่ำปลีและน้ำปลาอบอวลเคล้ากลิ่นเปรี้ยวธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของมะดัน เสียงฉ่าจากกระทะดังประสมไปกับเสียงน้ำเดือดปุด เพียงแต่เวลานี้ไม่มีเสียงใครสนทนากันมาครู่หนึ่งแล้ว

    “ได้ยินจากแพร์ว่าสี่อยู่เป็นเพื่อนตอนทำงานดึก ช่วยไล่เขาไปนอน แล้วก็ห่วงใยอีกหลายอย่าง ขอบใจมากนะสี่ที่ดูแลลูกสาวอา” ภากรหันมายิ้มให้ “คนทำงานอาชีพอย่างอากับแพร์ บางทีก็ทำงานจนลืมทุกอย่างไป เมื่อก่อนอาก็ได้ลูกดึงไว้ ไม่อย่างนั้นคงน็อคหรือตายคาโต๊ะทำงานไปแล้ว”

    “ลำบากนะครับ บั่นทอนสุขภาพด้วย” จตุรวัชรเอ่ยต่อ “แต่เป็นทางที่เรารักและเลือกแล้ว ก็ได้แต่พยายามมีชีวิตต่อไปนานๆ จะได้ทำงานที่ชอบไปเรื่อยๆ คิดซะว่าเราโชคดีเท่าไหร่แล้วที่รู้ว่าเราชอบและอยากทำอะไร”

    “พูดถูก” ผู้มากกว่าด้วยวัยยอมรับ “ว่าแต่สี่ชอบลูกสาวอาเพราะอะไรกัน มันไม่ปกตินะ”

    “ถ้าคุณแพร์ไม่ปกติสี่ก็คงไม่ต่างกันหรอกครับ โดนพี่ชายที่บ้านบอกว่าถ้าสี่ปกติคือไม่ปกติ ถ้าไม่ปกตินี่สิคือปกติ”

    “เหมือนจะงงแต่ก็เข้าใจ” ภากรพึมพำ

    “สี่ยังไม่เคยบอกคุณแพร์เลยครับว่าชอบเธอเพราะอะไร”

    “อ้าว ทำไมล่ะ” ผู้เป็นพ่อขมวดคิ้ว

    “ปล่อยให้คุณแพร์พยายามสงสัยหาคำตอบไปแหละครับ สนุกดี จะได้มีอะไรให้คิดให้ทำนอกจากงาน ไม่อย่างนั้นไม่ไหว ทำงานหนักเกินไป ต้องพยายามหลอกล่อต่างๆ นานา แถมเป็นคนฉลาดมากด้วย ชอบแข่งขัน จะพูดอะไรบอกอะไรตรงๆ ไม่ได้หรอก ต้องคิดตลบไปอีกสองชั้น”

    ภากรระเบิดหัวเสียงหัวเราะดัง พลางตบบ่าชายหนุ่มที่ยืนข้าง “จริง แพร์เป็นแบบนั้นแหละ เก่ง แล้วก็เจ้าแผนการ คิดนั่นนี่เยอะแยะ จะให้อยู่มือถ้าไม่ตรงๆ ไปเลยก็ต้องขมวดให้ปมเยอะกว่าถึงจะดี” เขาจัดกะปล่ำปลีลงจานใหญ่สองใบ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมา “แพร์เคยบอกอาว่าสี่เป็นคนดี แต่ร้ายกาจมากเลย”

    “แหม ชมงี้สี่ก็เขินแย่เลย”

    “แพร์บอกอีกว่าสี่เป็นคนไม่เขิน เขินไม่เป็น ถ้าสี่เขินแปลว่า...เอ่อ” คนพูดลังเล “แค่ตอแหล และแรดไปงั้นเอง”

    คราวนี้เป็นจตุรวัชรที่หัวเราะเสียงดังจน จนภามินและเด็กๆ ที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัย




  • ภามินเปิดประตูคอนโดมิเนียมด้วยบางอย่างที่หนักหน่วงอยู่ในใจ 

    “สี่เข้ามาก่อน”

    “รบกวนด้วยฮะ”

    นี่แหละคือปัญญาหนักใจในตอนนี้

    เมื่อบ่ายเธอกับเขาไปกินขนมด้วยกัน จากนั้นก็นั่งรถไฟฟ้าไปลงแถวสุขุมวิทเพื่อให้อีกฝ่ายขับรถไปส่งที่บ้าน พอกินข้าวเย็นเสร็จเลยพามาส่งที่คอนโดมิเนียม ทีแรกก็ว่าจะปล่อยลงด้านหน้าแล้วกลับเลย แต่ชายหนุ่มกลับแวะเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต สั่งให้เธอซื้ออาหารที่ปรุงง่ายๆ ติดตู้เย็นเอาไว้ ก็เลยต้องให้จอดรถด้านนอกและช่วยกันหอบหิ้วของขึ้นมา

    ภามินวางกระเป๋าที่โซฟาขณะผู้เป็นแขกสอดส่ายสายตาหาตู้เย็น เมื่อเห็นเป้าหมายเขาเลยพุ่งตรงไปหา จัดเรียงบรรดาแฮม เบคอน ไส้กรอก และอาหารแช่แข็งหลายอย่างเข้าตู้เย็นอย่างเป็นระเบียบ

    “ดื่มน้ำก่อนไหม” เจ้าของห้องถาม

    “ก็ดีนะ”

    “หยิบในตู้เย็นนั่นแหละ ไหนๆ ก็เปิดอยู่นี่”

    “โธะ” เขาร้องเสียงแหลม “พูดเหมือนจะหาให้กิน”

    “ก็อยู่หน้าตู้เย็นแล้ว อย่าโอดครวญน่า ฝากหยิบน้ำส้มขวดนะ” ภามินเดินเข้าไปเอาแก้วในครัวไปส่งให้แขก เครื่องดื่มของเธอเป็นน้ำส้ม ส่วนของเขาคือน้ำเปล่าธรรมดา

    “ตู้เย็นคุณแพร์เนี่ย...” คนพูดใช้สายตาพินิจพิเคราะห์ ​“นอกจากน้ำ นม น้ำเต้าหู้ขวดแบบเย็น มีของสดของกินอะไรใส่ไว้บ้างไหม”

    “แกงกะหรี่!” เธอตอบในทันที

    “นั่นของสดที่ไหน แช่แข็งหรอก” เขาตอบเสียงเนือย

    “ข้าวผัดปู”

    “แช่แข็งเป๊ก” คนพูดถอนใจ

    “กุ้งไงกุ้ง”

    “กุ้งตัวแน่นปริแผ่นเกี๊ยวที่นอนแช่แผ่นน้ำซุปแข็งเหมือนกัปตันอเมริกาก่อนโดนละลายน่ะนะ” จตุรวัชรถอนหายใจยาวกว่าเดิม “กินแต่อาหารแช่แข็งไม่ดีต่อสุขภาพนะ ไม่น่าล่ะ เมื่อกี้เดินหยิบคล่องเลย รู้หมดอะไรอยู่ตรงไหน ขอเดาว่าตู้ข้างบนนั่นมาม่าเยอะมาก”

    “สี่ก็ให้แพร์ซื้อนี่นา อย่ามาบ่นเลย” เธอย่นจมูกใส่

    “เพราะรู้หรอกว่ายังทำไม่เป็น” ชายหนุ่มเดินไปนั่งที่โซฟา “จริงๆ ก็มีครัวเล็ก มีฮู้ดดูดควันพอทำกับข้าวได้ ไว้สี่จะสอนก็แล้วกัน ถ้ามีเวลานะ อย่างแฮม แบคอน อะไรพวกนี้ เอามาผัดข้าวก็ได้ หรือเอามาอุ่นกระทะ ทำขนมปังปิ้งเพิ่มกินเป็นข้าวเช้าก็ยังดี”

    “แพร์ทำไม่อร่อยหรอกน่า”

    “อาจจะเพราะไม่เคยลองทำเองจริงจัง เลยไม่รู้น้ำหนักมือ ว่าต้องใส่อะไรมากน้อยแค่ไหนก็ได้ หัดไปเดี๋ยวก็ดี”

    “อูย จู้จี้ยิ่งกว่าพ่ออีก” หญิงสาวลงนั่งลงบนโซฟาเดียวกัน แต่ห่างออกไปอีกฝั่งเพื่อเท้าแขน

    “เพราะคุณแพร์ดื้อมานานจนคุณอาเบื่อจะดุแล้วสิ” เขาหัวเราะ “คุณอาห่วงเรื่องพวกนี้นะ กลัวทำงานหนักกินไม่ดี ไม่ออกกำลังกาย จะป่วยหนักเอา”

    “สี่ก็ห่วงเหมือนกันใช่ปะล่า ว้าย พ่อหนุ่มแหวว ใส่ใจเรื่องงานบ้านงานครัว สมเป็นแม่ศรีเรือน” ภามินยิ้มกว้าง คิดว่าการลองถามเช่นนี้อาจจะทำให้อีกฝ่ายเขินได้บ้าง “ห่วงกันก็บอกมา อย่านิ่งเฉย”

    “ก็ห่วงน่ะสิ เป็นแฟนกันไม่ให้ห่วงได้ยังไง ไม่ใช่เด็กเล่นขายของ วันๆ จะได้แต่เดินไปเดินมา ควงช็อปปิ้ง”

    “ถามเล่นทำไมตอบดุจังงง”

    “เรื่องจริงจังทำไมถามเล่นเล่า”

    หญิงสาวฟังน้ำเสียงกระเง้ากระงอดแล้วก็หลุดหัวเราะ จตุรวัชรจึงยักไหล่ ก่อนหยิบรีโมทกดเปิดโทรทัศน์เลือกช่องสารคดี เขาดูเรื่องราวเกี่ยวกับนวัตกรรมในยุคก่อนด้วยความสนอกสนใจ

    ใครจะไปรู้ว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายเป็นคนจริงจังขนาดนี้

    รูปลักษณ์ภายนอกและการแสดงออกของจตุรวัชรดูราวกับว่าเขาไม่สนใจโลก หรืออาจจะหันหลังให้โลกโดยไม่ใส่ใจอะไรเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้ใกล้ชิดถึงรู้ว่าที่คิดไว้ผิดไปถนัดใจ 

    ตาตี่แบบนั้น กลับมองโลกได้กว้างขวางยิ่งนัก แถมบางทีเหมือนมองหมากข้ามไปหลายตาจนจับไม่ได้ไล่ไม่ทันอีกต่างหาก

    ภามินคบกับอีกฝ่ายมาระยะหนึ่งโดยไม่รู้สึกอึดอัดเช่นที่คาดในตอนแรก ถึงเขาจะเคยเป็น ‘เจ๊สี่’ มาก่อน แต่เขาไม่เคยทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีเพื่อนสาว และแม้อีกฝ่ายจะอายุน้อยกว่าทว่าจตุรวัชรก็ไม่เคยทำตัวน่ารำคาญ มิหนำซ้ำยังเป็นคนดูแลเธอเสียอีก จนเธอละอายใจอยู่บ่อยครั้ง ก็ได้แต่คิดว่าต่อไปจะทำดีกับอีกฝ่ายให้มากขึ้น

    แล้วคำว่า ‘ต่อไป’ จะนานแค่ไหนกัน?

    “สี่”

    “หือ” เขาจิบน้ำโดยไม่ละสายตาจากโทรทัศน์ “มีอะไรฮะ”

    “ทำไมสี่ถึงบอกว่า เราจะลองคบกันสองเดือน ทำไมต้องสองเดือน มีอะไรรึ”

    ผู้ที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโซฟาเบือนหน้ามามอง เขาขยับนั่งหลังตรง วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะกลางด้านหน้า และปรับท่าทีจนดูจริงจังอย่างน่าประหลาดใจ

    “อยากให้คุณแพร์ได้ลองคบกับสี่ดู จะได้รู้ว่าถูกอัธยาศัยกันไหม”

    “ก็รู้แล้ว” ภามินตอบ “ทำไมต้องสองเดือนล่ะ ทำไมต้องเป็นช่วงเวลาเท่านี้ ทำไมไม่สามเดือน สี่เดือน หรือครึ่งปี”

    จตุรวัชรเอนตัวลงเท้าศอกกับที่วางแขน เขามองหน้าเธออยู่นานจนหญิงสาวต้องเลิกคิ้วใส่เนื่องจากยังไม่ได้คำตอบเสียที

    “เพราะอีกไม่ถึงสองเดือน สี่ต้องบินไปทำงานที่นิวยอร์กน่ะ”


    จบบทที่ ๑๓

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in