เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storyalsumn
#แวมไพร์อง (2)

  • ส้อมที่กำลังจิ้มไส้กรอกเข้าปากมีอันต้องชะงักไปเมื่อมีมือเจ้าของเรือนผมสีดำมาคว้าแย่งไปเสียก่อนทำให้ริมฝีปากอิ่มบึนออกมาเล็กน้อยอย่างไม่พอใจแต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากด่าอะไร ข้อมือของเขาก็ถูกซองอูจับไว้และลากไปที่ไหนสักแห่งไม่สนใจเสียงท้วงของซองอุนที่พยายามจะบอกให้หยุดเลยสักนิดถ้าใครผ่านมาเห็นคงได้คิดว่าเด็กบ้านดีเวนอย่างฮาซองอุนเป็นพวกสมองกลวงแน่ๆถึงได้กล้าเดินเท้าเปล่าไปไหนมาไหนได้ จะว่าไงดีล่ะขนาดพวกแวมไพร์ยังไม่กล้าทำแบบนี้เลย นับประสาอะไรกับมนุษย์เลือดอุ่นอย่างซองอุนล่ะแต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงที่เขาอยากถอดเดินมันมาจากคนตัวสูงที่กำลังเดินลากเข้านำลิ่วๆอยู่ต่างหาก

     

     

                “ย่าห์!! องซองอู นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย!?”

     

     

               “ตามมาเถอะน่า อย่าพูดมาก!!” ซองอุนระบายลมหายใจออกมาอย่างหัวเสียเขาคิดว่าซองอูน่าจะไปเพิ่มพลังด้วยเครื่องในหรือการจูบกับผู้หญิงสักคนแน่ถึงได้มีพละกำลังมากมายมาลากเขาไปได้แบบนี้เสียงตะโกนโหวกเหวกของเด็กบ้านดีเวนทั้งสองคนดังไปตลอดทางเดิน จนสุดท้ายซองอุนก็ถูกซองอูลากมาที่ห้องเรียนประวัติศาสตร์เวทย์มนต์แน่นอนว่าคาบแรกของวันนี้พวกเขามีเรียนที่ห้องนี้แต่นี่มันยังไม่ถึงเวลาเข้าเรียนสักหน่อย เวลาแบบนี้ซองอุนควรได้นั่งกินอาหารเช้าอยู่ที่โรงอาหารของบ้านมากกว่า

     

     

                “ถ้าเหตุผลไม่มีน้ำหนักพอฉันจะมัดนายไว้กับต้นกระบองเพชรหลังโรงเก็บของ

     

     

                “นี่นายกะจะให้ฉันถูกแดดแผดเผาตายเลยใช่ไหม?”

     

     

               “นายก็รู้ว่าเวลาแบบนี้เราควรจะนั่งทานอาหารเช้าพลางฟังเสียงตามสายไปด้วยไม่คิดว่ามันแปลกหรอกับการต้องมาวิ่งร่อนในเช้าวันอากาศหนาวๆแบบนี้!” น้ำเสียงโมโหจากซองอุนทำให้ซองอูต้องยกมือขึ้นมาประสานกันที่อกเป็นเชิงขอโทษเพื่อให้คนตรงหน้าหยุดบ่นเขาสักทีก่อนที่หางตาจะไปสะดุดกับเท้าเปลือยเปล่าของซองอุนที่ไม่มีแม้แต่ถุงเท้ามาห่อหุ้มให้ความอบอุ่น

     

     

                “นี่นายหนาวถึงขนาดต้องเดินเท้าเปล่าเลยหรอ?”

     

     

               “แน่นอนว่าฉันไม่ได้เป็นมนุษย์ประเภทคลั่งความหนาวแน่ๆ ก็เพราะนายไม่ใช่หรอที่ลากตัวฉันมาโดยที่ไม่ฟังอะไรฉันบ้างเลย

     

     

               “แล้วใครใช้ให้นายถอดรองเท้าตอนกินข้าวเนี่ยทำยังกับว่ามันจะช่วยเพิ่มรสชาติไส้กรอกเย็นชืดพวกนั้นให้อร่อยขึ้นมาได้” แน่นอนว่ามันไม่ได้ช่วยเพิ่มรสชาติอะไรหรอก แต่ซองอุนชินกับการถอดรองเท้าพลางนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ไปเสียแล้วถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทเหมือนที่คุณแม่เคยสั่งสอนบ่อยๆแต่เขาก็อดที่จะทำไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยเขาก็มั่นใจในระดับหนึ่งว่าตัวเองดูแลรักษาเท้าเป็นอย่างดีและในระหว่างที่กินก็เอาเสื้อโค้ทมาปิดด้วยก็ไม่เห็นว่าจะได้รับเสียงค้านจากใครเลยสักนิดเพราะเขาไม่ได้โชว์เท้าให้ใครเห็นสักหน่อย

     

     

                “นายจะบอกเหตุผลฉันได้รึยัง?”

     

     

               “อ่า..จะว่าไงดี…” มือที่ยกขึ้นมาเกาหัวแกรกๆพลางอมยิ้มไปมาแบบนั้น ทำให้ซองอุนรู้สึกงุนงงขึ้นมาอยู่ไม่น้อยใครจะไปคิดล่ะว่าผู้ชายที่ทำตัวเย็นชาไม่แคร์โลกต่อหน้าคนอื่นแต่กลับทำตัวซกมกต่อหน้าเขาอย่างองซองอู จะมีอาการเขินเหมือนที่คนอื่นเขาเป็นกัน

     

     

               “ก็พูดมาสิ

     

     

               “อ่า..ก็…”

     

     

                “มีความรัก?

     

     

               “ให้ตายเถอะ นายช่วยพูดอ้อมๆกว่านี้ได้ไหม?” ใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อยของซองอูทำให้ซองอุนได้แต่กลืนน้ำลายหนืดๆลงคอส่วนมือไม้มันก็แข็งทื่อไปหมด ปกติซองอูไม่เคยเป็นแบบนี้กะแค่จะนอนหรือจูบกับผู้หญิงซักคน หมอนี่ไม่ต้องทำอะไรมากมายเลย แค่โปรยยิ้มให้ผู้หญิงพวกนั้นก็กรูเข้ามากันแล้ว แน่นอนว่าการกระทำพวกนั้นซองอูไม่ได้รู้สึกจริงจังอะไรด้วยเลยสักนิดแต่ถ้ากับใครสักคนที่ซองอูรู้สึกอยากจริงจังด้วยหมอนี่ก็จะแสดงท่าทางที่ทำตัวไม่ถูกแบบนี้ออกมา

     

     

                ซองอูเคยเป็นแบบนี้หนึ่งครั้งตอนเมื่อประมาณห้าเดือนที่แล้วตอนนั้นเพื่อนของเขาไปแอบหลงรักแวมไพร์สาวจากอเมริกาที่มาแลกเปลี่ยนระยะสั้นเพราะทั้งโรงเรียนนี้มีก็แค่ซองอูคนเดียวที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วที่สุดทำให้เพื่อนตัวสูงต้องคอยดูแลนักเรียนแลกเปลี่ยนตามคำสั่งของอาจารย์อย่างเสียไม่ได้จนสุดท้ายความใกล้ชิดมันก็ก่อเกิดเป็นความชอบขึ้นมา ซองอุนจำได้ดีว่าตอนนั้นเขารู้สึกแย่เอามากๆคนที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกัน กลับไม่ได้ยืนอยู่ข้างๆกันเหมือนเดิมแล้วและหลังจากนั้นไม่กี่วันที่ซองอุนรับรู้ถึงความรู้สึกของเพื่อนตัวเองเธอคนนั้นก็เริ่มรู้ตัวว่าซองอูชอบจึงได้บอกปฏิเสธทั้งๆที่เพื่อนของเขายังไม่ได้สารภาพอะไรด้วยซ้ำซึ่งเหตุผลของเธอก็ทำให้ซองอูเหมือนถูกตีด้วยของแข็งจนหน้าชาไปเลย

     

     

                ความจริงฉันเป็นเลส แล้วฉันก็เห็นคุณเป็นแค่เพื่อนสาวเท่านั้น

     

     

              หลังจากนั้นหน้าที่ในการดูแลแวมไพร์สาวคนนั้นก็ตกเป็นของประธานนักเรียนไปโดยปริยาย

     

     

                “ดีใจด้วยแล้วกัน

     

     

               “เดี๋ยว” ยังไม่ทันที่ซองอุนจะได้ก้าวเข้าไปในห้องมือของซองอูก็ยื่นไปรั้งที่แขนเล็กไว้ ก่อนที่เจ้าตัวจะถอดรองเท้าของตัวเองออกมาพลางย่อเข่านั่งลง ยื่นมือไปจับที่ข้อเท้าคนตรงหน้า ทำให้ซองอุนรีบชักกลับมาอย่างไว

     

     

                “จะทำอะไรของนายเนี่ย?”

     

     

               “ก็ใส่รองเท้าไป เดินเท้าเปล่าไม่หนาวแย่หรือไง” แววตาที่แสดงถึงความห่วงใยเรียกให้หัวใจซองอุนเต้นรัวขึ้นมาทันที ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบถอนสายตาออกมาเพื่อไม่ให้ซองอูจับพิรุธได้

     

     

                “แล้วนายจะใส่อะไรล่ะ?”

     

     

               “แวมไพร์อย่างฉันอากาศแค่นี้เดินใส่ถุงเท้าเปล่าๆได้สบายมากและมนุษย์อย่างนายก็ไม่ควรมาทำตัวกร่างเดินเท้าเปลือยด้วย” เป็นเวลาเดียวกับที่ซองอูสวมรองเท้าให้ซองอุนเสร็จ ข้อมือของซองอุนก็โดนซองอูจับลากเข้าไปในห้องซึ่งมันก็แปลกอยู่ไม่น้อยที่วันนี้ซองอูเลือกนั่งโต๊ะกลางด้านหน้าสุดโดยไม่ลืมที่จะดึงเขาไปนั่งอยู่ข้างๆด้วย

     

     

                “อย่าบอกนะว่านายไปลองชิมยาสมุนไพรของรุ่นพี่แจฮวาน?”

     

     

               “อะไรที่ทำให้นายคิดว่าฉันสติฟั่นเฟือนไปดื่มยาปรุงกากๆของหมอนั่นด้วยไม่รู้เจ้านั่นไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงกล้าเอาหม้อขนาดใหญ่มาปรุงยาแจกจ่ายคนในบ้าน” วิชาปรุงยานับเป็นหลักสูตรหลักที่บรรจุไว้มาตั้งแต่การก่อตั้งโรงเรียนเลยทำให้ทุกคนต้องเรียนมาจนถึงทุกวันนี้ จะว่าแปลกก็ได้ที่แวมไพร์โรงเรียนนี้เล่าเรียนวิชาเหมือนแม่มดเกือบทุกอย่าง เพราะในอดีตนั้นเคยมีสงครามย่อยๆระหว่างแวมไพร์ผู้ก่อตั้งโรงเรียนกับพวกคนในสภาเวทย์มนต์ซึ่งนักเรียนและอาจารย์รุ่นใหม่ก็ไม่สามารถทราบได้ว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไรเพราะอาจารย์รุ่นเก่าไม่มีใครยอมเปิดปากพูดขึ้นมาเลยและแน่นอนว่าศึกคราวนั้นแวมไพร์พ่ายแพ้ให้อย่างไม่ต้องสงสัยจนมันสร้างบาดแผลเหวอะหวะให้แก่กลุ่มผู้ก่อตั้ง พวกเขาจึงได้เรียนเชิญผู้อาวุโสของกลุ่มพ่อมดที่เป็นพันธมิตรต่อกันมาถ่ายทอดวิชาให้จึงกลายมาเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมแวมไพร์ถึงเรียนวิชาคล้ายพวกมีเวทย์มนต์ทุกอย่าง

     

     

               และในปัจจุบันนี้สภาเวทย์มนต์ก็ไม่สามารถมาก้าวก่ายชีวิตของมนุษย์บนโลกหรือแม้แต่แวมไพร์ได้อีกแล้วต่างคนต่างอยู่กันอย่างสันติด้วยข้อกฎหมายที่ร่วมร่างด้วยกันเมื่อเจ็ดสิบปีที่แล้วส่วนแวมไพร์ก็ไม่สามารถทำอันตรายดูดเลือดมนุษย์ได้อีกจึงทำให้สามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้นั่นเอง

     

     

                ซึ่งในอดีตนั้น วิชาที่พวกเขาต้องเรียนมันเหมือนกับพวกพ่อมดแม่มดทุกอย่างเพราะไม่รู้ว่าเผ่าพันธุ์จะโดนโจมตีตอนไหน แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มมีการพัฒนามากขึ้น วิชาเหล่านั้นก็ค่อยๆถูกลบออกไปจากหลักสูตรจนปัจจุบันนี้เหลือเพียงแค่วิชาปรุงยากับประวัติศาสตร์เวทย์มนต์เท่านั้นที่ยังคงหลงเหลือให้เรียนอยู่ซึ่งสองวิชานี้มันก็เป็นวิชาที่เรียนเพื่อสอบเท่านั้น จะว่าไงดีล่ะพวกเขาไม่มีทางเอามันไปใช้ในชีวิตจริงได้หรอกและในอนาคตวิชาเรียนพวกนี้มันอาจจะถูกลบหายออกไปจากหลักสูตรจนเหลือเพียงวิชาขั้นพื้นฐานเหมือนโรงเรียนของมนุษย์และวิชาเลือกเฉพาะของเหล่าแวมไพร์ด้วยกันเองก็เป็นได้

     

     

                “ฉันได้ยินอูจินพูดว่าดื่มแล้วจะทำให้รู้สึกเหมือนถูกตีด้วยของแข็ง” พัคอูจิน คือเพื่อนที่พักอยู่ห้องข้างๆกันและค่อนข้างจะสนิทกับซองอุนเพราะอีกคนมักจะมีเรื่องสนุกๆมาเล่าให้เขาฟังอยู่เสมอ

     

     

                “แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน?”

     

     

               “บางทีนายอาจจะดื่มมัน เลยทำให้สมองนายไม่ปกติถึงมานั่งหัวโด่อยู่โต๊ะด้านหน้าได้

     

     

               “แน่นอนว่าฉันปกติทุกอย่าง นายก็ไปเชื่อคำพูดเจ้าอูจินดึงสติหน่อยนะเพื่อนรัก” นิ้วที่จิ้มลงมาตรงหน้าผากหลายครั้งทำให้ซองอุนอ้าปากงับแรงๆด้วยความหมั่นไส้

     

     

                “นายอยากให้ฉันฝังเขี้ยวลงไปที่คอของนายใช่ไหมฮาซองอุน?”

     

     

               “ฉันมั่นใจได้เลยว่าวันนี้นายต้องมีปัญหากับคุณยูนาแน่” และมันก็เป็นแบบที่ซองอุนพูดทุกอย่างเพราะตอนนี้สายตาคุณยูนานั้นเอาแต่จ้องมองมาที่เราด้วยความไม่เข้าใจตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องจะว่ายังไงดี ความจริงแล้วที่นั่งนั่งหน้าสุดในทุกวิชาเป็นของคุณยูนานักเรียนที่อายุมากสุดในโรงเรียน แต่ทว่าวันนี้กลับต้องมาโดนซองอูแย่งไปอย่างหน้าตาเฉยมันเลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะนั่งสะอึกสะอื้นอยู่ทางโต๊ะด้านหลังโดยมีเพื่อนสาวนั่งปลอบอยู่ข้างๆไปด้วย

     

     

               ซึ่งมันทำให้ซองอุนรู้สึกผิดขึ้นมาไม่น้อย

     

     

                เป็นเวลาเดียวกับที่ประตูห้องถูกผลักเข้ามาก่อนจะปรากฏร่างของผู้ชายในเรือนผมสีดำสนิทที่สร้างความโดดเด่นให้เจ้าตัวอยู่ไม่น้อยเอกสารที่ถือเข้ามาในมือเป็นตัวบ่งบอกได้อย่างดีว่าผู้ชายคนนี้คืออาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์เวทย์มนต์คนใหม่ที่มาแทนที่อาจารย์คนเก่าซึ่งลาไปคลอดลูกนั่นเอง

     

     

                “เดาว่าทุกคนคงรู้แล้วว่าผมมาทำอะไรที่นี่

     

     

                “ผมชื่อยุนจีซอง เป็นอาจารย์ประจำวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์คนใหม่ครับ” เอ่ยจบ คนตัวสูงข้างๆก็ยกมือขึ้นมาปรบให้เสียงดังเกรียวกราวซึ่งมันก็พลอยทำให้คนอื่นต้องตบตามกันไปด้วย ซองอุนได้ยินเสียงของพวกลูเซโร่ภาวนากันว่าขอให้อาจารย์คนใหม่นี้ไม่สอนน่าเบื่อจนต้องนอนน้ำลายไหลยืดเหมือนอาจารย์คนที่แล้วก็พอเท่าที่ประเมินดูผ่านๆแล้ว เขาคิดว่าอาจารย์จีซองคงไม่สอนน่าเบื่อเท่าไรหรอก...มั้ง…

     

     

               “คนนี้แหละ” ซองอุนรีบถดใบหน้าออกทันทีด้วยความตกใจเมื่อริมฝีปากของซองอูเคลื่อนเข้ามากระซิบใกล้ใบหูน้ำเสียงนุ่มทุ้มจากอีกคนมันทำให้ใจเขาเต้นแรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

     

     

                “อะอะไร?” ร่างซองอุนถูกซองอูดึงเข้าไปใกล้อีกครั้งก่อนที่คนตัวสูงจะเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้มือไม้ที่เริ่มแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกทำให้ซองอุนต้องปิดเปลือกตาลงช้าๆลมหายใจค่อนข้างอุ่นที่รับรู้ได้อยู่ข้างแก้มเรียกอาการร้อนผ่าวให้ใบหน้าเขาได้อย่างดีพร้อมกับมือซองอูที่เคลื่อนมารั้งต้นคอเขาไว้หลวมๆ

     

     

                “ผู้ชายคนนี้แหละที่ฉันชอบ” ราวกับถูกของแข็งมาทุบจนหน้าชาคำพูดมากมายที่อยากจะเอื้อนเอ่ยถามถึงเหตุผลของการกระทำแบบนี้ถูกกลืนลงคอไปด้วยความยากเย็นทันทีมือที่เคยแตะต้นแขนคนข้างๆไว้อย่างหลวมๆมีอันต้องดึงกลับออกมาอย่างช้าๆ พร้อมกับความรู้สึกปวดหนึบที่อกข้างซ้ายราวกับเป็นกลไกอัตโนมัติซองอุนพยายามควบคุมร่างกายของตัวเองให้เป็นปกติ แต่มันก็ทำไม่ได้เลยคำพูดพรรณนามากมายที่หลุดออกมาจากเพื่อนตัวเองมันทำให้เขาอยากวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้

     

     

                “เผอิญว่าฉันไปห้องพักครูแล้วได้เห็นเขาอยู่ที่นั่นตั้งแต่ตอนนั้นฉันก็รับรู้ได้เลยว่า หัวใจตัวเองมันเกิดมาเพื่อมอบให้ใครฉันคิดว่าอาจารย์ยุนจีซองคือรักสุดท้ายขอ—”

     

     

               “ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อน!!” ไม่รอให้อีกคนได้พูดจบซองอุนก็กระเด้งตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ท่ามกลางสายตาของทุกคนในห้อง ก่อนจะหันไปขออนุญาตอาจารย์ยุนจีซองที่ยืนทำหน้างงอยู่ตรงหน้าห้องซึ่งอีกคนก็พยักหน้าให้ เพราะเข้าใจว่านักเรียนคงเป็นหนักมากจริงเนื่องมาจากสีหน้าที่สู้ไม่ดีนัก

     

     

                “ผมจะรีบกลับมาครับ” เอ่ยจบ เท้าซองอุนก็ก้าวฉับๆออกไปนอกห้องก่อนจะเดินชนกับใครบางคนที่กำลังสวนเข้ามาพอดีจนหน้าเขาเกือบจะคะมำไปกับพื้น

     

     

                “อ๊ะ!” มือหนาเข้าไปโอบที่รอบเอวคนตัวขาวไว้ได้อย่างทันท่วงที

     

     

                “เดินดูทางหน่อยสิ” น้ำเสียงกึ่งดุจากอีกคน ทำให้ซองอุนต้องเอ่ยปากขอโทษอย่างคนสติไม่อยู่กับเนื้อตัวก่อนที่เจ้าตัวจะรีบเดินไปยังห้องน้ำถึงแม้รอบทางจะได้ยินเสียงทักทายของนักเรียนที่รีบวิ่งเพราะเข้าเรียนสายแต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมาทักทายกลับแล้ว หัวสมองมันไม่สามารถประมวลผลอะไรได้อีกสิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในสมองคงมีแค่ประโยคสารภาพรักจากซองอูที่มีต่ออาจารย์ยุนจีซอง

     

     

    ซองอุนควรไปหามุมสงบๆอยู่

     

     

               “งั้นเรามาเริ่มเรียนกันเลยดีกว่านะ

     

     

               “ครับผม!!” เสียงจากลูกศิษย์ตัวสูงที่นั่งอยู่หน้าสุดเรียกรอยยิ้มจากจีซองได้เป็นอย่างดี มันก็นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นความกระตือรือร้นจากเด็กนักเรียนที่ได้ฟังการสอนของเขาจะว่าดีใจมันก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนคงหนีไม่พ้นความแปลกใจเพราะวิชานี้มันไม่มีอะไรให้น่าเรียนเลยสักนิดขนาดว่าตัวเองเป็นคนสอนยังรู้เลยว่าน่าเบื่อ

     

     

                “หัวข้อแรกที่เราจะเรียนต่อ…?” ร่างของคนที่เพิ่งปรากฏขึ้นใหม่สร้างความตกใจให้แก่จีซองอย่างมากจนเผลอปล่อยหนังสือในมือหล่นลงไปที่พื้นจนเกิดเสียงดังตุ้บ พร้อมกับใบหน้าของคังแดเนียลที่เงยขึ้นมามามองดวงตาสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องเป็นใครก่อนที่เจ้าตัวจะปรับโหมดให้กลับมานิ่งอีกครั้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

     

                “วันนี้มีอาจารย์คนใหม่มาสอนครับพี่” แดเนียลพยักหน้าให้รุ่นน้องข้างตัวสองสามครั้งพลางเอนหลังไปกับเก้าอี้ พร้อมกับเปลือกตาที่ปิดลงช้าๆ

     

     

                “อาจารย์หวังว่าคราวหน้าจะไม่มีนักเรียนคนไหนเข้าสายอีกนะครับ…”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                หลังจากที่เรียนคาบแรกเสร็จเรียบร้อย ซองอูก็เดินผิวปากออกมาด้วยความอารมณ์ดีครั้งแรกในรอบปีเลยล่ะที่ซองอูไม่หลับในห้องเรียนอย่างที่ควรจะเป็นแค่การได้มองใบหน้าของอาจารย์ยุนตอนสอน เขาก็รู้สึกมีความสุขมากเสียจนละสายตาออกมาจากใบหน้าอาจารย์ยุนไม่ได้เลยคิดได้ดังนั้นก็เผลอระบายยิ้มออกมาอีกครั้งซึ่งมันก็สร้างความแปลกใจให้แก่นักเรียนที่ผ่านไปผ่านมาไม่น้อย

     

     

                “ดูสิ หมอนั่นยิ้มเป็นกับเขาด้วย

     

     

               “ฉันคิดว่าเขาเป็นแวมไพร์ประเภทเลือดสีน้ำเงินซะอีก” เสียงหัวเราะคิกคักพร้อมกับชื่อของคนรักเก่าที่หลุดออกจากปากกลุ่มผู้หญิงตรงหน้าเรียกให้แดฮวีที่กำลังก้มอ่านหนังสือตรงทางเดินต้องละสายตาจากหนังสือในมือก่อนจะตั้งใจฟังสิ่งที่พวกเธอกำลังพูด พลางหันไปมองยังตัวต้นเหตุที่เอาแต่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กดเครื่องมือสื่อสารในมือคิดได้ดังนั้นเท้าก็พาร่างตัวเองเดินไปอยู่ตรงหน้าอีกคน

     

     

                “ไง…” เสียงทักที่คุ้นเคยเรียกให้ซองอูเงยหน้าขึ้นมามองก่อนที่เจ้าตัวจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

     

     

                “จะเอาอะไรอีก?”

     

     

               “ถามกันแบบนี้ฉันก็ไปต่อไม่ถูกสิ” มุมปากยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยพลางยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม ก่อนจะยกแขนขึ้นมากอดอกตัวเองไว้

     

     

                “ฉันคิดว่าเราเคลียร์กันหมดทุกเรื่องแล้วนะแดฮวี ฉันคิดว่านายไม่ควรเอาชีวิตแสนมีค่าของนายมาเกลือกกลั้วกับคนแบบฉันดีกว่า” ริมฝีปากเม้มแน่นกับคำพูดยอกย้อนจากอีกคน ถึงแม้จะรู้สึกโกรธแค่ไหน แต่แดฮวีก็ไม่ควรจะมาโมโหตอบโต้ใส่ซองอูเวลาแบบนี้เขาควรใช้เหตุผลพูดมากกว่า

     

     

                “นายมีความสุขมากหรอซองอูกับการมาพูดดูถูกตัวเองแบบนี้ที่ฉันมาหานายก็เพราะอยากมีเรื่องจะคุยกับนาย ได้โปรดฟังฉันสักนิด

     

     

               “ได้โปรดอย่าจากฉันไป คุ้นๆไหม?” แววตาที่พยายามซ่อนความเจ็บปวดจากคนตัวสูงมันทำให้แดฮวีอยากร้องไห้และรู้สึกผิดมากขึ้นไปกว่าเดิมเขาไม่ค้านเลยที่จะยอมรับว่าตัวเองมีส่วนผิดแต่นั่นก็มาจากความคิดที่ไม่ถี่ถ้วนของตัวเขาเองเท่านั้นการได้อยู่ตัวคนเดียวแบบไม่มีซองอูมันทำให้แดฮวีรู้ซึ้งแล้วว่าอีกคนมีความสำคัญต่อชีวิตเขามากแค่ไหน

     

     

                “ให้ฉันได้อธิบาย…”

     

     

               “ฉันไม่อยากฟัง

     

     

               “ซองอู…” น้ำเสียงสั่นเครือของแดฮวีไม่ได้ทำให้ซองอูรู้สึกสงสารขึ้นมาเลยสักนิดกลับกันยังเดินไปหาผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนมองเขามาเนิ่นนานแล้วรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กระตุกให้ช้าๆ ก่อนจะได้รับรอยยิ้มหวานเชิญชวนตอบกลับมาแน่นอนว่ามันเป็นไฟเขียวให้ว่าเขาสามารถทำตามใจอะไรก็ได้ ซองอูเดินดุ่มๆเข้าไปประชิดตัวก่อนจะคว้าลำคอระหงเข้ามาใกล้พลางทาบริมฝีปากลงไปบนกลีบปากสวยพร้อมกับบดคลึงไปมาหลายครั้งจนสร้างเสียงอื้ออึงให้คนรอบข้างที่ยืนดูอยู่ไม่น้อย

     

     

                “ฉันไม่อยากกลับไปหารสจูบจืดชืดของนายแล้วว่ะ ฉันชอบรสจูบหอมหวานใหม่ๆมากกว่า” กดยิ้มให้อดีตคนรักตัวเองอย่างสะใจ ก่อนที่ซองอูจะเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยความรู้สึกที่ด้านชาเรื่องระหว่างเขากับแดฮวีมันจบสิ้นไปแล้วเขาเจ็บเกินกว่าที่จะถอยหลังกลับไปได้แล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                หลังจากคาบสุดท้ายผ่านพ้นไป ซองอุนก็หยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาดูอีกครั้งแต่กลับไม่พบข้อความอะไรทั้งสิ้นจากเพื่อนสนิท นึกแปลกใจไม่น้อยที่ปกติซองอูต้องโทรเรียกเขาให้ไปทำนู่นทำนี่ให้แต่วันนี้กลับเงียบฉี่ ซองอุนไม่อยากนึกเดาไปว่าอีกคนกำลังมีความสุขจนลืมเขาแต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ และเพราะหัวสมองที่เอาแต่คิดอะไรไร้สาระจนมันแทบระเบิดเลยทำให้ซองอุนต้องไปหายาทานพร้อมกับนอนพักที่ห้องพยาบาลในคาบแรกอย่างช่วยไม่ได้

     

     

                “ไงซองอุน คืนนี้อยากไปคลับกับพวกเราเปล่า?” เสียงทักจากอูจินดังขึ้นในระหว่างที่เขากำลังนั่งทานมื้อเย็นที่โรงอาหารของบ้านก่อนที่ร่างของเพื่อนช่างพูดจะถือวิสาสะนั่งลงตรงข้าม

     

     

                “ฉันดูเหมือนคนชอบไปที่แบบนั้นนักรึไง?”

     

     

               “อย่ามาขี้ตู่น่า วันนั้นฉันเห็นนายกับเจ้าซองอูไปแดนซ์กันที่คลับอยู่เลย

     

     

                “ช่วงนี้ฉันไม่อยากไป นายก็รู้ว่าอาจารย์อิมเพิ่งสั่งการบ้านวิชาปรุงยาฉันไม่อยากทำให้ห้องต้องระเบิดเหมือนคราวที่นายเคยทำไว้ตอนเราเรียนระดับหนึ่งหรอกนะ

     

     

               “ซองอุนใจร้ายจัง…” ซองอุนตีมืออีกคนทันทีเมื่อเห็นว่าอูจินกำลังจะเอื้อมมาหยิบชิ้นแอปเปิ้ลในถาดอาหารของเขาและแน่นอนว่าอีกคนมุ่ยหน้าให้เขาอย่างไม่พอใจ

     

     

               “ขี้หวง!”

     

     

                “นายก็เดินไปตักเอาสิ!”

     

     

               “ก็ฉันอยากกินของนายนี่นา” ซองอุนรีบยัดแอปเปิ้ลในถาดอาหารจนเต็มแก้มก่อนจะเดินหนีอีกคนที่ยังคงส่งสายตาเชิญชวนให้ไปเที่ยวคลับด้วยกันความจริงเขาก็นึกเสียใจอยู่เล็กๆที่ปฏิเสธเพื่อน แต่ทำไงได้ล่ะ ตอนนี้ชื่อฮาซองอุนมันได้ขึ้นเป็นแบล็คลิสต์ของนักเรียนชอบหลบหนีแล้วล่ะสาเหตุก็มาจากเจ้าองซองอูคนเดียว ที่ชอบชวนให้เขาไปนู่นไปนี่แต่ความจริงคือให้ไปเป็นไม้กันหมาต่างหาก

     

     

                “พรุ่งนี้เจอกันอูจิน

     

     

               “ซองอุน ซองอุน ย่าห์!!!!!!!!!”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

               ความมืดมิดภายในห้องพักพร้อมกับบรรยากาศเย็นยะเยือกที่โรยอยู่รอบตัวทำให้ซองอุนต้องยกมือมาถูที่แขนตัวเองสองสามครั้งพลางเอื้อมมือไปกดเปิดสวิตซ์ไฟ ก่อนที่ทั้งห้องจะตกอยู่ในความสว่างและปรากฏร่างของซองอูที่กำลังนอนขดตัวอยู่บนเตียงพร้อมกับเสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอซองอุนเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเกิดอาการตกใจเล็กๆเพราะสีหน้าที่สู้ไม่ดีนักของเพื่อนสนิทมือเล็กเอื้อมไปแตะที่หน้าผากอีกคนเบาๆก่อนจะรีบชักกลับออกมาแทบไม่ทันเพราะอุณหภูมิร่างกายซองอูตอนนี้มันต่ำมากคิดได้ดังนั้นก็รีบสะกิดปลุกเพื่อนตัวสูงทันที

     

     

                “ซองอู ซองอู

     

     

               “อื้ม…” เสียงครางเบาๆดังออกมาจากร่างคนที่นอนอยู่พร้อมกับเปลือกตาที่ค่อยๆเปิดขึ้นอย่างยากเย็น

     

     

                “ไหวไหมเป็นไรรึเปล่า?”

     

     

               “ซองอุน…” คนตัวเล็กหยิบรีโมทแอร์มากดปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้นพลางยื่นมือไปจับประสานกับคนที่นอนอยู่เผื่อว่ามันจะช่วยถ่ายทอดความอบอุ่นในร่างกายตัวเองไปได้บ้าง นึกโกรธตัวเองที่เอาแต่นั่งลอยชายดูการแข่งขันบาสเกตบอลจนดึกดื่นไม่รู้เลยว่าเพื่อนตัวเองกำลังนอนป่วยซมอยู่ที่ห้อง ตั้งแต่ที่อยู่ด้วยกันมา ซองอุนเคยเห็นซองอูป่วยอยู่สองสามครั้งซึ่งสาเหตุของการป่วยมันก็ไม่น่าให้อภัยสักนิด จะว่าสงสารก็สงสารแต่รู้สึกสมน้ำหน้ามากกว่า และซองอุนก็หวังว่าอาการป่วยครั้งนี้คงไม่ใช่แบบครั้งที่ผ่านมา

     

     

                “เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้?”

     

     

                “ฉันไม่คิดเลยว่าแวมไพร์คนนั้นจะธาตุเดียวกับฉัน…” คิดไว้ไม่มีผิดว่ามันคือเหตุผลเดิมๆ เขาล่ะอยากจะกระทืบองซองอูให้แหลกคาเท้าจริงๆ

     

     

                “แล้วทำไมนายไม่ตรวจสอบให้ดีเนี่ย?”

     

     

               “คนเรามีอารมณ์แล้วไม่มัวสนใจอะไรหรอกนะ

     

     

               “ฉันคิดว่านายคงไม่อยากตื่นมารับแสงอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้

     

     

               “แค่นี้ฉันก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว คิดจะฆ่าแกงกันเชียวหรอเจ้ามนุษย์” พูดจบซองอูก็ทิ้งศีรษะลงที่หมอนเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองกำลังป่วยมากจริงๆซองอุนเลยทำได้แค่ถอนหายใจ เวลาแบบนี้เขาไม่ควรไปต่อว่าอะไรซองอูเขาควรทำให้ร่างกายของหมอนี่ฟื้นตัวขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นจะเตะต่อยมันยังไงก็ได้

     

     

               ตอนนี้เวลาล่วงเลยเข้ามาสู่อีกวันหนึ่งแล้วแน่นอนว่าโรงอาหารของบ้านปิดกันหมดครั้นจะออกไปหาซื้อข้างนอกก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ซองอุนเลยจนปัญญาที่จะไปหาซื้อซุปเครื่องในมาให้ซองอูทานได้วิธีเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือการแอบทำอาหารในหอพักอย่างลับๆ แน่นอนว่าถ้ารุ่นพี่แจฮวานรู้ซองอุนคงได้โดนตัดหัวเสียบประจานแน่ๆ แต่ถ้าเขาไม่ทำอะไรเลย อาการของซองอูคงแย่ลงมากกว่าเดิมแน่ๆซองอุนเลยเลือกที่จะช่วยเหลือชีวิตเพื่อนตัวเองไว้โดยการแอบไปขอเครื่องในจากตู้เย็นส่วนกลางในห้องของอูจินก่อนจะเอามาทำซุปให้ซองอูที่ห้องตัวเอง นับว่าดีที่ตอนนี้ไฟห้องรุ่นพี่แจฮวานปิดแล้วเขาเลยสามารถทำอะไรได้สะดวกๆ

     

     

                “ฉันล่ะเกลียดนายจริงๆ องซองอู

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

               “นายคิดว่าจะปิดฉันได้หรอ?” น้ำเสียงสบายๆจากคนตรงหน้าไม่ได้ทำให้ซองอุนรู้สึกสบายไปกับมันเลยสักนิดสมควรแล้วหรอกับเวลาตีสามที่เขาต้องมาวิดพื้นเหมือนคนบ้าที่ไม่รู้ว่าร่างกายตัวเองจะกลายเป็นน้ำแข็งไปตอนไหนไม่รู้ว่าจมูกของรุ่นพี่แจฮวานนี่พันธุ์เดียวกับเจ้าหมารึเปล่าถึงได้ประสาทสัมผัสดีเยี่ยมรู้ว่าเขาแอบทำซุปเครื่องในให้ซองอูทานซึ่งนับว่าดีที่บังคับให้ซองอูกินจนหมดได้ก่อนไม่งั้นคงได้โดนเททิ้งโดยฝีมือหมาบ้าแจฮวานแน่ๆ

     

     

                “ผมขอโทษครับ

     

     

               “ถ้าฉันไม่ได้กลิ่น นายคงคิดว่าจะปิดไปได้ตลอดสิ

     

     

               “ไม่ใช่นะครับ

     

     

               “อย่ามาทำหน้าหงอ!! ฉันไม่หลงกลมนุษย์หน้าซื่ออย่างนายหรอกไม่ครบร้อยก็ห้ามนอน!!” สุดท้ายซองอุนก็ไม่สามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมกับรุ่นพี่คนนี้ได้ทำได้แค่เพียงก้มหน้ายอมรับชะตากรรมของตัวเองถือว่าดีหน่อยที่บทลงโทษครั้งนี้ไม่ร้ายแรงมากนึกถึงตอนที่ตัวเองต้องวิ่งรอบสนามฟุตบอลสามสิบรอบก็รู้สึกขยาดๆขึ้นมา

     

     

                “มีอะไรกันรึเปล่าครับ?” เสียงทักจากบุคคลที่สามเรียกให้ทั้งสองคนหันไปมองก่อนที่ซองอุนจะส่งยิ้มให้บางๆ เพราะเขาจำได้ดีว่าผู้ชายคนนี้คือคนรักเก่าของซองอู

     

     

                “ทำโทษคนที่ไม่เคารพกฎ ว่าแต่นายเถอะ ทำไมเพิ่งกลับมาเอาตอนนี้กฎของบ้านที่ฉันร่ายให้ฟังนี่ไม่จำบ้างเลยหรอ?” แดฮวีผ่อนลมหายใจออกมาหนึ่งครั้งก่อนจะยื่นกระดาษแสดงหลักฐานการขออนุญาตออกจากโรงเรียนให้คนตรงหน้าดู

     

     

                “ผมคิดว่ารุ่นพี่คงไม่ได้อ่านข้อความที่ผมส่งไป

     

     

               “ฉันไม่มีเวลามาอ่านอะไรไร้สาระหรอก ว่าแต่นายเถอะ จะยืนอู้อีกนานไหม!?” น้ำเสียงกระชากพร้อมกับดวงตาที่ตวัดมามองทำให้ซองอุนต้องก้มหน้าลงไปวิดพื้นอีกครั้งอดที่แดฮวีจะรู้สึกห่วงขึ้นมาไม่ได้ เพราะเห็นว่าฝ่ามือของซองอุนเริ่มมีรอยแดงเป็นปื้นๆขึ้นมา

     

     

                “ทำไมรุ่นพี่ถึงทำโทษกันดึกๆแบบนี้ล่ะครับ?”

     

     

               “ก็หมอนี่แอบทำซุปเครื่องในให้เจ้าซองอูรักกันมากก็ต้องเจอแบบนี้แหล่ะ

     

     

               “เอ๊ะ…?”

     

     

                “คิดหรอว่าฉันจะเชื่อจริงๆว่าหมอนั่นป่วยดูก็รู้แล้วว่าไปเต้นในคลับมาจนเหนื่อยเลยต้องกินซุปเครื่องในเพิ่มพลัง เหอะพวกนายนี่มันร้ายกันจริงๆ” แดฮวีนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าเขาจำได้ว่าซองอูจูบกับแวมไพร์หญิงคนนั้นเพื่อประชดเขาเสร็จแล้วก็เหมือนว่าทั้งคู่จะมีอาการมึนๆเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรมากนักจนได้ไปขอยาแก้ปวดหัวที่ห้องพยาบาลในตอนเย็นแล้วพบว่านักเรียนหญิงคนนั้นนอนซมอยู่บนเตียง

     

     

               หรือว่า

     

     

               “ธาตุเดียวกันใช่ไหม?” แดฮวีหันไปถามคนที่กำลังวิดพื้นอยู่ก่อนจะได้รับการพยักหน้าสองสามครั้งตอบกลับมา

     

     

                “ผมเป็นคนสั่งให้ซองอุนทำเอง

     

     

               “อะไรนะ?”

     

     

               “ผมเป็นคนสั่งซองอุนเอง รุ่นพี่ควรจะทำโทษผมมากกว่า” แจฮวานยกมือขึ้นเป็นเชิงว่าให้ซองอุนหยุดทำ ก่อนจะเดินดุ่มๆเข้ามาหาแดฮวีที่ไม่มีทีท่าว่าจะหลบหนีไปไหนทั้งสิ้นแววตาแข็งกร้าวทั้งสองคู่สบกันไปมา ก่อนที่แจฮวานจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

     

     

                “โทษของคนสั่งมากกว่าคนทำอีกนะ รู้หรือเปล่า?”

     

     

               “รู้ครับ ผมไม่ได้สมองเสื่อม” แจฮวานกดยิ้มที่มุมปากอย่างนึกตลกกับความกวนตีนของเด็กตรงหน้าก่อนจะตะโกนสั่งให้แดฮวีวิ่งรอบสนามฟุตบอลสามสิบรอบโดยไม่มีการไม่มีหยุดพัก ซึ่งซองอุนที่ยืนรับฟังเหตุการณ์ทั้งหมดก็รู้สึกตกอกตกใจไม่น้อยพยายามจะเข้าไปขอร้องรุ่นพี่ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะแดฮวีออกตัววิ่งรอบสนามฟุตบอลอย่างไม่มีการปริปากบ่นใดๆทั้งสิ้น

     

     

                “หึดีๆ แบบนี้ฉันชอบ

     

     

               “รุ่นพี่นี่เลวจริงๆ” เสียงบ่นงึมงำจากคนตัวขาวข้างๆทำให้แจฮวานหันไปถามอย่างสงสัย

     

     

                “เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ?”

     

     

               “ปะเปล่าครับ…”

     

     

                องซองอู เรื่องทั้งหมดสาเหตุมันมาจากนายคนเดียวเลย… ไอ้แวมไพร์ทุเรศเอ๊ย!!!!’

     





    TBC

    ไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาอ่านด้วย ดีใจเลย55555
    วันนี้มีมมองอุนเลยเขียนลง หลังจากที่ดองมานานมาก
    ฟิคเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการล้วนๆ อาจไม่สมเหตุสมผลในหลายๆเรื่อง
    ต้องขออภัยด้วยนะคะ ^^






Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in