เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Nerd's SeriesSuraporn Menn Koetsawang
Nerd's Series: "บะหมี่ 3 ร้าน + หมา 3 ตัว และ คน 2 คน"
  • ช่วงวันหยุดยาวเดือนเมษาของไทย ที่ เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

    “นี่ไงร้านราเมงที่เพื่อนบอกมา ปรากฏว่ามีตั้งสามร้าน เลยไม่รู้ว่ามันร้านไหนแน่ที่บอกว่าอร่อยพิเศษ ตอนแรกคิดว่ามีร้านเดียวคือร้านสีแดง ร้านแรกมุมถนนนี่นะ”

    “ลองถามเขาอีกสิครับ”

    “มันไม่อยู่แล้วค่ะ ปิดเครื่อง คงกำลังบิน”

    “ดูจาก comment ของเพือนผมที่เคยผ่านมาเมือสามวันที่แล้ว ใน Facebook นี่ เขาบอกว่า ร้านสีขาว หรือร้านที่สองนี้ อาหารอย่างอื่นที่ไม่ใช่ราเมงอร่อยมาก ส่วนราเมงงั้นๆเส้นไม่เหนียวนุ่ม ว่าแต่ว่า มื้อเย็นนี้ดูเหมือนคุณอยากทานแต่ราเมง"

    “เอ่อ.. ก็ทำนองนั้นค่ะ ไม่ว่านะคะ ตอนนี้ก็เหลือ 2 ร้านว่าร้านไหนจะเป็นร้านอร่อยที่ร่ำลือ หนึ่งในสองนี่แหละ”

    “แต่เพื่อให้โอกาสได้กินของอร่อยมากขึ้น ขอเปลี่ยนจากร้านสีแดงเป็นร้านที่สาม ร้านสีดำ แล้วกันนะ” ว่าแล้วเธอก็เดินเปิดประตูร้านเข้าไปดูที่นั่ง

    …ถ้าเหลืออยู่ 2 ร้านที่มีโอกาสเป็นบะหมี่เจ้าอร่อยแบบนี้ ใครๆก็คงบอกว่าโอกาส 50-50 ดังนั้น เลือกร้านไหนก็มีค่าเท่ากัน แต่นี่เธอกลับขอเปลี่ยนร้าน บอกว่า ทำให้โอกาสที่จะเป็นร้านอร่อยมีมากขึ้น แสดงว่า…

    “มานั่งเลยค่ะ เดี๋ยวที่นั่งเต็ม เหลือแต่เคาน์เตอร์แล้ว” เมย์โผล่ออกมาจากประตูร้าน กวักมือเรียก
    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ราเมงร้อนๆ ยกมาวางลงตรงหน้าเคาน์เตอร์ ไอร้อนพวยพุ่งเหมือนหมอกมากั้นฉากระหว่างสองคนหันหน้ามาคุยกัน

    “ต้องขอบคุณอีกครั้งนะคะ เมื่อตอนบ่ายที่ให้ยืม wifi ไม่นึกเลยว่าแบตเครื่องเมย์มันหมดเร็วมาก เลยอุทานเป็นคำไทยไม่สุภาพเลย ขายหน้าจริงๆ เมย์เลยต้องตัวติดกับคุณวันนี้ไปก่อน ไม่มี net ก็ไม่มี map ก็เลยไม่กล้าเที่ยว”

    “ยินดีครับ ตอนแรก ไม่นึกว่าคุณเป็นคนไทย ยิ่งเห็นคุณใช้เวลาจ้องภาพเขียน impressionist แต่ละภาพ นิ่งและนาน ที่ National Museum of Western Art ผมยังนึกว่าเป็นคนที่นี่ เพราะไม่ค่อยมีนักท่องเทียวมาญี่ปุ่น แล้วมาแวะดู Impressionism painting ของตะวันตก จนกระทั่งคุณร้องว่า...”

    เธอหน้าแดงด้วยความอายขึ้นทันใด “ค่ะ..ถึงรู้ว่าเป็นคนไทย แต่คำนั้น ก็ทำให้เรารู้จักกันนะคะ”

    “ตอนแรก ผมนึกว่า คุณไม่ชอบภาพ Water Lilies ของ Monet เสียอีก”

    ทั้งสองหัวเราะ คนหนึ่งหัวเราะจริงๆ อีกคนฝืนหัวเราะกลบเกลื่อน

    ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง ในสมองต่างควานหาเรื่องคุยก่อนที่จะเงียบนานเกินไป

    “ราเมงอร่อยใช้ได้มั๊ยครับ?”

    “มากกก ค่ะ เมย์ว่าเราน่าจะเลือกร้านถูก เชื่อว่า ถ้าจะอร่อยกว่านี้คงยากและ ดังนั้น มันต้องเป็นร้านนี้แหละ”

    “เลือกถูก เพราะใช้ Monty Hall Problem ช่วยตัดสินใจใช่ไหมครับ”

    เมย์ชะงัก มือที่ถือตะเกียบค้างไว้ ราวกับภาพนิ่ง ยกเว้นไอร้อนจากราเมงเท่านั้น ที่ยังพวยพุ่งเคลื่อนไหว

    “คุณรู้” เธอลืมตัวอุทานเสียงค่อนข้างดัง แล้วรีบเอามือปิดปากตัวเองไว้

    ชายหนุ่มพูดต่อไป “ถ้าเป็นคนส่วนใหญ่ ก็จะบอกว่า chance มัน 50-50 เพราะเหลือให้เลือก 2 ร้าน ดังนั้น เลือกร้านไหนก็เหมือนกัน ซึ่งก็คงลงเอยที่ร้านแรกที่เลือกไว้ แถมเดินใกล้ที่สุดด้วย แต่นี่คุณบอกว่าจะ switch choice ไปอีกร้านเพื่อจะได้มีโอกาสถูกมากขึ้น ก็เลยเดาว่า คุณรู้เรื่อง Monty Hall แน่ๆ ที่ mathematical logic มันสวนทางกับ common sense”

    เธอยิ้มหวานเป็นครั้งแรก

    “ค่ะ ตอนแรกเมย์เห็น probability ที่เลือกร้านสีแดงว่าเป็นร้านอร่อย เป็น 1 ใน 3 เพราะมี 3 ร้าน ดังนั้น โอกาสที่ที่อีก 2 ร้านจะมีร้านอร่อยอยู่ ย่อมเป็น 2 ใน 3”

    “แต่พอคุณบอกว่า ร้านสีขาวมีของอร่อยอย่างอื่นที่ไม่ใช่ราเมง ก็หมายความว่า ตัดร้านสีขาวออกไปได้ ก็เลยเหลือ 2 ร้าน คือ ร้านสีแดง กับ ร้านสีดำ”

    “แต่การตัดร้านสีขาวออกไป ก็ไม่ได้หมายความว่า probability ที่ “มีร้านอร่อยที่ไม่ใช่ร้านสีแดง” จะเปลี่ยนแปลง มันยังคงเป็น 2 ใน 3 อยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ตอนนี้ไปตกลงที่ร้านเดียว คือ ร้านสีดำ”

    “ในเมื่อ ร้านสีดำตอนนี้มี probability เป็นร้านอร่อยเท่ากับ 2/3 ในขณะที่ร้านสีแดงยังคงมี probability เท่าเดิม คือ 1/3 แบบนี้ ก็ต้อง switch จากร้านสีแดง เป็นสีดำ แล้วหละค่ะ”

    “ดูคุณไม่งง กับ Monty Hall เลย”

    “ทุกคนที่เริ่มรู้จัก Monty Hall Problem งงกันทุกคนค่ะ เมย์ก็ด้วย คุณก็ด้วยใช่มะ นักคณิตศาสตร์ชั้นยอดก็ไม่ยอมรับอยู่นาน จนกระทั้งการ simulation ซ้ำๆกันโดย software ชี้ว่าผลมันเป็นอย่างงั้นจริง ตอนแรกที่เรียนรู้ เมย์ก็มึนว่า มันค้านกับความรู้สึกเอามากๆ จนกระทั่งมาลองจินตนาการใหม่ ให้จำนวนมันเว่อร์จะได้เห็นชัด"

    "เช่น อย่าง case ร้านบะหมี่นี้ ลองถ้ามีซัก 100 ร้านบนถนนนี้ เราเลือกสุ่มมา 1 ร้าน ให้ชื่อเป็นร้านที่ 1 ดังนั้น probability ที่ ร้านที่เหลือ 99 จะมีร้านอร่อยสุดยอดปนอยู่ ย่อมเท่ากับ 99/100 ส่วนร้านที่ 1 ที่เราเลือกย่อมมี probability เท่ากับ 1/100"

    “ต่อมา ถ้าหากเราได้ข้อมูลว่า มี food critic มากินทีละร้าน กินไล่ไปเรื่อยๆ และรายงานว่า อีกร้านไหนๆก็ไม่อร่อยเอาเสียเลย จนกระทั่งเหลือร้านสุดท้ายคือ ร้านหมายเลข 100 ที่ยังไม่ได้แตะ พอถึงตรงนี้ เราก็พอจะมองเห็นแล้วว่า โอกาสที่ร้านที่ 100 นี้จะเป็นร้านอร่อยย่อมมีมากกว่าร้านที่ 1 มากนัก เพราะร้านอื่นถูกไล่ชิมมาเรื่อยๆ ก็ยังไม่ใช่ซักที"

    "ดังนั้น มันก็น่าจะเป็นร้านที่ 100 ที่เหลืออยู่นี่แหละที่ใช่ ซึ่ง probability ของร้านที่ 100 จะเป็นร้านอร่อย ย่อมเท่ากับ 99/100 มากมายกว่าร้านที่ 1 นัก”

    “และแน่นอนว่า พอเห็นอย่างนี้ ใครๆก็ต้อง switch จากร้านที่ 1 เป็นร้านที่ 100”

    หลังพูดเสร็จ เธอยกชาเขียวร้อนขึ้นดื่ม ตายังมองชายหนุ่มอยู่ผ่านไอร้อนจากถ้วย

    “ตอนอยู่ที่ museum ผมนึกว่าคุณอยู่ในวงการเกี่ยวกับ art แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้ว” เขาพูดยิ้มๆ พลางยกการินชาเขียวเพิ่มให้เธออีก

    “เพราะเป็น nerd ใช่มั๊ยคะ ..ว่าแต่ว่า เราสองคนรู้เรื่อง impressionist painting เหมือนกัน และก็ยัง Monty Hall Problem อีก อย่าบอกนะว่ามีอะไรที่รู้ตรงกันอีก” เธอวางถ้วยเปล่าลง

    “ให้ผมเดา ตอนเราข้ามถนน คุณเปิดประเด็นคุยถึงจำนวนคนที่เดินข้ามถนนที่แยก Shibuya แต่ละครั้งว่าเป็นไปได้ถึง 1,000 คนไปจนถึง 2,500 คน แต่แล้วคุณพูดถึงเน้นที่ 1,000 คนซ้ำๆ แถมให้ผมช่วยคิด net flow ของฝั่ง Starbucks ไหลมา net กับ ฝั่งสถานี Shibuya ซึ่ง ผลลัพธ์ออกมาก็เป็น 1,000 ต้นๆทุกครั้ง หลังจากนั้นแป๊บเดียว คุณก็ถามผมว่าเราควรกินมื้อเย็นด้วย budget เท่าไหร่ดี ผมก็ตอบโดยไม่คิดว่า 1,000 กว่าเยนก็แล้วกัน และเราก็มาลงเอยที่ร้านราเมงแถวนี้”

    “ระหว่างเดินกันมา ผมแอบคิดไม่ได้ว่า คุณกำลังใช้วิธีจิตวิทยาว่าด้วยการ priming โดยใช้ตัวเลขที่อยากจะให้ budget มื้อเย็นหรือเปล่า ผมถึงตอบใกล้เคียงกับตัวเลขที่พึ่งผ่านสมองไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ตอนแรกผมตั้งใจมาว่าจะกินแพงกว่านี้อีกนิด เป็นร้าน sushi โน่น”

    เมย์หัวเราะคิก มองตาเขาแบบเจ้าเล่ห์ “ก็ เมย์เที่ยว on limited budget นี่คะ ทำไงได้ กลัวถูกพาไปกินแพง”

    เธอหันไปทางอื่นแวบหนึ่งเพื่อแอบยิ้มกับตัวเอง แล้วค่อยหันกลับมา

    “ต่อไปเมย์จะพูดตรงๆแล้วค่ะ ง่ายกว่านะคะ” 
    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    อากาศหนาวขึ้นหลังดวงอาทิตย์ตก ฝนปรอยและลมหนาวทำให้ทั้งสองชวนกันเดินเข้าร้านต่างๆในย่านแสงสีของโตเกียว แต่ดูเหมือนว่า ไม่มีใครสนใจซื้อของแต่อย่างใด นอกจากใช้เวลาไปกับการสนทนา

    และด้วยเหตุผลประเด็นของ pocket wifi ทำให้ชายหนุ่มอาสาเดินไปส่งหญิงสาวถึงที่พัก ซึ่งห่างออกไปด้วยระยะทางขนาดสามสถานี ดูเหมือนทั้งสองลืมไปแล้วว่า โตเกียวมีรถไฟและรถใต้ดินให้ใช้ และไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องเดินฝ่าละองฝนที่หนาวเหน็บ

    “พรุ่งนี้ ก่อนเมย์ไป Kyoto ต่อตอนเที่ยง ตอนเช้าเมย์มีนัดน้องคนนึง เขาทำงานอยู่ที่นี่ จะเอาของมาให้ แต่เธอเขียน message มาแค่ว่า “เจอที่หมาฮาชิโกะตัวนั้น”

    "เมย์เข้าใจเสมอมาว่า เขาหมายถึงอนุสาวรย์หมา Hachiko แห่งใหม่ที่ University of Tokyo อันที่มีรูปหล่อ professor เจ้าของด้วย ไม่รู้ทำไมว่านึกแต่ที่นี่ อาจเป็นเพราะเมย์เห็นข่าวพึ่งเปิดสองปีที่แล้ว แต่แล้วก็มาคิดว่า เธอเป็นคนชอบเรื่องหมาฮาชิโกะเอามากๆ"

    "ดังนั้น จะเป็นที่ไหน ก็ได้ทั้งนั้น เพราะมันมี Hachiko อีก 2 ที่ คือ ที่ Shibuya และ ที่ National Museum of Nature and Science อย่างหลังนี่เป็นขนของ Hachiko ทำสต๊าฟเป็นตัวไว้”

    “ตอนนี้ chat ถามไปว่าที่ไหนแน่ มันก็ไม่ตอบไม่อ่าน เลยต้องเดาเอา คงจะป่วย เพราะเห็นเล่าว่าไอไม่หยุด ไม่รู้หายหรือยัง” เธอถอนใจ

    “ผมเห็นเวลาใครๆพูดถึงหมา Hachiko มักหมายถึงที่ Shibuya นะ”

    “ค่ะ สำหรับคนอื่นมักหมายถึง Hachiko ที่ Shibuya แต่สำหรับน้อง เธอไม่เคยพูดถึงที่ Shibuya เลย เคยพูดแต่อยากไปอีกสองแห่งอย่างมาก ว่ายังไม่ได้ไปซักที แต่ก็อีกแหละ รูปหล่อ Hachiko ที่สถานี Shibuya ก็เป็นที่นัดหมาย by default ตาม tradition ที่นี่ เลยไม่รู้ว่าเอาไงดีคราวนี้”

    “ผมว่างั้นโอกาสเท่ากัน น้ำหนักหักล้างกัน ถือเป็น random chance ทั้งสามแห่ง”

    เห็นโรงแรมของหญิงสาวอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้ว ทั้งสองหยุดรอไฟเขียวข้ามถนน ตัวเลขบนไฟจราจรนับถอยหลังเรื่อยๆ

    เมย์ก้มหน้าหลบแรงปะทะของลมและเม็ดฝนประปราย ตามองภาพสะท้อนบนพื้นที่ชุ่มด้วยน้ำฝนวาววับ ตัวเลขสีแดงที่กลับซ้ายเป็นขวานั้นลดลงทุกวินาที จนถึง 15 วินาทีสุดท้าย

    เธอเงยหน้าขึ้น เอามือเสยผมต้านลม “เราติดต่อทาง FB นะคะ”

    “อย่าปล่อยให้แบต wifi หมดอีกนะครับ”

    เสียงสัญญาณไฟจรจรดัง เวลานับถอยหลังหมดลงแล้ว animation สีเขียวรูปคนข้ามถนนเริ่มออกจ้ำ บอกว่าข้ามถนนได้

    “Good Night ค่ะ เที่ยว Nagano ให้สนุกนะคะ”

    “Good Night ครับ เที่ยว Kyoto ให้สนุกนะครับ” 
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ร่างสีขาวของหมา Hachiko ยืนเด่นท่ามกลางความมืดสลัวด้วยแสงสปอตไลท์ดวงน้อย ใน National Museum of Nature

    หญิงสาวจ้องที่ขนสีขาว ขนแท้ๆของ Hachiko หมาพันธุ์ Akita ที่เคยมีชิวิตอยู่ด้วยความหวัง ด้วยการรอคอยเจ้านายกลับบ้านจากที่ทำงาน ที่สถานี Shibuya ทุกวัน จนกระทั่งหมดอายุขัยในปี 1935 โดยไม่รู้เลยว่า เจ้านายนั้นเสียชีวิตที่ทำงานหลายปีแล้ว

    การรอเป็นเรื่องทรมานอย่างหนึ่ง และ Hachiko ย่อมรู้ดี หญิงสาวคิด แต่สำหรับเธอยามนี้ เพียงแค่เลยสามสิบนาทีกับความหวังลมๆแล้งๆสำหรับคนที่ไม่คิดว่าจะมา ก็นับว่าทรมานมากแล้ว โดยเฉพาะกับความสับสนว่า ใครกันแน่ที่เธออยากพบ ใครกันแน่ ที่เธออยากให้มา

    และยิ่งเมื่อสมทบกับปัญหาที่เธอทำ wifi ตกหล่นหายระหว่างทางเมื่อเช้านี้ ก็ย่อมเป็นเรื่องเศร้าทบต้น ที่ทำให้เธอต้องตำหนิตัวเองซ้ำซาก วนเวียนอยู่ในหัวเพิ่มเข้าไปอีก

    ขออีก 10 นาทีแล้วกัน ถ้าไม่เจอนัด ฉันก็จะตัดใจไปแล้ว...

    “เมย์”

    หญิงสาวหันไปทางเสียง ชายหนุ่มเดินผ่านความสลัวจากประตูของห้องแสดง สู่พื้นที่แสงสปอตไลท์ขาว

    “รู้ได้ไงคะ probability 0.33 นะ” เธอพยายามซ่อนความรู้สึกไว้

    “มาคิดอีกที มันไม่ใช่ 1 ใน 3 แบบ random เพราะคุณบอกว่า น้องเขาไอไม่หยุดและป่วย ไม่รู้ว่าหายหรือยัง ซึ่งหมายความว่า ตัด Hachiko ที่ Shibuya ไปได้เลย เพราะตรงจุดนั้น คนรอไปสูบบุหรี่ไป ควันบุหรี่มันเยอะมากนั้นเป็นจนเป็นที่เลื่องลือ น้องเขาคงไม่ไปแน่นอน ก็เลยเหลือ 2 แห่ง คือที่ University of Tokyo กับ ที่นี”

    “ผมเข้าใจว่า คุณต้องมองออกเหมือนกัน ว่ามันเข้าทาง Monty Hall Problem และคง switch จาก University of Tokyo ที่คุณเลือกแต่แรก มาเป็นที่ National Museum of Nature ที่นี่แทน เพื่อเพิ่ม probability เป็นสองเท่า”

    เขาหยุดพูดครู่หนึ่ง ขยับตัวถอยห่างออกไป เพื่อหลบให้กับครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่มาล้อมดู Hachiko ได้ยืนติดตู้กระจก

    “เช้านี้ผมพยายาม chat ไปหา แต่ไม่ตอบกลับ จะว่าไปแล้วก็ไม่จำเป็น เพราะผมเชื่อว่าเป็นที่นี่แน่ๆ”

    “ไม่ได้ลืมชารจ์แบตนะคะ คราวนี้ทำตกหายทั้งเครื่องเลยค่ะ จะไปหาซื้อ sim แทนก็ยังไม่ทัน” หญิงสาวดูเหมือนพูดอย่างไม่เต็มเสียงนัก

    เขาอดหัวเราะไม่ได้ ““ผมคิดว่ามันมี solution ที่ดีกว่าซื้อ sim” และสายตาของเขาประสานกับสายตาเธออย่างตรงๆ “คุณคงไม่ถูกชะตากับการพก pocket wifi เองมั้งครับ”

    ทั้งสองเงียบไปชั่วครู่ ครอบครัวญี่ปุ่นออกไปแล้ว ในห้องแสดงมีแต่เขาทั้งสองอีกครั้ง ต่างยืนนิ่งคนละข้างกับ Hachiko ที่เด่นเป็นสง่าตรงกลางด้วยแสงสีขาวตัดกับความมืด

    ด้วยแสงสะท้อนจากกระจกตู้แสดง หญิงสาวอ่านความหมายจากแววตานั้น และค่อยๆเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง

    “Kyoto?”

    “ครับ”

    “อีก 45 นาที ทันไหมคะ สถานี Ueno อยู่ไม่ไกล แล้วไปต่อ shinkansen ที่ สถานี Tokyo”

    “ครับ platform 4 ที่ Ueno ผมฝากกระเป๋าไว้ทีสถานีแล้ว”

    “คุณ.. เตรียมตัวมาหมด...” หญิงสาวพูดเหมือนอุทาน “เมย์นึกว่าคุณไป Nagano แล้ว จากสถานี Ikebukuro ใกล้ทีพักคุณเสียอีก....”

    “ว่าแต่ว่า แล้วน้องของเมย์ล่ะครับ เจอกันหรือยัง?”

    “ถึงเวลานี้แล้ว น้องเขาคงไม่มาทีนี่แล้วล่ะค่ะ บางครั้ง Monty Hall ก็ไม่ได้พาเราไปเจอคำตอบที่ถูกเป๊ะ มันเป็นแค่ probability แค่นั้น ที่สำคัญกว่าคือ ความเข้าใจแนวคิด และรู้จักใช้มากกว่า โดยเฉพาะบางครั้ง ใครจะนึกว่า..”

    หญิงสาวหยุดพูด ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงที่เบาลง ผ่านรอยยิ้ม

    “..ใครจะนึกว่า บางครั้ง มันพาเราไปพบกับ สิ่งที่ไม่คาดฝัน”

    เธอหันไปทางหมาสีขาว ทรุดตัวลงคุกเข่าหน้าแผ่นกระจก

    ”Bye Hachiko. Thanks for everything.” 
    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    หากใครได้ไปเดินใน Ueno Park ของช่วงวันหยุดเดือนเมษาของไทยวันนั้น คงแลเห็นหญิงชายไทยคู่หนึ่ง เดินเร็วอย่างร่าเริง คุยกันไม่หยุด ฝ่าลมหนาวท่ามกลางดอกซากุระ ที่กำลังสาดร่วงโปรยปราย มุ่งหน้าสู่สถานี Ueno บนทางเดินที่เกลื่อนพื้นด้วยสีขาวและชมพูของดอกไม้

    ราวกับว่า ภาพที่เห็นนั้น คือภาพเขียน Impressionism ที่แขวนอยู่ใน museum ทีทั้งสองพบกันเมื่อวานนี้

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in