?????? ?????? ??????
☼✦☼
?????? ? ????
——
.
.
.
ช่วงเช้าแบบนี้เป็นเวลาที่เหมาะแก่การออกมาข้างนอกมาก เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนคนก็ยังไม่พลุกพล่าน ยิ่งเป็นใจกลางเมืองแบบนี้ นักท่องเที่ยวส่วนมากก็ยังแวะเวียนเที่ยวตามสถานที่สำคัญเช่นวัดหลวงหรือสถานที่สวยๆ แถบย่านเมืองเก่า การออกมาทำธุระในเวลาเช้าเลยเป็นอะไรที่ผมชอบที่สุด
มันเลยเป็นเหตุให้ผมตัดสินใจกระโดดขึ้นรถไฟฟ้ามาในเมืองตั้งแต่ไก่โห่ พร้อมหอบกระเป๋าสะพายข้างใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนังสือสอบและอุปกรณ์สำหรับขีดเขียนจดนู่นนี่มาด้วย จริงๆ ประเด็นสำคัญของการออกมาแบบนี้ก็คือ ผมต้องการที่อ่านหนังสือ เพราะอีกแค่ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์การสอบปลายภาคก็จะมาถึงแล้ว
บอกได้เลยครับว่า มัน’เครียด’ไปหมด อ่านที่บ้านตลอดก็ไม่ไหว เพราะจะเผลอขี้เกียจกระโดดไปนอนนิ่งบนเตียงได้ตลอด เพราะแบบนี้เลยต้องเปลี่ยนบรรยายกาศ ออกมานั่งในที่ๆ บรรยากาศเป็นใจให้ตัวเองได้อ่านหนังสืออย่างมีสมาธิและไม่วอกแวก
ครับ
เพราะแบบนี้ผมเลยตัดสินใจออกมาอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟร้านประจำซึ่งเปิดเป็นพื้นที่ให้คนภายนอกเข้ามานั่งทำงานได้ตลอด
แล้วก็เป็นดังคาด การมาถึงเร็วทำให้ผมสามารถเดินชิลๆ ไปรอบร้านเพื่อหาที่นั่งที่ดีที่สุดได้อย่างสบายอกสบายใจ แล้วสุดท้ายก็มาจบลงที่โต๊ะตัวเดิมด้านในสุดของร้าน ซึ่งมีปลั๊กให้เสียบโทรศัพท์และไฟโทนอุ่นชวนให้รู้สึกอยากนั่งจุ้มปุ้กไปได้ตลอดวันกันยาวๆ
พอได้ที่ลงหลักปักฐานแล้ว ผมเลยจัดการวางของแล้วเดินไปสั่งเครื่องดื่มให้กับตัวเองทันที ไม่นานก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองจากพนักงานร้าน แล้วเพียงอึดใจต่อมาก็ได้เดินกลับมาพร้อมกาแฟสีเข้มควันฟุ้งในมือ
รู้ไหม
สำหรับผมน่ะ
อเมริกาโน่ร้อนเป็นเครื่องดื่มชูกำลังชั้นดีเสมอ
แต่ก็ตลกดีที่ทุกคนชอบแสดงท่าทีตกใจพอรู้ว่าผมชอบเครื่องดื่มรสขม เพราะจากที่หลายต่อหลายคนพูดถึงผมไว้ส่วนมากก็จะบอกว่า ผมดูเป็นผู้ชายสายหวาน เรียบร้อย น่ารัก แบบที่น่าจะชอบเครื่องดื่มเช่นนมเย็นสีชมพู เครื่องดื่มปั่นๆ มีวิปครีม หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ดูเข้มข้นแบบอเมริกาโน่มากกว่า
ยอมรับว่าแอบหงุดหงิดในครั้งแรกที่ทุกคนต่างพากันคิดเองเออเองให้ แต่ตอนหลังก็เข้าใจและมองว่าเป็นเรื่องที่รับได้ เผลอๆ จะได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ผมดูเป็นคนน่าสนใจขึ้นมาอีกสักนิดบ้าง
เอาจริงๆ ผมน่ะเป็นผู้ชายสายขมมาตั้งแต่เด็กนะ เวลาทานช็อกโกแลตก็ชอบทานรสขมมากกว่ารสผสมนมหรือไวท์ช็อกโกแลต เวลาทานอาหารก็ชอบรสชาติเผ็ด น้ำตาลไม่ค่อยได้แอ้มมาอยู่ในอาหารผมสักเท่าไหร่ และสำหรับขนมหวาน ขนมเค้กหรือหรือขนมปังชนิดหวานเจี๊ยบก็ไม่ค่อยได้ซื้อเท่าไหร่ เพราะทานทีไรแล้วรู้สึกเลี่ยนแปลกๆ ทุกที
ดังนั้นพอผมโตพอที่จะสามารถดื่มกาแฟได้แล้ว อเมริกาโน่เลยกลายเป็นสุดยอดเครื่องดื่มในดวงใจ ชนิดที่เรียกได้ว่าชนะทุกอย่างไปได้แบบขาดลอยจนน่าหมั่นไส้
ดังนั้นพอมีเครื่องดื่มพร้อมแล้วผมเลยไม่รอช้า เริ่มลงมือหยิบดินสอและปากกาออกมาก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือที่เตรียมมาด้วยทันที
เวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ แต่รู้ตัวอีกทีตอนเงยหน้ามองนาฬิกาบนข้อมือเวลาก็ผ่านไปแล้วร่วม 2 ชั่วโมงกว่า เห็นดังนั้นผมเลยวางดินสอ เอนหัวไปด้านหลังแล้วยกมือนวดข้างขมับเบาๆ ให้เป็นการผ่อนคลายจากอาการล้า
แต่พักสั้นๆเพียงไม่กี่นาทีก็พร้อมหยิบปากกาลุยต่อ และคงจะไม่หยุดในอีกเร็วๆ นี้แน่ถ้าไม่มีเสียงของใครบางคนร้องทักขึ้นเสียก่อน
“ขอโทษนะครับ ตรงนี้มีใครนั่งรึเปล่า”
ผมเงยหน้าขึ้นจากสิ่งที่ตัวเองจดจ่อไปหาต้นเสียง ก็พบผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งยืนรอฟังคำตอบอยู่ด้วยใบหน้าสงบ
“อ๋อ - ไม่มีครับ เชิญเลย”
ผมพยักเพย้อไปทางเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ผู้ชายคนนั้นวางมือไว้ ก่อนจะส่งยิ้มบางๆให้อย่างเป็นมิตร
“อ๋อ คือผมไม่ได้จะมาเอาเก้าอี้ครับ แต่จะขอนั่งแชร์โต๊ะด้วยคน”
ผมทำหน้างงก่อนจะเข้าใจเหตุผลได้ในนาทีต่อมา จากตอนแรกที่ผมเข้ามา ในร้านก็มีลูกค้าเพียงไม่กี่คนนะ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนละเรื่องเลย ลูกค้าหนาตาขึ้นจนน่าตกใจ และโต๊ะทุกตัวก็ถูกจับจองพื้นที่จนเต็มหมด
อ๋อ เพราะแบบนี้เองสินะ.
“อา - ได้สิครับเชิญตามสบายเลย”
ผมจัดแจงเคลียร์ของบนโต๊ะให้มาอยู่ฝั่งตัวเอง แล้วเว้นพื้นที่บนโต๊ะอีกตัวที่ติดกันให้คนแปลกหน้าที่มาขอร่วมโต๊ะทำงานด้วย
“ขอบคุณนะครับ แล้วก็ต้องขอโทษมากๆ ที่ต้องรบกวนคุณแบบนี้”
“ไม่เป็นไรครับ เชิญๆ”
ผมบอกปัดแล้วยิ้มให้เขาอีกรอบ
พอจบคำผู้ชายคนนั้นเลยพยักหน้าแล้วจัดแจงวางของบนเก้าอี้และโต๊ะฝั่งตัวเองทันที พอเสร็จเรียบร้อยเขาก็เดินออกไป ก่อนที่จะกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งประมาณห้านาทีให้หลัง พร้อมเครื่องดื่มสีขาวประดับด้วยวิปครีมเนื้อนุ่มในมือข้างขวา และเครื่องดื่มสีเข้มควันกรุ่นในมือข้างซ้าย
“นี่ของคุณครับ- แทนคำขอบคุณที่แชร์โต๊ะให้ผมนั่งด้วย” ผมมองกาแฟสีเข้มที่ดูจากสีแล้วก็ไม่ต้องเดาให้ยากว่าเป็นอะไร นอกเสียจากอเมริกาโน่ร้อน
“ขอบคุณครับ คุณใจดีมาก”
เขาไม่พูดอะไรแต่เลือกมองผมแล้วส่งยิ้มให้เร็วๆ 1 ที ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเปิดกระดาษปึกหนาตรงหน้าแล้วลงมือทำงาน
เราสองคนต่างอยู่ในโลกของตัวเองด้วยความสงบ
ผ่านไปได้หลายชั่วโมงท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ ผมที่มองนาฬิกาแล้วเห็นว่าใกล้จะบ่ายสองโมงแล้ว เลยขอพักสายตาจากการอ่าน แล้วมองนู่นนี้เล่นไปเรื่อยแทนการบริหารสายตาที่เริ่มอ่อนล้า
ว่าแล้วก็ถือโอกาสสังเกตเพื่อนร่วมโต๊ะไปด้วยเสียเลยก็แล้วกัน
แอบแปลกใจอยู่ที่ได้รู้ว่าเขาชอบทานอะไรหวานๆ เช่นเครื่องดื่มสีขาวสะอาดตาอย่างคาราเมลครีมแฟรบปูชิโน่ รู้สึกเอ็นดูและแอบขำเบาๆ ในใจนิดนึง เพราะสิ่งที่สั่งมันดูขัดกับบุคลิกนิ่งๆ ดูลึกลับของเขามาก
ซึ่งจริงๆ ก็- เหมือนผมเลยแฮะ.
“คุณเรียนคณะอะไรหรอครับ”
จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นโดยที่สายตายังจดจ่ออยู่ที่งานก่อนจะเคลื่อนมาสบกับผมในเวลาต่อมา
“เภสัชครับ”
เขาขยับปากว่าอ๋อ แล้วยกนิ้วโป้งส่งให้หนึ่งที
“คุณละ” ผมถามบ้าง
“วิศวะครับ”
คราวนี้ก็ถึงตาผมยกนิ้วให้เขาบ้าง พร้อมแถมรอยยิ้มกว้างๆ ไปให้ด้วยหนึ่งที
แล้วพอไม่มีใครพูดอะไรต่อก็เป็นสัญญาว่าบทสนทนาของเราได้จบลงเพียงเท่านี้
.
.
.
สองชั่วโมงต่อมาผมก็เริ่มเก็บของเข้ากระเป๋า และสงสัยคงทำเสียงดังไปหน่อยจนเขาต้องเงยหน้าขึ้นมาจ้อง “จะกลับแล้วหรอครับ”
“ครับ ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว เดี๋ยวคนจะเยอะ”
ผมตอบเขาไปพลางคว้ากระเป๋าขึ้นพาดบ่า
“ขอบคุณนะครับที่ให้ผมมานั่งด้วย - ยังไงก็ เออ - กลับบ้านดีๆ นะครับ”
เขาบอกกับผมที่ยืนพยักหน้าหงึกหงัก “ครับ คุณก็เหมือนกัน อย่าหักโหมนะ หาเวลาพักด้วยละ”
ผมยิ้มให้เขาก่อนจะเตรียมเดินออกไปจากตรงนั้น
.
“นี่... ผมชื่อไบร์ทนะ”
.
ผมชะงักก่อนจะหันกลับไปมองคนที่นั่งตีหน้าขรึม
“อา- ครับ ผมณัฐวิทย์นะ.. แต่เรียกมิวซ์ก็ได้ จำง่ายกว่า”
“ครับ - - - มิวซ์” เขาพูดก่อนจะยิ้มให้เห็นฟันเป็นครั้งแรก
น่ารักดี
...
“ไว้เจอกันใหม่นะ”
เขาบอกก่อนจะยกมือขึ้นโบกเล็กน้อยด้วยสีหน้าประหม่าแกมไม่มั่นใจ เหมือนกับว่าการยกมือบ๊ายบายคนแปลกหน้าไม่ใช่นิสัยปกติของเขาไปเสียดื้อๆ อย่างงั้นแหละ
“ครับ ไว้เจอกัน ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
ผมส่งยิ้มครั้งสุดท้ายให้เขาก่อนจะเดินออกมา
และแม้ว่าจะกลับถึงบ้านแล้ว แต่รอยยิ้มก็ยังไม่ยอมหายไปจากใบหน้าผมสักที แปลกชะมัด..
แต่รู้ไหมครับ
สุดท้าย หมายถึง- ให้ตายยังไงรอยยิ้มบ้าๆ ของผมก็คอยหาเรื่องให้ได้กลับมาปรากฏตัวอีกเหมือนเดิมจนได้
เพราะหลังจากวันนั้น วันที่บทสนทนาเล็กๆ ระหว่างเราเริ่มต้นขึ้นที่ร้านกาแฟ ผมก็ได้พบกับเขา ผู้ชายตัวสูงคนนั้นอีกหลายครั้ง
เรามักจะได้พบกันทุกวันพุธ ช่วงเวลาเดิม ที่มุมเดิมตรงโต๊ะในสุดของร้านกาแฟซึ่งมีปลั๊กเสียบโทรศัพท์และแสงไฟโทนอุ่นเจ้าเดิมรออยู่เสมอ
ทุกอย่างดูเหมือนเดิมจริงๆ
แม้กระทั่งเครื่องดื่มสองชนิดที่วางเคียงกันอยู่บนโต๊ะอย่าง อเมริกาโน่ร้อนสีเข้มและคาราเมลครีมแฟรบปูชิโน่สีขาวสะอาดตานั่นก็ด้วย
แต่ที่ต่างออกไปในทุกครั้งที่เราบังเอิญพบกันก็คือบทสนทนาที่เริ่มจะน่ารักจนทำเอาหัวใจเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติ แถมยังยาวยืดต่างจากวันแรกเป็นเท่าตัว
.
.
.
ก็เท่านั้นเอง (:
——
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in