เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
내 책장annallis
#MyLoveMixUp!: #ยางลบสื่อรัก เรื่องราวแสนอบอุ่นหัวใจที่เกิดจากยางลบก้อนเดียว!
  • เนื่องจาก minimore ปรับรูปแบบเว็บไซต์ใหม่ เราขอแนะนำให้อ่านใน Link อันเก่า เพื่อความอ่านง่ายและสบายตานะคะ จิ้มเลยย >> https://dash.minimore.com/b/G0PTC/6



               Kieta Hatsukoi หรือ ยางลบสื่อรัก อีกหนึ่งซีรีส์ Queer ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่นที่เรียกได้ว่าเป็นความสุขส่งท้ายให้กับปี 2021 ไปได้อย่างงดงามจริง ๆ เมื่อทางช่อง TV Asahi จับมือร่วมกับบริษัทโปรดักชั่น J Storm สร้างซีรีส์ดัดแปลงมาจากมังงะโชโจชื่อดังอย่าง Kieta Hatsukoi (消えた初恋) / Vanishing My First Love ออนแอร์ผ่านช่อง TV Asahi คืนวันเสาร์เวลา 21.30 น. (GMT+7) สามารถรับชมย้อนหลังพร้อม Subtitle ถูกลิขสิทธิ์บนแพลทฟอร์มอย่าง Netflix และ Rakuten Viki ได้แล้ววันนี้

    ขอบคุณภาพจาก Netflix Thailand

    เรื่องย่อ 'ยางลบสื่อรัก'

               เรื่องราววุ่น ๆ เกิดขึ้นเมื่อ 'อาโอกิ' ลืมเอายางลบมาในวันที่มีสอบเก็บคะแนน เขาจึงหันไปขอยืมยางลบจากเพื่อนสนิท 'อัคคุง' แต่ว่าอีกฝ่ายมียางลบเพียงแค่ก้อนเดียว และในระหว่างที่อาโอกิกำลังกระวนกระวายไม่รู้จะทำอย่างไรนั้น เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมห้องอย่าง 'ฮาชิโมโตะซัง' ผู้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยโดยการให้อาโอกิยืมยางลบ แต่แล้วอาโอกิก็พบว่าบนยางลบก้อนนั้นมีข้อความเขียนเอาไว้ว่า "อิดะคุง

               ไม่เพียงเท่านั้น เพราะโชคชะตาดันเล่นตลกเมื่อยางลบก้อนนั้นบังเอิญตกจากโต๊ะและ 'อิดะ' เจ้าของชื่อบนยางลบที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขาเป็นคนก้มลงมาเก็บยางลบให้ ทำให้อิดะบังเอิญเห็นข้อความนั้นและเข้าใจผิดคิดว่าอาโอกิชอบตนเอง!

    ตัวอย่างจาก @netflixth


               และในบทความนี้ เราจะขอพาทุกคนไปรู้จักกับซีรีส์เรื่องนี้โดยการหยิบเหตุการณ์ที่น่าสนใจจากแต่ละ EP มาพูดคุยกันว่า ยางลบสื่อรัก สอดแทรกเนื้อหาที่น่าสนใจอะไรไว้บ้างภายใต้ความน่ารักสดใสจนหลายคนอาจจะเผลอมองข้ามไป ถ้าพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลยยย let's gooo


    ⚠ มีการเปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของซีรีส์ ⚠ 


    ท่าทีของ 'อิดะ' หลังจากรู้ว่าอาโอกิชอบตัวเอง (?)


               แม้อิดะจะรู้ว่าอาโอกิชอบตัวเอง (ถึงจะเป็นการเข้าใจผิดเพราะยางลบก้อนนั้นก็เถอะ!) แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีรู้สึกรังเกียจหรือขยะแขยงต่ออาโอกิเลยแม้แต่น้อย รวมถึงพยายามหาเหตุผลว่าเพราะอะไรอาโอกิถึงชอบเขากันล่ะ!? โดยที่ตัวอิดะเองก็ไม่ได้ละเลยความรู้สึกที่อาโอกิมีให้ตัวเอง(?) จึงอยากที่จะทำความเข้าใจกับความรู้สึกเหล่านั้น และยังพยายามที่จะทำความรู้จักอาโอกิให้มากยิ่งขึ้นจากการไปถามว่าอาโอกิเป็นคนอย่างไรจากเพื่อนสนิทของอาโอกิอย่างอัคคุง

    ขอบคุณรูป EP1 จาก Netflix Thailand

               หลังจากนั้นไม่นานเมื่ออิดะได้มองเห็นบางอย่างที่น่าสนใจจากอาโอกิ เช่น นิสัยตรงไปตรงมาและความอ่อนโยนของอาโอกิ เขาก็ได้ตัดสินใจว่าจะขอใช้เวลาเรียนรู้และทำความรู้จักอาโอกิให้มากขึ้นกว่านี้อีกนิด จะพยายามคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วจะกลับมาให้คำตอบว่าจะรับรักอาโอกิหรือไม่อีกด้วย! (โถ่เอ๊ยพ่อคุ๊ณณณณ เข้าใจผิดไปไกลแล้ว 555555555555555) 

               ดังนั้น อิดะ จึงนับว่าเป็นตัวละครที่ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องความหลากหลายทางเพศ แต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านใด ๆ ทั้งยังพยายามจะทำความเข้าใจให้มากอีกขึ้นด้วย เราจึงชื่นชมการดีไซน์ตัวละครอิดะมาก ๆ เพราะทีมเขียนบทเขาไม่หลงลืมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงนี้ไปเลยแม้แต่น้อย เพราะอิดะเพิ่งจะเคยถูกสารภาพรักเป็นครั้งแรกแถมยังเป็นผู้ชายด้วย* ซึ่งถ้าเขียนบทออกมาไม่ดี อิดะอาจจะเผลอแสดงท่าทีรังเกียจต่ออาโอกิได้ ดังนั้นการเขียนบทของอิดะในช่วงนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังมากจริง ๆ /ลุกขึ้นยืนปรบมือให้ทีมเขียนบทหนึ่งกรุบ ??

    *ถึงแม้จะไม่ใช่การสารภาพรักจริง ๆ แต่ก็เกิดจากความเข้าใจผิดอะเนอะ ?

    ขอบคุณรูป EP1 จาก Netflix Thailand



    'อาโอกิ' ที่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองและ 'ฮาชิโมโตะซัง' ที่ไม่ดูถูกความชอบของใคร


               หลังจากที่อาโอกิได้รับความช่วยเหลือจากอิดะอยู่หลายครั้งในช่วงนี้ เช่น ตอนที่อิดะเสนอตัวเข้ามาช่วยอาโอกิวาดรูปสำหรับละครเวทีจนสำเร็จ ทั้งยังเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ที่ฮาชิโมโตะซังเผลอทำถังน้ำหกใส่ฉากจนเสียหาย หรือกระทั่งตอนที่อิดะยืนหยัดพูดขึ้นมาว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกที่ไปล้อเล่นใส่อาโอกิด้วยคำพูดแย่ ๆ หลังจบละครเวทีเรื่องซินเดอเรล่า

    ขอบคุณรูป EP2 จาก Netflix Thailand

               กลายเป็นว่าเมื่อใดก็ตามที่อาโอกิรู้สึกแย่ ก็จะมีอิดะที่เป็นคนคอยเข้ามาปลอบใจและอยู่ข้าง ๆ เขาเสมอ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็ทำให้อาโอกิเริ่มมองว่าอิดะเป็นคนดี ก่อเกิดเป็นความรู้สึกดี ๆ บางอย่างขึ้นมาในหัวใจ จนในที่สุดอาโอกิก็ตัดสินใจขอโทษต่อฮาชิโมโตะซังที่เขาดันชอบเผลอใจไปชอบอิดะเหมือนกันกับเธอทั้ง ๆ ที่เขาเคยสัญญาว่าจะคอยเอาใจช่วยเธอแท้ ๆ (ถึงแม้จริง ๆ แล้วฮาชิโมโตะซังจะชอบไอดะ aka อัคคุงก็เถอะ! 55555555555555)

               หลังจากที่อาโอกิสารภาพเสร็จเขาก็พูดกับตัวเองว่า "จะว่าฉันมีอะไรไม่ปกติก็คงได้มั้ง" (เป็นผู้ชายแต่ดันไปชอบผู้ชาย) แต่ฮาชิโมโตะซังก็พูดขึ้นมาทันทีเลยว่า "ไม่จริงสักหน่อย ไม่ได้ผิดปกติ รู้ดีเลยล่ะว่านายรู้สึกยังไง" 

    ขอบคุณรูป EP3 จาก Netflix Thailand

               ในจุดนี้เองที่เรารู้สึกว่า มันเป็นประโยคที่ดีมาก ๆ เลย เพราะว่าในปัจจุบันนั้น การรักหรือชอบเพศเดียวกันก็ยังสุ่มเสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าให้ใครต่อใครพูดถึงในทางเสีย ๆ หาย ๆ หรือโดนล้อเลียนได้ แต่ว่าประโยคที่ฮาชิโมโตะซังพูดคือสิ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้พยายามจะส่งต่อข้อความออกไปยังคนดูว่า การที่วันใดวันหนึ่งหากคุณจะเกิดความรู้สึกชอบหรือรักเพศเดียวกันขึ้นมา มันไม่ใช่ความผิดปกติใด ๆ ดังนั้น เรื่องเหล่านี้ไม่ควรถูกมองเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดของสังคมเหมือนดังในยุคสมัยก่อนได้แล้วนะ!

               และถึงแม้คุณอาจจะยังไม่เข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศดีพอ แต่สิ่งที่คุณสามารถทำได้คือเรียนรู้ที่จะเป็นคนที่มีมารยาทพื้นฐานโดยการไม่พูดหรือแสดงท่าทีรังเกียจต่อ Queer People จนอาจทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดแผลและความเจ็บปวดจากการกระทำหลาย ๆ อย่างที่อาจจะไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองมาก่อนจากคุณ 

               ดังนั้น ฮาชิโมโตะซังคือตัวอย่างที่ดีของคนที่แม้จะยังไม่เข้าใจอะไรมากในเรื่องนี้ แต่เธอก็เลือกที่จะให้กำลังใจอาโอกิและพยายามพูดว่าเรื่องเหล่านี้มันไม่ได้ผิดแปลกอะไร เพื่อสร้างความสบายใจให้สมกับที่อาโอกิตัดสินใจ Come Out ออกมากับเธออย่างมุ่งมั่น จริงใจ และกล้าหาญนั่นเอง



    'อัคคุง' เพื่อนสนิทที่คอยซัพพอร์ทและอยู่เคียงข้างอาโอกิในทุก ๆ เรื่อง


               ใน EP4 อัคคุงเกิดความสงสัยว่าอาโอกิชอบอิดะหรือเปล่า จึงคอยเฝ้าสังเกตทั้งอิดะและอาโอกิอยู่เสมอ จนกระทั่งเขาตัดสินใจไปถามความจริงกับฮาชิโมโตะซัง และเมื่อเขารู้ว่าอาโอกิชอบอิดะจริง ๆ ปฏิกิริยาแรกที่เขาแสดงออกมาเป็นอะไรที่อยู่เหนือความคาดหมายของเรามากจริง ๆ เพราะว่าโดยปกติแล้วในซีรีส์หลาย ๆ เรื่องตัวละครมักจะแสดงความตกใจที่เพื่อนสนิทตัวเองชอบเพศเดียวกัน แต่กับอัคคุงมันไม่ใช่แบบนั้นเลย กลับกันอัคคุงรู้สึกผิดขึ้นมาในทันที เพราะเมื่อหวนนึกไปถึงหลาย ๆ สิ่งที่ตัวเองทำไปก่อนหน้านั้น เขารู้สึกว่าคำพูดและการกระทำบางอย่างอาจไปทำร้ายจิตใจของอาโอกิได้ อัคคุงจึงตัดสินใจมาขอโทษอาโอกิแบบตรงไปตรงมาด้วยความจริงใจ


               และที่ยิ่งไปมากกว่านั้น เมื่ออยู่ ๆ อาโอกิก็พูดขึ้นมาว่า "ไม่เป็นไรหรอก เป็นธรรมดาที่นายจะมีท่าทีแบบนั้น เป็นธรรมดาที่คนจะคิดว่าฉันบ้า ถ้าฉันคิดแบบนั้นกับอิดะ"

    ขอบคุณรูป EP5 จาก Netflix Thailand

               แต่อัคคุงกลับตอบไปอย่างหนักแน่นว่า "งั้นความ 'ธรรมดา' แบบนั้นก็ผิดแล้วล่ะ"

    ขอบคุณรูป EP5 จาก Netflix Thailand

    "ฉันไม่สนหรอกว่านายจะชอบใคร อาโอกิก็ยังเป็นอาโอกินี่"
    ขอบคุณรูป EP5 จาก Netflix Thailand
             
               การที่อัคคุงพูดแบบนั้นถือเป็นความตั้งใจของทีมเขียนบทที่ต้องการส่งข้อความไปยังคนดูโดยตรงเลยว่า การที่ในวันหนึ่งหากเราจะเกิดความรู้สึกรักหรือชอบเพศเดียวกันขึ้นมา มันก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าหรือความเป็นตัวตนของบุคคลนั้น ๆ แปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าเขาจะชอบใครหรือชอบเพศไหน บุคคลนั้นก็ยังคงเป็นเขาคนเดิมอย่างที่เคยเป็นมา

               นี่เป็นสิ่งที่พอเราดูซีนนี้จบปุ๊บ เราอยากจะลุกขึ้นยืนปรบมือให้เลย เพราะว่าภายในซีนสั้น ๆ แค่ไม่กี่นาที ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้ทำเพียงแค่ 'สะท้อนสังคม' ให้เห็นถึง Struggle ที่ Queer people จะต้องพบเจอเท่านั้น แต่ตัวซีรีส์ 'นำสังคม' ให้คนดูรู้จักถึงแนวทางที่ควรจะเป็นด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้วการที่คนเราจะรักใครชอบใคร จะเป็นเพศตรงข้าม เพศเดียวกัน หรือไม่ว่าจะเขาจะนิยามตัวเองว่าเป็นเพศไหน (Gender Identity) มีรสนิยมทางเพศ (Sexual Orientation) แบบใด มันก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่คุณควรให้ความเคารพต่อบุคคลนั้น ๆ

    เพราะว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณที่จะมารู้สึกโอเคหรือไม่โอเคนั่นเอง



    ประเด็นอ่อนไหวที่ทีมผู้สร้างไม่ได้ทำออกมาในเชิง Romanticized เลยแม้แต่น้อย


               ใน EP6 จะเป็นการเล่าเรื่องของอิดะและอาโอกิหลังตกลงเป็นแฟนกันแล้ว แต่ว่าหลังจากที่อาโอกิถามอิดะว่าชอบตนเองบ้างรึเปล่า? แล้วอิดะที่บอกว่า "ไม่รู้สิ พอไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบก็เลยบอกไม่ได้น่ะ"  ก็ได้ทำให้อาโอกิรู้สึกสับสนว่าสรุปแล้วเรื่องระหว่างเรานี่มันยังไงกันแน่!? ในขณะเดียวกันก็มีเหตุการณ์ของมัตสึอุจิซังมาเป็นเหมือนกระจกสะท้อนให้อิดะเข้าใจความรู้สึกตัวเองมากยิ่งขึ้นว่า 'ความรู้สึกของการชอบใครสักคน มันเป็นอย่างไร'  แต่ว่าเรื่องราวที่มัตสึอุจิซังนำมาเล่าให้อิดะฟังมันดันไปคาบเกี่ยวกับเรื่องที่เธอแอบชอบทานิกุจิเซนเซย์ 

    ขอบคุณรูป EP6 จาก Netflix Thailand

               ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องการชอบพอระหว่างศิษย์ - อาจารย์ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างผิดศีลธรรม แต่ว่าเราดีใจมาก ๆ ที่ซีรีส์จงใจทำให้เราเห็นว่าทานิกุจิเซนเซย์ไม่ได้มีความรู้สึกในเชิงชู้สาวกับนักเรียนคนนั้นแต่อย่างใด และยังพยายามทำให้เราเห็นว่าทานิกุจิเซนเซย์พยายามปฏิเสธความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีให้ไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว ซึ่งจะแตกต่างจากซีรีส์หลาย ๆ เรื่องที่พยายามเบลอความสัมพันธ์ที่ผิดศีลธรรมนี้ ให้กลายเป็นเรื่องโรแมนติกไปแทน (ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ควรยอมรับได้ เพราะเป็นการส่งต่อแนวคิดผิด ๆ ออกไปยังคนดูในวงกว้าง) ในจุดนี้เราขอนับว่าทีมเขียนบททำออกมาได้ดีและน่าชื่นชมมากจริง ๆ ที่ไม่ Romanticized เรื่องนี้ให้ออกมาเป็นความรักสุดแสนโรแมนติกเหมือนผลงานที่อยู่ในยุคยังไม่พัฒนาเมื่อสิบปีหรือยี่สิบปีที่แล้ว



    สัมผัสใด ๆ ล้วนต้องเกิดจากความยินยอมของทั้งสองฝ่าย


               อีกหนึ่งซีนที่เราขอยกให้เป็นหนึ่งใน Best Scene จากความชอบส่วนบุคคลของเราเองคือซีนจับมือครั้งแรกของอิดะและอาโอกิใน EP8 แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เราชอบซีนนี้ไม่ใช่เพียงแค่การที่ตัวละครทั้งสองจับมือกันแต่อย่างใด แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นต่างหาก !

               เพราะเมื่ออาโอกิมีโอกาสได้พูดคุยกับโอกาโนะเซนเซย์ที่ได้ถามไถ่ถึงความคืบหน้าในความสัมพันธ์ของอาโอกิกับแฟน ก็ได้มีการพูดถึงรูปแบบการสกินชิพ เช่น การกอด การจับมือ หรือการจูบ จึงทำให้อาโอกิเก็บไปคิดมากและนำไปสู่เหตุการณ์การแอบแตะมืออิดะตรงบันไดที่ทั้งสองไปนั่งกินข้าวเที่ยงด้วยกัน

    ขอบคุณรูป EP8 จาก Netflix Thailand

               หลังจากเหตุการณ์วันนั้นอาโอกิก็คิดมากและตกอยู่ในภาวะซึม ๆ อยู่หลายวัน จนกระทั่งมาถึงจุดที่อาโอกิตัดสินใจจะขอโทษกับอิดะออกไปตรง ๆ เรื่องที่เขาเผลอสัมผัสมืออีกฝ่ายโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อนจนอาจทำให้อิดะรู้สึกไม่ดี ในจุดนี้เราขอชื่นชมเป็นอย่างมาก เพราะโดยส่วนใหญ่ซีรีส์หลายเรื่องมักพยายามใส่ซีนที่จะให้ตัวละครสองคนเกิดมวลความรู้สึกบางอย่างต่อกัน จึงเขียนบทมาให้ตัวละครถูกเนื้อถูกต้องตัวในบริบทที่ผิดที่ผิดทาง หรือบีบบังคับด้วยปัจจัยใด ๆ เพื่อให้เกิดการสกินชิปกันโดยที่ไม่คำนึงถึงหลักความเป็นจริง 

    ขอบคุณรูป EP7 จาก Netflix Thailand

    "แต่ฉันไม่มีทางรังเกียจอาโอกิหรอก"

    ขอบคุณรูป EP7 จาก Netflix Thailand

               สำหรับเรา เราคิดว่าการที่อาโอกิตัดสินใจขอโทษเป็นสิ่งที่ดีแล้ว เพราะนั่นเท่ากับตัวละครเกิดการเรียนรู้จากสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เกิดการนำไปคิดทบทวนว่าอะไรควรไม่ควร นำไปสู่การขอโทษอีกฝ่ายตรง ๆ ถึงแม้ว่า Reaction ของอิดะจะไม่ได้มาจากการรังเกียจ และเป็นเพียงความเข้าใจผิดก็เถอะ! แต่สุดท้ายการขอโทษในครั้งนั้นมันก็นำไปสู่กับการจับมือในแบบที่เกิดจากความยินยอมของทั้งสองฝ่าย และนับว่าเป็นอีกซีนที่สวยงามมากจริง ๆ 



    ที่นั่ง 3 ที่, บะหมี่ 3 ชามกับอีก 3 เมนูไม่ซ้ำกัน


               จะเห็นได้ว่าหลังจากที่โอกาโนะเซนเซย์เห็นอิดะกับอาโอกิจับมือกันบนสะพาน ก็ทำให้ตัวเขาเริ่มตีตัวออกห่าง รวมถึงเผลอแสดงท่าทีรังเกียจต่ออาโอกิโดยการไม่อยากให้อาโอกิเข้าใกล้มากเกินไปในขณะที่เรียนพิเศษเสริมอยู่ด้วยกัน เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อโอกาโนะเซนเซย์บังเอิญมาเห็นอาโอกิกำลังปฏิเสธเงินจากคุณลุงที่เขาเพิ่งนำทางมายังหน้าโรงแรมแห่งหนึ่งกำลังจะมอบให้ก็ยิ่งเข้าใจผิดในแง่ลบเข้าไปใหญ่ จนสุดท้ายอาโอกิทนไม่ไหวจึงได้พูดบางอย่างออกมาเพื่อปกป้องตัวเองและอิดะจากการถูกเข้าใจผิด


    "ไม่ต้องทำเหมือนผมต่างจากคนอื่นก็ได้"

    "ผมไม่ได้เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่เราเจอกัน"

    ขอบคุณรูป EP8 จาก Netflix Thailand

               ท้ายที่สุดก็ลงเอยที่ทั้งสามคนมานั่งกินบะหมี่ในร้านเดียวกันโดยมีโอกาโนะเซนเซย์เป็นฝ่ายออกปากว่าจะเลี้ยงมื้อนี้เองหลังจากที่อิดะเป็นฝ่ายเชิญมานั่งบะหมี่ด้วยกัน (โถ่เอ๊ยพ่อคุณณณ ถึงจะโมโหที่โอกาโนะเซนเซย์พูดจาไม่ดีใส่อาโอกิ แต่ความเป็นห่วงแฟนอะเนอะ นึกถึงใจแฟนก่อน แบบเออ ๆ ไอหมอนี่มันคือคนที่แฟนเราอยากกินข้าวด้วย ชวนก็ได้ฟะ! แงงง อิดะน่ารักที่สุด ;-;) 

               ในระหว่างนั่งรอบะหมี่อาโอกิกับโอกาโนะเซนเซย์ก็ได้มีโอกาสพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยโอกาโนะเซนเซย์เป็นฝ่ายกล่าวขอโทษที่แสดงกริยาไม่ดีออกไป รวมถึงเรื่องที่เข้าใจผิดไปเองด้วยว่าอาโอกิจะมาชอบตนเอง (หลงตัวเอง!5555555) นอกจากนี้ยังมีอีกซีนที่เราชอบมาก ๆ เลย นั่นก็คือซีนยื่นบะหมี่ทีละชามแบบชัด ๆ และเมนูก็ไม่เหมือนกันเลยทั้ง 3 ชาม เรียกได้ว่าซีรีส์พยายามจะพูดคุยกับคนดูโดยตรงผ่านบทพูดสั้น ๆ ไม่กี่วินาที แต่เป็นบทที่สำคัญและถูกสื่อสารออกมาอย่างหนักแน่น ชัดเจน ตรงไปตรงมาแบบย่อยง่ายว่า

    "ใครจะไปรู้เนอะ คนเรามีอิสระที่จะชอบอะไรตามใจต้องการ"

    ขอบคุณรูป EP8 จาก Netflix Thailand

               ใช่ค่ะ เพราะถึงแม้จะมากินบะหมี่ด้วยกัน แต่กลับไม่มีใครสัั่งเมนูเหมือนกันเลย นั่นเป็นเพราะแต่ละคนล้วนมีความชอบส่วนบุคคลเป็นของตัวเอง เพราะมนุษย์บนโลกใบนี้มีตั้งกี่พันล้านคน จะให้มนุษย์ทุกคนเหมือนกันหมดได้อย่างไร ดังนั้น เราควรเคารพในความชอบส่วนบุคคลของคนอื่น เพราะไม่ว่าจะเป็นความชอบเรื่องทั่ว ๆ ไป อย่างเช่น เมนูโปรด สีที่ชื่นชอบ แนวภาพยนตร์ที่ดูได้ไม่มีเบื่อ หรือกระทั่งอัตลักษณ์ทางเพศและรสนิยมทางเพศที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ก็ล้วนแต่เป็นอิสระของบุคคลนั้น ๆ ที่เราไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายนั่นเอง


    📝note: เราชอบที่อาโอกิยอมรับกับตัวเองไปแล้วว่าคนที่ตัวเองชอบและคบด้วยอยู่เป็นผู้ชาย (อ้างอิงจากเสียงในหัวของอาโอกิใน EP8 ช่วงนาทีที่ 12.16) ดังนั้น การที่อาโอกิพูดกับโอกาโนะเซนเซย์ว่า "ผมไม่ได้ชอบใครก็ได้นะ คนที่ผมชอบคืออิดะ"  ในเรื่องนี้มันค่อนข้างแตกต่างออกไปด้วยบริบท และหลุดออกจากขนบบ้ง ๆ หรือหล่มที่เรามักจะพบเจอในผลงาน BL อยู่บ่อยครั้งทำนองว่า "ฉันไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่ฉันชอบนายคนเดียว"  นั่นเป็นเพราะประโยคนี้มันค่อนข้าง Problematic และเป็นการส่งต่อแนวความคิดที่เผลอไปลบ Gender Identity ของ Queer People บางกลุ่มได้นั่นเอง

    (เพราะว่าต่อให้ Queer People เขาจะนิยามตัวเองว่าเป็นผู้ชายและมีรสนิยมทางเพศชอบผู้ชายก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะชอบผู้ชายทุกคนบนโลกใบนี้! หยุดมั่นแบบโอกาโนะเซนเซย์! 55555555555)



    Supportive Friends 


               หัวใจหลักสำคัญที่ขับเคลื่อนเรื่องราวในซีรีส์เรื่องนี้ที่ขาดไปไม่ได้เลยคือ 'เพื่อน' ส่วนตัวเรารู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้ค่อนข้างให้ความสำคัญกับตัวละครเพื่อนอยู่พอสมควร ทีมเขียนบทไม่ได้มองว่าตัวละครเพื่อนในเรื่องเป็นแค่ตัวประกอบที่ต้องใส่เข้ามาให้ครบแบบขอไปที แต่ทุกคนล้วนมีความสำคัญและส่งผลกระทบโดยตรงไปยังพระเอกทั้งสองคน* อย่าง อิดะและอาโอกิเสมอ

    📝note: ซีรีส์เรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวความรักแบบชาย-ชาย ดังนั้นการเรียกตัวละครว่าพระเอก-นายเอกเป็นการเอา 'กรอบไบนารี่แบบชาย-หญิง' ไปสวมทับให้กับความรักแบบชาย-ชาย ดังนั้น เราจึงเรียกอิดะและอาโอกิว่าเป็นพระเอกทั้งคู่ (หรือจะเรียกว่าตัวเอกทั้งสองก็ได้นะ) เพื่อไม่ให้เป็นการ Stereotypes และส่งต่อภาพจำที่ว่าคู่รักแบบชาย-ชาย จะต้องมีคนหนึ่งดู Masculine และอีกคนดู Feminine เพราะจริง ๆ แล้ว Gender Identity, Gender Expression และ Sexual Orientation มันเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันโดยสมบูรณ์และมีความลื่นไหลไม่ตายตัวนั่นเอง

    Gender Identity อัตลักษณ์ทางเพศที่คุณนิยามให้ตัวเองว่าเป็นผญ / ผช / หรืออื่น ๆ
    Gender Expression การแสดงออกทางเพศ เช่น การแต่งตัว รูปลักษณ์ภายนอก
    Sexual Orientation รสนิยมทางเพศ เช่น ชอบเพศตรงข้าม / ชอบเพศเดียวกัน / หรืออื่น ๆ 

               เริ่มจากฮาชิโมโตะซังและอัคคุงที่มักจะคอยเป็นกำลังใจและรับฟังยามที่อาโอกิมีเรื่องไม่สบายใจอยู่เสมอ อีกทั้งสองคนนี้ไม่เคยรับฟังหรือให้คำปรึกษาแบบขอไปทีเลย นับได้ว่าเป็นตัวละครเพื่อนที่ช่วยส่งเสริมให้ซีรีส์มีความกลมกล่อมมากยิ่งขึ้นจริง ๆ แถมยังมีเส้นเรื่องเป็นของตัวเองให้คนดูร่วมลุ้น ร่วมเอาใจช่วยว่าความรักของทั้งคู่จะลงเอยอย่างไรไปพร้อม ๆ กับคู่หลักได้สมู้ทททททมาก และเชื่อว่าหลายคงไม่มีใครกดกรอข้ามแน่นอน เพราะทั้งคู่เล่นน่ารักซะขนาดนี้ 

    ขอบคุณรูป EP3, EP4 และ EP9 จาก Netflix Thailand

               โทโยดะ อีกหนึ่งตัวละครที่คอยเฝ้ามองและเอาใจช่วยอิดะอยู่เสมอในฐานะเพื่อนที่ดี จะเห็นได้ว่าตั้งแต่แรกเขามักจะคอยสังเกตอิดะอยู่ตลอด เช่น เมื่อโทโยดะเห็นอิดะดูมีเรื่องกังวลใจและไม่มีสมาธิในระหว่างการซ้อม เขาก็ได้เอ่ยปากถามออกไปเสมอว่ามีอะไรหรือเปล่า เพื่อหวังให้อีกฝ่ายระบายเรื่องไม่สบายใจออกมากับตนเอง แถมยังคอยแอบซัพพอร์ทความสัมพันธ์ของอิดะกับอาโอกิแบบเงียบ ๆ อีกด้วย

    (ปล. ส่วนตัวเราชอบที่โทโยดะไม่ถามอะไรเกี่ยวกับอาโอกิ นั่นเป็นเพราะโทโยดะเคารพในสิทธิ์การตัดสินใจของอิดะ เพราะถ้าอิดะยังไม่พร้อมจะบอก เขาก็เลือกที่จะไม่ละลาบละล้วง เยี่ยมมาก!)

    ขอบคุณรูป EP1, EP2, EP7 และ EP8 จาก Netflix Thailand

               อีกหนึ่งกลุุ่มเพื่อนที่เราชอบมากคือ 'เพื่อนจากชมรมวอลเล่ย์บอล' ของอิดะ หลังจากที่อาโอกิบอกเลิกอิดะไปในช่วงต้นของ EP10 อาโอกิก็ได้เดินตรงไปหาเพื่อนชมรมวอลเล่ย์บอลในทันที และขอให้ช่วยเก็บเรื่องที่ตัวเองกับอิดะคบกันเป็นความลับ เนื่องจากอาโอกิกังวลว่าหากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป คนอื่นจะมองอิดะในแง่ไม่ดี เพราะยังไงเสียในปัจจุบันนั้นความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกของ Queer People ก็ยังไม่ได้ถูกยอมรับหรือถูกมองว่าเท่าเทียมกันกับความรักแบบชาย-หญิงด้วยบรรทัดฐานที่ล้าหลังของสังคม แต่ว่าเรื่องกลับกลายเป็นว่าแม้ทุกคนจะรู้เรื่องที่อาโอกิคบกับอิดะอยู่แล้ว พวกเขากลับไม่ได้มีท่าทีล้อเลียนหรือรังเกียจเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังกำลังวางแผนว่าจะฉลองให้กับความสัมพันธ์ของอิดะและอาโอกิในครั้งนี้อย่างไรดี

    ขอบคุณรูป EP10 จาก Netflix Thailand

               แน่นอนว่ารวมไปถึงการพูดเพื่อย้ำเตือนสติในช่วงท้าย EP10 อีกด้วยว่า แท้จริงแล้วอาโอกิไม่ได้รังเกียจที่จะบอกใคร ๆ ว่าคบกับอิดะอยู่ แต่การที่อาโอกิทำแบบนั้นเพราะกำลังพยายามปกป้องอิดะในแบบของตัวเองอยู่เหมือนกัน เพียงแต่เรื่องแบบนี้ถ้ามัวแต่มาปกป้องกันผ่านมุมมองของแต่ละฝ่ายโดยไม่พูดคุยกันมันก็มีแต่จะเจ็บปวด และการเปิดใจคุยกันตรง ๆ น่าจะดีกว่า ด้วยเหตุนี้โทโยดะจึงพยายามโน้มน้าวให้อิดะรีบกลับไปเคลียร์เรื่องนี้กับอาโอกิก่อนที่จะสายเกินไป

    ขอบคุณรูป EP10 จาก Netflix Thailand

               ซีรีส์เรื่องนี้ได้นำเสนอภาพของกลุ่มเพื่อนที่ดี เพื่อนที่คอยรับฟัง เพื่อนที่คอยเป็นกำลังใจและอยู่ข้าง ๆ เสมอเมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องการ ทั้งหมดทั้งมวลนั้นไม่ได้แค่เพื่อทำให้เรื่องราวภายในซีรีส์มีมิติมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็น Soft Power ให้กับเหล่าคนดูได้ตระหนักเอาไว้เสมอด้วยว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร หากวันหนึ่งคุณมีเพื่อนที่เขานิยามตัวเองว่าเป็น Queer People นั่นเอง


    ผิดพลั้ง ทบทวน ขอโทษและค่อย ๆ เติบโตไปด้วยกัน


               ตลอดการเดินทางที่ผ่านมาทั้ง 10 EP จะได้เห็นได้เลยว่าเรื่องราวระหว่างอิดะและอาโอกิเป็นความสัมพันธ์ของเด็กวัยรุ่นสองคนที่ค่อย ๆ ทำความรู้จักกับอีกฝ่ายไปพร้อม ๆ กับสำรวจความรู้สึกตัวเองให้แน่ใจว่า ความชอบ.. ความรัก... แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่นะ?  

               ถึงแม้แรกเริ่มจะเกิดจากการเข้าใจผิด แต่เมื่อมีโอกาสที่เหมาะสมอาโอกิก็ตัดสินใจบอกความจริงของเรื่องราววุ่น ๆ ทั้งหมดกับอิดะ ว่าถึงเรื่องยางลบนั่นจะเป็นเพียงการเข้าใจผิด แต่เมื่ออาโอกิได้รู้จักกับอิดะมากขึ้น มากขึ้น พอวันเวลาผ่านไปความรู้สึกบางอย่างก็ค่อย ๆ กำเนิดขึ้นมาในหัวใจ และก็ได้ตัดสินใจจะบอกถึงความรู้สึกนั้นออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้โดยไม่ได้คาดหวังอะไรทั้งนั้นนอกจากได้ทำตามใจ ได้ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองจนเป็นที่มาของการคบกันโดยที่มีอิดะเป็นฝ่ายขอคบก่อน

    ขอบคุณรูป EP1, EP3 และ EP5 จาก Netflix Thailand

               อย่างไรก็ตาม พอหลังจากที่ทั้งคู่เป็นแฟนกันแล้ว แต่เนื่องมาจากมีคนหนึ่งรู้สึกมากกว่ากับอีกคนที่ยังไม่มั่นใจในความรู้สึกตัวเองดี จึงทำให้เกิดการทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เราอยากชื่นชมมาก ๆ คือทุกครั้งที่ทะเลาะกัน ทั้งคู่จะกลับไปคิดทบทวนกับตัวเองและกล้าที่จะกล่าวขอโทษต่ออีกฝ่ายอยู่เสมอเพื่อให้ความสัมพันธ์มันเดินต่อไปได้ ซึ่งในจุดนี้แหละที่เป็นหัวใจสำคัญของการคบกันระหว่างคนสองคน ทำให้ทั้งคู่ค่อย ๆ ร่นระยะห่างที่เคยมีและเข้าใกล้กันมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย 

               จนในที่สุด เมื่ออิดะมั่นใจแล้วว่าความรู้สึกที่มีต่ออาโอกิเป็นความรู้สึกที่มากกว่าแค่คำว่าเพื่อน เขาก็ได้บอกกล่าวความรู้สึกนั้นออกไปตรง ๆ ซึ่งซีนที่อิดะบอกชอบอาโอกิและเป็นฝ่ายขอเป็นแฟนนั้นก็ได้พาให้คนดูนึกไปถึงตอนช่วง EP6 ที่ครั้งหนึ่งอาโอกิเคยพูดเอาไว้ว่า "ฉันก็หวังว่าสักวัน ฉันจะดีพอให้นายขอเป็นแฟนจริง ๆ"  (สำเร็จแล้วนะอาโอกิ ㅠㅡㅠ)

    (me: ㅠ_____________________________ㅠ)


               และแน่นอนว่าอีกหนึ่ง Message สุดท้ายที่เป็นหนึ่งใน Key Message ของเรื่องนี้ที่จะไม่พูดถึงก็คงไม่ได้เลย เพราะในซีนเล็ก ๆ ช่วงท้าย EP10 จะมีซีนที่อิดะป้อนช็อกโกแลตให้กับอาโอกิ ซึ่งก่อนหน้านั้นเองอาโอกิก็เปรยขึ้นมาลอย ๆ กับอิดะว่า "คนส่วนใหญ่เขากินอะไรที่เข้ากับคริสต์มาสอย่างเค้กมากกว่า"

               แต่อิดะที่ป้อนช็อกโกแลตให้อาโอกิก็พูดขึ้นมาว่า "ไม่เหมือนคนส่วนใหญ่มันผิดตรงไหน" 

    ขอบคุณรูป EP10 จาก Netflix Thailand


               นี่แหละค่ะ Key Message ของเรื่องนี้ เพราะว่าประโยคสั้น ๆ ไม่กี่คำนี้ แท้จริงแล้วเป็นการสื่อความหมายโดยนัยเล็ก ๆ ไปถึงกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIAN+) ด้วยเช่นกันว่า การที่คุณไม่ใช่ Straight เหมือนกับคนอื่น ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนะ คุณไม่ได้แปลกแยกเลย คุณก็ยังเป็นตัวคุณเสมอ ตัวตนข้างในที่คุณเลือกจะนิยามให้ตัวเองก็ล้วนเป็นการทำเพื่อตัวคุณเอง และคุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองให้เหมือนใคร ๆ เพียงแค่เพราะพวกเขายังไม่ก้าวออกมาจากกรอบและบรรทัดฐานที่ล้าหลังอันเนื่องมาจากความใจแคบของตัวพวกเขาเอง


    📝 note: เมเมะเองก็เคยพูดในรายการวิทยุไว้ด้วยว่าเมสเสจเรื่องช็อกโกแลตนั่นสื่อความหมายโดยนัยไว้ และไม่ได้หมายถึงแค่ช็อกโกแลต! (ดีใจจังที่นักแสดงไม่ได้มาเล่นซีรีส์แล้วจบไป แต่เขาได้เรียนรู้เรื่องความหลากหลายทางเพศมากขึ้นด้วย แงงง ㅠㅡㅠ)



    ช่องทางการรับชมและติดตาม (จิ้มที่ลิ้งได้เลยยย)


    📺 Rakuten VikiMy Love Mix-Up



    อาโอกิ รับบทโดย มิจิเอดะ ชุนสุเกะ สมาชิกวง なにわ男子 (Naniwa Danshi)
    Youtube:  なにわ男子




    อิดะ รับบทโดย เมะกุโระ เร็น สมาชิกวง Snow Man
    Youtube: Snow Man
    Twitter: @SN__20200122
    Weibo: J_SnowMan




    ฮาชิโมโตะซัง รับบทโดย ฟุกุโมโตะ ริโกะ
    Instagram: riko_fukumoto

     
    อัคคุง รับบทโดย ซูซูกิ จิน
    Twitter: @jin_suzuki722
    Instagram: jin_suzuki_722



    ทิ้งท้ายก่อนจาก ??

               หลังจากที่ดูมาจนครบทั้งหมด 10 EP เรากล้าพูดเลยว่า ยางลบสื่อรัก เป็นซีรีส์ Queer ที่มาพร้อมกับความสัมพันธ์สุดแสนจะออร์แกนิก ไร้ซึ่งความ Toxic ใด ๆ ให้หงุดหงิดใจ เป็นแนว Coming Of Age ที่จะพาคนดูไปอิ่มเอมกับเรื่องราวอบอุ่นหัวใจของความรักระหว่างวัยรุ่นที่เพิ่งจะหัดมีความรักครั้งแรก เพิ่งเข้าใจถึงรสชาติของความเจ็บปวด ความกลัวที่จะถูกมองไม่ดีจากสายตาคนนอก มีการก้าวผิดก้าวถูก จนความรักค่อย ๆ เบ่งบานอย่างงดงาม ทำให้คนดูรู้สึกผูกพันและได้เติบโตไปพร้อม ๆ กับตัวละครตั้งแต่ต้นจนจบ 

               นอกจากนี้ตัวซีรีส์ยังไม่ละเลยตัวละครสมทบ อย่าง เพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ หรืออาจารย์ที่เป็นผู้เฝ้ามองทุกอย่าง แถมยังคอยดูแลเด็ก ๆ อยู่ห่าง ๆ รวมไปถึงการนำเสนอเรื่องราวความรักของ Queer People ออกมาได้ย่อยง่ายสุด ๆ และไม่สร้างค่านิยมผิด ๆ ไปยังคนดูอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ดี ๆ ที่เราขอยกให้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ชีวิตนี้ไม่ควรพลาดจริง ๆ ค่ะ




    แก้ไขล่าสุดวันที่: 17 ธันวาคม 2565

     
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in