เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Cat Rain Cigarette and Youblueciiel
(Un)serendipity
  • from : #510330tracks project
    track : Hug Me - Nam Taehyun
    art & story by BlueCiiel 




    serendipity(n.) the fact of finding interesting things by chance.





    เหมือนดาวบริวารโคจรเข้าสู่แรงดึงดูดของดาวฤกษ์
    เหมือนปกหนังสือที่ถูกชะตาตั้งแต่อยู่บนชั้น
    เหมือนมินโฮที่จะตามหาชื่อของเพลงเพลงนั้น
    ไม่รู้สิ บางทีเขาอาจจะเบื่อมันภายในไม่ถึงสัปดาห์  
    แต่ที่แน่ๆ
    ตอนนี้เขาอยากฟังมันอีกครั้ง

    …………


    วันนั้นหน้าร้านกาแฟที่อยู่ตรงข้ามกับห้องสมุดประจำเมือง อยู่ๆ ฝนก็ตกลงมากลางฤดูหนาว
    เขาดูไม่ใช่คนยิ้มง่ายในครั้งแรกที่เห็น แต่เมื่อริมฝีปากได้รูปนั้นคลี่ยิ้มก็ราวกับว่าทุกสิ่งถูกย้อมให้สดใส แม้แต่ท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆฝนขณะนี้
    นั่นอาจจะฟังดูเกินจริงไปหน่อย ถ้าหากจะอธิบายให้อยู่บนความเป็นจริงกว่านั้นก็คงบอกได้ว่ารอยยิ้มของเขาทำให้จำนวนหยดน้ำที่ร่วงหล่นลงจากกลีบดอกฟรีเซียซึ่งผมอุตส่าห์ยืนนับในใจมาหลายนาทีหายไปจากหัวในทันที


    รถประจำทางกำลังจะมาถึงป้ายหน้าห้องสมุดในอีกสิบนาที ผมตั้งใจจะสูบบุหรี่ซักมวนซึ่งคงใช้เวลาซักพัก รวมกับเวลาที่เดินข้ามถนนไปก็คงประจวบเหมาะพอดีกับเวลาที่รถจะมาถึง ในตอนที่มองไอควันสีขาวลอยหายไปในอากาศ กระดิ่งเหนือประตูร้านก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง
    สีหน้าตกใจนั้นคงเป็นเพราะเขาไม่ได้เตรียมร่มมา และไม่รู้ทำไมผมเองถึงได้ตกใจไม่ต่างกันเมื่อประสานสายตากับดวงตาคู่นั้น จะให้เรียกว่าตกใจก็คงไม่ถูก  เอาเป็นว่ามันทำให้ผมเอ่ยถามคนแปลกหน้าออกไปแบบนั้นแล้วกัน

    “จะไปขึ้นรถบัสหรือเปล่าครับ”

    “ผมก็จะไปทางนั้นเหมือนกัน คุณติดร่มไปได้นะ”

    และเพราะประโยคนั้นเลยทำให้ผมได้เห็นรอยยิ้มของเขา
    “รบกวนด้วยนะครับ” เขาค้อมตัวขอบคุณ เส้นผมสีน้ำตาลโอ๊คร่วงลงมาระดวงตาเรียวเล็ก พวกมันถูกทัดไว้ที่หูเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น
    บุหรี่ที่เพิ่งจุดถูกทิ้งลงในที่เขี่ยพกพาอย่างเงียบเชียบ
    ร่มขนาดปกติเล็กไปสำหรับผู้ชายสองคน ผมรู้สึกได้ถึงความชื้นที่ไหล่ข้างซ้ายและไหล่ข้างขวาของเขาก็คงเปียกเหมือนกัน แต่มันก็คงดีกว่าให้ใครคนใดคนหนึ่งเปียกไปทั้งตัวแน่ๆ
    ท่าทีของเขาดูเกร็งเหมือนทำตัวไม่ถูก คล้ายว่าจะพยายามไม่ก้าวเร็วไปอย่างที่ต้องการ ผมนึกขำอยู่ในใจ แต่นั่นอาจเป็นเพราะผมเป็นฝ่ายให้เขาติดร่มมาก็ได้



    รู้สึกโล่งใจที่ป้ายรถประจำทางมีคนนั่งรออยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคงมีความอึดอัดเกิดขึ้นกับคนที่อยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ เขาคงหันมายิ้มให้ผมพอเป็นมารยาท และผมก็คงยิ้มตอบกลับไป หลังจากนั้นพวกเราก็จะมองตรงไปข้างหน้า ไม่ก็ทำทีเหมือนกำลังตั้งใจมองว่ารถจะมาถึงหรือยัง
    เขาเอาหูฟังที่พาดบ่าไว้มาใส่และเลือกที่จะไม่นั่ง จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่งที่มีเพียงไม่กี่คนเหลืออยู่ที่ป้าย



    ทำไมลางสังหรณ์บอกผมว่าจะมีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นอีกนะ
    อย่างเช่นเราอาจจะขึ้นรถสายเดียวกัน



    แล้วมันก็ถูกต้องซะด้วย



    เขาจงใจทิ้งระยะรอให้คนอื่นขึ้นก่อนแล้วค่อยตามขึ้นมา ถ้าเป็นผมก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าพระเจ้าจะมอบความบังเอิญให้เราไม่รู้จักจบสิ้น



    เหตุการณ์ที่ที่นั่งติดกันจะเหลือสองที่โดยที่ที่นั่งข้างหลังเต็มนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นบ่อยๆ
    แต่ตอนนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว



    ร่างสูงที่เริ่มจะคุ้นเคยขึ้นเรื่อยๆ ทิ้งตัวลงบนเบาะข้างๆ ที่ว่างอยู่
    ผมสไลด์หน้าจออย่างไร้จุดหมาย กดไลค์รูปที่โผล่มาบนฟีดทั้งที่ไม่ได้สนใจมากนัก ซักพักก็หยิบหูฟังมาฟังเพลงเช่นเดียวกัน


    เขาลงก่อนผมหลายป้าย น่าแปลกที่ผมจำชื่อป้ายได้แม่นเหลือเกิน


    แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรให้จดจำมากนัก ระหว่างทางกลับบ้านเรื่องของคนแปลกหน้าที่ติดร่มข้ามถนนไปยังป้ายรถประจำทางก็ได้กลายเป็นเรื่องที่ไม่ต่างไปจากความจริงที่ว่าวันนี้ฝนตกเท่านั้น
    ก่อนที่ผมจะได้พบเขาอีกครั้ง

    …………





    คุณจำป้ายที่ผมลงได้?
    นัมแทฮยอนขมวดคิ้วมุ่น ละสายตาจากกรีนทีลาเต้ร้อนในมือมามองคนที่กำลังเท้าคางกับโต๊ะอย่างสบายอารมณ์ คนผิวเข้มตรงหน้าอยู่ในเสื้อยืดผ่าไหล่สีโคบอลต์บลูซึ่งเหมาะสุดๆ ทั้งสำหรับตัวเขาและหน้าร้อน แต่แย่หน่อยที่วันนี้ข้างนอกหน้าต่างนั่นฝนกำลังตกอยู่
    “ให้บอกไหม”
    “สตอล์คเกอร์ชัดๆ”
    “เฮ้ ใจเย็น แค่จำได้เฉยๆ ไหมล่ะ”
    “ไม่รู้ล่ะ คุณคือบุคคลอันตรายสำหรับผมในตอนนี้”
    “ใจร้ายจังเลยนะคุณน่ะ” ซงมินโฮ’ กอดอกแล้วทิ้งตัวลงกับพนักเก้าอี้ แทฮยอนปรายตามองเขาอีกครั้ง
    “สรุปคือคุณจะนั่งกวนผมอยู่ตรงนี้อีกนานใช่ไหม”
    “สรุปคือผมจะนั่งอยู่ตรงนี้จนกว่าคุณจะยอมรับว่าแกล้งจำคืนนั้นไม่ได้ต่างหาก”
    ผมจำไม่ได้จริงๆ”
    ทั้งคู่เล่นเกมจ้องตากันอยู่พักหนึ่ง แต่ดูเหมือนความเย็นชาที่แทฮยอนส่งผ่านสายตามานั้นจะไม่ได้ผลกับอีกฝ่ายเลย กลับกัน มินโฮกำลังยกยิ้มอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า
    “โอเค งั้นเดี๋ยวเล่าให้ฟัง”
    “คุณ!
    แล้วแทฮยอนก็ต้องหันไปก้มหัวน้อยๆ เป็นเชิงขอโทษคนที่นั่งอยู่แถวนั้น รวมถึงบรรณารักษ์ที่มองลอดแว่นมาที่เขาพร้อมกระแอมทีนึงด้วย



    “พอได้แล้วน่า” เขากระซิบทั้งที่แก้มขาวยังขึ้นสีจางๆ ซึ่งมินโฮก็กระซิบกลับไป
    “เราเจอกันตั้งสามครั้ง คุณไม่คิดว่ามันบังเอิญเกินไปบ้างหรือไง”
    “แน่ใจเหรอว่าครั้งนี้ก็บังเอิญด้วย”
    “จะดีใจมากถ้าไม่ใช่ ผมจะได้คิดว่าคุณตั้งใจมาเจอผม”
    “ฝันไปเถอะ”
    “ทีนี้เชื่อผมหรือยังล่ะว่าคุณใจร้าย” แทฮยอนยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
    “แล้วยังไง”
    “บางอย่างบอกผมว่าเราควรทำความรู้จักกันนะ” ประโยคนั้นทำให้คนฟังถึงกับย่นคอ
    “ให้ตายเหอะ คุณไปเอาประโยคเลี่ยนๆ นี่มาจากหนังเรื่องไหนเนี่ย”
    “คิดสดๆ เมื่อกี้เลย” อันที่จริงแม้แต่มินโฮเองก็พูดประโยคนั้นไปอย่างเขินๆ เหมือนกันแหละน่า
    “นั่นแย่กว่าเดิมอีกรู้ไหม” เหมือนว่าจะมีเสียงหัวเราะกลั้วอยู่ในคำนั้น
    มินโฮเกาหัวแก้เก้อพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้ทุกอย่างดูตลกขึ้นไปอีก แทฮยอนต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ยิ้มออกมาตอนที่อีกฝ่ายชวนเปลี่ยนเรื่อง
    “ว่าแต่ คุณยังเป็นนักศึกษาอยู่เหรอ”
    “อาฮะ เอกภาษาและวรรณคดี แต่เล่มนี้ไม่ใช่หนังสือเรียนหรอก” เขาต่อท้ายเมื่อมินโฮมองมาที่หนังสือที่ถูกคั่นหน้าไว้
    “ผมอ่านเล่มนั้นเมื่อหน้าร้อนที่แล้ว”

    แวบหนึ่งที่แทฮยอนเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจแต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ก่อนที่คั่นหนังสือจะถูกดึงออก เขาตอบกลับไปโดยไม่ได้ละสายตาจากหนังสือในมือ

    “แล้วมาบอกผมทำไมเล่า”




    I thought you should know


    นิ้วเรียวที่กำลังพลิกหน้ากระดาษชะงักไปด้วยประโยคนั้น
    ในตอนที่แทฮยอนเงยหน้าจากหนังสือ มินโฮก็เท้าแขนกับโต๊ะแล้วโน้มตัวมาใกล้เพื่อให้เขาได้ยินชัดขึ้นในประโยคต่อมา


    Because I wanted you to know.
    * Elio ‘Call Me by Your Name’


    เมื่อเผลอจ้องตอบมินโฮก็ไม่ยอมปล่อยให้แทฮยอนหลบหลีกได้อีก สีเลือดฝาดที่ไม่ได้เป็นเพราะหน้าร้อนปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่มินโฮก็ยังอยากสนุกต่ออีกซักนิด

    “แค่ประโยคในหนังสือ เผื่อคุณไม่เชื่อว่าผมอ่าน”
    คิ้วที่ลู่ลงนั้นบอกว่าเขาแกล้งได้สำเร็จ
    “ตลอดเลยนะคุณน่ะ”
    “ไหนบอกจำไม่ได้ไง”
    “มันก็แค่ลางๆ” ในที่สุดแทฮยอนก็ยอมแพ้
    โอเค เขาอาจจะแพ้ตั้งแต่เจอมินโฮที่มุมประจำริมหน้าต่างแล้วก็ได้
    เพราะที่จริงแทฮยอนก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าคืนนั้นของมินโฮจะเหมือนกับคืนนั้นที่แทฮยอนจำได้หรือเปล่า


    …………..




    ผมได้พบเขาเป็นครั้งที่สองหลังจากผ่านไปเกือบครึ่งปี
    จากฤดูหนาวข้ามผ่านมาฤดูร้อน สิ่งที่ยังเหมือนเดิมคือเขาที่มักโผล่มาพร้อมกับสายฝนเสมอ


    เขาดูต่างไปจากวันนั้น …ไม่ใช่เรื่องที่ผอมลง แต่เป็นบรรยากาศรอบตัว ไม่ว่าใครก็คงสัมผัสได้ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้คงไม่ใช่เรื่องดีนัก

    แต่ในตอนนั้นผมคิดว่าคงมีแค่ตัวเองที่จำเขาได้จึงไม่ได้พูดอะไรออกไป จนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายพูดเองหลังจากยืมไฟต่อบุหรี่จากผม
    “คุณนี่โผล่มาตอนที่ผมต้องการความช่วยเหลือตลอดเลยเนอะ”
    “คุณว่ายังไงนะ”
    เขามองหน้าผมแวบหนึ่งคล้ายจะยืนยันบางสิ่ง
    “อ่า บางทีคุณอาจจะจำไม่ได้ ขอโทษนะ ลืมที่ผมพูดไปเถอะ”
    ในตอนนั้นความรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาดก็เกิดขึ้น แม้จะเป็นการสนทนาที่ดูไม่ต่อเนื่อง แต่บรรยากาศก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ
    “วันนั้นคุณคงไม่ได้ดูพยากรณ์อากาศ”
    เขายิ้มออกมาเมื่อได้ยินอย่างนั้น
    ยิ้มแบบที่จะทำให้ใครซักคนลืมไม่ลงได้


     “วันนี้ก็ไม่เหมือนกัน”
    และผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ว่านั่น


    หลังจากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและที่ว่าลืมไม่ลง
    ก็คงจะลืมไม่ลงเลยจริงๆ

     “ถ้าเป็นคุณจะทำยังไง”

    ยังไม่ทันจะได้ส่งเสียงอะไร แก้วเปล่าก็ถูกกระแทกลงกับโต๊ะ ไม่กี่วินาทีที่ว่างนั้นก็ถูกเติมด้วยของเหลวสีใส           

    “ผมอยู่กับใครได้ไม่นานหรอก”


    “ทำไมถึงไม่เชื่อกันบ้างวะ”


    “จริงๆ นะแม้แต่สตาร์วอร์เข้าไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนยังไม่มีเวลาไปดูเลยด้วยซ้ำ แม่ง”   


    ใช่
    แทฮยอนกำลังเมา
    เมาเละเทะหลังจากถูกแฟนสาวบอกเลิกไปด้วยเหตุผลว่าเขาไม่มีเวลาให้ สภาพของแทฮยอนต่างจากตอนที่อยู่ต่อหน้าเธอในบาร์ก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ตอนนั้นเขาแสดงออกไปราวกับกำลังรับรู้เรื่องลมฟ้าอากาศ ปล่อยให้เธอเดินออกจากร้านไปทั้งที่คิดว่าเขาไม่แคร์และเรื่องทุกอย่างที่ผ่านมามันช่างไร้ค่าเสียยิ่งกว่ามันฝรั่งทอดโง่ๆ ที่แทฮยอนสั่งมา
    เธอคงไม่รู้ว่าคนเรามีวิธีการรับมือกับความเศร้าที่ต่างกัน ไม่รู้ว่าแฟนเก่าของเธอเป็นพวกห่วยในเรื่องนี้
    และแทฮยอนก็คงไม่มีวันบอกให้เธอรู้



     ตอนนี้เราอยู่ที่ร้านอาหารข้างทางที่เปิดโต้รุ่ง ถึงจะเรียกว่าร้านอาหารแต่แทบทุกโต๊ะกลับมีเพียงขวดแก้วสีเขียววางอยู่เรียงราย ผมทำได้แค่นั่งฟังคนเด็กกว่าพูดไปเรื่อยๆ เท่านั้น
    แอลกอฮอล์ไม่ได้ทำให้แทฮยอนเมาหัวทิ่มหัวตำ แต่มันทำให้เขาพูดไม่หยุด แม้ผมไม่ได้มีปัญหาที่จะฟัง ออกจะเพลินๆ ด้วยซ้ำ แต่พนันได้เลยว่าเขาไม่อยากจำได้หรอกว่าพูดอะไรไปบ้าง
    ทุกอย่างพรั่งพรูออกมาราวกับอัดอั้นมานาน ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีน้ำตาให้เห็นแม้แต่หยดเดียว


    “คุณ!
    แทฮยอนยู่ปากเมื่อจับได้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจฟังเขา แต่นั่นก็เพราะเอาแต่มองมือที่ยกแก้วขึ้นมาไม่หยุดนั่นแหละ ผมรีบตอบกลับไปแบบไม่ทันคิดด้วยสิ่งที่ค้างอยู่ในหูล่าสุด
    “เอ่อ ไว้ไปดูด้วยกันก็ได้นะ ผมก็ยังไม่ได้ดูเหมือนกัน”                     
    จีซัส พูดอะไรออกไปวะเนี่ย           

    ผมนิ่งเหมือนมีบางอย่างช็อตไป ด้วยประโยคที่คาดไม่ถึงนั้น แต่โชคดีที่ดูเหมือนจะมีแค่ผมที่คิดมากไปเองคนเดียว แทฮยอนพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะฟุบลงกับแขนของตัวเอง


    ผ่านไปสองนาที


    “นี่..ไปเดินเล่นกันไหม”
    ผมจิ้มแขนเขาทีนึง
    “แทฮยอนนา”
    เขาเงยหน้าแดงๆ ขึ้นมาเมื่อถูกจิ้มครั้งที่สาม
    “อืออ”


    ผมชวนอย่างนั้นเพราะเผื่อการเดินจะช่วยทำให้สร่างขึ้นบ้าง ไม่งั้นคืนนี้เขาอาจจะต้องนอนที่ร้านก็ได้ แต่กลายเป็นว่าเป็นผมเองที่ถูกมือขาวๆ นั่นจูงไปตลอดทาง
    แทฮยอนก้าวขาฉับฉับบนพื้นเปียกแฉะเหมือนจะไปที่ไหนซักที่ทั้งที่ไม่มีจุดหมาย และแล้วจากเดินก็กลายเป็นวิ่ง จากนั้นเขาก็ปล่อยมือผม ซึ่งเจ้าตัวดูสนุกไม่น้อยเมื่อเห็นผมวิ่งไล่ตามเพราะกลัวเขาจะหลงหายไปทั้งที่เมาอยู่แบบนั้น แต่ซักพักผมเองก็เริ่มสนุกด้วย


    ใต้แสงไฟจากเสาไฟฟ้าผมและเขาหัวเราะออกมาอย่างไร้เหตุผล แค่รู้สึกว่าอยากหัวเราะ และอากาศหลังฝนตกก็ดีมากๆ ด้วย พวกเราถูกล้อมรอบด้วยกลิ่นไอความสุขที่ลอยขึ้นมาจากผิวดิน


    เมื่อพ้นเนินลูกหนึ่งไปแทฮยอนก็หยุดวิ่ง


    “เป็นไง เหนื่อยแล้วเหรอเรา”
    ผมเดินมาหยุดตรงหน้าคนที่กำลังก้มจับเข่าตัวเองหายใจหอบ แล้วแทฮยอนก็เงยหน้าขึ้นพร้อมยื่นมือมาหาผม ริมฝีปากแดงเรื่อเอ่ยสิ่งที่ช่วยเติมเต็มค่ำคืนที่บ้าบอนี้ให้สมบูรณ์แบบ


    “เต้นรำกัน”           

    ……………


    “หยุดก่อน”
    “บอกไว้ก่อน คุณไม่อยากรู้หรอกว่าคุณเมาแล้วพูดอะไรบ้าง”
    แทฮยอนยกมือทั้งสองข้างขึ้นสางผมตัวเอง ให้ตายเถอะ เขาสาบานว่าจะไม่แตะต้องแอลกอฮล์โดยมีคนอื่นอยู่ด้วยอีกเด็ดขาด
    “ผมไม่ถามเรื่องนั้นหรอกแต่วันนั้นคุณก็ดื่มใช่ไหม”
    “กำลังจะบอกว่าผมก็อาจจะเมาด้วยว่างั้น”
    “ก็เป็นไปได้นี่”
    “ถ้างั้นบอกผมสิ คุณจำเรื่องหลังจากนั้นได้ว่ายังไงบ้าง”


    …....………          


    ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองดื่มไปเท่าไหร่แต่คิดว่าอาจจะมากที่สุดเท่าที่เคยดื่มมา
    ที่จริงผมชอบเวลาที่เมาแล้วยังรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่นะ ความขาดสติแบบนี้ทำให้ได้ทำอะไรที่ปกติคงไม่กล้าทำแน่ๆ มันไม่ได้ทำให้ผมอยากวิ่ง แต่ทำให้ผมคิดว่าการร่อนไปมากลางถนนไมใช่เรื่องน่าอายอีกต่อไป หรือถ้าใช่ ก็ช่างแม่งเหอะ                        

    แสงจากก้นบุหรี่สว่างเป็นจุดเล็กๆ อยู่ที่ปลายนิ้ว จุดสีแดงพวกนั้นเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำเมื่อผมแกว่งแขน แวบหนึ่งที่ Perfectดังขึ้นมาในหัวของผม ของผมคนเดียว คิดว่าอย่างนั้นนะ
    มันน่าขัดใจนิดหน่อยที่เขาชิงวางมือลงบนเอวของผมก่อนทั้งที่ผมเป็นคนคนยื่นมือไปแท้ๆ ผมจึงต้องวางมือลงบนบ่าของเขาแทน แต่อย่างน้อยมินโฮก็ไม่ขัดขืนตั้งแต่ทีแรก แถมยังก้าวตามเท้าของผมอีกต่างหาก           
    Baby,I’m dancing in the dark with you between my arms.



    ผมขยับตัวไปตามทำนองในหัว เท้าก้าวนำ เป็นฝ่ายเชื้อเชิญ
    “คุณเต้นเก่งนี่นา”
    “คุณก็เหมือนกัน”           

    Barefoot on the grass, listening to our favorite song

               ผมอยากจะสลัดรองเท้าออกไปจริงๆ เมื่อหัวเริ่มหมุนเคว้งจนทิวทัศน์รวมเป็นหนึ่ง มีเพียงคนตรงหน้าที่เห็นได้แจ่มชัด และเสียงของเขาที่ร้องท่อนต่อมาราวกับอ่านความคิดของผมอยู่          

    “But you heard it, darling, you look perfect tonight.”           

    ผมเมา
    พวกเราเมา
    โชคดีที่เป็นอย่างนั้น หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าใส่ใจ ผมทิ้งตัวลงไป เกยคางกับบ่าของเขา พร้อมร้องขอบางอย่างจากคนแปลกหน้า           

    “กอดผมหน่อย”


    ไม่รู้ว่าเขาชะงักไปบ้างหรือเปล่า เขาตกใจบ้างไหมที่ผมพูดไปแบบนั้น ถ้าหากมันเกิดขึ้น ก็คงรวดเร็วจนผมไม่รู้สึกตัว รวดเร็วพอๆ กับน้ำตาของผมที่เอ่อออกมาเมื่อถูกสัมผัส


    ผมควรจะร้องก่อนหน้านี้แล้วแต่ทำไม่ได้ คนตรงหน้าทำให้รู้สึกปลอดภัยมากพอที่จะทิ้งความเหนื่อยล้าทุกอย่างลงไปในอ้อมกอดของเขาในช่วงเวลานี้ แจ็คเก็ตยีนส์ที่สวมทับไหล่กว้างเอาไว้ถูกขยำจนยู่ยี่ราวกับว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยเหนี่ยวรั้งไม่ให้ผมร่วงหล่นลงไปในความมืด


    แม้เราจะเพิ่งพบกันก็ตาม หรือหากจะคิดอีกอย่าง… เพราะเราเพิ่งพบกัน


    คืนนี้ควรจะเป็นคืนที่แย่ที่สุด
    แต่ในคืนที่เราอยากกอดใครซักคนและได้กอด ผมคงไม่สามารถเรียกมันอย่างนั้นได้           

    น่าเสียดายที่เมื่อพรุ่งนี้เช้ามาถึง เราก็คงจะกลับไปเป็นคนไม่รู้จักกันอีกครั้ง


    …………...


    “จะต้องเน้นว่าเมาอยู่ขนาดนั้นเลย?
    “ก็มันจริง”
    “แล้วถ้าผมยอมรับว่าไม่ได้เมาขนาดนั้นล่ะ”

    “คุณจะยอมรับด้วยไหม”


    แทฮยอนกำลังเจอทางตัน และพวกเขาก็เอาแต่จ้องกันอีกแล้ว
    นานมากพอที่จะทำให้ภาพซ้อนทับกับคืนนั้น และเงียบมากพอที่จะทำให้ได้ยินเพลงที่ถูกกลืนไปกับเสียงฝนในตอนแรก เสียงโน้ตตัวสุดท้ายก่อนท่อนร้องขึ้นดังกังวานในอากาศ


                Ooh ooh
    Oh what a day
           
       When we fell in love…


    มินโฮหลุดขำ ส่วนแทฮยอนก็เฉตาไปทางอื่น ต้นกำเนิดเสียงมาจากคอมพิวเตอร์ของคุณบรรณารักษ์ที่กำลังหมุนเก้าอี้พร้อมแก้วมักในมือ เธอดูมีความสุขอย่างกับว่าได้ฟัง The Ovations ประสานเสียงร้องอยู่ตรงหน้าจริงๆ มินโฮยังคงส่งเสียงไม่หยุดจนแทฮยอนต้องเอามือปิดปากเขาไว้
    “พอเลย เธอมองมาทางนี้อีกแล้ว”
    อย่างที่แทฮยอนว่า บรรณารักษ์กำลังจ้องพวกเขาเขม็ง ซึ่งมันไม่ยุติธรรมเอาซะเลยหลังจากที่เธอเองก็เพิ่งฝ่าฝืนกฎการใช้ห้องสมุดด้วยการเปิดเพลง           


    เพราะข้างนอกฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกแทฮยอนจึงคิดว่าเขาจะอ่านให้จบในวันนี้ ส่วนมินโฮก็กำลังขีดๆ เขียนๆ บางอย่างลงในสมุดสเก็ตช์ซึ่งเมื่อแอบมองแล้วแทฮยอนก็เจอตัวเองในเวอร์ชั่นต่างๆ เต็มไปหมดทั้งแมว เด็กแรกเกิด แม้กระทั่งโทรศัพท์ ที่รู้ก็เพราะว่าทุกอย่างที่ว่ามานั้นมีคิ้วตกๆ แปะอยู่ด้วย
    แทฮยอนแย่งสมุดมาและวาดมินโฮในเวอร์ชั่นของเขาบ้าง แต่ผลคือมินโฮชอบมันมาก มินโฮที่สร้างจากเส้นยุ่งเหยิงถูกเอาไปเทียบกับมินโฮตัวจริงด้วยความภาคภูมิใจของเจ้าตัวเอง เห็นอย่างนั้นแทฮยอนก็ได้แต่ส่ายหัวหน่ายๆ แล้วอ่านหนังสือของตัวเองต่อ           

    เป็นเวลานานที่ใช้เวลาอยู่ตรงนี้โดยมีแค่เสียงพลิกหน้ากระดาษและเสียงเสียดสีกันของดินสอกับสมุดเสียงที่ทำให้รับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกคน
    ไม่มีใครพูดออกมาแต่ความเงียบที่ไร้ความอึดอัดนี้ได้ตอบแทนแล้ว พวกเขาชอบให้มันเป็นแบบนี้
    และแน่นอนว่าพวกเขาต่างแอบมองกันเป็นระยะ 


    สำหรับมินโฮถ้าจะมีอะไรดีกว่านี้ในหน้าร้อนก็คงเป็นการได้ฟังดนตรีสดของ nirvana ด้วยหูของตัวเอง หรือให้พูดก็คือไม่มีอะไรดีไปกว่าตอนนี้แล้วล่ะ


    “คุณทำยังไงเวลาบังเอิญได้ยินเพลงในร้านแล้วชอบ” อยู่ๆ แทฮยอนก็ปิดหนังสือแล้วถามขึ้นมา มินโฮแกว่งดินสออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
    “คงถามพนักงานแล้วโหลดมาฟังเลย”
    “ไม่กลัวเบื่อเหรอ”
    มินโฮคิดว่าแทฮยอนกำลังจะบอกอะไรบางอย่างด้วยวิธีของเขา คนโตกว่าเลยทำให้มันง่ายขึ้นมาหน่อย
    “แล้วคุณล่ะ ในสถานการณ์นั้นจะทำยังไง”
    “ผมจะกลับไปฟังที่ร้านอีกครั้ง”
    “ผมถามได้ไหมว่าเมื่อไหร่คุณจะเพิ่มเพลงเพลงนั้นลงในเพลย์ลิสต์”

    “เมื่อมันเป็นเพลงโปรด”           

    แทฮยอนตอบอย่างไม่ลังเล และมินโฮก็ยิ้มให้กับคำตอบที่ได้รับ

    คำตอบของแทฮยอน ที่แสนจะแทฮยอน



    “นี่คือที่จะบอกแต่แรกถูกไหม”
    “คุณเข้าใจอะไรง่ายดี”
    “ไม่งั้นมันคงยากที่จะจีบคุณ” แทฮยอนหัวเราะพรืดกับคำตอบนั้น
    “ตรงๆ  งี้เลย?
    “ที่จริงผมไม่ค่อยชอบอะไรที่ซับซ้อนหรอก”           

    “ยกเว้นคุณ”

    แทฮยอนเกลียดสายตาที่เหมือนจะมองเขาทะลุปรุโปร่งของมินโฮ พอๆ กับที่มินโฮชอบสายตาที่เย็นชาทว่าซื่อตรงของแทฮยอน


    “ฝนหยุดแล้ว”
    “เปลี่ยนเรื่องเก่ง”
    “ก็ไม่ได้ว่าอะไรถ้าคุณจะพูดเรื่องเดิมต่อ”       
    “ถ้างั้นเพลงที่คุณเพิ่มลงไปล่าสุดคือเพลงอะไร คราวนี้ผมหมายถึงเพลงจริงๆ”        
    แทฮยอนไม่รู้ว่ามินโฮคิดไว้แล้วหรือเปล่า แต่คำถามนั้นทำให้คิดอยู่นานว่าจะบอกดีไหม เขายกแก้วชาขึ้นมาดื่มเหมือนเป็นพิธีกรรมอะไรซักอย่างก่อนคนเราจะต้องทำสิ่งที่ไม่อยากทำนัก หรือไม่ก็เพื่อหลบสายตาซุกซนของคนถาม
    Perfect
    “เพิ่งเพิ่มเหรอ” เจ้าของเสียงทุ้มแอบอมยิ้มน้อยๆ
    “คุณนี่นะ”
    “แสดงว่าใช่”
    “อย่ามาหาว่าผมให้ความหวังแล้วกัน”
    “ผมไม่ได้คาดหวังอะไรเลย เชื่อสิ”


    ไม่คาดหวัง’… แต่ปล่อยให้มันเป็นไป เขาต้องการแบบนั้น และแน่ใจว่าแทฮยอนก็คงเห็นด้วย


    หลังจากนั้นไม่นานก็มีสายโทรเข้ามา จากที่แทฮยอนได้ยินดูเหมือนที่จริงมินโฮจะเป็นคนที่งานยุ่งมากคนหนึ่งเลยล่ะ


    “ยุ่งขนาดนั้นก็ยังอุตส่าห์มานั่งแช่อยู่ตั้งครึ่งวันเนาะ”
    “ที่นี่มีค่าพอให้นั่งแช่กว่าที่คุณคิดแล้วกัน”
    “ถ้าอย่างนั้นคุณก็นั่งอยู่ตรงนี้เพราะผลประโยชน์บางอย่างสินะ”
    “ตีความได้วัตถุนิยมสุดๆ”
    “หรือไม่ก็เพราะที่นี่ก็เปิดเพลงดี” มินโฮหันไปมองคนที่ถูกกล่าวถึง ก่อนจะหันมากระซิบ
    “ใช่เลย จะมีห้องสมุดที่ไหนใส่ใจกับการเปิดเพลงให้เข้ากับทุกฤดูอย่างที่นี่จริงไหม ดูวอบกับหน้าร้อน ถ้าให้เดาหน้าหนาวก็คงเป็นแจ๊สล่ะมั้ง เห็นอย่างนั้นเธอน่ะรสนิยมดีสุดๆแล้วก็นะ” ดูเหมือนว่าการขัดขวางของแทฮยอนจะไม่สำเร็จ
    มินโฮค่อยๆ ยิ้มออกมา แทฮยอนเองก็เหมือนกัน คราวนี้เขาเป็นฝ่ายลดระยะห่างลงเองด้วยการเท้าคางแล้วโน้มตัวไปหามินโฮพร้อมยิ้มมุมปากที่ตีความได้ว่าเอาเลย ผมรออยู่


    “นอกจากเพลง ก็มีคุณไง”


    ไม่ใช่เรื่องที่เดายากแต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ดวงหน้าขาวร้อนผ่าวขึ้นมา


    แทฮยอนคิดว่ารักและตกหลุมรักเป็นคนละเรื่องกัน
    ใครเขาตกหลุมรักด้วยเหตุผลล่ะจริงไหม
    แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องพูดออกไป
    ไม่จำเป็นเลยซักนิด


    “หวังว่าพรุ่งนี้คุณจะบังเอิญอยากดื่มอะไรอุ่นๆ ก่อนไปเรียนตอนเช้า”
    “ไหนบอกผมซิว่าอะไรทำให้ร้านกาแฟแถวบ้านผมกับร้านที่อยู่ตรงนั้นต่างกัน” แทฮยอนชี้ไปข้างนอกหน้าต่าง ที่ที่ร้านกาแฟที่เขาพบกันครั้งแรกตั้งอยู่
    “ร้านแถวบ้านคุณคงไม่มีโปรโมชั่นกรีนทีลาเต้หนึ่งแก้วแถมฟรีเพื่อนคุยจนถึงคณะใช่ไหมล่ะ”
    ” แทฮยอนเลิกคิ้วสูง เรียวปากเหยียดยิ้ม
    “ฟังดูเป็นไง” เรื่องหนึ่งที่ตลกของมินโฮคือเขามักหัวเราะแก้เก้อเมื่อตื่นเต้นกับการรอคำตอบรับที่ไม่มั่นใจ
    โมง โต๊ะริมหน้าต่างฝั่งซ้าย” คำตอบของแทฮยอนทำให้ดวงตาคู่นั้นสดใสขึ้นมา
    “ตรงข้ามกับรูปทานตะวัน”
    “นั่นแหละ เยี่ยมเลย”
    ก่อนที่มินโฮจะคว้าสมุดโน้ตของเขาเดินออกไปร่างสูงก็หันกลับมาก่อน
    “ผมจะรอวันที่คุณเพิ่มเพลงใหม่ลงไปนะ”

    “จนกว่าจะถึงตอนนั้นก็ขอให้เราบังเอิญเจอกันบ่อยๆ แล้วกัน”           

    “ชอบนะ”
    ตอนที่พูด แทฮยอนมองมินโฮอย่างไม่หลบซ่อนอะไรอีก ถ้าหากพูดให้ถูกแทฮยอนไม่เคยซ่อนอะไรไว้เลยต่างหาก เพียงแต่คุณจะเห็นบางสิ่งในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น และมินโฮก็ค้นพบแล้ว ช่วงเวลาที่ว่า        
       
    อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนลูกโป่งที่มีแก๊สฮีเลียมอยู่เต็มใบ มันลอยสูงขึ้นไปจนทักทายฝูงนกพิราบที่บินอยู่แถวนั้นได้เลยล่ะ



    “หมายถึงพวกเรื่องบังเอิญ”
    ก่อนจะแตกดัง โป๊ะ เศษยางพลาสติกค่อยๆ ร่อนลงบนพื้นคอนกรีตเย็นเยียบ รอยยิ้มยังคงค้างอยู่บนใบหน้าของมินโฮ
    “เอาคืนเหรอ”
    แทฮยอนคงหัวเราะออกมาดังกว่านี้หากที่นี่ไม่ใช่ห้องสมุด


               
    ตาเรียวมองตามแผ่นหลังกว้างห่างออกไปจนลับตาผ่านหน้าต่างบานใหญ่ที่พราวไปด้วยหยดน้ำฝน ท้องฟ้าสีหม่นไม่อาจกลบความโดดเด่นของเสื้อตัวนั้นได้จริงๆ


    ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกเขาต่างวนเวียนอยู่ข้างๆ กันมาตลอดโดยไม่แม้แต่จะจำหน้ากันได้ และอีกหกเดือนที่ไม่รู้จักชื่อกัน แต่แค่เพราะคืนเดียวเท่านั้นที่ทำให้แทฮยอนได้นั่งคุยกับมินโฮอยู่ตรงนี้
    ฟังดูเป็นเรื่องตลกร้าย แต่แทฮยอนก็ยังชอบมันอยู่ดี
    เขาชอบทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นเลย


    หนังสือที่คั่นไว้ถูกพลิกอ่านต่อ เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ตัวหนังสือพวกนั้นจะยังไม่เข้าหัวเขานัก


    อันที่จริงแทฮยอนค้นพบว่าเขาหุบยิ้มไม่ได้เลยด้วยซ้ำตั้งแต่หย่อนตัวลงบนเก้าอี้ตัวนี้ หรือจนกระทั่งต้นเหตุของรอยยิ้มเดินจากไปไกลแล้วก็ตาม





    ................ end..............



    Hug Me - Nam Taehyun



    Perfect - Ed Sheeran



    The Day We Fell In Love - The Ovations






Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in