เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Falling #MinNoicypumpkin
03 : The Answer
  • Title: The Answer
    Pairing: MinNo [NaJaemin x LeeJeno]
    Genre: AU, Slice of Life, Yaoi
    Sub Chapter: Falling
    Author: icypumpkin
    Special Thanks: nomatterblue for your kind suggestion and encourage me to write it down. 
    P.S. It's one shot with continuous stories to show some parts of their life.
    Talk: As the word I said if you take selfie together, here this comes.
    ---------------------------------------------------------------------------




    I.




    "เล่นอีกปีหรอ" คำชวนขึ้นแสดงดนตรีในวันคริสต์มาสจากดงฮยอกทำเอาทุกคนที่กำลังเตรียมเก็บจานข้าวหันไปทางเดียวกัน



    "อือ รุ่นพี่มาชวน บอกปีที่แล้ววงเราเล่นดีมาก กระแสตอบรับก็ดี อยากให้ขึ้นเล่นอีก" เจ้าตัวพยักหน้างึกงักพลางยิ้มภูมิใจ



    "เจโน่ ปีนี้ฉันไม่ขึ้นแน่ๆ ไม่ต้องชวน ห้ามเอาไปเป็นตัวต่อรองด้วย" เหรินจวิ้นรีบดักคอทำเอาคนถูกชี้เป้าหน้างอ



    "หู่ย เหรินจวิ้นอะ ปีที่แล้วสาวๆ ก็กริ๊ดนายเยอะแยะ" 



    "นั่นแหละถึงไม่อยากขึ้นแล้ว ช่วงนั้นปวดหัวมาก ฉันไปซ้อมด้วยได้ ช่วยฟังช่วยจัดลิสต์เพลงแต่ไม่ขึ้นร้องแน่ๆ" แจมินยกยิ้มกับคำพูดนั้น ฮวังเหรินจวิ้นเป็นคนประเภทรับมือกับมนุษย์ไม่ค่อยได้ ยิ่งเวลาโดนล้อมหน้าล้อมหลังยิ่งแล้วใหญ่ เขายังจำสีหน้าขยาดของเพื่อนได้ดี พอเล่นด้วยก็กลัวคนรู้ใจจะเข้าใจผิด พอทำตัวเฉยๆ ก็โดนหาว่าหยิ่ง กว่าจะกลับมาเป็นปกติก็นานอยู่



    "คนอื่นว่าไง แจมินติดปัญหาอะไรไหม" ดงฮยอกเปลี่ยนเป้าหมายไปหาคนที่นั่งอยู่



    "..."



    "อ่อ ลืมไป เจโน่ขึ้นนายก็ขึ้นใช่ไหม โอเค ผ่าน มาร์คล่ะ" ทำเอาทั้งกลุ่มหัวเราะกันครืนรวมถึงแจมินเองก็เช่นกันที่โดนดักคอแบบนั้น แต่ก็จะไม่เถียงหรืออะไรหรอกนะ เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ 



    เวลาผันผ่านไปอีกหนึ่งปี นาแจมินก็ยังคงเป็นคนเดิมที่ตามใจอีเจโน่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม 


    รวมถึงสถานะของเราทั้งสองคนด้วยเช่นกัน



    "ไม่ติดปัญหาอะไรนะ" มาร์คตอบ ขยี้ผมพลางบิดขี้เกียจ



    "เนี่ย น่ารักที่สุดแล้ว ไม่เคยติดอะไรเลย เอาล่ะ 




    อีเจโน่... เหลือนายคนเดียวละ" ดงฮยอกหันกลับมามองที่เจโน่อย่างจริงจัง





    "คือถ้าดงฮยอกมองขนาดนี้ตอบว่าไม่คงไม่ได้ละปะ เล่นสิ" ก่อนจะหัวเราะเสียงใสจนคนถามยิ้มตาปิดพลางรวบตัวไปกอดแน่นพร้อมกับเอาหน้าถูแก้มไปมา




    "ดีมาก ไว้เริ่มนัดซ้อมกันเลยเหลือเวลาน้อยกว่าปีที่แล้วอีก คิดเพลงที่อยากเล่นไว้ได้เลย" ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยและเตรียมตัวขึ้นห้องเรียน







    II.




    "ซ้อมกันจริงจังไปไหมนายว่า" เสียงคนข้างกายดังขึ้นระหว่างทางเดินกลับบ้านของเราทำเอาคนที่เดินอยู่ด้วยหันมอง



    "คิดงั้นหรอ" แจมินถามกลับ



    "อื้อ เลิกซ้อมสามทุ่มมาสองวันละนะ" เขาไม่ตอบแต่หัวเราะแทน พอถูกคาดหวังก็รู้สึกไม่อยากทำให้ผิดหวัง ถึงลงทุนอยู่ซ้อมกันจนดึก ขนาดมาร์คที่ขยันซ้อมยังแอบบ่นว่าปวดแขน แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมหยุดพักแต่อย่างใด... สมกับเป็นมาร์คนั่นแหละ



    "เหนื่อยไหม พรุ่งนี้บอกเลิกซ้อมก็ได้มั้งแบบนี้" ยื่นข้อเสนอแม้จะรู้ดีว่าคนข้างกายจะปฏิเสธแน่ๆ



    "ไม่เป็นไรหรอก" แล้วก็ไม่ผิดจากที่คาดไว้



    "เดี๋ยวไม่สบายหรือเสียงแหบตอนก่อนวันงานจะขำให้" เพราะอีกไม่ถึงอาทิตย์พวกเขาก็ต้องขึ้นเวทีกันแล้ว



    "เนี่ย แจมินแช่ง จะฟ้องดงฮยอก"



    "เป็นงั้นไป" เขาหัวเราะ ยกมือขึ้นขยี้หัวทุยและบีบแก้มนิ่มนั่นเบาๆ 





    "แจมิน" เจโน่เรียกชื่อของเขาตัดผ่านความเงียบ



    "อื้อ" พอเห็นไม่ยอมพูดต่อ จึงเลือกตอบรับให้รู้ว่ายังฟังอยู่



    "เหนื่อยไหม"



    "ไม่นะ เหนื่อยอะไร" เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแบบที่ชอบทำ





    "เหนื่อยไหมที่เป็นอยู่แบบนี้"





    "เฮ้... ฉันว่าเราคุยเรื่องนี้กันไปแล้วนะ" สองขาหยุดการก้าวเดินเช่นเดียวกับคนข้างกายที่หันกลับมาสบตากัน



    "แค่ถามดู นี่มันก็ผ่านมาสักพักนึงแล้ว" 




    เจโน่กำลังพูดถึงความสัมพันธ์ของเรา ไม่คลุมเครือเพราะดูไม่มีอะไรมาตั้งแต่ต้น หลังนาแจมินบอกชอบไปวันนั้น ทุกอย่างดำเนินไปเป็นปกติเสียจนน่าตกใจ แม้กระทั่งเหรินจวิ้นกับดงฮยอกยังเคยมาถามเขาซ้ำว่าบอกไปแล้วจริงหรอ ทำไมถึงดูธรรมชาติขนาดนี้ บอกตามตรงตัวเขาเองไม่ติดปัญหาอะไร แค่ไปกลับโรงเรียนด้วยกัน นั่งเรียนข้างกัน ทำทุกอย่างเหมือนที่เคยเป็นมา แต่ดูท่าทางอีกฝ่ายจะกดดันตัวเองไม่น้อย 



    เขาไม่แม้แต่จะมีความคิดให้เจโน่ต้องรีบตอบรับ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องทำแบบนั้น แค่เป็นอีเจโน่ที่อยู่ด้วยกันไปทุกวันก็มากพอแล้ว




    "เรายังมีเวลาด้วยกันอีกมาก" แจมินยืนยันคำตอบแบบเดิมพร้อมยิ้มกว้าง



    "...."



    "พูดจริงๆ ฉันไม่ได้จะไปไหนเสียหน่อย ก็ตอบรับเมื่อตอนที่นายรู้สึกนั่นแหละ จบม.ต้นก็ใช่ว่าม.ปลายจะย้ายไปไหน ยังอยู่ตรงนี้นั่นแหละ"



    "แต่เวลาไม่เคยหวนกลับมา"



    "ก็ไม่ได้อยากแก้ไขอะไรสักหน่อย"



    "......"



    "คิดมากว่ะ ไร้สาระ" ผลักหัวอีกฝ่ายไปเบาๆ ยกมือขึ้นโอบไหล่และพาเดินต่อไปข้างหน้า




    "ไม่ได้จะถอยไปไหนสักหน่อย ไม่ต้องกลัวหรอก ใช้เวลาให้เต็มที่ ทุกวันนี้มันโอเคดีอยู่แล้ว"




    เชื่อเถอะ นาแจมินหมายความตามนั้นจริงๆ







    III.




    "ห๊ะ มาร์คลืมไม้กลอง" เสียงกึ่งตะโกนของดงฮยอกทำเอาเจโน่ที่กำลังยืนวอร์มเสียงและแจมินที่กำลังตั้งสายกีตาร์หันมองพร้อมๆ กัน



    "อืม น่าจะลืมไว้ที่ห้องเรียนแน่เลย" สีหน้ามาร์คสำนึกผิดเสียจนไม่มีใครกล้าว่าอะไร



    "เหรินจวิ้นไปไหนล่ะ ฝากไปเอาให้ได้ไหม" เจโน่เสนอความคิด



    "โดนรุ่นพี่ใช้ไปซื้อของอยู่ เพิ่งออกไปเมื่อกี้เนี้ย ไม่น่ากลับมาทัน" ดงฮยอกส่ายหัวไปมา เหลือบมองนาฬิกาที่ยังคงเดินต่อไม่หยุดยั้ง อีกไม่ถึงห้านาทีต้องขึ้นแล้ว ยังมีเรื่องให้ได้ลุ้นกันอีก




    "งั้นฉันไปเอาให้เอง" 



    "เฮ้ย ได้ไง" มาร์ครีบขัด



    "เอ้า ก็แจมินต้องตั้งสายกีตาร์ ดงฮยอกก็ตั้งสายเบส มาร์คเองยังจัดกลองไม่เสร็จเลย" เพราะเล่นเป็นวงเปิด เลยต้องมาจัดเครื่องดนตรีกันแต่เนิ่นๆ 



    "แต่..."



    "ไม่ต้องมีแต่ ทุกคนยุ่งกันหมด ฉันไม่ต้องทำอะไรเลย เดี๋ยวไปเอาให้"




    "ไม่ต้องหรอก" 



    นาแจมินขัดขึ้น จับด้ามกีตาร์ถอดขึ้นวางบนที่วางกีตาร์ข้างตัว 



    "เดี๋ยวฉันไปเอาให้เอง"



    "แจมินตั้งสายเสร็จแล้วหรอ" เขาพยักหน้ารับแทนคำตอบ



    "ฉันไปได้นะ"



    "จะไปยังไง รีบวิ่งไปวิ่งกลับ เป็นนักร้องนำนะ เหนื่อยหอบเสียงหาย เสียงไม่ดีเดี๋ยวก็นอยอีก ฉันไปเอาให้เองแหละ แป๊ปเดียว เดี๋ยวกลับมา" 



    "รบกวนด้วยนะแจมิน 'โทษทีที่ต้องให้เหนื่อย" เขาโบกมือปัดในเชิงไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้ไม่เหนือบ่ากว่าแรง มองนาฬิกาข้อมือก่อนจะพบว่าเหลือเวลาอีกไม่ถึงห้านาทีก่อนขึ้น สองขายาวรีบวิ่งพาตัวเองจากตึกโถงใหญ่กลับตึกเรียนไปหยิบไม้กลองที่เพื่อนลืมไว้




    Rrrrr Rrrrr




    "ว่าไง" 



    [ทำไมเสียงหอบงั้น] คำทักทายของฮวังเหรินจวิ้นทำเอาเขาอยากเอาฝ่ามือสัมผัสลงบนหลังอีกฝ่ายอย่างไม่เบานักถ้าอยู่ใกล้มือ



    "วิ่งอยู่ มี'ไร" รีบพูดรีบจบ แค่นี้ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว พูดไปวิ่งไปลมจะจับเอา



    [มาหลังเวทีแล้วไม่เห็น คนอื่นก็ยุ่งๆ กันอยู่เลยโทรหาว่าหายไปไหน]



    "มาร์คลืมไม้กลอง มาเอาให้อยู่ ใกล้ถึงแล้วเนี่ย" เขาเห็นตึกโถงใหญ่อยู่ในระยะสายตา



    [เดี๋ยวไปรอด้านนอกแล้วกัน] 



    "ไม่..." ตัดสายฉับโดยไม่สนใจคำพูดเขาเสียด้วยซ้ำ จะออกมารับทำไมกัน ยังไงเขาก็ต้องเข้าไปด้านหลังเวทีอีกรอบอยู่แล้ว




    "มาไวจัง" เพื่อนชาวจีนยังจะยืนยิ้มกว้างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่อีก



    "ก็รีบไหมล่ะ เลทแล้วแล้วมั้งเนี่ย ไม่รู้พวกนั้นบอกรุ่นพี่ว่าไง" เขากำไม้กลองในมือแน่น จะเปิดประตูก็ดันโดนขวางไว้



    "บังทำไมเนี่ย หลบไป" เหรินจวิ้นหัวเราะแต่ก็ยอมหลบทางให้เขาแต่โดยดี





    ทันทีที่ขาก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ก็ต้องตกใจ ไม่ใช่เพราะจำนวนนักเรียนที่มายืนรอดู แต่เป็นเพราะอีเจโน่กำลังยืนอยู่บนเวที พร้อมกับมาร์คอีที่บอกลืมไม้กลองแต่นั่งเก้าอี้ข้างกันพร้อมกับกีตาร์โปร่งบนตัก




    "เพลงแรกเป็นเพลงสากลที่พวกเราลองมาเล่นเป็น acoustic อาจจะเก่าไปสักหน่อยนะครับ" เจโน่ยิ้มกว้างจนดวงตาเป็นสระอิ ก่อนเสียงกีตาร์จะดังขึ้นแทนที่





    "Sorry for keep you waiting, but here is my answer to your question" 





    ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง แต่ประโยคนั้นอีเจโน่ทอดสายตามองมาทางเขาที่ยืนอยู่เกือบหลังสุดอย่างแน่นอน





    I know your eyes in the morning sun
    I feel you touch me in the pouring rain
    And the moment that you wander far from me
    I want to feel you in my arms again






    ขายาวค่อยๆ เดินก้าวเข้าใกล้ ซึมซาบไปกับเสียงหวานของอีกฝ่ายโดยมีดงฮยอกคอรัสเบาๆ และกีตาร์ของมาร์คสร้างเมโลดี้ 





    And you come to me on a summer breeze
    Keep me warm in your love, then you softly leave
    And it's me you need to show






    ท่อนฮุคแรกก็พาตัวเองมายืนอยู่จนเกือบหน้าเวทีได้ไม่ยากนัก เขายกยิ้มอย่างไม่รู้ตัวให้กับสายตาที่ทอดมองมาและความหมายในเนื้อเพลงที่อีกฝ่ายตั้งใจทำเซอร์ไพร์สให้ในวันนี้





    How deep is your love, how deep is your love
    How deep is your love?
    I really mean to learn
    'Cause we're living in a world of fools
    Breaking us down when they all should let us be
    We belong to you and me






    ตอนนี้แจมินรู้แล้ว



    รู้แล้วว่ามาร์คไม่ได้ลืมไม้กลองแต่ตั้งใจลืมมันไว้ต่างหาก


    รู้แล้วว่าทำไมดงฮยอกถึงไม่ยอมเป็นคนวิ่งไปเอาแต่กลับพูดเสียงดัง


    รู้แล้วว่าตอนนั้นเหรินจวิ้นไม่ได้ไปซื้อของที่ไหนแต่คงแอบอยู่แถวนั้น



    และรู้แล้วว่าทำไมอีเจโน่ถึงเสนอตัวที่จะไปหยิบไม้กลองให้มาร์คแทน




    เพราะถ้าเป็นคนอื่นนาแจมินคงไม่มีทางเสนอตัวเองวิ่งไปเอาให้เด็ดขาด แต่เพราะเป็นอีเจโน่ที่เขาจะไม่ยอมให้เหนื่อยเกินไปหรือทำอะไรเกินตัว ทุกอย่างจึงลงตัวและลงล็อค 





    I believe in you
    You know the door to my very soul
    You're the light in my deepest, darkest hour
    You're my savior when I fall
    And you may not think I care for you
    When you know down inside that I really do
    And it's me you need to show






    เพื่อให้เขาเข้ามาทันเวลาจะได้ฟังคำตอบ





    How Deep Is Your Love





    คือคำตอบที่อีเจโน่ตั้งใจมอบให้






    IV.




    "ร้ายนักนะ" เขาท้วงขึ้นระหว่างทางกลับบ้านก่อนจะบีบแก้มนุ่มนั่นที่ยังคงยิ้มแผล่ไม่เลิก



    "แจมินยิ้มไม่หุบเลยรู้ตัวรึเปล่า" 


    พูดกันตามตรง ไม่รู้หรอกว่าช่วงเวลานั้นตนเองยิ้มกว้างแค่ไหน รู้แต่สายตาของเขาไม่อาจละจากคนที่ยืนร้องเพลงอยู่บนเวทีได้เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพลงจบลงจนเหริินจวิ้นต้องสะกิด และแม้จะขึ้นไปบนเวทีแล้ว สายตาเขาก็ยังคงจับจ้องอยู่กับแผ่นหลังนั้นที่นานๆ จะหันมามองกันสักที จนลืมมองคนยืนดูด้านล่างเวทีไปเสียสนิท



    และต่อจากนี้ไป สายตาของนาแจมินคงมองใครไม่ได้อีกแล้ว



    "จนตอนนี้ก็น่าจะยิ้มอยู่ใช่ไหม" เขาไม่ตอบแต่ถามกลับ รู้สึกเมื่อยแก้มไปหมดวันนี้



    "ยิ้ม"



    "เจโน่ก็ยิ้มเหมือนกัน" นั่นทำเอาคนฟังพยายามกลั้นยิ้มจนเขาอดไม่ได้รวบตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้และโยกไปมา




    เพิ่งเคยรู้ซึ้งว่าการรอคอยมันไม่เคยสูญเปล่า


    เพราะตอนนี้เขาได้คนที่กำลังหัวเราะเสียงดังมาอยู่ในอ้อมแขนแล้ว




    "ฉันตอบช้าไปไหม"



    "เร็วไปด้วยซ้ำ" ดูท่าคำตอบนั้นจะแปลกจนอีกฝ่ายผละตัวออกเพื่อมองหน้ากันแต่ก็ยังคงอยู่ในอ้อมแขนของเขาเหมือนเดิม



    "ยังไงอะ"



    "หาที่อุ่นๆ นั่งคุยไหม ไม่หนาวหรอ"



    "เปลี่ยนเรื่องเก่ง" แจมินยกยิ้ม กุมมือเจโน่ออกก้าวเดินไปพร้อมๆ กันอีกครั้ง



    "ไปคุยที่บ้านก็ได้ พ่อกับแม่ไม่อยู่"



    "ไวไฟมากอีเจโน่ ชวนเข้าบ้านแล้ว" ก่อนคนพูดจะโดนฟาดอย่างไม่เบานัก



    "กวนประสาท อย่าทำตัวเหมือนเพิ่งเคยมานอนด้วยกันครั้งแรกได้ไหม" เพราะก่อนหน้านี้ช่วงสอบหรือควิซเยอะๆ เขาแทบจะมากินนอนเป็นลูกชายอีกคนหนึ่งอยู่แล้ว เช่นกันในหลายครั้งเจโน่เองก็ไปนอนบ้านของแจมิน สลับกันไปมา



    "สถานะก็ยังไม่ได้เปลี่ยนจากเดิมสักหน่อย"



    "อะไรนะ" เสียงพูดบ่นงึมงำทำเอาเขาเหมือนจะได้ยินแต่ก็ไม่ชัดมากขนาดนั้น



    "ไม่มีอะไร เดินเร็วๆ อยากรู้แล้ว" 



    "เดี๋ยวเหนื่อย มีเวลาอีกทั้งคืน ไหนจะพรุ่งนี้ มะรืนนี้อีก ค่อยๆ พูดให้ฟังก็ได้" เขาหัวเราะให้กับคนข้างกายที่ทำเป็นถอนหายใจเสียงดังเวลาเขาพูดอะไรแนวๆ นี้ออกไป





    "คืนนี้จะนอนที่นี่เปล่า" กะจะตอบกวนประสาทแต่พอเห็นท่ายืนเท้าเอวเอาเรื่องก็หัวเราะก่อนจะบอกปัดไป "งั้นก็รีบกลับ"



    "เพิ่งมาถึง อย่างรีบไล่กันสิครับคุณเจ้าของบ้าน" แจมินมองนาฬิกา เขามีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงที่จะคุยกับเจโน่และเดินกลับไปสถานีให้ทันรถไฟเที่ยวสุดท้ายได้



    "ไม่อยากให้กลับดึก แบบที่นายบอกไง ไว้คุยพรุ่งนี้ก็ได้" เจโน่ตอบ นั่งลงบนโซฟาไม่ไกลกันมากนัก



    "ถ้าไม่ทันรถไฟเที่ยวสุดท้ายก็ค่อยบอกแม่แล้วกันว่าไม่กลับ นอนบ้านนายแม่ไม่ว่าอะไรหรอก"



    "เดี๋ยวคุณน้าจะเป็นห่วง ให้เขามานั่งรอนายค่อนคืนเนี่ยนะ"



    "งั้นโทรหาแม่เลย บอกไม่แน่นอนค้างที่นี่ แต่ไม่ต้องห่วงฉันพกกุญแจบ้านมาด้วย" เจโน่พยักหน้ารับก่อนเขาจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยตามที่ได้บอกไว้




    "เหนื่อยไหมเนี่ย วันนี้นายเล่นเกือบทั้งวันเลย" แจมินไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องขึ้นเวที หากแต่เจโน่ยังเล่นกิจกรรมต่างๆ ที่โรงเรียนจัดเฉลิิมฉลองวันคริสต์มาสเสียจนเกือบครบ ใครชวนไปไหนก็ไปหมด จนตอนนี้มานั่งตาปรือทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำ



    "นิดหน่อย" พร้อมหาวโชว์อีกวอดใหญ่



    "ไปอาบน้ำแล้วนอนไป เดี๋ยวคืนนี้นอนเป็นเพื่อน" สุดท้ายแจมินก็ตัดสินใจไม่กลับบ้านเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่คนเดียว




    โอเค ยอมรับกันตามตรง เขาเองก็อยากอยู่กับเจโน่ตลอดเวลานั่นแหละ






    V.




    "รอมาเป็นปีมันไม่นานหรอ" เจโน่ถามขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความมืดบนเตียงที่เรานอนอยู่ด้วยกัน



    "ก็นาน แต่พอคิิดอีกทีมันก็ไม่ได้นานขนาดนั้น" เขารู้สึกถึงแรงพลิกตัว พอหันไปมองก็เห็นอีเจโน่นอนจ้องตาแป๋ว



    "..."



    "สงสัยขนาดนั้นเลยนะ" แจมินหัวเราะ เป็นฝ่ายพลิกตัวกลับมาหาบ้าง แม้จะนอนท่ามกลางความมืด หากแต่ยังพอมีแสงส่องจากด้านนอกและสายตาของเราก็ปรับให้คุ้นชินได้แล้ว



    "ใช่สิ ก็ก่อนหน้านี้ฉันเครียดนะ ต่อให้ไม่ได้พูดออกมา แจมินทำตัวเหมือนวันนั้นก็แค่พูดไปแบบนั้นเองมากๆ แต่ก็รู้แหละว่าจริงจัง" วันนั้นที่เจโน่พูดถึงคงหนีไม่พ้นงานวันเกิดของพี่แจฮยอนเมื่อปีที่แล้ว



    "ไม่อยากกดดันนายไง แถมอีกอย่างตอนที่บอกว่ารอได้ ก็คือรอได้จริงๆ 



    ถึงได้บอกไงว่ามันไม่ได้นานขนาดนั้น" 



    เพราะเต็มใจที่จะรอ เขาจำได้ว่าเคยพูดกับคนตรงหน้าไปแล้วว่าอย่ากดดันให้ตัวเองต้องรู้สึกหรือพยายามหาคำตอบ เรื่องของหัวใจและความรู้สึกไม่ใช่โจทย์คณิตศาสตร์ มันไม่มีสูตรตายตัวว่าถ้าทำแบบนี้แล้วจะได้ผลลัพธ์ออกมา ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่หัวใจและความรู้สึกล้วนๆ



    "แต่..."



    "ฉันยังยืนยันคำเดิมนะ แค่นายยอมรับฟังและไม่ทิ้งกันไปก็ดีแค่ไหนแล้ว นายในตอนนั้นน่ะ ไม่เคยมองฉันในแบบที่ฉันมองนาย แถมยังมีคนที่ชอบอยู่แล้วอีก มันไม่ใช่เรื่องง่าย" หลังจากวันนั้นเขายังคิดเลยว่าตัวเองเดินเร็วไป ทั้งการบอกความรู้สึกหรือจูบอีกฝ่ายไปแบบนั้น



    "ไม่คิดบ้างหรอว่าฉันอาจจะไม่ตอบรับนายเลยก็ได้ ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ ปล่อยให้รอเก้อ"



    "ไม่นะ"


    "..." ไม่จำเป็นต้องส่งเสียงถามเพราะใบหน้านั้นแสดงมันออกมาทั้งหมด



    "นายไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่ใช่คนครึ่งๆ กลางๆ เรื่องนี้มันคงค้างคาอยู่ในใจนายไม่มากก็น้อย ฉันถึงไม่เคยเร่งเร้าแต่รอให้ทุกอย่างมันตกตะกอนเอง




    เพราะพอถึงตอนนั้นถึงนายจะไม่เลือกฉันก็ไม่เป็นไร เหมือนที่เคยบอก ถ้าอยากให้เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมก็จะเป็น มันก็คงไม่ง่ายสำหรับฉัน แต่ก็ต้องทำเพราะฉันไม่อยากเสียนายไป" 



    ความรู้สึกของเขาที่มอบให้อีกฝ่ายไม่เคยเปลี่ยนไป จนบางทีก็สงสัยว่าคนขี้เบื่อแบบนาแจมินทำไมถึงได้แน่วแน่กับอีเจโน่ถึงเพียงนี้ เจ้าตัวอาจยังไม่รู้ตัวว่ามีอิทธิพลต่อหัวใจเขามากขนาดไหน




    "ฟังดูคลั่งรักมากๆ ต้องกลัวยังอะ"




    "นาแจมินรักนายได้มากกว่านี้อีเจโน่"




    แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืด แต่เขามองไม่ผิดหรอก ริ้วแดงๆ ที่พาดบนแก้มใสนั่น ไหนเลยจะฟันคู่สวยที่กัดลงบนริมฝีปากล่างอีก ไม่อยากพูดเพื่อให้เขินจึงเลือกมองอยู่เงียบๆ ถึงจะชอบแกล้งแค่ไหน แต่เขาก็รู้ดีว่าเวลาไหนควรพูด เวลาไหนที่ควรจะมองและซึมซับภาพเหล่านั้นเอาไว้




    "หึหึ นอนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว" แจมินเอ่ย เอื้อมมือไปลูบผมสีดำตรงหน้า ปัดหน้าม้าให้ไม่ปรกตาก่อนจะหันตัวกลับมานอนหงายดังเดิม เจโน่ตอบรับในลำคอและพลิกตัวหันไปกอดหมอนข้างอีกด้านนึง




    "แจมิน"



    "อืม..." เขาตอบทั้งๆ ที่ดวงตายังคงมองเพดานขาว 





    "ขอบคุณนะที่รักแล้วก็รอ" แจมินหันมองข้างกายแต่ก็ยังเห็นเจโน่นอนหันหลังให้กันอยู่แบบนั้น





    "คนที่ต้องขอบคุณมันฉันต่างหาก" ก่อนเขาจะเลื่อนตัวไปนอนกอดอีกฝ่ายเอาไว้และกระซิบแผ่วเบาลงข้างใบหูนิ่ม





    "It's worth for waiting 'cause I got you now" 




    To Be Continue...
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in