เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
"แฟน" / "เพื่อนสนิท"Kridsadakorn Duangkiaw
"แฟน" "ผมจำไม่ได้ว่าประโยคสุดท้ายที่เราพูดบอกลากันมันคือคำว่าอะไร"
  • “ความรักในวัยเรียน เหมือนจุดเทียนกลางสายฝน”


    เป็นสำนวน หรือ คำคมที่ผมจำได้สมัยที่เริ่มๆมีความรักครั้งแรก
      

                     ตอนนั้นจำได้เเค่ว่า ผมมีโอกาสได้รู้จักกับผญคนหนึ่ง เธอเป็นเด็กที่ยิ้มหวาน น่ารัก เธอชื่อว่า "แพร" เธอเป็นเด้กเรียนเก่งระดับต้นๆของชั้นเรียนเลย เธอมักจะชวนผมวิ่งเล่นเเสดงเป็นตัวละครหลังข่าวเรื่องต่างๆประจำวันนั้น ตอนนั้นผมรู้เเค่ว่า ผมรอยู่กับคนๆนี้แล้วรู้สึกสนุกจัง สนุกกับการได้วิ่งเล่น แซ้งแสดงเป็นตัวละครในช่องมากสี เราสองคนมักไม่ได้รับบทเป็นตัวเอกในการแสดงครั้งนั้น แต่เราทั้งคู่ก็เป็นตัวรอง ที่จับมือฝ่าฟันทุกอุปสรรคด้วยกันตลอด  ผมไม่รู้ว่า ถ้าผมมีโอกาสได้นั้งคุยกับนางเอกของผมในตอนนี้ เธอจะจำเหตุการณ์เหล่านั้นได้มากเเต่ไหน ตอนนั้น มันไม่ใช่เป็นความรู้สึกรักของหนุ่มสาว แต่มันคือความสุขที่ได้วิ่งเล่นกับคนๆนึงในทุกเช้าก่อนเข้าเเถวเคารพธงชาติ มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในการไปโรงเรียน

    อย่างที่บอกไป เเพร เป็นเด็กเรียนดี เธอจริงสอบเข้าในโรงเรียนชั้นนำของจังหวัดได้ ในช่วงมัธยม ส่วนผมก็จับฉลากเข้าโรงเรียนใกล้บ้าน  หลังจากจบช่วงประถมเราก็ไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกเลย ในสมัยนั้นช่วงทางการติดต่อต่างๆไม่สะดวกมากนักประกอบกับบ้านผมก็ไม่มีอินเตอเน็ตซะด้วย ยิ่งไม่มีความเป็นไปได้เลยที่เด็กสองคนจะกลับมาเจอกันอีกครั้ง  

    โลกวนวันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เทคโนโลยีคือสิ่งที่สำคัญในยุคปัจจุบันที่ขับเคลื่อนให้การสื่อสารง่ายมากยิ่งขึ้น  จนเราพบกันอีกครั้ง ใน app ที่เรียกสั้นๆว่า  Ig. ผมเห็นเรื่องราวของ เธอมากขึ้น  ผ่านทางบทบาทชีวิตจริง ในฐานะ นักเทคนิคการแพทย์สาวใน โรงพยาบาลชื่อดังในตัวเมืองหาดใหญ่  เธอมักจะอัพไอจีสตอรี่ส่วนตัวของเธอเสมอ เล่าถึงเรื่องราวต่างที่ได้เจอในเเต่ละวัน ทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ในบทบาทที่ไม่สามารถเอามือทั้งสองข้างประกบกันทำเป็นรูปปืนได้อย่างเคย และ ก็ไม่สามารถ สละเวลา มาวิ่งเล่นจับผู้ร้ายกับผมได้อีก ทุกๆครั้งที่ผมเห็นสตอรี่ในไอจีของเธอ  ผมอยากจะใช้นิ้วจิ้มไปที่ช่องข้อความเเละกล่าวทักทายเธอสักประโยค อะไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกคุ้นเคยกันเหมือนก่อน "สวัสดี"  "ดีๆๆ" หรือ "เป็นไงบ้าง" เเต่พอถึงเวลาเข้าจริงความกล้าที่มันเคยมีเริ่มจากหายลงไป "นักเลงคีบอร์ด ต่อหน้าไม่กล้าบอก"  อย่างผมกลับกลัวเเม้เเต่ที่จะพิมพ์มันออกไป ผมถามตัวเองหลายครั้งว่าทำไม  ทำไม! ทำไม!! คำตอบของผมที่ได้มาก็คือ คำตอบที่เธอจะตอบกลับมา เเค่กลัวว่าระยะเวลาที่เราไม่เจอกัน  เราไม่มีโอกาสทักทายกันกว่า 15 ปี กลัวว่าทุกอย่างที่มันเคยเป็นภาพสวยงามจะไม่เหมือนเดิม เพราะ "ผมจำไม่ได้ว่าประโยคสุดท้ายที่เราพูดบอกล่ากันมันคือคำว่าอะไร"



    ผมเลือกที่จะเก็บภาพนั้นไว้  ภาพรอยยิ้มของ พระรองในจิตนาการของเด็กวัย 8 ขวบไว้ในความทรงจำของผมตลอดไป


    หวังใจไว้เพียงเเค่ว่า นักเทคนิคการแพทย์ จะสละเวลามาวิ่งเล่นกับผมอีกครั้ง  มันอาจจะไม่มีบทโจรกับผู้ร้าย ให้เราได้วิ่งไล่ตาม เเต่ถ้ามีโอกาสเจอกันอีกครั้งมันคงจะเป็นบทบาทของชีวิตที่เราได้มานั่งพูดคุยถึงเรื่องราว 15 ปี ที่เราไม่เจอกัน ผมว่ามันคงจะสนุกกว่าละครหลายเรื่อง 








     สุดท้าย ขอให้ทำบทบาทในชีวิตจริงให้มีความสุข / สักวันหนึ่งถ้าเรากล้าที่จะทักเธอไป วันนั้นเราคงได้คุยกันอีกครั้ง


    ถ้าจบด้วยประโยคที่ว่ารักและคิดถึง มันก็จะดูเป็นหนังเพื่อนสนิทจนเกินไป เเต่ก็เอาเป็นว่าผมรักเเละคิดถึงก็เเล้วกัน / 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in