เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Love story at 35,000 ftIfIStay
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน บทส่งท้าย
  • “หยุดแกล้งน้องเดี๋ยวนี้นะ ชูสึเกะ!!!” เสียงหวานตวาดแหววใส่ลูกชายคนโตที่กำลังยื้อแย่งของเล่นในมือเด็กชายตัวเล็กกว่า แน่นอนว่าคนตัวโตกว่าชนะ เด็กชายตัวเล็กทำหน้าเบ๊ะปากก่อนจะเปล่งเสียงร่ำไห้แบบคนโดนขัดใจ


    “ชูจิ ไม่ต้องร้องลูก มาเล่นอันนี้ดีกว่า”

    เธอเสนอของเล่นชิ้นอื่นให้ลูก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ


    กิจวัตรประจำวันของคนเป็นแม่ ตื่นเช้า ทำอาหาร เตรียมเสื้อผ้าให้สามีและลูกๆ ส่งสามีไปทำงาน ดูแลลูก ดูแลร้านกาแฟ ทำงานบ้าน เข้านอน วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ


    รูปถ่ายใบใหญ่อัดกรอบติดข้างฝา ปรากฏภาพของหญิงสาวผมสั้นสีบลอนด์ ดวงตาสีคราม อยู่ในชุดแต่งงานเกาะอกสีขาวกระโปรงทรงบอลกาวน์ ตัดเย็บอย่างปราณีตตามสไตล์งานโอร์ กูตูร์ บนศีรษะมีเวลประดับด้วยมงกุฏสีเงินสวยงาม ยืนเคียงข้างกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลา ดวงตาสีเขียวมะกอก ผมหยักศกสีดำขลับ เขายู่ในชุดสูททักซิโดสีขาว ใบหน้ามีรอยแย้มยิ้มอย่างคนมีความสุข


    จากวันนั้นก็ผ่านมาแล้ว 3 ปี….


    ตอนนี้เธอเป็นแม่คน มีพยานรักแล้ว 2 คน และที่ยังไม่ลืมตาออกมาดูโลกอีก 1 คน


    ชูสึเกะ ลูกชายคนโตของเธอและชูอิจิ มีผมสีดำขลับ จมูกโด่งเป็นสัน ใบหน้าคมคายหล่อเหลา ตัวสูงเมื่อเทียบกับเด็กวัย 2 ขวบกว่าๆ เท่ากัน ผิวขาว ถอดแบบออกมาจากพ่อของเขาเป๊ะ แต่ที่จะต่างไปก็คือดวงตากลมโตสีฟ้าที่เหมือนกับดวงตาของเธอ เธอท้องชูสึเกะหลังจากแต่งงานได้ไม่กี่เดือน


    ส่วนชูจิ ลูกชายคนรอง มีผมสีบลอนด์เหมือนผมของเธอ ใบหน้าหวาน ผิวสีน้ำผึ้ง แต่มีดวงตาคมกริบสีเขียวมะกอกเหมือนชูอิจิ เป็นเด็กยิ้มแย้ม อารมณ์ดี แต่ถ้าถูกขัดใจก็เกรี้ยวกราดโวยวาย นิสัยเหมือนเธอเป๊ะ เธอท้องชูจิหลังจากที่คลอดชูสึเกะได้เพียง 4 เดือน


    ‘ไม่รู้จะขยันอะไรนักหนา’


    “ทำไมต้องแย่งกันด้วย ของเล่นมีตั้งเยอะแยะ มานี่ มา เล่นด้วยกันดีๆ นะ ไม่งั้นหม่าม๊าจะตีทั้งคู่เลย”


    ---------------------------------------------------------------------------------------------


    ย้อนไปเมื่อ 3 ปีก่อน


    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงร้องกรี๊ดดังลั่นเมื่อเห็นสารร่างตัวเองมีแต่รอยจูบ รอบดูด รอยขบกัดของผู้ชายร่างสงที่ตอนนี้ยังนอนสลบไสลอยู่บนเตียง ก็เมื่อคืนจัดหนักซะแบบนั้น ตื่นไหวก็บ้าแล้ว…


    ‘แล้วจะไปบินยังไงเนี่ย ฮืออออออ’


    “สวัสดีค่ะท่านผู้โดยสารทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่สายการบิน Blue Sky Airlines เที่ยวบินที่ KM232 ซึ่งจะออกเดินทางจากนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ไปยังโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยจะใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้น 14 ชั่วโมง 30 นาทีค่ะ….”


    เสียงหวานประกาศอก PA เพื่อแจ้งผู้โดยสารว่าเรากำลังจะออกเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางในไม่ช้านี้แล้ว เคบินเมเนเจอร์คนสวยยังคงเพลียกับอาการ Jet Lag อยู่ แถมยังมีอาการเจ็บแปล็บในท้องน้อยจากการร่วมรัก นอกจากนี้ ทั่วทั้งร่างเธอยังมีร่องรอยที่ชูอิจิทำอยู่เต็มไปหมดจนเธอต้องเอาคอนซีลเลอร์มาปิดไม่ให้ใครเห็นรอยเหล่านั้นโดยเฉพาะช่วงลำคอ…. ไม่รู้จะปิดได้นานแค่ไหน….


    “คุณเมเนเจอร์คะ ที่คอนั่นรอยอะไรเหรอคะ? ไปโดนอะไรกัดมารึป่าว?” ลูกเรือคนหนึ่งถามเธอขึ้นเมื่อสังเกตเห็นรอยที่คอ


    ‘ห่ะ!!! เห็นด้วยเหรอ? ตายแล้ว!!! คอนซัลเลอร์ยี่ห้อนี้ไม่ช่วยปกปิดเลย ฮืออออ ทำไงดี’ เรย์คิดในใจ


    “เหมือนรอยถูกดูดเลยค่ะ หรือว่า….?” ลูกเรืออีกคนพูด พอเหมือนเธอรู้ความจริงก็อึ้งไป ยกมือขึ้นปิดปาก ทำตาโต ทุกคนต่างหน้าแดงกันหมดโดยเฉพาะเรย์


    “คุณเมเนเจอร์คะ ฉันว่าลองคอนซีลเลอร์ยี่ห้อนี้ดูมั้ยคะ? ใช้ดีนะคะ ติดทนนานมาก” เธอค้นอุปกรณ์ในกระเป๋าเครื่องสำอางอันน้อยของเธอ แล้วยื่นขวดเล็กๆ ฝาสีดำส่งให้เรย์ดู


    “อันนี้ก็ดีนะคะ คุณเมเนเจอร์” ลูกเรืออีกคนเปิดรูปคอนซีลเลอร์ในโทรศัพท์มือถือให้ดูพร้อมแนะนำ


    ตั้งแต่นั้นมา กองทัพคอนซีลเลอร์ถูกขนมาไว้ที่โต๊เครื่องแป้งของเธอ หลากหลายแบรนด์หลากหลายยี่ห้อที่ได้มาตามคำแนะนำจากคนอื่นๆ เธอซื้อมาเยอะมากจนชูอิจิสงสัยแล้วเดินเข้ามาถาม


    “อันนี้อะไรเนี่ย? ทำไมต้องใช้เยอะขนาดนี้ด้วย”


    “คอนซีลเลอร์น่ะ เอาไว้ปกปิดรอย”


    “รอยอะไรน่ะ? หน้าเธอก็ไม่เห็นมีรอยอะไรเลย”


    เธอดึงคอเสื้อลงเผยให้เห็นร่องรอยอารยธรรมที่เขาเป็นคนฝากไว้มากมาย ยกแขนให้ดูว่ามีทั้งที่ต้นแขน ชี้ไปตามต้นขา ลำตัว หน้าท้อง นี่ยังไม่รู้ว่ามีที่หลังอีกมั้ย? เพราะมองไม่เห็น เอาเถอะ ถ้าไม่เห็นถือว่าไม่มีแค่นี้ก้เยอะแล้ว เธอบ่นเขา


    คนฟังหัวเราะแหะๆ รู้สึกผิดขึ้นมา 0.1% แต่ก็แค่นั้นจริงๆ เพราะวันนี้เดี๋ยวเขาก็คงฝากรอยไว้กับเธอเหมือนเช่นเคย


    “อ่ะ นี่ เอกสารที่ให้เซ็นวันนั้นน่ะ” เขายื่นซองจดหมายสีขาวให้เธอ


    เรย์รับมาแบบงงๆ แล้วแกะดู บัตรเครดิตใบสีเงินอยุ่ในห้องซองนั้นพร้อมรหัสกดเงินสดและตัวเลขบอกวงเงิน เธอเงยหน้าขึ้นมองสามีแบบงงๆ


    “ก็แต่งงานกันแล้ว... ฉันเลยคิดว่าอยากให้เงินเธอไว้ใช้บ้าง เผื่อเอาไปใช้ในร้านหรือซื้ออะไรที่อยากได้ แต่ไม่รู้ว่าควรให้เดือนละเท่าไร ฉันเลยให้เป็นบัตรเครดิตเสริมไว้ เธออยากได้อะไรก็เอาไปใช้แล้วกัน”


    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด เรย์กรีดร้องในใจ ยิ่งกว่าถูกหวยซะอีก เธอกระโดดกอดสามีแล้วจุ๊บเขาแบบน่ารักๆ 1 ทีแทนคำขอบคุณ คิดว่าแค่นั้นจะพอสำหรับสามีเธอมั้ย?? ก็ไม่…


    สุดท้ายวันนั้น เรย์ก็เลยได้ลูกชายคนโตมา 1 คน


    ชูอิจิให้เธอลาออกจากงานเพื่อจะได้มาดูแลลูกอย่างเต็มตัว เพราะเงินเดือนของนักบินรวมกับเงินมรดกของที่บ้านก็มากพอเลี้ยงทั้งครอบครัวให้สบายไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว แต่เรย์ก็ดื้อดึงจะขอลางานไปพักแบบไม่มีกำหนดไปก่อน ทางบริษัทก็เข้าใจยังบอกอีกด้วยว่า ถ้าพร้อมกลับมาทำงานเมื่อไรก็ค่อยกลับมา

    ชูอิจิจ้างแม่บ้านมาช่วยเธอเรื่องงานบ้าน ส่วนเรื่องการดูแลลูกเรย์ยืนยันว่าจะดูแลลูกเอง เธอไม่ไว้ใจพี่เลี้ยง เรยืคิดว่าลูกควรได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่โดยตรงมากกว่า


    กิจการร้านกาแฟเล็กๆ ของเธอก็พอเป็นรายได้ได้บ้างเล็กน้อย อาจจะไม่มากมายเท่ากับตอนเป็นแอร์ฯ แต่ก็พออยู่ได้ ก่อนหน้านี้เธอก็ลงไปดูแลเองบ้างแต่พอเกิดเรื่องชูอิจิก็สั่งห้ามเธอไม่ให้ทำอีก


    เรยเป็นคนประมาท ประมาทจนเกินไปในบางที


    ตอนที่เรย์ท้องชูสึเกะได้ 7 เดือนแล้วเดินอุ้ยอ้ายลงไปช่วยงานร้านกาแฟ เธอเกือบเดินลื่นสะดุดพรมที่พื้น โชคดีที่หาที่จับได้ทัน และคุณยามหน้าคอนโดมาเห็นพอดี เลยพาเธอมาส่งที่ห้องอย่างปลอดภัย


    ‘ถ้าเธอล้มลงไปจะเป็นอย่างไร คิดบ้างมั้ย? ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้ ทำไมไม่ให้แม่บ้านลงไปแทน ให้แม่บ้านลงไปช่วยดูร้านก่อนก็ได้ ทำไมต้องลงไปเองด้วย เพราะเธอประมาทแบบนี้ไง อย่าคิดว่าตัวเองเก่งสิ...’ คำดุด่าว่ากล่าวต่างๆ นานาหลั่งไหลออกมาจากปากของผู้เป็นสามีที่ตอนนี้กำลังหัวร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ


    นั่นเป็น ครั้งแรกที่เธอเห็นชูอิจิโกรธที่สุดในชีวิต เธอขอโทษขอโพยสามีอยู่นาน ร่ำไห้สำนึกผิดจนสามียอมใจอ่อนลง หลังจากนั้น เขาก็ไปโวยวานกับแม่บ้านเรื่องที่ไม่ห้ามเธอ โทรไปโวยวายกับที่บ้านของเขาแล้วบอกให้คุณแม่มารี่กับคุณเซระมาช่วยดูแลเธอทันที


    พอมาถึงคุณแม่แมรี่โกรธมาก เธอต่อยหน้าลูกชายจนตาเขียว โทษฐานที่ไม่บอกเธอว่า เรย์ท้อง


    ‘แกไม่บอกอะไรฉันเลยนะ ชู!!! ถ้าฉันรู้ว่าเรย์จังท้อง ฉันไม่ปล่อยให้ลูกสะใภ้ฉันอยู่คนเดียวหรอก นี่แกเป็นสามีประสาอะไร ทำไมไม่จ้างคนดูแลร้านกาแฟเพิ่ม ทำไมไม่บอกฉันแต่แรกว่าเรย์จังท้อง ฉันจะได้มาช่วยดู พอทีนี้ล่ะ มาโวยวายว่าเรย์จังเกือบลื่นล้ม แกนั่นแหละผิด…...’


    เป็นคุณแม่สามีที่รักลูกสะใภ้และหลานมากกว่าลูกชายตัวเองซะอีก


    ตั้งแต่นั้นในบ้านก็มีทั้งคุณแม่แมรี่และคุณเซระมาอยู่ด้วย คุณแม่รับหน้าที่ดูแลเรย์ หลานๆ และกำกับเรื่องงานบ้าน ส่วนคุณเซระก็ไปช่วยดูแลร้านกาแฟของเรย์


    บ้านที่อยู่ปัจจุบันนี้เป็นห้องใหม่ที่มีขนาด 2 ห้องนอน พร้อมพื้นที่ในส่วนอื่นๆ ที่ถูกออกแบบใหม่ให้ตัวห้องมีพื้นที่กว้างมากขึ้น เพื่อใช้เป็นที่เล่นหรือการทำกิจกรรมในครอบครัว ชูอิจิซื้อห้องนี้ให้เป็นเรือนหอ โดยใส่ชื่อฟุรุยะ เรย์ เป็นเจ้าของห้อง


    ‘ถือเป็นของขวัญวันแต่งงาน’ เขาบอกแบบนั้นตอนเอาโฉนดห้องมาให้เธอ


    ห้องนี้อยู่ชั้นเดียวกับห้องเดิมของเธอกับเขา เพียงแต่อยู่อีกฝั่ง ส่วนห้องเก่าก็ให้เป็นที่พักของคุณแม่แมรี่และคุณเซระไป


    อีกเรื่องที่อยากจะเผาสามีของเธอก็คือเรื่องลูกคนเล็กที่อยู่ในท้องขณะนี้


    หลังจากที่เรย์คลอดชูจิลูกชายคนรองแล้ว เธออยากจะพักเรื่องการมีลูกไว้บ้าง การเลี้ยงเด็ก 2 คน ที่อายุไล่ๆ กัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยังดีที่มีคนช่วยดูบ้าง ไม่งั้นคงเหนื่อยกว่านี้แน่ๆ เธอคุยเรื่องนี้กับสามีของเธอว่าไม่อยากมีลูกเพิ่มแล้ว สามีของเธอพยักหน้าหงึกหงักเหมือนจะเข้าใจ เธอบอกว่าเธอจะกินยาคุมเพื่อไม่ให้มีลูกแล้วนะ แต่เขาชิงตอบว่าเขาทำมันมาแล้ว เธอเองก็แปลกใจว่า เขาไปทำมาตอนไหน อย่างชูอิจิเนี่ยนะจะยอมทำหมัน แต่ก็คิดว่าเขาคงไม่โกหกเธอหรอกมั้ง เพราะราก้ดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องลูกตรงกันแล้ว


    แต่แล้ว….   


    จู่ๆ เรย์จังก็มีอาการคลื่นไส้ ปวดหัว อาเจียน ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงอะไรหรือเปล่า จึงตัดสินใจไปหาหมอ พอได้พบหมอ ตรวจอาการเรียบร้อยก็พบว่ เธอไม่ได้ป่วยหรอก แต่เธอกำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่ 3


    “งวดนี้ได้ลูกสาวนะครับ ยินดีด้วยครับ”


    หมอแจ้งกับเธอแบบนั้น เธอหัวเราะหึหึกับตัวเอง ส่วนชูอิจิตอนนี้ยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว เธอก็ไม่แปลกใจหรอกที่เขาจะดีใจเพราะเขาชอบพูดบ่อยๆ ว่า มีลูกชายแล้วก็ต้องมีลูกสาวนะ เหมือนพี่น้องบ้านเขาที่มีลูกชาย 2 คน ลูกสาวคนเล็กอีก 1 คน มีลูกกันอย่างน้อย 3 คนนี่แหละ ถึงจะดี


    “ไหนบอกทำหมันแล้วไง” เธอส่งสายตาอาฆาตให้แก่สามีในระหว่างที่เขากำลังขับรถกลับคอนโด สามีสุดหล่อที่ตอนนี้กำลังหน้าบานเป็นกระด้ง เพราะกำลังจะได้ลูกสาวคนแรกของบ้าน หลังจากที่มีลูกชายมาแล้ว 2 คน


    “อะไรกันหม่าม๊า ปะป๊าอยากมีลูกสาวอ่า นะคะ นะๆๆๆ ไม่โกรธปะป๊านะคะ”


    สรรพนามการเรียกเปลี่ยนแปลงไป เพราะตอนนี้ทั้งเธอและเขามีลูกกันแล้ว สรรพนามที่บอกได้ทั้งการเป็นพ่อแม่ของลูกๆ และสามีภรรยาในคราวเดียวกัน


    ฮึ๋ยยยย อยากจะบีบคอให้ตายจริงๆ


    “แล้วทำไมไม่ขอกันดีๆ ล่ะ”

    “ก็หม่าม๊าไม่ยอมท่าเดียวเลยนี่คะ ปะป๊าก็เลย..”


    ความผิดฉันเองสินะ หึ!! จำไว้


    “หม่าม๊าหยิบของในเก๊ะให้ปะป๊าหน่อยสิคะ”


    เรย์เอื้อมมือไปเปิดช่องเก๊ะตรงหน้า ทันทีที่ฝาเก๊ะเปิด เธอก็ชะงักไปนิดนึง


    กล่องกำมะหยี่สำหรับใส่เครื่องเพชรขนาดกำลังพอดีพร้อมการ์ดสีชมพูวางแนบกันอยู่ในเก๊ะนั้น บนการ์ดเขียนว่า ‘สำหรับ หม่าม๊า’ สรรพนามที่เรียกแทนตัวเธอหลังจากที่มีลูก ส่วนตัวของชูอิจิเรียกแทนตัวเองว่าปะป๊า เขาบอกว่า ตอนนี้นอกจากจะเป็นสามีภรรยากันแล้ว ยังเป็นพ่อกับแม่ของลูกๆ อีก คำเรียกจึงเปลี่ยนไปจากเดิม เขาอยากให้คนอื่นรู้ว่า ตอนนี้ครอบครัวเขาสมบูรณ์พร้อมแล้ว มีทั้งปะป๊า หม่าม๊า และลูกๆ


    เรย์เอื้อมมือไปหยิบกล่องกำมะหยี่ขึ้นมาดูพลางถามสามีด้วยเสียงเข้มว่า “อันนี้อะไร?”


    “สำหรับหม่าม๊าไงคะ ลองเปิดดูสิ”


    เรย์เปิดกล่องทันที ภายในกล่องนั้นบรรจุต่างหูและสร้อยคริสตัลส่องประกายระยิบระยับ มันสวยงามมากจริงๆ สวยจนเธอลืมความขุ่นเคืองไปได้ในทันที แต่เดี๋ยวก่อน…


    “ซื้อมาเท่าไร?? มันแพงนะเนี่ย ทำไมไม่เก็บเงอนไว้ซื้อของให้ลูกๆ แทนละคะ”


    รถเคลื่อนมาติดไฟแดงพอดี ชูอิจิหันมาตอบภรรยาว่า


    “ก็หม่าม๊าไม่ได้ซื้อชุดใหม่หรือของอะไรใหม่ๆ บ้างเลยนี่ครับ อะไรๆ ก็ให้แต่ลูกอย่างเดียว หม่าม๊าต้องดูแลตัวเองบ้างนะครับ ส่วนของลูกก็คือส่วนของลูก ส่วนของหม่าม๊าก็คือส่วนของหม่าม๊านะ ปะป๊าอยากให้หม่าม๊ามีความสุขกับตัวเองบ้าง ดูแลตัวเองบ้าง หม่าม๊าเป็นคนสวยอยู่แล้ว หม่าม๊าต้องเป็นภรรยาที่สวยๆ ของปะป๊าและเป็นหม่าม๊าที่สวยๆ ของลูกๆ นะครับ”


    คำพูดที่จริงใจของสามีทำเอาคนฟังเขินอาย ไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย หน้าขึ้นสีแดงเรื่อๆ ยิ่งขับผิวสีน้ำผึ้งของเธอให้เข้มขึ้นไปอีกจนหน้ามอง


    ชูอิจิหยิบสร้อยออกมาจากกล่อง

    “มา หันหลังมา เดี๋ยวปะป๊าใส่ให้นะ” เรยหันหลัง เธอเป็นคนผมสั้นอยู่แล้ว ชูอิจิจึงเห็นต้นคอเธอได้ชัดเจน เขาบรรจงสวมใส่สร้อยคอให้แก่ภรรยาของเขา ใส่เสร็จก็แอบจุ๊บคอเป็นค่าใส่สร้อย 1 ที


    “รักนะครับ และสัญญาว่าจะดูแลหม่าม๊าตลอดไป”


    คนฟังที่ก่อนนี้หน้าแดงอยู่แล้ว กลับยิ่งเขินอายและตัวแดงขึ้นไปใหญ่ “หม่าม๊าก็รักปะป๊าค่ะ”


    ใบหน้าทั้งสองเริ่มเคลื่อนเข้ามาจนเกือบชิดกัน ต่างฝ่ายต่างได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน ดวงตาของของชูอิจิจับจ้องอยู่ที่กลีบปากสีชมพูระเรื่อของภรรยาที่รับตาพริ้มรอรับรอยจุมพิตจากเขา


    ปรี๊นนน ปรี๊นนนนนนนนน


    ทั้งสองคนสะดุ้งเฮือก ชูอิจิหันหลับมาจั้งสติเพื่อขับรถต่อ ไฟเขียวนานแล้ว นานจนรถคันหลังต้องบีบแตรไล่ ชูอิจิหันไปขับรถต่อพลางหันมามองหน้าภรรยาที่กำลังอมยิ้มอยู่ เห็นดังนั้นก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ เขารักรอยยิ้มนี้ รอยยิ้มที่แสนสดใส จุดไฟให้โลกทั้งใบของเขา


    ….ทั้งสองยิ้มให้แก่กันและกัน ต่างเกาะกุมมือกันไปตลอดทาง และตลอดชีวิตของพวกเขา ตลอดไป...







Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in