เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[9Satra Fanfiction] When You Say Nothing At AllM_Black
[9Satra Fanfiction] When You Say Nothing At All
  • แพขนตางอนยาวกะพริบถี่ ก่อนจะค่อยๆลืมขึ้นช้าๆ ความมืดยังรายล้อมรอบกายอยู่ ดวงตาสีเข้มปรับสายตาอยู่พักก่อนจะเพ่งมองพบว่าร่างที่นอนอยู่ข้างๆ ลุกขึ้นนั่งหอบอยู่ไม่ไกล อ๊อดตกใจรีบลุกขึ้นยกมือแตะต้นแขนสีม่วงหม่นที่ซึมชื้นไปด้วยเหงื่อ


    “ พี่บาก? ฝันร้ายอีกแล้วหรือ “ เธอถาม เมฆลอยต่ำผ่านไปจนแสงจันทร์ได้ส่องเข้ามาผ่านมุ้งสาย จึงได้เห็นใบหน้าที่หวาดหวั่น มือทั้งสองที่ยกขึ้นปิดหน้าสั่นระริก


    “ พี่...ฝันร้ายนิดหน่อย ไม่เป็นไร เจ้านอนต่อเถอะ “ ร่างสูงบอก แต่ผู้อยู่ข้างกายมิได้ล้มตัวนอนตามนั้น มือเรียวยกขึ้นจับใบหน้าที่ตระหนก


    “ ไม่เป็นไรนะจ๊ะ พี่ฝันร้ายเรื่องอะไร บอกข้าได้ไหม? “


    “ แค่เรื่องเก่าๆน่ะ เจ้านอนเถอะ พี่จะออกไปสูดอากาศล้างเนื้อตัวหน่อย มีแต่เหงื่อไม่สบายตัวนัก “ บากว่า มองใบหน้าน่ารักที่ยังคงกังวลอยู่ ยิ้มบางก่อนก้มลงจูบที่แก้ม


    “ นอนเถอะ  นุ่งผ้าเสียด้วย ก่อนพี่จะอดใจไมไหวนะ “ เขาเย้า จ้องมองหน้าอกเปลือยเปล่า หล่อนหน้าขึ้นสียกมือทุบไหล่ให้ด้วยความเขินอายรีบหยิบผ้าแถบมาพันอก กิริยาน่ารักน่าใคร่ทำให้อดหัวเราะน้อยๆไม่ได้ ทมิฬหนุ่มเลิกชายมุ้งขึ้นขัดผ้านุ่งหลวมๆแล้วออกจากห้องไป อ๊อดมองตามก่อนจะถอนใจ ด้วยนึกห่วง ห่วงที่อีกฝ่ายไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย แม้จะร่วมเรียงเคียงหมอนกันมาจะเป็นปีแล้วก็ตาม…


    บากลงจากเรือนอย่างเงียบเชียบตามวิสัยระแวดระวังตัว เขาอ้อมไปด้านหลังเพื่อวักน้ำในโอ่งดินเผ่าล้างหน้าตา ประพรมน้ำเย็นตามกายจนพอหายเหนียวตัว ใจยังไม่สงบพอจะกลับขึ้นไปนอนข้างๆอ๊อด เห็นทีคงต้องเลี่ยงไปรับลมที่แถวน้ำตกจะดีกว่า ไปนั่งริมทะเลก็จะเหนียวตัวขึ้นมาอีกเสียเปล่าๆ ไวเท่าความคิดร่างสูงก็เดินหายไปยังน้ำตกที่อยู่ไม่ไกลจากเรือน โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่นึงจ้องมองอยู่


              ธารน้ำตกเล็กๆยังคงไหลเอื่อยเฉืื่อยอยู่เสมอ ร่างกายสีม่วงหม่นเลือกนั่งริมโขดหินใหญ่ พระจันทร์ขึ้นกลางฟ้าเช่นนี้ก็คงจะล่วงเข้าเที่ยงคืนแล้ว น่าจะได้เวลานอน แต่บากก็มิอยากจะหลับ ด้วยแม้จะข่มตาให้หลับเพียงใด ฝันร้ายยังอยู่


    ฝันร้ายที่สังหารคนที่ไม่มีความผิด

                        ฝันร้ายที่สังหารพ่อแม้แท้ๆของอ๊อด

                        ฝันร้ายที่สังหารผู้เลี้ยงดูอ๊อดมาแต่เยาว์

                        ความผิดมากขนาดนี้

                        ไม่ควรเลยที่จะได้อยู่ใกล้กับนางขนาดนี้

                        ไม่ควรแม้แต่จะรักด้วยซ้ำ


    หล่อนมิเคยกล่าวโทษ มิเคยต่อว่าให้เจ็บช้ำ มีเพียงรอยยิ้มอารีย์ และถ้อยคำหวานมอบให้ นั่นเองยิ่งทำให้รู้สึกผิด ยิ่งเมื่อตอนนี้ได้ร่วมเตียงกันเป็นผัวเมียแล้ว ก็ยิ่งผิด เขาถอนใจหนักๆ เห็นทีคืนนี้ต้องหลบพักหาที่นอนแถวนี้เสียแล้ว ยังทำใจให้กลับขึ้นไปนอนข้างๆไม่ได้


              ร่างผอมเหม่อลอยสักพัก ก่อนจะค่อยๆปลดผ้านุ่ง เคลื่อนกายลงไปในธารน้ำ ผืนน้ำกระเพื่อมไหว น้ำนั่นใส เย็นเฉียบ และไร้ถ้อยคำใดมาว่ากล่าว เสียงหวีดหวิวแผ่วเบาเสียงที่พยายามเมินเฉยไม่รับฟัง เงาร่างดำมืดที่อยู่ไม่ไกลรายล้อมรอบๆป่า วิญาณแค้นที่บากไม่เคยบอกอ๊อด ไม่เคยพูดให้ร่างเล็กนั่นไม่สบายใจแม้สักครั้ง ว่าเขานั่นเห็นคนที่ตัวเองทำให้ตายยังคงวนเวียนอยู่ ความเคียดแค้นไม่อาจลบล้างได้ง่ายดาย แม้ยามที่หลอกตัวเองว่าตอนนี้มีความสุข  สุขยิ่งนักที่ได้มีอ๊อดมาอยู่ข้างกาย แต่ก็เหมือนยิ่งสร้างความโกรธแค้นมากขึ้นไป


                        อ๊อดเป็นที่รักของทุกคนในเกาะนกแอ่น

                        เขาช่วงชิงชีวิตของทุกคนมา

                        แล้วยังจะมีหน้าให้นางมาเป็นคนรักได้อย่างไร

                        ไม่เจียมตนเสียเลย พรานทมิฬ…


    ร่างนึงยืนอยู่ไม่ไกลริมฝั่งน้ำ โปร่งใสจนแทบจะสังเกตได้ยากนัก หากพรานหนุ่มเห็นชัดในคลองสายตา ร่างที่เขาเห็นชัดที่สุดตั้งแต่มาอาศัยอยู่ และเป้นวิญญาณตนเดียวที่บากกระดากที่สุดที่จะเอ่ยกับอ๊อดว่าเขาเห้น…


                        ...จมื่นพันธ์ วรเดช….


              “ ท่านยังคงวนเวียนอยู่สินะ “ น้ำเสียงทุ้มเอ่ย มองใบหน้าคมเข้มสมชายชาติทหาร แคได้ประมือกันไม่กี่ครั้ง อดีตนักล่าแห่งเทะหยักษาก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายมีฝีมือฉกาจแค่ไหน และก็ตนเองอีกนั่นไงเล่าที่ลงมือสังหารบุตรชายเพียงคนเดียวของจมื่นพันธ์ คราบเลือด สัมผัสของมือที่ทะลวงอกของแสง บุตรของจมื่นยังฝังแน่นในความทรงจำมาตลอด กับจมื่นพันธ์เองก็ไม่ต่าง แม้มิได้ลงมือสังหาร แต่การที่นำพลยักษ์บุกมาชิงศาสตราในครานั้น ก็เป็นต้นเหตุให้บิดาเลี้ยงของอ๊อดสิ้นชีพไป


                        หล่อนเคยกล่าวโทษเขาแค่ครั้งนึงตอนประมือกัน

                        แต่หลังจากนั้นก็มิเคยกล่าวถึงอีก

                        แม้ยามที่อ๊อดวางพานพุ่มขอขมาเคียงกับเขา

              ตอนที่ตกลงใช้ชีวิตร่วมกัน

                        อ๊อดก็เพียงยิ้มบางๆ ไม่พูดอันใดเลย


              ‘ …..ใช่ กูยังอยู่  จมื่นพันธ์เอ่ย ตาจ้องเขม็งมาที่บาก ศัตรูผู้สังหารบุตรชาย และตอนนี้ก็ยังมาใช้ชีวิตเป็นผัวเมียกับบุตรสาวบุญธรรมของเขาอีก


              “ แค้นข้าสินะ “


              ‘ ไม่เพียงแค้น แต่พวกกูทุกคนที่ตายในวันนั้นล้วนสาปแช่งมึง มึงกล้าดีอย่างไร จึงกล้ากลับมาเหยียบเกาะนี้อีก กล้าดีอย่างไรจึงมาขออ๊อดไปเป็นเมียมึง!!~ ‘ แม้จะกลายเป็นวิญญาณ แต่น้ำเสียงกราดเกรี้ยวก็ดังลั่น พรานทมิฬได้ยินชัดถ้อยทุกคำพูด…


              ‘ เดรัจฉานพรานไพรเยี่ยงมึง กล้าดีอย่างไรมาเป็นผัวลูกกู อ๊อดมันจะรักมึงหรือไม่ก็ตาม มึงไม่เหมาะสมกับมัน หากไม่มีมึง อ๊อดก้คงได้สมรสเข้ารั้วเข้าวังกับองค์ไชยไปเสียแล้ว หาไม่เพราะมึง เพราะมึงหน้าด้านขอความรักจากลูกกู!!  ลูกกูจึงยังต้องมาลำบากใช้ชีวิตกับมึง มึงมันใฝ่สูงเกินตัว ไอ้เศษสวะต่ำช้าที่ฆ่าคนไปมากเยี่ยงมึง ยังมีหน้ามาฝันถึงการมีครอบครัวกับลูกกูได้เรอะ? ‘ ร่างสูงผิวกายหม่นถอนใจ


              “ ข้าไม่ขอให้ท่านหรือใครบนเกาะนี้ให้อภัยในความผิดของข้า ข้าสำนึกอยู่เสมอว่ามือข้าเปื้อนเลือด ข้าสังหารลูกชายท่าน เป็นต้นเหตุให้ท่านตาย ข้ายอมรับผิด ...แต่ข้ารักอ๊อด… “


              ‘ รัก??? หากมึงรักลูกกู มึงก็ควรไปจากชีวิตของอ๊อดเสีย มึงหน้าด้านหน้าทนได้อย่างไรทั้งๆที่เป็นคนทำให้พ่อแม่ของอ๊อดตาย รวมทั้งกู กูที่เลี้ยงดูอ๊อดมันมาเหมือนลูกในไส้ ทุกคนบนเกาะนี้รักอ๊อดราวลูกหลาน คนดีมากมายมาขอมันกูก็มิเคยยกมันให้ใคร ด้วยทั้งรักและเป็นห่วง แต่นี่มึง...มึงกล้าดีอย่างไรจึงมาร่วมเรียงเคียงหมอนเป็นผัวลูกกู ‘ จมื่นพันธ์ว่าเสียงกราดเกรี้ยวกว่าเดิม บากมิได้แม้แต่จะเอ่ยอะไรต่อล้อต่อเถียง เงาดำมากมายพึมพำสาปแช่ง


              ‘ เดรัจฉานยิ่งนัก ‘


              ‘ ลงนรกไปเสีย ไอ้ชาติชั่ว ‘


              ‘ กูขอสาปแช่งมึง ‘


              ‘ พี่อ๊อดคงจะตกนรกทั้งเป็นเสียแล้ว ‘


              ‘ น้ำหน้าเช่นนี้ ยังกล้าจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ‘


    มือผอมยกขึ้นปิดหูตนเอง เสียงที่เคยเพิกเฉยมาตลอดอื้ออึงไปหมดจนแทบจะทนไม่ไหว หัวใจเจ็บช้ำเมื่อนึกได้ว่าทุกถ้อยคำที่ก่นด่าสาปแช่ง ทุกคำบริภาษคือเรื่องจริง เขาโกหกตัวเองมาตลอด โกหกว่าจะมีความสุขกับอ๊อดได้ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ ภาพความฝันที่เกิดขึ้นจริงเพราะคือภาพอดีต...อดีตที่ตนเองยังเป็นเครื่องจักรสังหาร ทุกแดนดินที่พรานทมิฬย่างกราย มิเคยมีชีวิตใดรอดพ้นไปได้


                        เขาคือความตาย

                        คือยมทูต

                        คือเดรัจฉานที่ฆ่าทุกอย่างที่ขวางทางตน

                        มือเปื้อนเลือดนี่ไม่มีวันลบล้าง

                        วิญญาณกระหายเลือดยังร่ำร้อง

                        อ๊อด...พี่ควรทำเช่นไรดี

                        แม้อยากได้รักเจ้า ได้กอดเจ้าไว้

                        ก็ยังนึกกลัว…

                        กลัวว่าวันนึงเจ้าจะเกลียดพี่

                        กลัวว่าวันนึงจะกลับเป็นปีศาจ

    กลัวว่าในภาพฝันที่หลอกหลอน

    กลัวจะเป็นตนเองที่สังหารเจ้า

                        กลัวเหลือเกินแล้ว


    ร่างสูงทรุดกายลงลำธาร น้ำมิได้ลึกพอจะจม แต่หากเดินยังตรงใต้น้ำตกที่เป็นหลุมลึก แม้กระทั่งตนเองก็คงมีอาจหยั่งขาถึง จึงได้มักเตือนอ๊อดอยู่เสมอว่าอย่าได้มาเพียงลำพัง ดวงตาสีทองพื้นดำมองไปยังร่างโปร่งแสงของจมื่นพันธ์ วอนขอทั้งน้ำตาที่อาบแก้ม


              “ ได้โปรด ไม่ต้องอภัยให้ข้า แต่ขอร้อง...ขอให้ข้าได้รักอ๊อด...ได้อย่เคียงข้าง “


    ‘ มึงไม่มีสิทธิ์ร้องขอ ไอ้พรานทมิฬ!!! มึงเป็นแค่เผ่าทมิฬ มีคดีอาญาติดตัว สังหารคนไปมากมาย เหี้ยมโหดเยี่ยงนายของมึง มึงกล้าดีอย่างไรมาขอความเมตตา กูขอตามอาฆาตมึงไปทุกชาติภพ อย่าให้มึงได้พบเจความสุข ให้มึงต้องพรากจากสิ่งที่มึงรัก มึงลืมแล้วหรืออย่างไร คนรอบกายมีใครบ้างที่รักมึง คนเดียวที่รักมึงก็คือแม่ของมึง ที่ก็ตายเพราะปกป้องมึง สักวันเล่า...หากสักวันที่มีใครคิดแค้นมึง เขาก็คงมิสังหารเพียงมึง แต่รวมถึงอ๊อดลูกกู ….. ‘


              “ ข้าจะปกป้องอ๊อดด้วยชีวิต ข้าสาบานแล้ว สาบานต่อวิญญาณของท่าน ต่อพ่อครู และวิญญาณเกาะนกแอ่นทุกตนว่าข้าจะปกป้องอ๊อด หากข้าผิดคำสัญญา ข้าก็ยอมตกนรกขุมไหนก็ได้ “ พรานหนุ่มเอ่ยเสียงสั่น วิญญาณของจมื่นพันธ์เงียบไป


              ‘ ...มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่มึงได้กระทำผิดต่ออ๊อดเอาไว้แม้สักปลายเส้นผม หากมึงรัก หากมึงห่วงลูกกูจริงๆ ….. ‘  ร่างโปร่งแสงค่อยๆเลือนหายไปปรากฏที่ตรงใต้ธารน้ำตก ชี้ปลายไม้เท้าลงไปตรงธารน้ำที่ลึก


              “ จมื่นพันธ์…? “


              ‘ จบชีวิตน่าสมเพชของมึงเสีย เมื่อมึงตายอ๊อดก็คงจะลืมมึงได้ ลูกกูสมควรเจอคนที่ดีกว่ามึง ทำเสียไอ้พรานทมิฬ ตายเสียตรงนี้วันนี้ ปล่อยลูกกูไปหาความสุข มึงไม่คิดบ้างหรือว่าที่ทุกวันอ๊อดต้องยังอยู่บนเกาะแห่งนี้ ทั้งๆที่องค์ไชยแสนจะมีใจปฏิพัทธ์ให้ มึงเห็นแก่ตัว มึงเอ่ยคำหวานบอกรักลูกกู อ๊อดเป็นเด็กใสซื่อใยเล่าจะตามทันมึง ยอมเป็นเมียมึงให้คนเขาติฉินนินทาว่าโง่งมนักที่ละทิ้งตำแหน่งว่าที่มเหสีองค์ไชยมารักกับทมิฬบาปหนาเยี่ยงมึง ….หากมึงรักอ๊อดจริง ก็ปล่อยให้นางได้มีความสุข ‘ บากมองธารน้ำที่ลึกสุดตัว เขาแค่นยิ้ม


              “ หากข้าตาย ทั้งท่าน และคนอื่นๆจะพอใจใช่ไหม “


              ‘ ใช่ หาไม่แล้วกูก็จะก่อก่วนให้มึงฝันร้ายซ้ำไปมาเช่นนี้ และสักวันมึงคงจะวิปลาส แล้วมึงคิดว่าหากถึงวันนั้นลูกสาวเพียงคนเดียวของกูจะเป็นเยี่ยงไร เลือกมาไอ้พรานไพร ตายเสียต่อหน้ากูเพื่อให้ผู้หญิงที่รักมึงมีความสุข หรือมึงจะเห็นแก่ตัวหลอกตนเองไปวันๆว่าอ๊อดมีความสุขที่อยู่กับมึง ลำบากเพียงใดก็ทนได้อย่างนั้นหรือ? ‘


              “ …..ข้าอยากให้พวกท่านทั้งหมดได้รับรู้ไว้เพียงอย่างเดียว… “ คนผิวกายม่วงหม่นค่อยๆเดินมาหยุดตรงขอบพื้นน้ำ หากก้าวลงไป ชีวิตจะจบสิ้น แต่พรานทมิฬมิได้กลัวความตาย มิได้กลัวความทรมาน


    สิ่งเดียวที่กลัว…

    คือวันนึงหากเผลอทำร้ายอ๊อด

    จะด้วยเหตุผลกลใด

    หากนางสิ้นชีพด้วยน้ำมือตนเอง

    คงมิอาจมีชีวิตต่อไปได้อีก

    บาปใดที่เคยทำมาก็มิอาจทำให้ใจสลาย

    หากต้องมองร่างของสตรีที่รักที่ตายด้วยมือตนเอง


    อย่าให้มันเกิดขึ้นเลย

    รักเพียงใดก็ควรตัดใจ

    จมื่นพันธ์พูดถูก

    ไม่ควรเลยที่คนบาปหนาเช่นตน

    จะไปอยู่ข้างกายอ๊อด

    จากกันเสียวันนี้ดีแล้ว

    นางคงจะร้องไห้แค่ไม่นานนัก

    ความผูกพันธ์มันน้อยเกินไป


    “ จมื่นพันธ์ “


              ‘ อันใด? ‘

    “ ได้โปรด หากข้าตายตรงนี้ ขอให้ท่านช่วยเหลืออ๊อดด้วย หาคนดีๆมาปกป้องข้างๆกาย อย่าให้นางร้องไห้นานนัก อย่าให้อ๊อดเสียใจ บาปใดที่ข้าทำต่อท่าน ต่อคนในเกาะ ข้าพร้อมน้อมรับเอาไว้ ขอเพียงอย่างเดียว… วิญญาณข้าบาปหนา ตายไปก็คงตกนรกทันที ห่วงอ๊อดเพียงใดก็อยู่ข้างๆกางนายเช่นท่านไม่ได้… ขอร้อง...ปกป้องนางแทนข้า “ เขาว่า ยิ้มจางก่อนจะคุกเข่าลง พนมมือเสมออกไหว้ แล้วก้มกราบลงบนพื้นน้ำ วิญญาณจมื่นหมื่นที่มีสีหน้าครุ่นคิด บากลุกขึ้น ยกมือแตะต่างหูไม้ที่อ๊อดตั้งใจแกะให้ ก่อนจะหลับตาลงแล้วก้าวเดินลงไปยังธารน้ำ เพียงแค่นั้นก็เหมือนมีมือมารมาฉุดรั้ง


    ร่างของพรานหนุ่มไม่มีการดิ้นรน มีเพียงการปล่อยให้กายจมดิ่ง เสียงก่นด่าเงียบลงไป มือเย็นมากมายจับรั้งขาเอาไว้ราวกลัวว่าชายหนุ่มจะเปลี่ยนใจ แต่ไม่….ร่างสูงยอมสิ้นทุกอย่าง ขอเพียงให้รอยยิ้มสดใสของอ๊อดยังคงอยู่  ขอแค่อ๊อดมีความสุข


    ขอโทษนะอ๊อด…

    ขอโทษที่ผิดสัญญา

    ขอโทษที่ดึงเจ้าลงมา

    ขอโทษที่อยู่ขางกายเจ้าไม่ได้แล้ว


    ความอึดอัดแล่นริ้วไปทั่วกาย พรานทมิฬรู้ดีแล้วว่าความตายกำลังมาถึง ความมืดที่รายล้อมยังคงอยู่ เสียงสาปแช่งเบาบางลง คงจะพอใจที่เห็นเขากำลังตาย สติกำลังจะดับวูบลงไปทุกที การตายน่ากลัวเช่นนี้ ทรมานเช่นนี้เอง ที่ผ่านมาตนเองทำอะไรลงไป จึงนำพาความตายแก่ผู้คนที่ไม่มีความผิด


                        สำนึกเสียใจเพียงใดก็สายไปแล้ว

    บาปหนาไม่มีวันถูกลบล้าง

    วิญญาณข้าเปื้อนดำ

    ไร้แสงสว่างใดจะส่องลงมา


    “ พี่บาก!!! “ เสียงนึงร้องลั่นให้ได้ยิน ทั้งๆที่เขากำลังจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งธารน้ำ มือเล็กแต่แข็งแรงตรงเข้ามาฉุดกระชากแขน น่าแปลกนักทั้งๆที่มันเป็นกลางคืน ความมืดของผีที่คลั่งแค้นรอบกายอีกเล่า ใยยามร่างระหงนั่นว่ายมาใกล้ ราวกับมีแสงสว่างส่องลงมา ดวงตาสีทองพื้นดำเพ่งมองผ่านน้ำ จึงพบว่าใบหน้าของอ๊อดอยู่ใกล้ ริมฝีปากบางก้มลงจูบเพื่อถ่ายอากาศให้ก่อนจะรั้งตัวของเขาเพื่อพาว่ายขึ้นมา   แต่ทมิฬหนุ่มไม่ยอม ใบหน้าหวานซึ้งตกใจ


    ‘ ไปเสีย ยอดรัก พี่เลือกทางของพี่แล้ว ‘ เขาคิด พยายามจะส่งร่างของหญิงสาวขึ้นสู่พื้นน้ำ แต่เธอกลับไม่ไป กลับกันอ๊อดกลับว่ายตรงเข้ามากอดเอาไว้ สองแขนกอดแน่น ราวกับว่าหากชายตรงหน้าจะต้องสิ้นชีพ หล่อนเองก็จะขอตายด้วย บากมิอาจทนได้หากต้องให้สตรีที่รัยิ่งมาจบชีวิตตรงนี้ เขาอาศัยแรงเท่าที่มีว่ายพาร่างของอ๊อดกลับขึ้นมาบนธารน้ำส่วนที่ตื้น หอบหายใจหนัก


    “ แค่กๆ “ อ๊อดไอโขลกจนตัวโยน สำลักน้ำออกมา บากรีบตรงเข้าไปหา


    “ อ๊อด!! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? “ หญิงสาวหันมามองหน้าของชายหนุ่มก่อนจะยกมือตบเข้าที่ใบหน้านั่นเต็มแรง พรานทมิฬอึ้งไป แต่ที่อึ้งกว่าคือดวงตาคู่สวยสีเข้มเต็มไปด้วยความเสียใจ แม้จะเปียกปอนแต่เขาเห็นน้ำตาของอ๊อด


    “ พี่ทำบ้าอะไร!! “


    “ อ๊อด…. คือ… “ ไม่รู้จะหาคำแก้ตัวใดมาพูดอีก ทำได้เพียงแต่เงียบ มือของอ๊อดจึงยกขึ้นทุบเข้าที่อกอีก ซึ่งบากก็ยอมให้ทุบให้สาแก่ใจ ชั่วครู่หล่อนจึงสะอื้นลดมือลง


    “ พี่มีอะไรทำไมไม่บอกข้า ทำไมต้องคิดฆ่าตัวตายด้วย “


    “ พี่...อยู่ไม่ได้อ๊อด… “


    “ ทำไม? เพราะอะไร เพราะเรื่องในอดีตใช่ไหม? ...ข้าบอกพี่แล้วอย่างไร ข้าไม่ได้ติดใจอะไรแล้วนะพี่ “ เธอบอก ยกมือจะแตะแขนแต่ร่างสูงก็ผละออก ใบหน้าคมมีแต่ความเจ็บช้ำ


    “ เจ้าไม่ติดใจ แต่มันก็เป็นตราบาปติดตัวพี่ อ๊อด...พี่ฆ่าคนไปมาก พี่ทำให้ทุกคนที่เจ้ารักตาย พี่ต้องอาญา พี่เป็นเผ่าทมิฬ เป็นคนที่เจ้าไม่ควรอยู่ข้างๆกาย หากตอนนั้น..หากตอนนั้นพี่ไม่เอ่ยคำว่ารักกับเจ้า เจ้าคงไม่ต้องกลับมานี่ เจ้าคงอยู่ในวัง อยู่กับองค์ไชยที่เขารักเจ้า “ อ๊อดน้ำตาไหล ริมฝีปากสั่นระริก


    “ ทำไม ทำไมพี่คิดไปเองคนเดียว พี่เห็นข้าไม่ได้พูดพี่จึงคิดกับข้าเช่นนี้หรือ? พี่คิดว่าข้าจะรักใครนอกจากพี่หรือ? พี่ช่วยชีวิตข้านะ “


    “ แต่มันลบบาปที่ข้าก่อไม่ได้!! “


    “ ข้าก็มิขอให้พี่ลืมหรือลบบาปพวกนั้น ข้าไม่เคยขอ ...ไม่เคยขออะไรจากพี่ หากจะขอ...ข้าขอขอเพียงสิ่งเดียว คือขอให้พี่อยู่กับข้า “


    “ อ๊อด...มือพี่เปื้อนเลือด เลือดของทุกคนบนเกาะแห่งนี้ ทุกคนที่เจ้ารัก พ่อครู พ่อพันธ์ แม้พี่มิได้ลงมือสังหาร แต่พี่ก็นำพาความตายสู่พวกเขา เจ้าเป็นดั่งแก้วตาของทุกคน ให้พี่อยู่ได้อย่างไร พี่สร้างแผลให้เจ้า แล้วพี่จะมีหน้ามาอยู่ข้างกายเจ้าได้อย่างไร อ๊อด แค่เวลาที่พี่เจ้าตลอดมานี่ มันมากพอแล้ว พี่ไม่ควรจะขอฟ้าให้มากกว่านี้ “ เขาบอก ถอยตัวหมายทิ้งร่างลงสู่ก้นบึงพื้นน้ำอีกครั้ง อ๊อดเม้มปากก่อนจะตรงเข้ากอดไว้


    “ อ๊อด...ปล่อยพี่ เจ้ามิต้องมาสนใจพี่ ทิ้งให้พี่ตายเสีย พี่จะมิโทษเจ้า


    “ ไม่! ...ไม่มีวัน “ ร่างบางบอกอย่างดื้อดึง กอดกายที่แสนรักเอาไว้แน่นกว่าเดิม สะอื้นบอก


    “ ข้ารักพี่ ข้าไม่สนว่าบาปของพี่จะมากเท่าใด และหากพี่บาป ข้าก็จะขอบาปไปกับพี่ ให้ทุกคนตีหน้าข้าเป็นลูกทรพี เป็นนังแพศยาที่เเลือกคนฆ่าพ่อแม่มาเป็นผัวข้าก็ยอม ข้าไม่พูดอันใดเพราะไม่อยากให้พี่ไม่สบายใจ ข้าเลือกจะอยู่กับพี่แล้ว เป็น...เมียพี่ ข้ามอบทุกสิ่งของข้าให้พี่แล้วนะจ๊ะ… ข้ามิใช่เมียพี่หรือ “


    “ เจ้าเป็น...เป็นเสมออ๊อด พี่เคยบอกแล้วอย่างไร พี่มิได้รักเจ้าเท่าชีวิต แต่เจ้าเป็นชีวิตของพี่ “ เสียงทุ้มสั่นเบาๆ น้ำตาหยดลงต้องเส้นผมสีดำสวย ใบหน้าหวานเงยมอง น้ำตาเฉกเช่นกัน


    “ ข้าเลือกพี่...เพราะข้ารักพี่ ข้าไม่เคยรักองค์ไชย มิเคยอยากได้แก้วแหวนเงินทองใดจากพระองค์ ข้าแค่อยากกลับมาอยู่ที่ที่ข้าเกิด ใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ข้ารัก คือพี่ ...พี่คนเดียวนะ “ อ๊อดสะอื้นบอก ยืดตัวจูบปากของอีกฝ่าย บากจูบตอบอย่างแสนรักแสนอาลัย แต่เขาก็จำต้องผละออก


    “ พี่? ทำไม? “


    “ พี่กลัว...กลัวสักวัน หากความดำมือในตัวพี่ตื่น หากวันนึงพี่ทำร้ายเจ้าเหมือนที่ทำร้ายทุกคน...อ๊อด พี่จะทำอย่างไร หากพี่ต้องลืมตามาพบว่าพี่สังหารเจ้า อ๊อด พี่ทนไม่ได้ ให้พี่ตายเถอะ ขอร้อง พี่ทนมีชีวิตอยู่ไม่ได้ “  เขาสะอื้นร่ำไห้ลงกับไหล่เล็กของสตรีที่รักยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด อ๊อดกอดเอาไว้ พระจันทร์ส่องแสงลงมานุ่มนวลราวปลอบโยน


    “ พี่ไม่มีวันทำเช่นนั้น เชื่อข้าเถอะจ้ะ พี่เป็นคนอ่อนโยนที่สุดที่ข้ารู้จัก เรื่องราวในอดีตให้มันจบไปเถอะนะ มองข้าพี่บาก มองข้า.. “ มือของอ๊อดจับใบหน้าคมให้มองที่ตัวเอง ดวงตาสองดวงประสานกัน ความอ่อนโยนของอ๊อดฉายชัดในดวงตาคู่สวย


                        คำว่ารักอยู่ในนั้น

                        บากรู้ได้โดยทันที

                        แม้หล่อนจะมิเอ่ยออกมา

                        แต่คำนั้นอยู่ในทุกตัวตนของอ๊อด

                        ทุกสัมผัสที่มอบให้

    จากมือ จากริมฝีปาก จากดวงตา

                        มันเด่นชัดจนมิจำเป็นต้องเอ่ยอีกแล้ว


    บากก้มกอดอ๊อดอีกครั้ง เจ้าหล่อยยิ้มบาง ยกมือตบๆที่หลังเขาเบาๆราวปลอบเด็กน้อยที่ร้องไห้โยเย มิได้เอ่ยอันใด ดวงตาสีทองเพ่งมองไปยังเงาป่า วิญญาณจมื่นยังปรากฏอยู่ เขามีสีหน้าหนักใจแต่ชั่วครู่ก็เหมือนจะยิ้มจางๆ


              ‘ ดูแลลูกกูให้ดี ไอ้พรานทมิฬ หากวันใดมึงทำอ๊อดเสียใจให้ต้องหลั่งน้ำตาแค่เพียงหยดเดียว กูยอมเป็นวิญญาณบาป จะตามหลอกหลอนมึงไปตลอด และอย่าลืมล่ะว่าบาปมึงมิได้ลบล้าง พวกกูยังรอแก้แค้น ….แต่วันนี้กูเห็นแก่...อ๊อด...และ...เอาเถอะๆ ‘ ร่างโปรงใสถอนใจอีกครั้งก่อนจะเลือนหายไป เช่นเดียวกับเงามืดอื่นๆก็ด้วย เสียงอื้ออึงที่เคยดังหายไป ทุกอย่างสงบเงียบ มีเพียงเสียงแมลงและเสียงใบไม้ไหวสีกับลมเท่านั้น….


    “ ตัวพี่เย็น….กลับกันเถอะจ้ะ ข้าจะไปต้มสมุนไพรให้ กลัวหวัดจะกินเอา “ เธอบอก มองร่างสูงใหญ่ของชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ถึงตรงนี้แก้มนวลก็แดง เพราะเพิ่งจะมาทันสังเกตว่าเขามิได้นุ่งผ้า


    “ เป็นอะไรไป “


    “ จะตายใยต้องแก้ผ้าแก้ผ่อน เป็นเปรตหรืออย่างไร ไปนุ่งผ้าเลย “ หล่อนว่า หันหน้าหนี บากหัวเราะนิดๆ หล่อนหันหลังให้เตรียมจะขึ้นจากน้ำ พลันอ้อมแขนแข็งแรงหนักแน่นด้วยกล้ามเนื้อก็ตรงเข้ากอด อ๊อดตกใจ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเมียของอีกฝ่าย แต่เธอก็ยังเขินอายทุกครั้งยามได้อิงแอบในอ้อมแขน


    “ พี่บาก? “


    “ พี่ยังอยู่ข้างๆเจ้าได้ใช่ไหม? “ รอยยิ้มปรากกฏขึ้นบนกลีบปากบาง อ๊อดค่อยๆหันมาหาชายหนุ่ม แก้มนวลยังแดงอยู่ มือยกขึ้นจรดเหนือแผ่นอกสมชายชาตรี สัมผัสเสียงหัวใจที่เต้นไหวในนั้น เธอเงยมอง ก่อนจะยืดกายจุมพิตปากมีรอยแผลที่มิเคยรังเกียจเลยสักครั้ง บากจูบตอบ แนวร่างระหงแสนงดงามเข้าแนบชิดกายของตนมามากขึ้น


                        ไร้คำพูดใดๆแม้สักคำ

                        แต่บากก็รับรู้ได้เสมอ


    ร่างสูงค่อยๆตวัดร่างระหงขึ้นมาอุ้มเอาไว้ กระซิบเบาๆข้างหู ก่อนผละออกมามองใบหน้าที่เขินอาย แต่อ๊อดก็ทำได้เพียงยิ้ม และยกมือกอดรอบคอเขา บากไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ แค่เพียงพาร่างนั้นลงนอนกับริมธารน้ำตรงหญ้านุ่มๆ จูบที่หน้าผากนวลเย็นชื้นนิดหน่อย ก่อนไล่มาที่สันจมูก พวงแก้ม และหยุดลงที่ริมฝีปากอีกครั้ง


    “...พี่รักเจ้า “ เสียงทุ้มเอ่ยบอก ร่างบางยิ้มให้อีกครั้ง ชายหนุ่มก้มลงมือประดับเล็บแหลมคมค่อยๆเคลื่อนมาหยุดตรงชายผ้าแถบ ดึงรั้งเพียงน้อยก็เพียงพอจะเรียกสีจากแก้มของอ๊อดให้มากขึ้น ดวงตาสีทองพื้นดำสะท้อนร่างนวลในอ้อมแขน อกอิ่มยั่วเย้า ผิวกายสีน้ำผึ้งสวยสะท้อนแสงจันทร์ บากมองภาพน้ั้นอย่างหลงใหล…


    “ พี่บาก...ทะที่นี่...เลยเหรอ? “


    “ ทำไมล่ะ? พี่ทนรอถึงกลับเรือนไม่ไหวหรอกนะ “ เขาว่า ก้มลงจูบปิดเสียงประท้วงที่จะออกมาจากกลีบปากบางเสีย อ๊อดหลับตาลง ปล่อยให้ชายที่เธอรักทำทุกสิ่งที่เขาอยากจะทำ จดจำเพียงลมหายใจร้อนที่กรุ่นติดผิวกาย สัมผัสของเนื้อที่แนบชิด มือใหญ่สอดรั้งประสานกับมือเล็กๆของอ๊อด ราวกับคำสาบานว่านับแต่นี้จะไม่แยกจากกัน


              “ พี่จ๊ะ… “ ร่างระหงหอบกระซิบ


              “ อีกนิด คนดี “ พรานหนุ่มกระซิบตอบ เคลื่อนกายรุกไล่อีกครั้ง อ๊อดไม่อาจต้านทางแรงปรารถนาของชายตรงหน้าได้เลยสักครั้ง หยาดน้ำใสไหลรินจากหางตา ยามถูกตระกองกอดเอาไว้ ดวงตาสองดวงสบกัน ริมฝีปากเคลื่อนหากันราวมีแรงดึดดูด มือจิกแผ่นหลังสีม่วงมีลายขาวอย่างแสนจะอดกลั้น แม้เธอจะกรีดร้องยามเสร็จสม แต่ก็มิอาจห้ามให้เพลงรักนี่หยุดลง ทั้งคู่ไร้คำใดเอื้อนเอ่ย มีเพียงกายที่สัมผัสกัน


    ให้ร่างกายพูดแทนทุกถ้อยคำที่จะเอ่ย

    บากรับรู้ทุกอย่างจากอ๊อด

    เช่นเดียวกับเธอที่รับรู้ทุกอย่างจากเขา

    ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอันใดอีกแล้ว




    ลมเย็นพัดมาเบาๆตรงชานเรือนที่เพิ่งปลูกใหม่ของอ๊อด กว้างขวางใหญ่โต อ๊อดที่เป็นเจ้าของเรือนยิ้มแย้มอยู่บนนั้น เจ้าหล่อนนั่งพับเพียบ ใบหูมีดอกลั่นทมทัดเอาไว้ มือเรียวลูบเส้นผมสีขาวของสามีที่กำลังนอนหนุนตัก


    “ วันนี้อากาศเย็นดีจังเลยนะจ๊ะ “


    “ อืม… “ บากตอบรับอย่างเกียจคร้านหน่อยๆ เขาเหนื่อยเพราะไม่คุ้นชินกับการปั้นหน้าเข้าหาองค์ไชยราเมศที่มาเยี่ยมเยือนอ๊อดถึงเกาะนกแอ่น นัยว่าเอาของมากำนัลหญิงสาวที่ปลูกเรือนใหม่ ซึ่งไอ้เบี้ยอัฐทั้งหมดที่ปลูกน่ะก็มาจากรางวัลที่ประทานให้อ๊อดมาตลอด มากพอเสียจนแต่ละเดือนแทบไม่ต้องทำมาหากินอะไรแล้ว กระนั้นก็ตามหญิงสาวก็มิเคยหยิบสอยมาใช้ หล่อนชอบหาสมุนไพร ออกเรือหาปลากับเขาไปแลกข้าวของเสียมากกว่า จริงๆบากก็นึกแปลกใจอยู่ ว่าทำไมอ๊อดจึงขอปลูกเรือนใหม่ เอาเสียใหญ่โต


    “ พี่บาก พรุ่งนี้เราเข้าเมืองไหมจ๊ะ ไปนาคาวรรณไหม ฉันอยากได้เครื่องทองเหลืองดีๆ “ ร่างสูงลืมตามองภรรยา


    “ เครื่องทองเหลือง จะเอามาทำอะไรหรือ? “


    “ อยากได้พวกเชิงเทียน กับกระถางธูปจ้ะพี่ จะทำห้องพระ แล้วก็อยากได้โกศมาใส่อัฐิพ่อครู กับพ่อพันธ์ “ เมื่อเอ่ยจบ พรานหนุ่มก็ลุกขึ้นมองมองหน้าของหญิงสาว หล่อนยิ้มให้


    “ อ๊อด… “


    “ จ๊ะ พี่?? “


    “ พี่...พี่ขอโทษนะ กับเรื่องที่… “ นิ้วเรียวมีแหวนทองประดับยกมขึ้นปิดปากของอีกฝ่าย ส่ายหน้าน้อยๆ


    “ ไม่พูดถึงอีกแล้วจ้ะ ต่อแต่นี้ขอให้พี่คิดถึงแต่อนาคตข้างหน้านะจ๊ะ “


    “ ถึงอย่างไรพี่ก็ยังกังวล หาก...พี่กลายเป็นพรานทมิฬอีกล่ะ หากพี่ทำร้ายเจ้าล่ะ? “ เขาถามเสียงสั่นๆ อ๊อดหัวเราะเบาๆ

    “ พี่ไม่มีวันกลับไปเป็นพรานนักล่าอีกแล้วล่ะจ่้ะ พี่จะเป็นอย่างอื่นต่างหาก... “


    “ เจ้าแน่ใจได้อย่างไร อ๊อด “


    “ เพราะพี่กำลังจะเป็นพ่อคนเสียอย่างไร “ สิ้นคำของอ๊อด ดวงตาสีทองพื้นดำก็เหลือกลืมอย่างตกใจ จ้องมองร่างบางที่ยิ้มให้ ดวงตาสีดำรื้อนน้ำน้อยๆ  หล่อนยกมือเขามาจับที่ท้อง


    “ อ๊อด นี่เจ้า? “


    “ น่าจะเดือนกว่าแล้วจ้ะ หมอที่ตามเสด็จองค์ไชยมาตรวจให้น้องแล้ว “


    “ แล้วเจ้าก็เพิ่งมาบอกพี่นี่นะ? องค์ไชยรู้ก่อนพี่ได้อย่างไร!!! “ บากขึ้นเสียงใส่อ๊อด หล่อนตกใจ พลันสายตาของบากก็พบว่าตรงห้องพระที่อยู่ด้านหลังของอ๊อด ร่างโปร่งแสงสองร่างยืนจ้องมาทางเขาเขม็ง


    “ พะ..พี่บาก...ข้า… ขอโทษจ้ะ “ อ๊อดว่า น้ำร่วงเผาะๆ วิญญาณเบื้องหลังเริ่มส่งสัญญาณอาฆาตใส่ พรานทมิฬตกใจ รีบขอโทษขอโพย


    “ อะ อ๊อด พะ พี่ขอโทษนะ พี่ขอโทษที่เสียงดังใส่นะ พะ พี่ขอโทษนะ คนดี “


    “ ข้าไม่แน่ใจ.. แค่ช่วงนี้รู้สึกคลื่นไส้บ่อยครั้ง ระดูก็ไม่มา พอดีองค์ไชยเสด็จมา ขะ ข้าก็เลยทูลขอให้หมอหลวงตรวจให้ พี่อย่าโกรธนะจ๊ะ “ ร่างระหงว่า บากถอนใจ ดูเหมือนจะหึงหน้ามืดไปหน่อย ร่างสูงค่อยๆเอื้อมมือไปกอดอ๊อดเอาไว้


    “ ขอโทษนะอ๊อด พี่บ้าไปเอง “


    “ พะ...พี่...ดีใจไหม? “ อ๊อดถาม เงยหน้ามอง ทมิฬหนุ่มถอนใจนิดๆ มองร่างในอ้อมแขน เข้าใจแล้วว่าทำไมอ๊อดจึงปลูกเรือนใหม่ แล้วทำไมช่วงนี้ถึงได้อ้อนมากกว่าปกติ เขายิ้มจูบหน้าผาก


    “ ยังต้องให้บอกอีกหรืออย่างไร หือ? แม่หญิงอ๊อด “


    “ พี่นี่ล่ะก็… พี่บากจ้ะ…. “


    “ ว่าอย่างไร? “ หล่อนมิได้กล่าวอะไรเช่นเดิม แค่ใช้สายตามอง เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่ไม่ต่างกัน มือผอมเลื่อนจับท้องที่แม้ยังไม่นูนออกมา แต่ในนั้นมีชีวิตน้อยๆอยู่ หากวันนั้นเลือกที่จะตาย คงไม่มีโอกาสได้ยินดีเช่นนี้ และคงเสียดายเหลือเกินแล้ว


                        ดีเหลือเกินที่วันนั้นไม่ตาย

                        ดีเหลือเกินแล้วที่ยังมีชีวิตอยู่

                        ดีเหลือเกินที่ได้รักอ๊อด…


    ลมทะเลพัดมาแผ่วเบา เรือนใหญ่เงียบเชียบ มีเพียงเสียงของเครื่องแขวนที่แกว่งไกวกระทบบานหน้าต่าง ชายหนุ่มหญิงสาวมิเอ่ยคำใด มีเพียงรอยยิ้ม และรสจูบละมุนที่มอบให้ต่อกัน มีเพียงสายตาที่ทดแทนทุกถ้อยคำ



    It's amazing how you can speak right to my heart

    Without saying a word, you can light up the dark

    Try as I may I could never explain

    What I hear when you don't say a thing

    The smile on your face let's me know that you need me

    There's a truth in your eyes saying you'll never leave me

    The touch of your hand says you'll catch me if wherever I fall

    You say it best

    when you say nothing at all

    When You Say Nothing At All - Ronan Keating





    แถมท้าย…


              “ พี่บากจ๊ะ...ลุกเสียก่อนได้ไหม ข้ายังไม่ได้หุงข้าว “ อ๊อดเอ่ยกับสามีที่ยังคงนอนตักซุกท้องเธออยู่ เขาทำหน้ายู่


              “ อีกตั้งนานกว่าจะค่ำ เดี๋ยวค่อยหุงเสียก็ได้นี่ “


              “ ไม่ได้จ้ะ หุงไว้เลย เดี๋ยวเย็นนี้ข้าจะทำอาหารเพื่อไปใส่บาตรเช้าพรุ่งนี้ด้วย นะจ๊ะ ให้ข้าลุกไปทำกับข้าวกับปลาก่อน พี่จะนอนก็นอนพักไป อุตส่าห์เกร็งหน้าคุยกับองค์ไชยราเมศตั้งนาน เมื่อยหน้าไหมเอ่ย? “ หล่อนเย้า ยกมือดึงแก้มชายคนรักเบาๆ


              “ อ๊อด ไม่แซวพี่นะ “


              “ แซวเล่นหน่อยเดียวอย่างอนสิจ๊ะ ดูสิคิ้วขมวดจนจะผูกกันได้แล้ว “ พรานหนุ่มถอนใจ


              “ องค์ไชยนะหรือคุยกับข้า เขาก็คุยแต่กับเรื่องของเจ้า ถามอยู่ได้ ถามอะไรไม่รู้เสียมากมาย “ อ๊อดหัวเราะน้อยๆ


              “ ไม่เอาจ้ะ ไม่พูดอย่างนั้นนะ ข้าจะลงไปหุงข้าว  พี่รอนี่นะ “


              “ ไม่ต้องๆ พี่ทำเอง เจ้าเองก็คงเหนื่อย พักอยู่ข้างบนนี่ล่ะ “


              “ พี่จะทำกับข้าวให้ข้าเหรอ? งั้นข้าขอนกกระทาผัดเผ็ดนะ “ อ๊อดว่ายิ้มๆ อีกฝ่ายกอดอกมอง


              “ อ๊อด…. “


              “ ล้อเล่นจ้ะ พี่ทำอะไรก็แล้วแต่พี่เสียแล้วกัน ข้ากินได้ทั้งนั้นนะ “


              “ อืม อย่าลุกไปทำอะไรล่ะ นอนพักเสีย ถึงตอนเย็นพี่จะมาปลุก “ เขาว่า เตรียมลงจากเรือน ดวงตาสีทองเหลือบมองไปยังห้องพระ ร่างโปร่งใสยังอยู่ บากถอนใจ ยังดีที่มิได้ถูกทำอะไร แม้จะอึดอัดสักหน่อยที่รับรู้ได้ว่ายังมีวิญญาณของทั้งสองพ่อเลี้ยงอ๊อดเฝ้าดู แต่ก็โล่งใจได้อย่างว่าอ๊อดจะมีคน(ผี) ดูแลเพิ่มในตอนทีท้องไส้แบบนี้ ร่างสูงยิ้มให้เมียรักก่อนเดินลงจากเรือนไป….หญิงสาวยังคงยิ้มแป้นให้เช่นเดิมจนเมื่อหล่อนแน่ใจว่าสามีลงเรือนไปแน่ๆแล้วจึงเอ่ยออกมา


              “ ไม่เห็นจะต้องมามาตามดูข้ากันขนาดนี้เลยนะจ๊ะ พ่อพันธ์ พ่อครูด้วย “ อ๊อดบอกยิ้มๆ ก่อนหันไปมองร่างโปร่งแสงตรงห้องพระ


              ‘ พวกข้ามิวางใจผัวเอ็ง เจ้าอ๊อด ’


              “ ก็เลยยุให้พี่บากฆ่าตัวตายหรือจ๊ะ “  ร่างระหงถาม ก่อนจะหันหน้ามา ยิ้มเย็นๆให้


    แม้จะตายกลายเป็นผี แต่ทั้งคู่ก็สะดุ้ง หลายคนอาจไม่นึกรู้ว่า เจ้าอ๊อดน่ะเป็นเด็กหญิงใสซื่อน่ารัก แต่นอกเหนืองานมวยที่สั่งสอนงานบ้านงานเรือนก็ไม่ตกบกพร่อง ทั้งจมื่นพันธ์และพ่อครูใบ้ล้วนเป็นชาย งานเรือนไม่ถนัดเท่าไหร่ อ๊อดจึงเป็นผู้จัดการทุกอย่าง… และนั่นทำให้เวลาอยู่กับผู้อาวสุโสทั้งสอง เจ้าอ๊อดจึงมักจะกลายร่างเป็นแม่หญิงที่จุกจิก ขี้บ่น บ่นทุกเรื่องตั้งแต่ข้าวปลาอาหารยันใยแมงมุง จมื่นถอนใจ ตัวเขาเองเคยเผลอแกะไม้แล้วไม่เก็บเศษไม้ทิ้ง ยังโดนนังหนูอ๊อดบ่นยืดยาวไปจนเช้าอีกวัน


              ‘  อ๊อด พวกข้ามิได้… ‘


    “ พ่อจะบอกว่าพ่อไม่เจตนาหรือจ๊ะ พี่บากเกือบจมน้ำตาย ข้าเกือบเป็นม่าย? “ หล่อนว่า ยังยิ้มอยู่


    ‘  ไม่ลูก...คือพ่อน่ะ เป็นห่วง อยากพิสูจน์เฉยๆ ‘  จมื่นพันธ์แก้ตัว หันไปหาพ่อครูที่เอ่ยช่วยสหาย


    ‘  ใช่อ๊อด พวกเราห่วงเจ้า


    “ ข้าซึ้งใจ แต่ไม่ต้องจ้ะ พ่อครู พ่อพันธ์ด้วย อ๋อ พวกพี่ป้าน้าอาเกาะนกแอ่นด้วยนะ “ อ๊อดยิ้มบอก หันไปมองเงาอื่นๆที่สุ่มดูอยู่ตามเรือนบ้าน


    ‘  อ๊อด ถึงอย่างไรพวกเราก็ล้วนมีความแค้นกับผัวเจ้านะ ‘


    “ ข้าก็รู้จ้ะ แต่หากพี่บากตาย ก็จะเป็นเวรกรรมต่อกันไปอีกไม่รู้กี่ชาติกี่ภพนะจ๊ะพ่อ “


    “ ….อ๊อด เจ้าเห็นผัวเจ้าดีกว่าพ่อแล้วหรือ “


    “ ผัวก็ผัว พ่อก็พ่อ เอามาเปรียบกันมิได้จ้ะ พ่อจ๋า...ข้ารู้บาปที่พี่บากเคยทำมันมากมายยากจะลบ แต่ข้าให้สัตย์สาบาน ต่อพ่อทั้งสอง ต่อวิญญาณทุกคนบนเกาะ ต่อองค์พระในห้องพระนั่น ว่าต่อแต่นี้ทั้งข้าและพี่บากจะสร้างแต่กรรมดี อุทิศส่วนกุศลทั้งหมดให้ทุกคนที่ยังมิได้ไปผุดไปเกิด จะหมั่นทำบุญ ทำจิตใจให้เป็นกุศล มิเบียดเบียนผู้ใด “ อ๊อดว่ายิ้มๆ ยกมือพนมเสมออกก่อนก้มลงกราบ จมื่นถอนใจอีกครั้ง


    ‘  เอ็งว่ามาขนาดนี้ พ่อก็ไม่รู้จะเถียงอย่างไร แต่ก็อยากให้รู้ว่ายังห่วงเอ็งอยู่นะ นังหนู ‘


    “ ไม่ต้องห่วงข้าหรอกจ้ะ ข้ามีสามีที่ดี และกำลังจะมีลูก พ่อจ๋า อย่าจองเวรพี่เขาอีกเลยนะ วันนั้นข้าไม่รู้ว่าทำไมพ่อ พ่อครู กับวิญญาณอื่นจึงยอมรามือ แต่ข้าก็ไม่อยากให้ก่อกรรมต่อกันอีก เด็กในท้อง หลานของพ่อ หากพี่บากเป็นอันใดไป เขาก็คงกำพร้าพ่อ ชิีวิตบริสุทธิ์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบาปกรรมที่เราก่อกันมา ใยจะต้องให้กำพร้าเสียเล่า? “


    ‘  ที่วันนั้นผัวเองรอด ก็เพราะเอ็งหรอกเจ้าอ๊อด กรรมดีของเจ้าลบล้างใจอกุศลของพวกข้า ที่คิดจะให้ไอ้พรานไพรนั่นตาย...แล้วก็เพราะเจ้าตัวเล็กในท้องเจ้าด้วย มายืนอ้อนวอนขอมาเกิดกับพวกข้า หากพ่อมันตาย มันก็มิได้เกิด เอ็งจะให้พวกข้าใจไม้ไส้ระกำทำลงหรือ? ‘


    “ พ่อเป็นคนมีเมตตา ไม่เช่นนั้นพ่อมิช่วยเอาข้ามาจากบ้านฆ้องเหล็กหรอกจ้ะ “ หญิงสาวว่า แย้มยิ้มน่ารักที่ทำให้ทุกคนรอบตัวใจอ่อนได้เสมอให้


    ‘  เออ ก็ใช่น่ะสิ ‘


    “ พ่อจ๋า ข้าขอนะ ตอนนี้พ่อยังมิต้องหายแค้น หายโกรธก็ได้ แต่อย่างน้อย ขอให้ข้าได้อยู่กับคนที่ข้ารัก ให้ข้าขัดเกลาพี่บากไปในทางที่ดี ให้เขาสร้างบุญ สร้างกุศล ได้ไหมจ๊ะพ่อ? “


    ‘  เอ้า แล้วแต่เอ็งเถอะเจ้าอ๊อด ว่าแต่ผัวเอ็งมันไม่รู้เรอะว่าเอ็งเห็นพวกข้า ‘ จมื่นถาม อ๊อดยิ้ม


    “ ไม่รู้จ้ะ ข้าไม่บอกเอง ขืนบอกก็ได้ยิ่งจิตตกกันเข้าไปใหญ่…. “


    “ อ๊อด...เจ้าคุยกับใครน่ะ เรียกพี่หรือเปล่า “ บากตะโกนถามขึ้นมาจากด้านล่าง เพราะได้ยินเสียงแปลกๆ ร่างบางตะโกระตอบกลับไป


    “ มิได้เรียกจ้ะพี่ หูแว่วกระมั้ง  “


    “ อ๋อ แล้วไป “ เขาว่า ง่วนกลับไปซาวข้าวต่อ


    ‘  ดู๊ดู ไม่ทันไหร่ เจ้าก็โกหกผิดศีลแล้ว ‘ วิญญาณผู้เป็นพ่อว่า แต่คนน้อยวัยกว่ากลับทำตาใสใส่


    “ ข้ามิได้บอกว่าว่าข้าคุยกับพ่อนี่จ๊ะ เอาล่ะ ข้าจะลงไปช่วยพี่บากทำกับข้าวเสียดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ไปใส่บาตร รอรับบุญด้วยนะจ๊ะพ่อ “


    ‘  เออ….ขอบใจเอ็ง ‘  จมื่นพันธ์รับคำ อ๊อดยิ้มก่อนจะยกมือไหว้


    “ ขอบคุณพ่อมากนะจ๊ะ ทั้งพ่อ ทั้งพ่อครู และทุกคนในเกาะ “


    ‘  เอ็งไปเถอะ ‘  หล่อนพยักหน้า ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นเดินลงไปจากเรือน สายตาเห็นหลังไหวๆของสามีที่กำลังก้มๆเงยๆ หุงข้าวอยู่


    “ ว่าอย่างไรจ๊ะพี่? ทำได้ไหม ? “


    “ ได้สิ เจ้าไม่ต้องมาช่วยหรอก นั่งไปเถอะ “ เขาว่า หยิบหม้อดินเผามาตั้งบนเตาถ่าน เตรียมจะต้มแกงอะไรสักอย่าง อ๊อดเลิกคิ้วเดินมาดู เห็นผักบุ้งในหม้อ พลันก็เหลือบไปเห็นบางอย่างอยู่ในตุ่มน้ำเล็ก บากเดินผ่านเมียรักล้วงมือไปจับปลาไหลที่ดิ้นรน แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพรานหนุ่ม หญิงสาวรู้แจ้งแล้วว่าเขาจะทำอะไร


    “ พี่จะทำอะไร “ หล่อนแหวขึ้นมาทันที


    “ ...อ๊อด เสียงดังทำไม? เดี๋ยวพี่ก็ทำปลาไหลหลุดมือหรอก “ เขาว่า ขมวดคิ้ว หันไปเตรียมหย่อนปลาไหลลงหม้อน้ำเดือด


    “ หยุด เดี๋ยว นี้ นะ พี่!!! “


    “ อ๊อด… “


    “ บาปกรรมที่สุด มันยังไม่ตาย พี่จะต้มมันทั้งเป็นไม่ได้นะ “ คนฟังถอนใจ


    “ ก็พี่จะทำต้มเปรตปลาไหล… มันก็ต้องทำแบบนี้ พอๆ บาปกรรมอะไรนี่มันของกิน “ หญิงสาวถอนใจ


    “ พี่ ข้าขอนะ ทำอย่างอื่นกินเถอะจ้ะ… “


    “ อ๊อด ปกติเจ้าก็จับปลาไม่ใช่เหรอ? แค่ต้มเปรตนี่พี่ว่า… “ พรานหนุ่มอุบปาก เมื่อเมียรักส่งสายตาให้แทนคำพูด จึงยอมรามือ เอาปลาไหลไปเก็บที่เดิม ก่อนหันมาหาอ๊อด


    “ เอ้า คราวนี้บอกพี่สิ ว่าเราจะทำอะไร ไม่ต้องลงมือทำนะ พี่จะทำให้เอง “


    “ อืม พี่พาข้าไปเกาะทางนู้นเสียแล้วกัน หาเนื้อหมูมาต้มทำแกงป่า พ่อพันธ์ชอบนักแล แล้วก็อืมไก่รวนเค็มก็ดี ...ถ้าไปจะได้หาขนมหวานแห้งๆสักสองสามอย่างใส่บาตรด้วยเลย “ คนฟังถอนใจนิดหน่อย แต่ก็พยักหน้าให้


    “ ได้ๆ ให้พี่ไปเองไหม เจ้าท้องไส้ พี่ไม่อยากไปให้ด้วยเลย “


    “ ข้าไปได้จ้ะพี่... วานพี่ไปหยิบอัฐมาเสียแล้วกันนะ น้องจะรอนี่ “ อ๊อดบอก บากพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเดินตัวปลิวขึ้นเรือนไป แต่ไม่วายบ่นอุบอิบว่าอดกินต้มเปรตปลาไหล หญิงสาวถอนใจ มองปลาไหลในตุ่มน้ำ


    “ รอดไปนะ ขอโทษด้วยนะที่พี่บากจับพวกเจ้ามา แล้วข้าจะพาไปปล่อย อโหสิให้ด้วยล่ะ “ หล่อนว่า พอดีกับที่สามีเดินลงจากเรือนมา หน้าตาไม่สบอารมณ์


    “ พี่บาก? เป็นอะไร ทำไมหน้ามุ่ย “


    “ องค์ไชย์ทำไมต้องให้เงินทองเจ้าเยอะแยะ นึกว่าข้าหาเลี้ยงเจ้าไม่ได้หรืออย่างไร “ เขาบ่นกระปอดกระแปด อ๊อดหัวเราะน้อยๆ ดึงมือของชายหนุ่มมาจับ


    “ ไม่เอาน่าพี่ ท่านประทานให้ในฐานะที่เคยกอบกู้รามเทพมาได้ ไม่โกรธสิจ๊ะ “ อดีตพรานยังหน้าหงิกนิดๆ


    “ ไม่ต้องไปใช้ขององค์ไชยเลยนะ เอาไปทำอะไรก็ไปทำ ทรัพย์สินของพี่ตอนเป็นพรานทมิฬก็ยังมี “ อ๊อดเลิกคิ้ว


    “ มีได้อย่างไร พี่ชาดริบเข้าคลังหลวงไปแล้วนี่ “ ทมิฬหนุ่มชะงัก เมื่อนึกได้ว่าพลาดท่าพูดอะไรไป อุตส่าห์ปิดเมียมานานว่าแอบยักยอกทรัพย์ส่วนตัวออกมาส่วนนึงก่อนจะถูกริบ…


    “ พี่บาก… “


    “ ก็พี่ไม่อยากให้เใครมาว่าว่าพี่เลี้ยงเมียไม่ได้นี่ “ หญิงสาวถอนใจ เอนหัวซบแขนขณะเดินไปที่หาดเพื่อเตรียมออกเรือ


    “ พี่เอาแต่สนคนอื่น เลิกได้แล้วนะ “


    “ รู้แล้วๆ “


    “ พี่บาก… “


    “ ว่าอย่างไร? “ เขาถามขณะค่อยๆอุ้มอ๊อดลงไปนั่ง เจ้าหล่อนแก้มแดงนิดๆ หัวเราะให้พลางหยิบร่มมากางด้วยแดดเริ่มจัดขึ้นมา มองร่างสูงที่โหนตัวเองขึ้นเรือเตรียมจับไม้พายพายออก


    “ พรุ่งนี้ไปใส่บาตรด้วยกันนะ “ ร่างสูงชะงักนิดหน่อย ด้วยไม่ค่อยได้ทำอะไรเป็นพิธีทางศาสนามากนัก เขามองหน้าภรรยา


    “ นะจ๊ะ ไปใส่บาตรกัน ใส่บาตรร่วมขันชาติหน้าจะได้เจอกันอีกนะจ๊ะ “ ร่างสูงหัวเราะ


    “ อยากจะเจอพี่อีกหรือ? “


    “ อยากสิจ๊ะ….ทำบุญกันนะ ใส่บาตรเสร็จก็กรวดน้ำ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่คนที่เรารักที่ล่วงลับไปแล้ว “


    “ ได้...ถ้าพี่ทำ...บุญที่พี่ทำ จะส่งถึงแม่พี่ไหม? “ อ๊อดยิ้ม


    “ ถึงสิจ๊ะพี่ แม่ของพี่จะต้องได้รับบุญแน่ๆ ขอเพียงพี่ตั้งใจ บาปกรรมทุกคนเคยสร้าง แต่เราก็สร้างบุญได้เช่นกัน ค่อยๆทำไป สักวัน….เจ้ากรรมนายเวรที่เขาได้รับบุญของเรา เขาก็จะได้อโหสิให้ “


    “ ...งั้นหรือ? “


    “ จ้ะ “  บากมองหน้าของอ๊อด ดูเหมือนหล่อนคงไม่รู้ว่าวันที่เกือบตายวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาไม่อยากเล่า อ๊อดก็ไม่ถามถึง  เรื่องจึงจบไปไม่มีการกล่าวถึงอีกเลย ทั้งคู่พายเรือไปเรื่อยๆมิได้รีบร้อน คุยกันแต่เรื่องข้าวปลาอาหาร ไล่ไปจนถึงเรื่องลูกที่จะเกิดมา โดยมีสายตาของวิญญาณผู้คนในเกาะนกแอ่นเฝ้ามองอยู่บนเกาะ


              ‘  จมื่นพันธ์? ปล่อยไปแบบนี้จะดีหรือ? ‘ วิญญาณตนนึงถาม


              ‘  ปล่อยไปก่อนเถอะ  ทำอันใดไปก็สร้างเวรต่อกรรมมิจบสิ้น ข้ามิได้บอกให้อโหสิ แต่ข้าให้โอกาสทั้งไอ้พราน และเจ้าอ๊อด  ให้โอกาสเจ้าอ๊อดให้มันพาผัวไปมันสร้างแต่กรรมดี ข้าจะดูสิว่าน้ำหน้าอย่างไอ้พรานทมิฬจะทำได้ไหม? ‘


              ‘  ไม่ใช่ว่าเห็นแก่หลานหรือ พ่อพันธ์ ‘  พ่อครูเอ่ยหลังจากเงียบอยู่นาน


              ‘  ไม่มีทาง! หลานครึ่งทมิฬรึ คงจะน่าเกลียดเหมือนพ่อมัน ข้ารักไม่ลงหรอก ‘  


              ‘ เอ้า พวกข้าจะรอดู…. ‘  ทั้งหมดว่าแทบจะพร้อมกัน ก่อนที่เหล่าวิญญาณบนเกาะจะพากันหายไปอย่างเงียบเชียบ….


    .

    .


    หลังจากนั้นเป็นเวลาเกือบสองปี  อ๊อดและพรานทมิฬผู้เป็นสามีต้องพบกับเรื่องน่าประหลาดใจอย่างนึง คือเจ้าแสงลูกชายคนโต ที่กำลังนอนเล่นบนเบาะตรงชานเรือน ได้คลานต้วมเตี้ยมมาตรงบันไดก่อนจะผลัดกลิ้งลงมา อ๊อดหวีดร้อง พรานหนุ่มมั่นใจว่าด้วยระดับความสูงขนาดนั้น ลูกชายคงจะเจ็บหนักหรือไม่ก็อาจถึงแก่ความตายได้ กระนั้นเจ้าตัวดีกลับหัวเราะร่า ไม่มีแม้แต่แผลข่วน ทั้งๆที่กลิ้งลงมาอย่างแรงและทั้งคู่ก็มั่นใจว่าตาไม่ฝาด เพราะเห็นมีมือสองมือมาช่วยรับเอาไว้ พร้อมเสียงเดินที่เหมือนคนแข้งขาไม่ดีต้องมีไม้พยุง เสึยงนึงแว่วตามลม...


              ‘ ดูหลานข้ากันอย่างไรวะ ไอ้สองคนนี้ ดูสิ...ไอ้หมามันเกือบตก ดีนะ ข้ารับทัน… ‘


    ---- จบ ----

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in