เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกชีวิตวุ่นวายอย่างนี้เป็นต้น
ที่ผ่านมาเรามองมุมอื่นน้อยไปรึเปล่า?
  • สวัสดีปีใหม่ค่ะ

    ช่วงที่ผ่านมาชีวิตเราเข้มข้นมากทีเดียวทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน เมื่อก่อนเราคิดว่าทุกอย่างคือขาวกับดำ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ มีคนเคยเตือนสติเราว่าควรเปลี่ยนมุมมองแล้วปล่อยวาง ซึ่งแน่นอนว่าไม่เคยทำได้เลย แต่ตอนนี้ทุกอย่างกำลังดีขึ้น

    หลายปีมานี้ฐานะทางการเงินที่บ้านค่อนข้างมีปัญหา มีทรัพย์สินส่วนหนึ่งซึ่งเป็นของสะสมของพ่อ (ที่เสียไปแล้ว) ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ แต่ก็ติดที่คนรอบข้างทุกคนค้านไว้ด้วยแนวคิดว่า "ไม่อยากให้ขายสมบัติ" น้องก็คิดไปในทางนี้เหมือนกัน แม่เลยไม่ตัดสินใจ ต้องหาทางอื่นมาแทน จนวันนึงที่ขยับไม่ได้แล้ว แม่จึงตัดสินใจเปลี่ยนทรัพย์สินนี้บางส่วนเป็นเงิน ญาติทางฝ่ายพ่อโกรธจัด เลยด่าประจานกลางโซเชี่ยลในเชิงว่าเอาสมบัติบรรพบุรุษไปขาย ฯลฯ

    เราบอกแม่กับน้องแค่ว่าซักวัน เขาจะนึกเสียใจในสิ่งที่เขาทำลงไปวันนี้

    เราโกรธ แต่ไม่ได้โกรธแค้นจนต้องตัดเป็นตัดตาย แค่คิดว่าเดี๋ยวนี้เรามองมุมอื่นกันน้อยเกินไปมั้ย? 

    แน่นอนว่าเราสามารถแสดงความคิดเห็นได้ โซเชี่ยลทำให้เรามีตัวตน มีปากเสียง รู้สึกว่ามีคนรับฟัง บางครั้งเราได้รับการปลอบประโลม บางครั้งเราได้รับความมั่นใจ แต่ทุกอย่างมันไวจนทำให้เราใส่ใจกันน้อยลงรึเปล่า? ความเห็นอกเห็นใจกันเหือดแห้งไปรึเปล่า?

    ความเคยชินบางอย่างทำให้พฤติกรรมของเราเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว...

    แค่มองมุมอื่น ญาติเราจะเห็นว่าแม่เราได้สู้จนสุดทางแล้ว กำลังก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด เมื่อคนอื่นรวมถึงเขาต่างก็ยื่นมือเข้าช่วยไม่ได้ เขาอาจจะเข้าใจและทำร้ายจิตใจกันน้อยลง

    ส่วนแม่เราที่เก็บทุกคำพูดของเขามาใส่ใจ ถ้าแค่มองมุมของญาติเราว่าสิ่งที่เขาเห็นมันกระทบมาตรฐานบางอย่างของเขา ที่เขาโพสต์ก็เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบของเขา แม่ก็อาจจะเสียเวลาเสียน้ำตาน้อยลง

    นี่ไม่ได้เรียกว่าโลกสวย เราก็ไม่ใช่แม่พระ แต่ชีวิตคนสั้นจะตาย ทำไมต้องเอาเวลาที่ควรจะมีความสุขไปคิดเรื่องที่ทำให้ทุกข์ด้วย หนึ่งนาทีเท่ากัน สุขก็หนึ่งนาที ทุกข์ก็หนึ่งนาที ทำไมไม่เลือกสุข?

    เดี๋ยวนี้เวลาที่มีคนเห็นต่าง สิ่งแรกที่เราจะทำคือ มองในมุมของเขา พยายามทำความเข้าใจ การคิดตอบโต้ทุกวาทะที่เข้ามากระทบจิตใจเราต้องใช้พลังงานมากนะคะ ปีนี้เพราะเราเริ่มเข้าใจ คิดได้ ปล่อยวาง ชีวิตเราเลยเบาขึ้นเยอะ เหมือนพอกระทบ ในหัวแว๊บขึ้นมาเลยว่า "อย่าลืมมองมุมคนอื่นนะแก"

    หลังเหตุการณ์นั้นก็บอกแม่ว่าไม่ต้องไปหาเหตุผลว่าทำไม ไม่ต้องไปวิจัยสิ่งที่เขาโพสต์ทุกตัวอักษร เหตุมันเกิดขึ้นแล้ว และซักวันเขาจะคิดได้ หรือถ้าเขาคิดไม่ได้ก็ช่าง เรามีชีวิตของเรา เราต้องใช้ชีวิตของเราต่อไป Live your life ไม่อยากให้อภัยก็ไม่ให้อภัย แต่อย่าบั่นทอนพลังชีวิตตัวเองด้วยการวนเวียนอยู่กับสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้เลย

    อีกอย่างที่เราเห็นบ่อยๆ ในตอนนี้คือ ผู้ใหญ่หาว่าเด็กเถียง เด็กเดี๋ยวนี้ก้าวร้าว เด็กก็บอกว่าผู้ใหญ่หัวโบราณ ไม่ฟังความคิดเห็น เราว่าเรื่องนี้แก้ไม่ได้ พี่น้องกันพ่อแม่เดียวกันยังคิดไม่เหมือนกันเลย นี่คนต่างรุ่นต่างวัย ไม่ต้องบอกว่าพื้นฐานกับประสบการณ์ในชีวิตไม่เหมือนกัน จะให้คิดเหมือนกัน เป็นไปไม่ได้

    มีคนบอกเราว่าเราไม่มีสิทธิ์และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่นได้ ไม่มีสิทธิ์และไม่สามารถทำให้คนอื่นคิดแบบเดียวกับเราได้ ไม่มีสิทธิ์และไม่สามารถทำให้คนอื่นพูดหรือทำในสิ่งที่เราอยากฟังอยากเห็นได้

    เราเห็นด้วย แต่เราจะแก้ตัวเองยังไง? คำถามนี้เราคิดมาตลอดหลายปี หลังๆ เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองหลังจากมองมุมคนอื่นมากขึ้น

    ลองดูค่ะ เชื่อในพลังแห่งการมองมุมกลับ ลองมองมุมอื่นบ้าง เปิดใจมองในมุมของเขา พยายามทำความเข้าใจเขา เราจะเกรี้ยวกราดรุนแรงกันน้อยลง เข้าอกเข้าใจกันมากขึ้น ค่อยๆ ปลอบประโลมซึ่งกันและกันไป

    ขอให้เป็นอีกปีที่มีแต่สิ่งดีๆ เข้ามานะคะ


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in