เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
千凯 - Fire On Fire婉馨姐姐
千凯 - Fire on Fire




  • Fire On Fire

     



    My mother said I’m too romantic

    She said, “You’re dancing in the movies”



                ตั้งแต่เด็กอี้หยางเชียนซีมักถูกเปรียบเทียบกับพี่ชายของตัวเองอยู่เสมอไม่ว่าเรื่องใด  พ่อของเขามักชื่นชมคนเป็นพี่ให้เขาฟังอยู่เป็นประจำคำชื่นชมที่กัดกินความเป็นตัวตนของเขาจนแทบหมดสิ้นไป  ความสดใสร่าเริงหายไปจากชีวิตเขากลายเป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยพูดกับใคร  ไม่ออกไปไหน


                และไม่มีเพื่อนเหมือนกับคนอื่นๆ


                พ่อกับแม่บอกว่าเขานั้นเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องสู้พี่ชายอย่างหวังจวิ้นข่ายไม่ได้เลยสักนิด  หวังจวิ้นข่ายที่หน้าตาดูดีมาตั้งแต่เกิด  หวังจวิ้นข่ายที่เป็นที่รักของผู้หลักผู้ใหญ่  หวังจวิ้นข่ายที่เรียนเก่งหวังจวิ้นข่ายที่เกิดมาให้ทุกคนบนโลกนี้รัก  แม้ความอิจฉาจะแผ่ซ่านอยู่เต็มหัวใจแต่เขากลับไม่เคยเกลียดคนคนนั้นได้ลงเลย


                บอกแล้วไงว่าหวังจวิ้นข่ายน่ะเกิดมาเพื่อให้ทุกคนรัก

                ต่างจากเขา...ที่เกิดมาให้ทุกคนเกลียด



    I almost started to believe her

    Then I saw you and I knew



                “สอบติดแล้วก็ดีจะได้ย้ายไปอยู่กับพี่เขา”ผู้เป็นแม่บอกเขาในช่วงเวลาของอาหารเย็น


                หวังจวิ้นข่ายย้ายออกไปจากบ้านนี้เป็นเวลาสองปีกว่าแล้ว  ตั้งแต่ตัวเองสอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดังแม้จะไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมบ้าน  แต่เจ้าตัวก็มักจะวิดีโอคอลกลับมาให้พ่อแม่หายคิดถึงเสมอ  คนคนนั้นก็ยังเหมือนเดิมยังคงยิ้มให้เขาก่อนทุกครั้งที่ได้พบหน้ากัน


                “พี่แกก็สอบติดหมอไปแล้วดูแกสิ  ติดอะไรคณะกิ๊กก๊อกมันจะไปทำอะไรได้”ผู้เป็นใหญ่ของบ้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูแคลนที่อี้หยางเชียนซีชินชากับมันไปเสียแล้ว


                พ่อไม่เคยพูดดีๆ กับเขาเลยสักครั้ง  ไม่เคยพูดให้กำลังใจกัน  ไม่เคยบอกคำว่ารัก  ตั้งแต่จำความได้คำพูดที่ได้ยินก็มีแต่คำร้ายกาจพวกนี้  มันทำร้ายจิตใจเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไปแล้ว  แม้ใครอีกคนจะคอยบอกเขาเสมอว่าพ่อก็เป็นแบบนั้น ปากร้ายแต่ใจดี


                ใจดีกับหวังจวิ้นข่ายแค่คนเดียวน่ะสิ


                “ไปอยู่นู่นก็อย่าทำให้พี่แกเดือดร้อนเข้าใจไหม”


                “ครับพ่อ”อี้หยางเชียนซีตอบแค่นั้นก่อนจะลุกจากโต๊ะทานข้าวออกมาทั้งที่เพิ่งตักข้าวเข้าปากไปไม่ถึงสามคำ


                เสียงทะเลาะกันของพ่อกับแม่ดังขึ้นหลังจากเขาปลีกตัวมายังห้องส่วนตัว  พ่อกับแม่ของเขาไม่ลงรอยกันมาหลายปีแล้ว โดยเฉพาะช่วงหลังมานี้ที่พี่ชายคนโตไม่อยู่บ้านเขาต้องทนฟังเสียงของคนทั้งคู่ทะเลาะกันแทบทุกวัน


                กรอบรูปเด็กสองคนที่ยิ้มให้กับกล้องตั้งตระหง่านอยู่บนโต๊ะทำงานในห้องนอน  รอยยิ้มบางปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเจ้าของห้องในที่สุดเขาก็จะได้หนีไปจากที่นี่เสียที  หนีไปจากนรกที่ตัวเองไม่ได้อยากเลือกอยู่เลยแม้แต่น้อย



                อี้หยางเชียนซีจะได้ไปอยู่กับพื้นที่ปลอดภัยเพียงพื้นที่เดียวของชีวิตที่มันไม่ได้เรื่อง  ได้ไปอยู่กับคนที่มอบความอบอุ่นให้หัวใจดวงนี้เสมอมา  อยู่กับคนที่เขารักที่สุดในโลกอันแสนโสมม  อยู่กับหวังจวิ้นข่ายที่เป็นพี่ชายของเขา  พี่ชายที่เขารักมากกว่าสถานะที่พระเจ้ากำหนดมาให้เช่นนี้


                ใช่แล้ว...

                อี้หยางเชียนซีรักพี่ชายตัวเอง




                “ไหนพ่อกับแม่บอกว่าจะถึงเย็นๆ ไงครับ  นี่เพิ่งเที่ยงเองนะ”เสียงทุ้มอันเป็นเอกลักษณ์เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม  มือหนาก็สาละวนกับการจัดเก็บหมอนอิงบริเวณโซฟาให้เรียบร้อย


                ช่วงนี้เขาเอาแต่เรียนและทำกิจกรรมจนแทบไม่มีเวลาพัก  จึงไม่น่าแปลกใจนักหากห้องชุดสุดหรูที่พ่อแม่ซื้อให้นี้จะรกไปบ้างตามประสา


    พ่อกับแม่ของเขาขับรถพาน้องชายที่สอบติดและกำลังจะย้ายเข้ามหาวิทยาลัยที่เดียวกับเขามาส่งด้วยตัวเอง  อดคิดไม่ได้ว่าอย่างน้อยพ่อก็อาจจะพูดดีกับน้องแล้วบ้าง  แต่พอมองใบหน้าอี้หยางเชียนซีตอนนี้ก็พอจะรู้สถานการณ์อยู่บ้างนั่นแหละ


    ยังไม่เลิกดุน้องอีกสินะ


    “เซอร์ไพร์สไงครับลูกชายคิดถึงจังเลย”คนเป็นแม่ส่งยิ้มหวานให้พร้อมกับกอดเขาเสียจนแน่น


    “คิดถึงพ่อกับแม่เหมือนกันครับ  แล้วนี่จะค้างกันหรือเปล่าครับ”


    “ไม่ล่ะ  พ่อมีธุระต่อเดี๋ยวก็ต้องออกไปแล้ว”


    “น่าเสียดายจังครับ  คิดว่าวันนี้จะได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วเชียว”


    “เอาไว้วันหลังนะเจ้าลูกชาย”ผู้เป็นพ่อบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนโดยมีสายตาของลูกคนเล็กมองอยู่ด้วยความอิจฉาเล็กๆ  ในใจ


    รอยยิ้มของพ่อที่อี้หยางเชียนซีคงไม่มีวันได้รับ...


    บุพการีของพวกเราอยู่ไม่นานนักก็พากันกลับไปเนื่องจากธุระที่บอกไว้ก่อนหน้า  ห้องชุดแห่งนี้จึงเหลือเพียงสองพี่น้องที่คนหนึ่งเอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ  กับอีกคนที่เพิ่งคุยโทรศัพท์กับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเสร็จเรียบร้อย ดวงตาคมเหลือบมองไปยังคนเป็นน้องด้วยรอยยิ้ม



    นี่เขาไม่ได้เจอน้องตัวเป็นๆ  นานแค่ไหนกันนะ

    อี้หยางเชียนซีโตขนาดนี้แล้วหรอ



    Maybe it’s ’cause I got a little bit older

    Maybe it’s all that I’ve been through



    “อ่านหนังสืออีกแล้วสอบติดแล้วก็ยังจะอ่านอีกหรอ”หวังจวิ้นข่ายเป็นผู้เริ่มต้นในการเปิดสนทนา



    มันเป็นเช่นนี้มาทุกครั้งเพราะคนเป็นน้องไม่ยอมพูดกับเขาก่อนเลยสักครั้ง  แต่เขาก็พอจะเข้าใจน้องได้อยู่นั่นแหละ  เข้าใจว่าที่น้องต้องมาเป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งมันก็เกิดมาจากเขา  แม้เขาจะไม่ตั้งใจและไม่อยากให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ก็ตาม



    “ไม่ได้เก่งเหมือนพี่นี่”


    “ใครว่า เชียนซีของพี่เก่งจะตายไปไม่งั้นจะสอบเข้าเป่ยต้าได้ยังไงล่ะ จริงไหม”


    “แต่พ่อ...”


    “พี่เคยบอกแล้วไงว่าอย่าไปฟังพ่อมาก  อะไรที่มันทำร้ายเราก็อย่าเก็บมาไว้ในใจจนเราเจ็บปวดเข้าใจไหมครับ”ดวงตาคมคู่นั้นฉายแววตาแห่งความใจดีจนหัวใจดวงน้อยสั่นไหว


    หวังจวิ้นข่ายก็ยังคงเป็นหวังจวิ้นข่าย  เป็นพี่ชายใจดีที่ทำให้โลกอันแสนมืดมนของเขาสว่างวาบขึ้นมาเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ  เป็นแหล่งน้ำกลางทะเลทรายแห้งแล้งที่เขาอยากพักพิงอยู่เคียงข้างตลอดไป  แต่มันคงเป็นความคิดที่ผิดบาปร้ายแรงเหลือเกินในเมื่อเราทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน  อีกทั้งยังเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่แบบนี้


    “ปะเลิกอ่านหนังสือแล้วออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า  พี่ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยเนี่ย”คนข้างกายว่าพร้อมกับท่าลูบท้องประกอบ  เรียกรอยยิ้มจากคนยิ้มยากออกมาได้โดยง่าย


    “อือ..”


    พวกเราเลือกทานอาหารในร้านเล็กๆ  ที่อยู่ไม่ห่างจากคอนโดส่วนตัวนัก  หลายคนที่เดินผ่านไปมาต่างหันมองคนข้างกายของอี้หยางเชียนซีด้วยความสนใจ  บ้างก็หยิบมือถือขึ้นมาแอบถ่ายรูปกันบ้าง  ทว่าคนเป็นพี่กลับไม่ได้มีท่าทีอะไรเลยแม้แต่น้อย  ตรงกันข้ามกลับชวนเขาคุยอย่างออกรสอีกต่างหาก


    “พี่...”


    “ว่าไง อิ่มแล้วหรอ”


    “อือ”อี้หยางเชียนซีตอบเพียงแค่นั้น  แต่มีหรือที่พี่ชายคนเก่งจะไม่รู้ว่าน้องมีเรื่องอะไรกวนใจอยู่


    “อึดอัดหรอ”


    “...เปล่า”คนเป็นน้องโกหกคำโตออกมาเพื่อไม่ให้อีกคนรู้สึกไม่สบายใจ


    “งั้นเราสั่งกลับไปกินที่ห้องดีไหม  เชียนกินไปได้นิดเดียวเอง  เดี๋ยวปวดท้องนะ”


    “ม...”


    ยังไม่ทันที่จะได้ปฏิเสธอะไรไปอีกคนก็จัดการให้เขาเสร็จสรรพ  คำพูดและน้ำเสียงอ่อนโยนนั่นมันทำให้เขามีความสุขเหลือเกิน  แม้อีกใจจะรู้ดีว่าหวังจวิ้นข่ายก็ทำดีกับทุกคนนั่นแหละ  กับอีแค่เขาที่เป็นน้องชายเรื่องแค่นี้มันไม่ได้พิเศษอะไรมากไปกว่านั้นหรอก


    อี้หยางเชียนซีเริ่มเกลียดพระเจ้าอีกแล้ว


    เกลียดที่ทำให้เขาเกิดมาอยู่กับโลกสีหม่นแบบนี้  เกลียดที่พระองค์ไม่ให้เขาหัวดีอย่างคนเป็นพี่  เกลียดที่พระองค์ไม่สามารถทำให้พ่อรัก  เขาได้เกลียดความโหดร้ายของพระองค์ที่ทำให้เขาต้องมารักคนที่ไม่ควรรัก


    เกลียด... ที่พระองค์สร้างให้หวังจวิ้นข่ายเป็นพี่ชายของเขา



     

    ไม่ต่างจากที่คิดนัก  หลังจากมหาวิทยาลัยเปิดเทอมอี้หยางเชียนซีก็ได้รู้ว่าความจริงที่ว่า  พี่ชายของเขาเป็นคนดังในหมู่นักศึกษาที่นี่แค่ไหน  หวังจวิ้นข่ายเป็นทั้งนักศึกษาแพทย์ผลการเรียนดี  เป็นทั้งฑูตกิจกรรมประจำมหาวิทยาลัย  อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในหนุ่มป็อบที่ถูกโหวตในวันวาเลนไทน์สองปีซ้อน


    มันช่างแตกต่างกับเขาลิบลับ

    ต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างที่พ่อบอกเอาไว้


    ไม่มีใครรู้ว่าเราสองคนเป็นพี่น้องกัน  พวกเราไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักนิด  ไม่เหมือนแม้กระทั่งนามสกุล  เขาใช้นามสกุลของแม่มาแต่กำเนิดผิดกับพี่ชายที่ใช้นามสกุลพ่อ  อี้หยางเชียนซีเคยถามเหตุผลนี้กับแม่ในตอนเด็กแต่แม่ก็ตอบกลับมาเพียงว่า


    เพราะพ่อเขาไม่รักแกไง


    ตอนนั้นเขาร้องไห้จนเสียงดังลั่นบ้านเมื่อได้ยินแม่พูดแบบนั้น  ร้องไห้จนไม่มีใครปลอบได้ยกเว้นคนเป็นพี่ที่เข้ามากอดเขาเอาไว้  พี่ชายที่อายุมากกว่ากันเพียงสามปีเท่านั้น  และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหวังจวิ้นข่ายก็กลายมาเป็นแสงสว่างที่สุดในโลกของเขา


    อี้หยางเชียนซีมารู้ในตอนหลังว่าที่พ่อไม่ให้เขาใช้นามสกุลของตัวเองเป็นเพราะคิดว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ  พ่อคิดเสมอมาว่าแม่มีชู้  แต่แม่ก็ยืนยันกับเขาตลอดว่าเขานั้นเป็นลูกของผู้ชายคนนั้นจริงๆ  ผู้ชายที่ไม่เคยมอบความรักให้กับเขาเลยสักครั้ง


    “วันนี้เลิกเร็วหรอเชียนกลับไวเชียว”


    “อือ..”


    หวังจวิ้นข่ายมักจะมีคำทักทายเขาเสมอมา  อีกคนชอบถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเขาทุกวันแม้เราจะอาศัยอยู่ในห้องเดียวกัน  


    ร่างสูงกว่าแต่งตัวออกมาจากห้องเต็มยศจนเขาอดแปลกใจไม่ได้  ปกติแล้วหากไม่มีเรียนหรือกิจกรรมอะไรพิเศษพี่ชายของเขาก็อยู่ติดห้องไม่ต่างกันนัก  พอเขาถามว่าเจ้าตัวไม่ไปเที่ยวหรืออย่างไร  ก็ได้คำตอบกลับมาว่า...


    กลัวเชียนเหงาพี่เลยอยู่เป็นเพื่อนไง


    เพราะเป็นแบบนั้นแหละ  เขาถึงไม่เคยคิดจะเลิกหรือตัดขาดความรู้สึกพิเศษนั่นกับอีกคนเลย  แม้จะรู้ว่ามันผิดบาปแค่ไหนก็ตาม


    อี้หยางเชียนซียอมเป็นคนบาปเพียงแค่ได้รักหวังจวิ้นข่าย...


    “พี่...จะไปไหน”คนถูกถามเลิกคิ้วนิดหน่อยด้วยความแปลกใจที่คนเป็นน้องเริ่มต้นประโยคก่อน  แต่แล้วก็ยิ้มออกมาและตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มเช่นเคย


    “วันนี้มีเลี้ยงส่งพี่คณะกรรมการดาว-เดือนปีพี่น่ะ  อาจจะกลับดึกหน่อยเชียนนอนได้เลยไม่ต้องรอพี่นะ”อี้หยางเชียนซีขมวดคิ้วใช้ความคิดกับตัวเองนิดหน่อย  ก่อนจะพยักหน้าและทำทีเหมือนว่าหันไปสนใจหนังสือในมือต่อ


    แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็แอบมองจนกระทั่งแผ่นหลังของอีกคนหายไปพร้อมกับประตูห้องบานใหญ่ที่ปิดลงนั่นแหละ  เสียงถอนหายใจดังขึ้นมาในห้องที่เงียบเหงาแห่งนี้  แม้อีกคนจะบอกแบบนั้นแต่ก็อดไม่เป็นห่วงไม่ได้


    จนแล้วจนรอดอี้หยางเชียนซีก็อยู่รอคนเป็นพี่  จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่เสียงคีย์การ์ดปลดล็อกจึงดังขึ้นดึงสติที่กำลังใกล้จะหมดลงให้กลับขึ้นมาอีกครั้ง  ประตูบานใหญ่ถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับพี่ชายของเขาในสภาพไม่สู้ดีนักกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งไปทั่วจนไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าตัวดื่มมาหนักแค่ไหน


    ร่างโปร่งพาตัวเองเข้าไปประคองคนเมาที่สติไม่เต็มร้อยเข้าไปส่งในห้องนอนด้วยความทุลักทุเล  เขาปล่อยร่างหนักๆ  ของอีกคนลงบนเตียงกว่าของเจ้าตัว  มือเรียวจัดท่าทางให้อีกคนนอนสบายยิ่งขึ้นก่อนที่จะชะงักไปเพราะร่องรอยบางอย่างที่ปรากฎบนปกเสื้อ


    รอยลิปสติก...


    ราวกับมีดอันแหลมคมกดลงในหัวใจดวงน้อย  เขารู้ว่าอีกคนเป็นที่ต้องการของใครหลายคนมากแค่ไหน  แต่พอมาเห็นหลักฐานที่ยืนยันคาตาแบบนี้หัวใจไม่รักดีมันกลับไม่ยอมเข้มแข็งอย่างที่คิด  เขาไม่อยากให้หวังจวิ้นข่ายเป็นของใคร


    ไม่อยากเลย...



    I’d like to think it’s how you lean on my shoulder

    And how I see myself with you



    อี้หยางเชียนซีนั่งลงบนเตียงกว้างด้วยความสับสนในหัวใจ ใบหน้าหล่อเหลาของพี่ชายปรากฎชัดในสายตาของเขา ใบหน้าของคนที่เขารักรักจนหมดทั้งหัวใจ...


    ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างสั่งการให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในหัวอันตธานหายไปจนหมด  ใบหน้าเนียนเคลื่อนเข้าหาใบหน้าของคนไม่ได้สติอย่างเชื่องช้า  กลีบปากสวยประกบลงบนริมฝีปากของคนที่ขึ้นชื่อว่าพี่ชายด้วยสัมผัสอันแผ่วเบาราวกับเกรงกลัวว่าคนฝันหวานจะตื่นขึ้นมา


    เขาไม่อยากให้หวังจวิ้นข่ายตื่นมารับรู้  เขาไม่อยากให้พี่เกลียดเขา  เกลียดน้องชายที่ไม่รักดีคนนี้ แต่ราวกับว่าสวรรค์ไม่เคยเข้าข้างกัน  ดวงตาคมลืมตาขึ้นเมื่อเขาผละสัมผัสออกมาเพียงครู่


    “...พี่”คนร้ายขโมยริมฝีปากเอ่ยออกมาด้วยความตกใจ


    หวังจวิ้นข่ายกำลังมองมายังเขามองมาด้วยสายตาที่เขาอ่านมันไม่ออกและไม่เคยได้รับมันจากอีกคนเลยสักครั้ง  หัวใจดวงน้อยกำลังสั่นไหวด้วยความกลัว  เขากลัวเหลือเกินว่าอีกคนจะโกรธและเกลียดกับสิ่งที่เขาทำลงไปเพราะความไม่ยับยั้งชั่งใจของตัวเอง


    “ทำไมถึงทำแบบนี้”คนตรงหน้าไม่ได้มีท่าทีรังเกียจเขาอย่างที่คิด  แต่คำถามที่ด้วยเสียงเรียบๆ  จากอีกคนต่างหากที่ทำให้เขาอึดอัด


    “เชียน... เชียนขอโทษ”


    “พี่ไม่ได้ให้เชียนขอโทษพี่  พี่แค่ถามว่าเชียนทำแบบนี้ทำไม  เชียน... คิดกับพี่มากกว่าที่เป็นอยู่หรอ”


    คนถูกถามชาดิกไปทั้งร่างกับคำถามของคนตรงหน้า  คำถามที่จี้ตรงจุดความรู้สึกทั้งหมดของเขาที่มีต่อเจ้าตัว  หัวทุยผงกขึ้นลงช้าๆ  โดยที่เจ้าตัวไม่คิดเงยหน้ามาสบตากับพี่ชายแท้ๆ  ของตัวเอง  น้ำสีใสไหลออกจากดวงตาด้วยความรู้สึกหลากหลาย


    เขากลัว  กลัวว่าหวังจวิ้นข่ายจะเกลียดเขา...

    เขากังวลกังวลว่าทุกอย่างระหว่างเรามันจะเปลี่ยนไป


    อี้หยางเชียนซีไม่อยากให้แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตต้องมอดดับลงไปเพราะการกระทำที่ไม่ยั่งคิดของตัวเอง


    “เงยหน้ามาคุยกันดีๆ ได้ไหม... ได้ไหมครับ”ราวกับคำสั่งทั้งที่สิ่งที่อีกคนทำคือการเอ่ยขอร้อง


    ดวงตาคู่สวยหลุบขึ้นมองใบหน้าของอีกคนด้วยความกลัว  ทว่าคนตรงหน้ากลับยังคงส่งยิ้มกว้างให้เขาดังเช่ยเคย  รอยยิ้มที่แสนสว่างไสว


    มือหนาเชยคางของเขาขึ้นเบาๆ  ก่อนเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้กัน ริมฝีปากของอีกคนประกบเข้ากับกลีบปากของเขาช้าๆ  ละเลียดตักตวงความหอมหวานของรสจูบ  อี้หยางเชียนซีเบิกตากว้างด้วยความตกใจทว่าสัมผัสอ่อนโยนที่ได้รับกลับทำให้เขาโอนอ่อนไปได้โดยง่าย  สัมผัสที่มาจากคนที่เขารัก


    เนิ่นนานกับรอยจูบที่อีกคนได้ฝากมันเอาไว้  หวังจวิ้นข่ายผละริมฝีปากออกมาก่อนจะส่งรอยยิ้มให้เขาดังเคย  ร่างสูงกว่าเอ่ยคำที่ทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  เต้นราวกับมันกลับมามีชีวิตเพราะความสุขอีกครั้งหลังจากอยู่กับความมืดหม่นที่แสนเศร้าราวกับความตายมาแสนนาน



    I don’t say a word

    But still, you take my breath and steal thethings I know

    There you go, saving me from out of the cold



    “พี่ดีใจนะที่เชียนรักพี่”


    รอยจูบของคนตรงหน้าถูกมอบให้กับเขาอีกครั้ง  คนตรงหน้าประทับรืมฝีปากลงมาย้ำๆ  ราวกับจะบอกให้เขารู้ว่า  ความรู้สึกในหัวใจที่มอบให้อีกคนไม่ได้มีเพียงแค่เขาเองที่รู้สึกไปคนเดียว



    Fire on fire would normally kill us

    But this much desire, together, we’re winners



    ค่ำคืนแห่งความสุขผ่านไปอย่างเชื่องช้า  เราทั้งสองคนรับรู้และถ่ายทอดความรู้สึกมากมายในหัวใจให้แก่กันและกันไม่หยุดหย่อน  อุณหภูมิในห้องสูงขึ้นทุกครั้งที่ร่างกายของเราสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน  ความเร่าร้อนที่เปรียบดังเปลวไฟที่กำลังแผดเผาให้จมดิ่งลงไปในขุมนรกที่ลึกที่สุด


    ขุมนรกแห่งความเชื่อที่ถูกกำหนดโดยใครสักคนที่เราไม่รู้จัก  ขุมนรกที่เราไม่เคยเห็นมันด้วยซ้ำ  ขุมนรกที่ใครสักคนบนโลกใบนี้กำหนดขึ้นมาโดยบอกว่าสิ่งที่ทำอยู่มันช่างเป็นบาปที่หนักหนา  บาปที่แม้แต่พระเจ้าก็ไม่สามารถอภัยให้ได้




    They say that we’re out of control and some say we’re sinners

    But don’t let them ruin our beautiful rhythms



    แม้เข้าข้างกันเพียงครั้งพระผู้เป็นเจ้าที่ว่าก็ไม่เคยมอบให้  นับอะไรกับการให้อภัยที่ใครต่อใครบอก  เช่นนั้นแล้วหากเขาจะกลายเป็นคนบาปเพื่อความสุขของตัวเองสักครั้งมันก็คงไม่ได้ผิดอะไรมากไปกว่านี้อีก  ความสุขที่เกิดจากคนคนเดียวที่เป็นดั่งเข็มทิศและแสงสว่างหนึ่งเดียวที่คอยนำทาง...



    ‘Cause when you unfold me and tell me you loveme

    And look in my eye

     


    แต่เช่นเดียวกันมีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่าความสุขมักอยู่กับเราได้ไม่นาน...



    หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นนี่ก็ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วที่สถานะของพวกเราก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง  แม้จะไม่ได้ป่าวประกาศให้ใครรู้แต่ทุกวันที่มีกัน  แค่มีอี้หยางเชียนซีและหวังจวิ้นข่าย  แค่นั้นพวกเราก็มีความสุขมากพอแล้ว


    “สอบเสร็จแล้วปิดเทอมนี้เราไปเที่ยวไหนกันดี”


    “แล้วแต่พี่เลย”


    “ไม่เอาสิพี่อยากตามใจเรานะ”ร่างสูงกว่าบอกด้วยรอยยิ้ม


    “งั้น... พวกเราไปญี่ปุ่นกันไหม”


    “เอาสิครับ”


    หวังจวิ้นข่ายบอกแค่นั้นก่อนจะหอมแก้มนิ่มของคนรักไปฟอดใหญ่  คนข้างกายเขาเริ่มยิ้มขึ้นมาได้มากแล้วหลังจากที่พวกเราเริ่มความสัมพันธ์ที่สังคมไม่ยอมรับ  แต่เรื่องนั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรเมื่อเทียบกับรอยยิ้มและความสุขของคนรักที่กลายเป็นเรื่องดีไม่น้อยสำหรับเจ้าตัวและเขาเอง


    อี้หยางเชียนซีไม่เคยเรื่องมากและตามใจเขาตลอดมา  เหมือนกับตอนก่อนพวกเราคบกัน  แต่เพราะแบบนั้นเขาจึงอยากหาเรื่องตามใจเจ้าตัวบ้าง


    จูบหวานของพวกเราเริ่มต้นอีกครั้งเหมือนกับในทุกๆ  วัน  ไม่ต้องแสดงความรักให้ใครเห็น  เพียงแค่กลับมาที่ห้องแห่งนี้พวกเราก็จะได้อยู่ในโลกที่มีกันและกัน  โลกแห่งความสุขที่เป็นของพวกเรา...


    ปึก!!!


    เสียงของกระทบพื้นที่บริเวณประตูห้องแยกตัวพวกเขาออกจากกันด้วยความตกใจ  ภาพตรงหน้าปรากฎร่างของคนที่ไม่อยากพบที่สุดในเวลาแบบนี้  พ่อและแม่แท้ๆ  ของพวกเรายืนนิ่งมองมายังพวกเราด้วยแววตาตื่นตกใจ


    ผู้เป็นพ่อแสดงออกมาทางสีหน้าว่าโกรธมากแค่ไหน  เจ้าตัวเดินดุ่มเข้ามาหวังทำร้ายอี้หยางเชียนซีอย่างเคยโดยมีเขาเอาตัวเองไปบังคนเป็นน้องเอาไว้เสียก่อน


    เพี๊ยะ!!!


    แรงตบรุนแรงนั่นทำให้เขาได้รับรู้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ในปาก  ผู้เป็นพ่อจ้องมองมายังเขาด้วยความตกใจที่พลั้งมือทำร้ายลูกรักของตนเองเข้า  ก่อนที่ดวงตาละม้ายคล้ายกันนั่นจะฉายแววโกรธจัดขึ้นมาอีกครั้ง


    ถ้อยคำร้ายกาจถูกปล่อยออกมาเพื่อด่าว่าคนด้านหลังของหวังจวิ้นข่ายที่เวลานี้กำลังปล่อยให้หยาดน้ำตาจากดวงตาคู่สวยไหลลงมาไม่หยุดหย่อน  มือเรียวจับแขนของเขาไว้แน่นด้วยความกลัว  การปะทะอารมณ์รุนแรงขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเมื่อผู้เป็นแม่เข้ามาปกป้องน้องชายคนเล็กของครอบครัว


    “เห็นไหมว่าไอ้ลูกขี้ครอกของคุณมันเลวขนาดไหน  มันชิบหายคนเดียวไม่พอยังมาดึงให้ลูกผมต้องตกต่ำไปกับมันแบบนี้ด้วย  มันทำให้ครอบครัวเราพังไปหมดแล้ว คุณเห็นไหม!!!


    “จะให้ฉันบอกกี่ครั้งว่าอี้หยางเชียนซีก็เป็นลูกคุณเหมือนกัน  แล้วคนที่ทำให้ครอบครัวเราเป็นแบบนี้ก็ไม่ใช่ลูก  นั่นมันเพราะคุณต่างหาก  คุณเอาแต่รักเสี่ยวข่ายจนไม่สนใจเลยว่าลูกจะรู้สึกยังไง”


    “แล้วมันมีสิทธิ์อะไรมาทำให้ลูกผมต้องกลายเป็นพวกคนบาปน่าขยะแขยงแบบมันกัน!!


    “น่าขยะแขยง  พวกน่าขยะแขยงงั้นหรอ  ความคิดคุณนั่นแหละที่มันน่าขยะแขยง  ก่อนจะด่าจะว่าอะไรลูกคุณได้ถามลูกสักคำหรือยังถามลูกสักคำไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น  และถึงต่อให้ลูกจะเป็นแบบนั้นจริงแล้วมันจะทำไมกับแค่คนสองคนรักกันคุณจะอะไรนักหนา”


    “หยุดพูด!!  หยุดก่อนที่ผมจะหมดความอดทนนะ  พาลูกขยะของคุณไปจากชีวิตของครอบครัวผมเดี๋ยวนี้  ก่อนที่ผมจะฆ่ามันไปพร้อมกับทะเบียนหย่าที่คุณอยากได้มันนักหนานั่นไง"


    คำพูดของคนเป็นพ่อเรียกความตกใจจากเด็กทั้งสองคนได้ไม่น้อย  เขาไม่รู้เลยว่าคนทั้งคู่ในเวลานี้ได้จบชีวิตคู่ลงเรียบร้อยแล้ว  แม้กระทั่งอี้หยางเชียนซีเองที่รับรู้ความไม่ลงรอยของพ่อและแม่  แต่เขาก็ไม่เคยคิดไม่เคยคิดเลยสักครั้งว่ามันจะเดินทางมาถึงจุดนี้


    “ได้  ฉันไม่อยู่แน่และฉันก็จะไม่ยอมให้คุณมาทำอะไรเชียนซีเหมือนกัน  ไปเชียนซี  ไปกับแม่!!!


    โดยไม่ทันตั้งตัว  ร่างของอี้หยางเชียนซีถูกดึงไปยืนข้างตัวของหญิงสาววัยกลางคน  เธอสั่งให้เขาไปเก็บข้าวของและเสื้อผ้า  ท่ามกลางเสียงห้ามของพี่ชายคนโตของบ้านที่มีสถานะเป็นคนรักกับผู้เป็นพ่อที่กำลังเอ่ยวาจาร้ายกาจสาปแช่งเขาพร้อมกับกักตัวคนรักของเขาเอาไว้


    “ไปสิเชียนซี”


    “ไม่นะ  อย่าทิ้งพี่ไปนะเชียนซีได้โปรดล่ะ  อย่าทิ้งพี่ไปนะ...”หวังจวิ้นข่ายกำลังเอ่ยขอร้องเขาทั้งน้ำตาแม้จะโดนผู้เป็นพ่อล็อกตัวไว้ก็ตาม


    “ถ้าแกไม่ยอมไปก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่กันอย่างสงบสุขเลย”คำพูดเด็ดขาดของชายวัยกลางคนที่แสนใจร้ายคนนั้นทำให้คนอายุน้อยตัดสินใจรุดเข้าไปเก็บข้าวของภายในห้องของตนเอง


    เขารู้  เขารู้ว่าพ่อสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิดนัก  และหนทางเดียวที่จะทำให้คนที่เขารักเดือดร้อนน้อยที่สุดนั่นคือเดินจากไปจากชีวิตที่สวยงามของหวังจวิ้นข่ายซะ  หนทางเดียวที่อี้หยางเชียนซีจะทำให้แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของชีวิตได้


    หวังจวิ้นข่ายถูกผู้เป็นพ่อจับขังไว้ในห้องนอนอีกห้อง  มีเสียงทะเลาะกันดังออกมาเป็นระยะจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้  แต่แม่ก็คอยปลอบใจเขาตลอดว่าคนเป็นพี่จะไม่เป็นอะไรคนคนนั้นไม่มีทางทำร้ายร่างกายลูกชายสุดที่รักได้ลงคอหรอก


    ใช้เวลาไม่นานนักข้าวของในห้องที่เป็นของเขาก็ถูกจัดเก็บจนเรียบร้อยโดยมีผู้เป็นแม่ช่วยถือออกมาด้วย  แม้จะอยากเห็นหน้าคนรักมากแค่ไหน  แต่มันคงไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้วในเมื่อเขากำลังจะเดินทางไปยังอีกซีกโลกในระยะเวลาอันใกล้นี้ตามคำบอกของแม่


    และแน่นอนว่าผู้เป็นพ่อคงไม่ปล่อยให้คนคนนั้นมาเจอเขาในช่วงเวลาแบบนี้เป็นแน่  แม้จะเป็นเวลาอีกเกือบสองอาทิตย์  แต่หนทางที่เราจะได้พบกันมันช่างยากลำบากเหลือเกินจนเขาต้องเลือกที่จะทำใจและบอกลาอีกคนผ่านประตูห้องนอนบานใหญ่ทั้งน้ำตา


    ลาก่อนครับพี่...

     



                ระยะเวลาไม่ใช่สิ่งที่ลบเลือนความทรงจำของเรา

                ตัวเราเองต่างหากที่เป็นผู้เลือก




    ดวงตาคู่สวยจดจ้องไปยังกรอบรูปบานใหญ่ติดผนังที่คงถูกนำมาติดไว้โดยเจ้าของห้องกว้าง  หลังจากเหตุการณ์นั้น  นี่ก็เกือบห้าปีแล้วที่อี้หยางเชียนซีไม่ได้พบกับคนในรูปอีกเลย  หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำเมื่อสบไปยังดวงตาคมในรูปที่จ้องมองมา  ดวงตาคู่นั้นจะยังเหมือนเดิมใช่ไหม


    คนคนนั้น...

    ยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิมใช่หรือเปล่า


    หลังจากพ่อเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจเมื่อปีที่แล้วผู้เป็นแม่ก็บอกกับเขาว่าเขาสามารถกลับมาที่นี่ได้  เธอไม่ได้เห็นด้วยกับความรักของเขามากมายอะไรนัก  ในเมื่อตลอดเวลาที่เราย้ายจากที่แห่งนี้ไปเธอก็เลือกที่จะมีความสุขกับใครคนใหม่ที่เข้ากันได้ดี


    แต่คงเป็นเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  แม่คงจะเห็นว่าเขาไม่สามารถลบใครอีกคนออกจากหัวใจได้เลยก็เป็นได้  คงเห็นว่าเขาเอาแต่ปิดกั้นตัวเองอยู่กับความทรงจำเดิมๆ  ในเวลาเดิมๆ  จนน่าสมเพช  แต่ถึงอย่างนั้นอี้หยางเชียนซีก็ปล่อยเวลาให้ผ่านมาเป็นปีกว่าจะตัดสินใจได้


    ตัดสินใจกลับมาตามหาแสงสว่างของเขาอีกครั้ง...


    เหตุผลอาจเป็นเพราะความกลัวที่เอาแต่ก่อกวนในใจของเขาไม่หยุดหย่อน  เขากลัว  กลัวว่าหากกลับมาแล้วทุกอย่างจะไม่เป็นเหมือนเดิม  อี้หยางเชียนซีไม่อาจรู้ได้เลยว่าใครคนนั้นยังคงรู้สึกเหมือนเขาหรือไม่เขาไม่อาจรู้ได้เลย


    จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อนที่เขาตัดสินใจติดต่ออีกคนและเดินทางกลับมา

    กลับมาตามหาหัวใจของตัวเองอีกครั้ง


    มาแล้วหรอ  เข้ามาสิ”ประตูห้องนอนถูกเปิดโดยเจ้าของห้อง  คนตรงหน้านี้ต่างไปจากเดิมเล็กน้อย  เขามีส่วนสูงที่เพิ่มขึ้น  แถมใบหน้าคมก็เห็นเค้าโครงชัดเจนขึ้นจากเดิมมากตามอายุที่มากขึ้น


    หวังจวิ้นข่ายดูดีขึ้นมากจริงๆ


    “พี่...”


    เพียงแค่คำเดียวที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกไป  ประโยคที่คิดไว้ในหัวของอี้หยางเชียนซีอันตธานหายไปหมดเมื่อได้สบตากับคนตรงหน้าอย่างจริงจัง  คนตรงหน้าที่ไม่ใช่เพียงรูปภาพอีกต่อไป


    ความรู้สึกในใจเอ่อล้นขึ้นมาจนจุก  เพราะความรักที่มันแตกหักของพ่อแม่ทำลายความสัมพันธ์ของพวกเราจนหมดสิ้น  ความคิดว่าหากอยู่ไกลกันพวกเราจะลืมกันได้นั้นใช้ไม่ได้ผลเลยสักนิด  ในเมื่อเขาไม่เคยลืมคนตรงหน้าได้แม้แต่วินาทีเดียว ไม่เคยคิดที่จะลืม...


    “รู้ไหม... พี่คิดถึงเชียนแทบบ้า”


    ร่างสูงกว่าเดินเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ  โดยที่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ  ออกมานอกจากความเรียบเฉย  นิ้วเรียวยาวถูกใช้เชยปลายคางมนขึ้นมาให้ดวงตาของเราได้สบกัน  ริมฝีปากหนาเคลื่อนตัวลงมาทาบทับกับกลีบปากของเขาอย่างเชื่องช้า


    รสจูบของคนตรงหน้ายังคงเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน  มันช่างเหมือนกับเมื่อห้าปีก่อนเหลือเกิน คงจะมีเพียงความโหยหาที่เอ่อล้นเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นมา  ริมฝีปากของอีกคนถอนออกมาอย่างอ้อยอิ่ง  หน้าผากของเรายังคงแนบสัมผัสกันอยู่อย่างนั้นจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกคน


    เขาไม่รู้ว่าจูบนั้นใช้เวลาเนิ่นนานสักเท่าไร  ไม่รู้ว่าเราจดจ้องกันอยู่แบบนี้จนเวลาผ่านไปนานแค่ไหน  ไม่รู้แม้กระทั่งหยาดน้ำใสที่ไหลออกมาจากหางตาของตัวเอง  อี้หยางเชียนซีไม่รู้อะไรเลยสิ่งที่เขารู้มีเพียงแต่ว่าเขามีความสุขเหลือเกินที่ได้กลับมา



    กลับมาหาแสงสว่างของตัวเอง

    แสงสว่างหนึ่งเดียวที่คอยนำทางชีวิตอันแสนมืดหม่น

    แสงสว่างที่เขารัก รักจนหมดทั้งหัวใจ...



    You are perfection, my only direction

    It’s fire on fire






    - Never End -



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in