เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
It was Summer when I kissed youMs.Ambiguous
FIVE
  • ชาร์ลส์กลับมาค่ายคุณแม่โลลาอีกครั้งในฤดูร้อนถัดไปในฐานะพี่เลี้ยงค่าย ตอนแรกคุณพ่อจอห์นไม่เห็นด้วยเมื่อรู้ว่าชาร์ลส์จะมาร่วมพักอยู่ที่นี่อีกครั้ง แต่ผมก็พยายามโน้มน้าวให้ท่านเปลี่ยนใจด้วยการบอกว่าค่ายของเราต้องการแรงงาน ในเมื่อพี่เลี้ยงค่ายทยอยลาออกเรื่อยๆ จนเหลือเพียงผมกับอีกสองคน เราคงไม่สามารถดูแลเด็กๆ ให้ปลอดภัยตามที่รัฐคาดหวังได้ ดังนั้นท่านจึงจำใจรับชาร์ลส์เข้ามาเป็นสมาชิกทีมงานของค่ายอีกคน


    เมื่อเป็นพี่เลี้ยง เขาไม่ต้องนอนโรงนอนรวมกับทุกคนแล้ว ชาร์ลส์ได้นอนบ้านพักใหญ่และแชร์ห้องร่วมกันกับผมสมใจอยาก วันแรกที่มาถึงเขาวางกระเป๋าตรงปลายเตียง ทอดสายตามองรอบห้องด้วยความคิดถึงและเฉลิมฉลองโอกาสที่เราได้กลับมาเป็นรูมเมทอีกครั้งด้วยการเปิดเพลงของเดอะ บีเทิลส์


    “อย่าเสียงดังเกินไปนักล่ะ เดี๋ยวคุณพ่อจะมีเหตุผลให้หาเรื่องกำจัดนายออกไปได้”


    ผมปรามเพราะเข้าใจสถานการณ์ดีกว่าใคร คุณพ่อเองก็ไม่ชอบเท่าไหร่เมื่อเห็นชาร์ลส์กลับมาที่นี่ราวกับติดใจอะไรนักหนา ผมว่าคุณพ่อคงแอบสงสัยแต่ไม่ได้กังวลอะไรมากนัก เพราะระหว่างเราสองคนไม่มีอะไรพิเศษหรือสุ่มเสี่ยงไปในทางนั้นอย่างที่ท่านกังวล


    ผมและชาร์ลส์รับบทเป็นพี่เลี้ยงค่ายได้อย่างยอดเยี่ยม เราดูแลเด็กๆ ให้ปลอดภัย เราสอนพวกเขาเกี่ยวกับการทำอาหารและความรับผิดชอบต่างๆ ทีแรกผมคิดว่าชาร์ลส์จะไม่ชอบงานนี้ทว่าเขาก็ไม่ได้แสดงออกถึงอาการรังเกียจรังงอนอะไร หนำซ้ำยังเป็นพี่เลี้ยงที่รอบคอบและระวังมากกว่าใครเสมอจนวูบหนึ่งก็เผลอคิดว่าชาร์ลส์โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว


    “วันนี้นายคงเหนื่อยมาก ฉันเห็นนายผ่าฟืนให้คุณพ่อตั้งหลายกอง”

    “เหนื่อยสิ” ชาร์ลส์ตอบขณะยืนเปลือยอาบน้ำอยู่ข้างผม “คุณควรคิดเรื่องใช้แก๊สได้แล้วนะ การทำอาหารน่ะ ถ้าควบคุมความแรงของไฟไม่ได้มันลำบาก”

    “อย่าหวังว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของค่ายนี้เลย นายก็รู้ข้อจำกัดดี”


    ผมบอก ชาร์ลส์แค่นหัวเราะและปิดฝักบัวก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูที่วางพาดไว้อยู่ไม่ไกล ผมรีบฟอกสบู่และเดินตามหลังเขาไป ขณะที่กำลังเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้แห้ง ชาร์ลส์ก็ผิวปากและมองต่ำมายังส่วนล่างของผม


    “เด็กลามก” ผมสะบัดผ้าเช็ดตัวใส่เขา ชาร์ลส์หัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจก่อนจะหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่

    “คุณเคยมีคนรักไหม?”

    “ไม่มีเรื่องพรรค์นั้นหรอก”


    ผมตอบพลางนึกขำชีวิตตัวเองที่แทบไม่มีผู้หญิงคนไหนเข้ามาเลย ไม่รู้เป็นเพราะผมดูเหมือนพวกถือพรมจรรย์ หรือเพราะผมต้อยต่ำจนไม่น่าคบหากันแน่


    “งั้นแบบนี้ก็แสดงว่าคุณไม่เคยมีประสบการณ์ทางเพศน่ะสิ”

    “ถามทำไม?”

    “พอเห็นคุณเปลือยแล้ว มันทำให้ผมคิดถึงเรื่องนึง”

    “เรื่องอะไร?”

    “เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ผมจูบผู้หญิงคนนึง” ชาร์ลส์บอก และคำบอกเล่านั้นจากปากเขาทำเอาผมหายใจไม่ออก “ผมจูบเธอ แต่กลับไม่รู้สึกอะไร” ประโยคถัดมาของเขาทำให้ผมโล่งใจไปเปราะหนึ่งแต่ก็ไม่ทั้งหมด


    “ผมว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างผิดพลาดแน่ๆ ผมแค่ – ไม่รู้สึกสนใจผู้หญิงพวกนั้นเลย ราวกับเรื่องของพวกเธอไม่เคยอยู่ในสมอง แม้กระทั่งหน้าอกและจิ๋ม”

    “เฮ้!” ผมยกนิ้วชี้ขึ้นเคาะปากชาร์ลส์เพราะคำพูดไม่สุภาพ

    “คนรอบตัวผมได้อึ๊บผู้หญิงกันหมดแล้ว ผมก็เกือบได้ลองนะ ครั้งนึงน่ะ ในงานเลี้ยงคืนสู่เหย้า เธอเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับผม เราแอบย่องไปในห้องทดลองวิทยาศาสตร์เพื่อจะ – เอ่อ เอากัน ตอนแรกมันก็ตื่นเต้นดี ผมแข็งและตั้งใจว่าจะฟันเธอซักยก แต่พอคิดว่าต้องสอดใส่และเล้าโลมกับเธอ จู่ๆ มันก็หด --”

    “หดเหรอ?”

    “ใช่ ผมเอาไม่ลง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ไอ้เจค็อบบอกว่าผมป๊อด แต่ผมว่าไม่นะ ผมไม่ได้ป๊อด ผมแค่รู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนที่ผมอยากเอาด้วย”


    ผมยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่ หลังฟังประสบการณ์จู๋หดของชาร์ลส์จบแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากสั่งให้เขาหัดพกถุงยางและอย่าฟันใครซี้ซั้ว ทว่าชาร์ลส์กลับไม่สนใจคำแนะนำจากผม เขาบอกว่าไม่หรอก เหตุการณ์พวกนั้นทำให้ชาร์ลส์เริ่มเข้าใจตัวเองขึ้นมานิดหนึ่งว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นอะไร


    “บางทีผมอาจเป็นตัวประหลาดเหมือนที่พวกเขาว่า”

    “อะไรล่ะ?”

    “พวกเกย์ไง” ชาร์ลส์ตอบด้วยสีหน้าเหยเก “ถ้าผมเป็นเกย์ พนันได้เลยว่าผมตายแน่ ไอ้ระยำนั่นคงหาเรื่องซ้อมผม หรือไม่ก็ส่งผมไปอยู่โรงพยาบาลบ้า”

    “เรื่องพวกนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นกับนายหรอก นายโตแล้ว ปีหน้านายก็ย้ายออกจากบ้านเฮงซวยนั่นได้แล้วนะ”

    “แต่แผนเปลี่ยนแล้วล่ะ ผมว่าจะพาแม่ไปด้วย”

    “อ้อ ก็ดีน่ะสิ”

    “ไม่ค่อยดีหรอก มัน เอ่อ – จะว่ายังไงดีล่ะ ในอนาคตของผมมันมีคุณอยู่ด้วย ถ้ามีแม่เพิ่มขึ้นมาอีกคน มันจะไม่กระอักกระอ่วนสำหรับเราเหรอ?”

    “นายอยู่กับแม่ไปเถอะ ฉันอยู่ที่โบสถ์เหมือนเดิม”

    “ไม่ได้นะคริส คุณต้องทำอะไรซักอย่างกับชีวิตตัวเองได้แล้ว” ชาร์ลส์พูดอย่างจริงจัง “คุณไม่ได้เรียนศาสนา คุณไม่สามารถเป็นนักบวชเหมือนคุณพ่อจอห์นได้”

    “ฉันก็ได้หวังว่าจะเดินตามรอยเท้าคุณพ่ออยู่แล้วนี่”

    “ไม่ ผมหมายถึง ถ้าเป็นคุณพ่อจอห์นไม่ได้ คุณก็จะไม่มีเงิน! คิดบ้างไหมว่าหากคุณพ่อตายไป คุณจะอยู่ยังไง? ถ้านักบวชคนใหม่ไม่ชอบคุณล่ะ? ถ้าพวกเขาลงความเห็นว่าคุณควรไสหัวไปจากโบสถ์ล่ะ? คุณจะทำยังไง?”


    คำพูดของชาร์ลส์เริ่มทำให้ผมกังวล


    “จริงๆ นะ คุณต้องลาออกจากที่นั่น โลกข้างนอกไม่น่ากลัวหรอก ยังไงคุณก็มีผมอยู่ทั้งคนนี่นา”


    ชาร์ลส์พูดเมื่อสวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ผมหลุดยิ้มเมื่อได้ยินประโยคนั้น ความรู้สึกเจ็บอกแปลกๆ ตอนที่ได้ฟังเรื่องเล่าของเขากับผู้หญิงจางหายไปหมดจนไม่รู้สึกอะไร และจู่ๆ ผมก็นึกขอบคุณพระเจ้าที่ส่งเด็กชายคนนี้เข้ามาในชีวิต ชาร์ลส์คือเทียนในชีวิตของผม ถ้าไม่มีเขา ผมก็ไม่มีอะไรอีกเลย


    “ว่าแต่คุณเคยช่วยตัวเองไหม?”

    “เคยสิ”

    “เวลาช่วยตัวเอง คุณจินตนาการถึงใครเหรอ?” ชาร์ลส์ถามอย่างสนใจใคร่รู้ ผมคิดว่าเขาก็แค่สงสัยตามประสาวัยรุ่นหมกมุ่นจึงตอบไปโดยไม่คิดอะไร

    “ไม่มีใครเป็นพิเศษหรอก ฉันแค่หลับตาและทำให้มันเสร็จๆ น่ะ”

    “คุณไม่มีนางในฝันเหรอ”

    “ไม่มี”

    “งั้นคราวหน้าที่คุณช่วยตัวเอง คิดถึงหน้าผมสิ บางทีคุณอาจจะ --”

    “พอ!”


    คราวนี้ผมโยนผ้าเช็ดตัวใส่หน้าชาร์ลส์ เขาไม่ขำหรือหัวเราะแสดงท่าทีหยอกล้ออีกแล้ว ชาร์ลส์ดูจริงจังกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งพูดออกมา และสีหน้าของเขาทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องเล่าที่เราคุยกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เรื่องเล่าที่ชาร์ลส์บอกว่าเขาไม่รู้สึกอะไรกับผู้หญิง


    “คุณไม่เคยจูบใครจริงเหรอ?”

    “จริงสิ”


    เรายังไม่หยุดพูดเรื่องประสบการณ์ทางเพศกันแม้จะเดินออกจากห้องอาบน้ำมาจนถึงบ้านใหญ่ ชาร์ลส์กระโดดนั่งลงบนเตียงของตัวเอง เขาเอี้ยวตัวใส่เทปลงในเครื่องเล่นและกดเปิดเพลงตามความเคยชิน เสียงเพลงของเดอะ บีเทิลส์ดังขึ้นในห้องของเราอีกครั้ง ผมเคยนึกเบื่อว่าทำไมเขาถึงชอบฟังวงนี้นักหนา แต่เมื่อได้ฟังบ่อยเข้า เพลงของเดอะ บีเทิลส์ก็กลายเป็นบรรยากาศประจำตัวของเราสองคน ราวกับทุกครั้งที่ได้ยินเพลงของวงดนตรีจากเกาะอังกฤษเมื่อไหร่ ผมจะคิดถึงชาร์ลส์และโหยหาเขามากกว่าปกติเป็นสองเท่า


    “มานั่งตรงนี้สิ”


    ชาร์ลส์ตบฟูกเบาๆ ผมจึงเดินไปหาเขาและกระโดดขึ้นไปนั่งข้างๆ เพลงแรกของอัลบั้มวิธ เดอะ บีเทิลส์คือเพลง It Won’ t Be Long ชาร์ลส์ร้องคลออย่างอารมณ์ดีโดยมีผมนั่งกระดิกเท้าฟังเสียงทุ้มใหญ่ของเขาอยู่ข้างๆ เรานั่งกันอย่างนั้นจนกระทั่งถึงเพลงที่สามของเทปหน้าเอ ผมจำได้ดีว่ามันชื่อเพลงอะไร


    Close your eyes and I'll kiss you

    (หลับตาลงสิ ผมจะจูบคุณ)

    Tomorrow I'll miss you

    (พรุ่งนี้ผมก็จะคิดถึงคุณ)

    Remember I'll always be true

    (จำเอาไว้นะว่าผมพูดจริงเสมอ)


    ชาร์ลส์ชอบเพลงนี้มาก ไม่สิ เราชอบเพลงนี้มาก ด้วยทำนองและอะไรหลายอย่างทำให้เรารู้สึกอินในบทเพลงมากกว่าเพลงอื่นๆ โดยปกติแล้วผมไม่ได้เป็นแฟนคลับของเดอะ บีเทิลส์ ชาร์ลส์ต่างหาก และเขาทำหน้าที่แฟนคลับสำเร็จแล้วเมื่อเพลงนี้กำลังทำให้ผมดำดิ่งไปกับมัน


    I'll pretend that I'm kissing

    (ผมจะแสร้งทำเป็นว่ากำลังจูบ)

    The lips I am missing

    (จูบริมฝีปากที่ผมคิดถึง)

    And hope that my dreams will come true

    (และหวังว่าความฝันของผมจะเป็นจริงขึ้นมา)



    ด้วยจังหวะเวลาและเนื้อเพลง บรรยากาศในห้องตอนนี้มันใกล้เคียงกับสิ่งที่เราเป็นมากจนเกินไป หลังจบท่อนฮุคแรกเรายังนั่งแกว่งขาด้วยกัน ชาร์ลส์เริ่มอยู่ไม่สุขด้วยการใช้นิ้วเกลี่ยหลังมือของผม ผมไม่ได้รำคาญ แต่ตอบสนองเขาด้วยการกอบกุบมือคู่นั้นเอาไว้และหันไปมองหน้าเขา ชาร์ลส์กำลังยิ้มมุมปาก เขาดูตื่นเต้นจนเหงื่อชื้นเต็มฝ่ามือราวกับคิดจะทำอะไรบางอย่าง วินาทีนั้นผมรู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เราจะต้องจูบกันเมื่อถึงท่อนที่ว่า


    Close your eyes and I'll kiss you

    (หลับตาลงสิ ผมจะจูบคุณ)


    ผมหลับตาลงช้าๆ ราวกับรอทำตามคำสั่งของเดอะบีเทิลส์ ในขณะที่หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุจากอก ชาร์ลส์จึงค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้และประทับริมฝีปากอย่างแผ่วเบา เด็กคนนั้นเก่งกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก เขาเป็นฝ่ายดูดดึง เป็นฝ่ายสอดลิ้นเข้ามา และเราก็มีจูบแรกร่วมกันในค่ายคุณแม่โลลา ผมประมาณเวลาคร่าวๆ ที่เราจูบออกมาเป็นตัวเลขไม่ได้ ผมรู้แค่ว่ามันแสนสั้นจนอยากจูบชาร์ลส์ต่ออีกหน่อย ดังนั้นตอนที่ชาร์ลส์ผละตัวออกเพื่อหอบหายใจ ผมก็คว้าหลังคอของเขาและจูบเด็กคนนั้นอีกรอบ


    จูบแสนหวานผ่านพ้นไปเมื่อเราต่างหายใจไม่ทันทั้งคู่ เมื่อลืมตาและเห็นใบหน้าของกันและกันชัดๆ แก้มทั้งสองข้างก็ร้อนผ่าวและเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนมะเขือเทศสุก เราไม่พูดเรื่องจูบที่เกิดขึ้นในคืนนี้อีก แต่ยังคงจูบกันเรื่อยๆ ตามโอกาสจะเอื้ออำนวย บนเตียงในห้องพัก ในห้องอาบน้ำ ริมป่าข้างทะเลสาบ ระหว่างทางรอรถเมล์เพื่อเข้าตัวเมือง แม้กระทั่งตอนที่แอบไปพายเรือกลางดึกเราก็จูบกัน ผมเพิ่งตระหนักได้ว่าจูบมันรู้สึกดีแค่ไหน และผมคิดกับชาร์ลส์ยังไงเมื่อวันสุดท้ายในค่ายคุณแม่โลลามาถึง


    “แล้วเจอกันนะ” ชาร์ลส์ยิ้มหวานก่อนจะจูบผมอย่างแผ่วเบาเป็นการอำลา “ผมอดใจไม่ไหวที่จะได้จูบคุณข้างนอกบ้าง”

    “ฉันก็ด้วย”


    ผมตอบและเดินออกจากค่ายเพื่อไปส่งชาร์ลส์ที่ป้ายรถเมล์ ผมโบกมือลาชาร์ลส์เมื่อรถบัสคันใหญ่จอดเทียบท่า เราจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนชาร์ลส์จะทำปากขมุบขมิบว่า


    “คราวหน้า – เรามาทำอะไรที่มากกว่าจูบกันเถอะ”



    การนัดพบของเราครั้งถัดไปคือใต้ต้นแอปเปิ้ลที่ไม่เคยออกผลในสวนท้ายโบสถ์ ผมอดใจรอให้ถึงวันอาทิตย์แทบไม่ไหว แค่คิดว่าจะได้พบกับจูบแรกของตัวเองก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ใบหน้าของผมดูอิ่มเอิบเหมือนคนเปี่ยมล้นด้วยพระคุณของพระเจ้าทุกวัน แม้กระทั่งคุณพ่อจอห์นและคนอื่นๆ ในโบสถ์ต่างคิดว่าผมคงกำลังมีชีวิตสันติสุขในพระเจ้าสุดๆ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ทำให้ใบหน้าของผมอิ่มเอิบนั้นหาใช่พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของโลกใบนี้ หากเป็นเพียงเด็กอายุสิบเจ็ดธรรมดาคนหนึ่ง เป็นเด็กที่จูบผมในค่ายฤดูร้อนของศิษยาภิบาล เป็นเด็กที่สามารถพูดคำว่ารักออกมาได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจต่างหาก


    และเมื่อเราพบกันอีกครั้งในบ่ายวันอาทิตย์ ใต้ต้นแอปเปิ้ลที่เหลือใบไม้หรอมแหรมเต็มที เราจูบกันอย่างแผ่วเบาโดยไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านไปเฉยๆ หลังจากนั้นผมไม่คิดว่าการนัดพบของเราเป็นเพียงการนัดพบอีกเลย ผมคิดว่ามันคือการใช้เวลาในโลกส่วนตัวที่มีแค่เราสองคน ผมเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้มันถูกต้องหรือไม่ รู้แค่ว่าเรามีความสุขมาก มากจนไม่อาจจินตนาการถึงวันที่ไม่ได้พบกันอีก


    “ผมอยากไปนิวยอร์กดูซักครั้ง” ชาร์ลส์พูดขึ้นขณะนอนเคียงข้างผมใต้ต้นแอปเปิ้ลที่ไม่เคยออกผล “ผมได้ยินมาว่าที่นั่นมีตึกสูงเสียดฟ้า มีคนพลุกพล่านแม้กระทั่งตอนเที่ยงคืน”

    “ค่าเดินทางคงแพงน่าดู นายจะไปยังไงล่ะ?”

    “นั่นสิ” ชาร์ลส์พึมพำ “ก่อนคิดเรื่องนั้น เราคิดเรื่องช่วยคุณออกจากที่นี่ก่อนดีไหม?”


    เราคุยกันอย่างจริงจังมาพักใหญ่แล้ว เกี่ยวกับการย้ายออกจากโบสถ์เพื่อใช้ชีวิตของตัวเอง ผมไม่ค่อยอยากทำอย่างนั้นเพราะกลัวว่าโลกภายนอกมันไม่ง่ายเหมือนที่คิดไว้ การหางานทำมันอาจจะง่ายอย่างที่ชาร์ลส์ว่า แต่ผมไม่มีวุฒิการศึกษา แถมเมืองนี้ก็เล็กอย่างกับอะไรดี ไม่ว่าจะร้านค้าหรือที่ไหนๆ ต่างรู้จักคุณพ่อจอห์นกับศิษย์ที่ท่านเก็บมาเลี้ยงทั้งนั้น ผมกังวลว่าหากปลีกตัวไปอยู่กับชาร์ลส์แบบคู่รักจริงๆ คนในเมืองนี้คงลุกฮือขับไล่เรา พวกเขาคงรุมปาหิน หรือไม่ก็เผาหุ่นไล่ฟางเพราะคิดว่าเราถูกผีสิง มีทางเดียวที่เราจะสามารถใช้ชีวิตกันสองคนในรูปแบบคู่รักได้คือย้ายออกจากเมืองนี้ เราต้องเริ่มต้นใหม่ในที่ที่ห่างไกล เริ่มใหม่ในเมืองที่ไม่รู้จักใคร และอยู่ให้ไกลศาสนสถานที่สุด


    “คุณคุยกับคุณพ่อจอห์นหรือยัง?”

    “ยัง”

    “ช่วยจริงจังกับเรื่องของเราหน่อยเถอะ” ชาร์ลส์เริ่มแสดงท่าทีหงุดหงิดออกมา “ช่วยแสดงให้ผมเห็นว่าคุณเองก็อยากอยู่กับผมบ้างได้ไหม?”

    “ฉันอยากอยู่กับนายอยู่แล้ว แค่รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้”

    “เพราะคุณไม่จริงจังมากกว่า”

    “ฉันจริงจังกับนาย” ผมยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉันแค่รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กันสองคนอย่างที่นายต้องการ โลกใบนี้เรียกเราว่าพวกวิปริต พวกเขาเกลียดเรา พวกเขาเหยียดหยามเรา ถ้าคนอื่นรู้ คงมีใครซักคนที่เดินสวนนายและหันหน้ามาถ่มน้ำลายรดนายก็ได้”

    “แล้วคุณจะปล่อยให้เรื่องของเราเป็นแบบนี้ไปจนแก่เหรอ? ผมไม่อยู่ที่นี่ไปจนตายหรอกนะคริส” ชาร์ลส์กระแทกเสียงและลุกขึ้นยืน เขาปัดเศษหญ้าออกจากกางเกงโดยมีผมรีบคว้าข้อมือของเขาเอาไว้ “จับผมทำไม?”

    “เพราะฉันไม่อยากให้นายกลับบ้านทั้งๆ ที่ยังโกรธกันอยู่”

    “ผมไม่มีวันหายโกรธหรอก ถ้าคุณยังเป็นอย่างนี้อยู่ล่ะก็”

    “นายจะให้ฉันทำยังไง? ให้ฉันออกจากโบสถ์แล้วเราจะไปอยู่ไหนในเมื่อทุกคนในเมืองรู้ว่าเราเป็นใคร นายเองก็มีแม่ มีบ้าน พ่อเลี้ยงของนายจะว่ายังไงถ้ารู้ว่าเราตกลงย้ายไปอยู่ด้วยกัน นายไม่กลัวเขาแล้วเหรอ?”

    “ผมกลัวว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันมากกว่ากลัวคนเลวแบบมันอีก” ชาร์ลส์สะบัดมือผมและเตรียมเดินหนี “ผมจะไม่ถามเซ้าซี้ให้น่ารำคาญ เอาเป็นว่าถ้าคุณยังคิดไม่ได้ ผมคงไม่อยากพบคุณอีก”


    ชาร์ลส์พูดแล้วเดินจากไป ส่วนผมได้แต่นั่งมองแผ่นหลังกว้างของเด็กหนุ่มค่อยๆ หายไปตามทางเดินที่มีพุ่มไม้ใหญ่อยู่โดยรอบ ชาร์ลส์จากไปแล้ว เขาจากไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวและโมโหเพราะผมไม่ยอมปลีกตัวจากคุณพ่อจอห์นเสียที ลำพังการคุยกันสองคนมันง่าย แต่ในทางปฏิบัติแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะทำแบบนั้น มันมีเรื่องบุญคุณเข้ามาเกี่ยวด้วย ผมไม่สามารถหักใจหนีไปกับเขาได้ทันทีทันใดหรอก


    ผมเสียใจที่ทำให้ชาร์ลส์โกรธแต่ไม่รู้จะทำยังไง ได้แค่เดินวนเวียนเฉียดไปแถวรั้วโรงเรียนเพื่อแกล้งปรากฏตัวให้ชาร์ลส์เห็นว่าผมกำลังรอเขาอยู่ แต่เด็กคนนั้นใจแข็งกว่าที่คิดไว้ เขาเมินเฉยผม เขาเบือนหน้าหนีราวกับไม่อยากพบกันอีก ดังนั้นคืนหนึ่งที่ทนคิดถึงชาร์ลส์ไม่ไหว ผมตัดสินใจปีนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ติดกับห้องนอนของชาร์ลส์เพื่องัดบานหน้าต่างเข้าไปพบกับชายที่ผมรัก


    ชาร์ลส์หลับสนิทบนเตียง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีใครบางคนยืนเฝ้ามองเขาตอนหลับ ใบหน้าของเด็กหนุ่มงดงามเหมือนรูปปั้นเทพกรีก สัดส่วนได้รูปราวกับพระเจ้าทรงสร้าง ทุกความงดงามอยู่ในตัวของชาร์ลส์จนผมไม่สามารถละสายตาได้ หลังจากยืนมองและใช้หลังมือเกลี่ยแก้มของเขา ชาร์ลส์ก็เริ่มรู้สึกตัว เขาสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจจนรีบกระถดตัวไปอยู่หัวเตียง เมื่อเห็นว่าเป็นผม เขาก็สบถด้วยความไม่พอใจ


    “ทำบ้าอะไรเนี่ย! ผมไม่ตลกด้วยนะ!”


    ชาร์ลส์ตะคอกเสียงดังอย่างลืมตัวก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าในเวลาแบบนี้ เขาไม่ควรแม้แต่จะเปล่งเสียงใดๆ ออกมาแม้กระทั่งเสียงหัวเราะ ดังนั้นผมจึงรีบใช้นิ้วแตะปากตัวเองเพื่อขอให้เขาเงียบและบอกว่าผมมาที่นี่เพื่อคุยกับเขาอีกครั้ง เรื่องที่เราทะเลาะกันใต้ต้นแอปเปิ้ลที่ไม่เคยออกผลวันก่อน


    “ฉันตัดสินใจแล้ว” ผมบอกชาร์ลส์ “ให้มันค่อยเป็นค่อยไปเถอะ”

    “หมายความว่ายังไง?”

    “ฉันอยากให้นายเรียนต่อวิทยาลัย ที่โอไฮโอมีวิทยาลัยดีๆ อยู่”

    “คุณจะให้ผมไปไกลถึงโอไฮโอแค่เพื่อเรียนต่องั้นเหรอ?”

    “เพื่ออนาคตของนายต่างหาก” ผมพยายามอธิบาย “อย่างน้อยๆ เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ที่นั่น นายสามารถไปจากเมืองนี้ได้ด้วยเหตุผลดีๆ ที่จะทำให้ทุกคนปล่อยนายไป ทั้งแม่และพ่อเลี้ยงของนาย”

    “คุณคิดมากเกินไป ในบ้านหลังนี้น่ะ ไม่มีใครสนใจความเป็นอยู่ของชาร์ลส์หรอก”


    ผมเห็นสีหน้าเจ็บปวดของชายผู้เป็นที่รักอยู่เสี้ยววินาที ผมเข้าใจความรู้สึกของเขาดีแต่ไม่รู้จะพูดอะไรจึงทำได้แค่กุมมือของชาร์ลส์เอาไว้


    “ฉันรักนายนะ รักจากก้นบึ้งของหัวใจ” ผมย้ำเตือนเขาให้รู้เรื่องนี้ “ฉันรักนายจนไม่อยากรีบด่วนตัดสินใจเพราะกลัวพลาด ฉันกลัวว่าจะเสียนายไป”

    “แต่ผมพูดจริงๆ นะคริส คุณควรยืนด้วยขาของตัวเองได้แล้ว”

    “ฉันรู้”

    “การทำงานพิเศษมันไม่ได้น่ากลัวหรอก แถมสนุกกว่าทำงานให้คุณพ่อเป็นไหนๆ คุณจะได้ค่าจ้างที่สมน้ำสมเนื้อ ได้เจอคนใหม่ๆ มันดีกว่าที่คุณคิดไว้เยอะ”

    “จริงเหรอ?”

    “จริงสิ” ชาร์ลส์หาวปากกว้างแล้วล้มตัวลงนอนต่อ เขาดูเหนื่อยมากเพราะเพิ่งเลิกกะจากร้านขายเทป แถมพรุ่งนี้ยังต้องรีบตื่นแต่เช้าไปเปิดร้านแทนเจ้าของอีก “คุณนอนเถอะ เราค่อยคุยต่อวันหลัง ผมเหนื่อยจนไม่รู้จะพูดอะไร”

    “งั้นฉันกลับก่อนก็ได้”

    “กลับทำไม? คุณค้างที่นี่แหละ ไม่มีใครกล้าเข้าห้องนอนของผมอีกแล้ว มันกลายเป็นห้องของผมคนเดียว และคืนนี้ก็มีคุณ” ชาร์ลส์ยิ้ม “ค้างกับผมซักคืนนะคริส ผมอยากนอนกอดคุณ”

    “บนเตียงที่สามารถนอนได้แค่คนเดียวน่ะเหรอ?”

    “ใช่” ชาร์ลส์หัวเราะก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบผ้าปูนอนออกมา “คุณนอนบนเตียงก็ได้ เดี๋ยวผมนอนพื้นเอง”

    “นายนอนบนเตียงให้สบายเถอะ ฉันนอนพื้นบ่อยกว่านายเสียอีก”


    ผมบอกและรับผ้าปูผืนนั้นมาวางบนพื้นพรม ชาร์ลส์ช่วยจัดเตรียมเครื่องนอนให้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเราก็ล้มตัวลงนอน พูดคุยเล็กน้อยด้วยเสียงเบาราวกระซิบเพราะกลัวว่าจะมีใครได้ยินว่าคริสแอบอยู่ในห้องนี้ ทีแรกมันยังเป็นการสนทนาธรรมดาทั่วไป ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งหรือโต้เถียงเกี่ยวกับอนาคตอยู่เลย แต่เมื่อเวลาผ่านไปซักพัก ชาร์ลส์ก็เริ่มเงียบลง ผมคิดว่าเขาผล็อยหลับไปแล้วก็เลยผงกหัวขึ้นเพื่อดูเด็กหนุ่มที่ผมรัก ทว่าแววตาของชาร์ลส์กลับจับจ้องมาที่ผมราวกับมีเรื่องบางอย่างที่อยากพูด


    เรามองกันอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ชาร์ลส์จะคลานลงจากเตียง หอบเอาหมอนและผ้าห่มมาเบียดผมบนฟูกนอนเก่าๆ เรากกกอดกันเหมือนสมัยที่อยู่ในค่ายคุณแม่โลลาเมื่อฤดูร้อนปีที่ผ่านมา ผมปล่อยให้ชาร์ลส์หนุนแขนโดยไม่บ่นว่าเมื่อยเลยซักคำ ผมได้แต่นอนหันหน้าไปหาเขา ประทับริมฝีปากอย่างแผ่วเบาบนหน้าผากของชาร์ลส์และพรมจูบย้ำๆ อยู่อย่างนั้น หลังการสัมผัสที่นุ่มนวลอ่อนหวานและไร้การรุกล้ำ ในที่สุดชาร์ลส์ก็ตัดสินใจเงยหน้าขึ้นเพื่อจูบผม และการเลยเถิดครั้งแรกของเราจึงเกิดขึ้นในคืนนั้น


    ผมไม่อาจเรียกมันว่าเซ็กส์ได้เต็มปาก เพราะเราก็แค่จูบกันและใช้มือสัมผัสร่างกายของกันและกันด้วยความโหยหา ผมไม่ได้ถอดเสื้อผ้าเด็กหนุ่มจนเปลือยเปล่าหรือทำให้เขากระดากอายยามกางขาออกเพื่อให้ผมโน้มหน้าลงไปครอบครองส่วนกลาง ชาร์ลส์เป็นคนเริ่มเองทั้งหมด เราโตพอที่จะรู้ว่าเซ็กส์คืออะไร เรารู้ว่าการทำให้คนที่เรารักถึงจุดสุดยอดมันเยี่ยมแค่ไหน เพียงแต่เราไม่ได้สอดใส่ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง คืนนั้นเราเสร็จสมด้วยปากของกันและกัน ผมเสร็จในปากชาร์ลส์เช่นเดียวกับที่เขาปล่อยเอาความน่าอึดอัดทิ้งไว้บนปลายลิ้นของผม


    หลังการปลดปล่อยที่รุนแรงจบลง ผมจูบเขาตรงหน้าผาก สิ้นสุดกระบวนการส่งชายหนุ่มที่ผมรักเข้านอน เมื่อชาร์ลส์เอนหน้ามาซบซอกคออย่างออดอ้อน ผมจึงทำได้แค่นอนกอดเขาเอาไว้หลวมๆ จนกระทั่งเช้าวันใหม่มาถึง แต่พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นก็ต้องรีบตื่นเพื่อปีนออกจากหน้าต่างก่อนที่จะมีใครเห็น


    “ฉันรักนาย”


    ผมมองชายที่ตัวเองรักก่อนจะโน้มหน้าลงไปจูบเขาตรงริมฝีปาก ชาร์ลส์หลับลึกเกินกว่าจะรู้สึกตัว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าผมกำลังเตรียมตัวปีนออกนอกหน้าต่างเพื่อจากเขาไปแล้ว วินาทีที่กระโจนใส่ต้นไม้ใหญ่และปีนลงมา ผมไม่ทันนึกเอะใจอะไรนอกจากคิดว่านี่คือการกลับโบสถ์เหมือนที่ผ่านมา ทว่าเมื่อสองเท้าแตะพื้นดิน ความรู้สึกบางอย่างมันทำให้เศร้าใจแปลกๆ


    ผมเงยหน้ามองหน้าต่างห้องนอนของชาร์ลส์พลางนึกถึงใบหน้าเด็กคนนั้น คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ผมคิดอย่างชะล่าใจ ชาร์ลส์จะไปไหนได้ในเมื่อผมยังให้คำตอบเขาไม่ได้ว่าจะเริ่มย้ายออกไปใช้ชีวิตของตัวเองเมื่อไหร่ หลังมองบานหน้าต่างอยู่ครู่ใหญ่ ผมก็หันหลังให้กับบ้านของชาร์ลส์โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือครั้งสุดท้ายที่เราจะได้ใช้เวลาร่วมกัน



    TBC


    ___________________________


    #summerkissky

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in