เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Noteasawaree
อยู่กับความเครียด
  • SATURDAY, JANUARY 30, 2016

        หมอบอกว่าเราเป็นโรคเครียดตอนเราอยู่ม.ต้น เพราะเรามีอาการปวดท้องบ่อยๆ หมอตรวจแล้วก็บอกว่าไม่ได้เป็นโรคกระเพาะแท้ๆ หรอก ที่ปวดท้องเพราะเครียดลงกระเพาะ สั่งห้ามกินยาแก้ปวดเองอีก (ตอนนั้นบ้าจี้ถึงขนาดกินพาราทีเดียว 3 เม็ด) กินยาตามที่หมอสั่งเท่านั้น จะปวดหัว ปวดท้องอะไรก็ตามให้จดไว้ แล้วมาคุยกับหมอเป็นระยะๆ ตอนนั้นสงสัยว่า นี่เป็นโรคเครียดได้ยังไง มองดูชีวิตวัยใสตอนนั้นแล้วออกจะดูดีมีมาตรฐาน พร้อมพรั่งมากๆ แต่ไม่เป็นไร หมอบอกไม่ให้คิดมาก ทำกิจกรรมสารพัดผ่อนคลายไป นี่ก็ทั้งเข้าค่าย เล่นดนตรี รำไทย เต้นแอโรบิค แฮงค์เอ้าท์กับเพื่อนๆทุกวีคเลยค่ะ 

          พอมาตอนม.ปลาย ชีวิตในโรงเรียนประจำหรรษาจนลืมไปเลยว่าเคยเป็นโรคเครียด จนกระทั่งเรียนจบออกมาทำงาน จากโรคเครียดพัฒนามาเป็นไมเกรนเลยจ้ะ คุณหมอที่รักษาก็เป็นไมเกรนเหมือนกัน เวลาเจอกันทีก็เหมือนไปนั่งบ่นๆ เรื่องไมเกรนให้กันฟัง ก็กินยา ปรับพฤติกรรม หาปัจจัยกระตุ้นกันไป จนในที่สุดก็ไม่ต้องกินยาประจำแล้ว กินเฉพาะปวดได้ แต่ถ้าเดือนไหนปวดบ่อย ปวดถี่มากเกินจากค่าปกติ ก็ต้องไปหาหมอ 

         สิ่งที่หมอมักจะบอกเสมอก็คือ อย่าคิดมาก อย่าเครียด ซึ่งแรกๆนี่คือคิดในใจว่า หมอคะ พูดง่ายมากค่ะ แต่จะทำยังไง เราก็หากิจกรรมมาทำอีกแล้ว อ่านหนังสือมั่ง ดูหนัง ดูละครมั่ง เม้าท์กับเพื่อนเฮฮาบ้าบอกันไป แต่เอาจริงๆ มันก็แค่วิธีหลอกตัวเองว่าเรามีความสุข ทั้งๆที่เราไม่ได้รู้สึกว่าตอนนั้นเรามีความสุข สนุกสนานเลย หลบจากปัญหาไปก่อนแล้วก็กลับมาเจอมันนอนรออยู่ในใจเราเหมือนเดิมนั่นแหละ วิธีที่จะเตะมันออกไปให้พ้นก็คือ จับเข่าคุยกับมันซะว่า เฮ้ นายมีเรื่องอะไรกันแน่ นายแย่ เราก็แย่นะนาย แต่วิธีนี้มันก็เจ็บปวดและเสียดแทงความรู้สึกของตัวเองมากเหมือนกัน เพราะต้องไปจัดกาารเปิดแผล กรีดหนองแล้วสาดแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อเข้าไป แรก ๆ ก็เจ็บแทบตาย แต่พอทำบ่อยๆ เข้าก็เริ่มชินละ เริ่มแปะยาไปทีละแผลๆ ค่อยๆ สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาใหม่ แต่ตอนอยู่ในช่วงนี้คือเรายังต้องจัดการความรู้สึกของตัวเองในใจจนทำให้ไม่ได้สนใจคนอื่นอีก หลายคนอาจจะมองว่าเราเย็นชา แต่จริงๆ แล้วเรากำลังเศร้าซึมมากต่างหาก เศร้าซึมและไม่มีกำลังแรงใจที่จะเงยหน้าขึ้นมา แต่เวลาจะค่อยๆ ช่วยให้เราดีขึ้น ที่สำคัญเลยก็คือ ต้องยอมรับกับตัวเองให้ได้ก่อนว่า เราเครียดนะ เรามีปัญหา แล้วค่อยไปหาว่ามันคืออะไร จะออกทางไหน ถ้าคุยกับตัวเองแล้วไม่ไหวล่ะ คุยยังไงก็ยังได้แค่คำว่าเครียด แนะนำอย่างยิ่งว่าให้ไปคุยกับคนอื่น คนที่พร้อมจะรับฟังเราด้วยนะ สำคัญเลย ถ้าเจอคนที่พูดไปได้สามประโยคแล้วก็ตัดสินกันแล้วนั่นก็จะยิ่งทำให้เราเครียดไปอีกเหมือนโดนแทงซ้ำ เพิ่มแผลให้ตัวเองซะงั้น ซึ่งในชีวิตเราถ้าไม่มีใครที่จัดอยู่ในจำพวกนี้เลย ก็ไปหาหมอเลยค่ะ ไม่ต้องบ้าก็ปรึกษาหมอได้ หมอเขาพร้อมที่จะรับฟังและช่วยเราหาทางออกที่เรามองไม่เห็นอยู่ 

        ตอนนี้เราเริ่มปรับตัวอยู่กับความเครียดได้ดีมากขึ้นแล้ว เหมือนที่ใครบอกเอาไว้ก็ไม่รู้ว่า โลกจะเป็นยังไงมันก็ขึ้นอยู่ที่เรามอง โลกของคนอื่นก็ไม่ได้สวยไปกว่าโลกของเราหรอก และโลกของเราก็ไม่แย่มืดทึมกว่าคนอื่นเขาเหมือนกัน ก็ยืนอยู่บนโลกเบี้ยวๆ ใบเดียวกันนี่ แค่ลองเปิดม่านให้แสงมันส่องเข้ามาในใจของเราบ้าง หัวใจจะได้อุ่นขึ้นมาอีกนิด 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in