หนังโปรดในดวงใจเป็นคำถามที่ยากเสมอสำหรับเราแต่ถ้าจะให้นึกถึงหนังที่ดูบ่อยไม่มีเบื่อ Before We Go คงไม่พลาดจะติดอยู่ในลิสต์อย่างแน่นอน เราลืมนับไปแล้วว่าดูไปกี่รอบ อาจจะห้าหรือหกโดยประมาณ หนังเรื่องนี้กำกับและแสดงนำโดยนักแสดงหนุ่มตาฟ้าที่หลายคนหลงรัก 'คริส อีแวนส์'
หนึ่งในหลายๆครั้งของเรา เราดูหนังเรื่องนี้กับพี่
แน่นอน หนังไม่ตรงจริตพี่สักเท่าไหร่ พี่แอบจะบ่นเป็นหมีกินผึ้งด้วยซ้ำไป นั่นน่าจะเป็นครั้งแรกๆที่เราสองคนเรียนรู้ถึงความต่างกันในความชอบและทัศนคติ
หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยประโยคเรียบง่ายหากแต่ทรงพลัง ดังนั้น ถ้าบทนี้จะถูกยกตัวอย่างอ้างอิงเยอะไปสักหน่อย ก็หวังว่าใครที่หลงเข้ามาอ่านจะไม่ว่ากันและคนที่ไม่ถูกใจหนังอย่างพี่จะไม่ปิดไปเสียกลางทาง
: Have you ever had a feeling or just known somewhere in your bone that somebody was gonna play a major part in your life?
ครั้งแรกที่เริ่มจับได้ว่าหัวใจเต้นไม่ปกติเพราะใครบางคน ความคิดข้างในได้แต่ถามตัวเองวนซ้ำไปมาว่า อีกครั้งแล้วอย่างนั้นเหรอ? กลไกอัตโนมัติพยายามตรึงกำแพงที่สร้างเองเอาไว้ พยายามไม่ก้าวต่อไปจนเกือบถึงขั้นไล่ให้ตัวเองวิ่งหนี สัญชาตญาณและประสบการณ์สอนให้รู้ว่า ความรักมักนำมาซึ่งความเจ็บที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การต่อสู้กันของความกลัวภายในใจกับความต้องการของหัวใจส่งผลให้เรากลายเป็นผลักไสคนที่พยายามจะเข้ามา แต่ก็จำได้ว่า ใครคนนั้นไม่ได้ยอมแพ้ ทั้งรอคอยและพยายามประคองเราให้ปีนข้ามกำแพงออกมา นาทีที่เราตัดสินใจกระโดด (หลังจากที่ปฏิเสธคำขอให้กระโดดในครั้งแรก) ก็เพราะแน่ใจมากๆ If there is someone in the world who would do just everything for me, that person has to be you.
มองย้อนกลับไปจากตรงนี้ ในเวลาที่ความสัมพันธ์ของเรากับพี่เหมือนโดนพายุกระหน่ำ ไม่รู้ว่าจะฝ่ามันไปได้หรืออาจต้องแยกกันไปคนละทาง เราก็ยังรู้สึกภูมิใจในตัวเองแบบเดียวกับที่บรู๊คบอก 'a girl who recognized true love and jump'
: You hadn't seen the letter. There is no coming back from it.
การกลับไปดู Before We Go อีกครั้งคราวนี้ก็เหมือนกับการกลับไปดูหนังทุกเรื่องในช่วงหลังมานี้ อะไรก็ตามที่ไม่เคยเข้าถึงกลับวิ่งชนหัวใจเราจนต้องเซถอยหลังไป หนังจบลงโดยทิ้งความสงสัยไว้ให้กับคนดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบรู๊คและจดหมายเจ้าปัญหา สำหรับเรา '
อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่า หนังเรื่องนี้จับเราและพี่วางอยู่คนละมุมบนสังเวียนเป็นครั้งแรก พี่มองไปที่นางเอกและไม่เห็นด้วยกับการที่เธอเดินย้อนกลับไปหาอดีต สำหรับเรายอมรับว่าไม่เคยโฟกัสที่จุดนั้น แต่ให้มองจากฝั่งน้ำเงินของเรา บรู๊คไม่ได้แค่กลับไปหาอดีตแต่เธอกลับไปหาอนาคตของเธอด้วย พอได้ลองรักใครสักคนจนถึงขั้นพัฒนาความสัมพันธ์ อนาคตของเรามักถูกเขียนใหม่จากแผนภาพเดิมก่อนได้เจอเขา จากความคิดของการอยู่ห้องเล็กๆทำความสะอาดง่ายและเตียงเดี่ยว ก็กลายมาเป็นห้องที่กว้างขึ้นพร้อมเตียงควีนไซส์พอให้ผู้หญิงสองคนนอนข้างกันได้โดยไม่อึดอัด ความคิดว่าอยากเลี้ยงแมวก็ยังคงอยากเลี้ยง แต่เมื่อพี่ชอบไปเที่ยวเป็นว่าเล่นเราเลยเปลี่ยนใจไม่เอาเจ้าขนปุยมาเป็นภาระดีกว่า มองผิวเผินอาจเหมือนการสูญเสียตัวตน แต่หากขยับมองลึกเข้าไป มันคือการผสมผสานสองตัวตนให้เป็นหนึ่ง และสำหรับเรานี่คงเป็นอีกนิยามของคำว่า '
มาถึงตรงนี้คงมั่นใจได้แล้วว่าเราชอบหนังเรื่องนี้เอามากๆ นี่คงเป็นบทที่เราใส่รายละเอียดเกี่ยวกับหนังเยอะที่สุด แต่ยังคงเก็บงำเรื่องราวระหว่างเรากับพี่เอาไว้บางส่วน อยากเขียนฉากโปรดอย่าง 'I don't feel badly. I feel bad.' แต่คิดอีกทีแล้ว ปล่อยให้มันเรื่องที่รู้กันเพียงสองคนระหว่างเราและพี่ต่อไปจะดีกว่า เพราะงั้นขอข้ามมาที่ประโยคที่เราชอบมากที่สุดจากหนังเรื่องนี้เลยก็แล้วกัน
: There is no perfect. There will always be struggle. You just have to pick who you wanna struggle with.
แรกเริ่มที่ชอบก็เป็นเพราะคนเครียดง่ายอย่างเรามักเอนเอียงไปตามปัญหาจนกลายเป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่หาย แต่พอจำนนให้กับความคิดที่ว่า ในชีวิตล้วนเต็มไปด้วยอุปสรรค เราก็ทำใจง่ายขึ้นที่จะรับมือและแก้ไขมันไป ถึงแม้ว่า Before We Go
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in