เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
It has everything to do with the rain.pearandfreesia
CHAPTER V - Before We Go

  • Harry: There is no perfect. There will always be struggle. You just have to pick who you wanna struggle with.




    หนังโปรดในดวงใจเป็นคำถามที่ยากเสมอสำหรับเราแต่ถ้าจะให้นึกถึงหนังที่ดูบ่อยไม่มีเบื่อ Before We Go คงไม่พลาดจะติดอยู่ในลิสต์อย่างแน่นอน เราลืมนับไปแล้วว่าดูไปกี่รอบ อาจจะห้าหรือหกโดยประมาณ หนังเรื่องนี้กำกับและแสดงนำโดยนักแสดงหนุ่มตาฟ้าที่หลายคนหลงรัก 'คริส อีแวนส์' บอกเล่าเรื่องราวของคนแปลกหน้าสองคนที่บังเอิญต้องใช้เวลาร่วมกันหนึ่งคืนอย่างจำเป็นและจำใจ มีฉากหลังเป็นมหานครนิวยอร์กหลังแกรนด์เซ็นทรัลปิดทำการไปจนถึงรุ่งสางซึ่งขับเสน่ห์ที่เราบอกไม่ถูกให้กับหนังเรื่องนี้

     

    หนึ่งในหลายๆครั้งของเรา เราดูหนังเรื่องนี้กับพี่ 

    แน่นอน หนังไม่ตรงจริตพี่สักเท่าไหร่ พี่แอบจะบ่นเป็นหมีกินผึ้งด้วยซ้ำไป นั่นน่าจะเป็นครั้งแรกๆที่เราสองคนเรียนรู้ถึงความต่างกันในความชอบและทัศนคติ

    หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยประโยคเรียบง่ายหากแต่ทรงพลัง ดังนั้น ถ้าบทนี้จะถูกยกตัวอย่างอ้างอิงเยอะไปสักหน่อย ก็หวังว่าใครที่หลงเข้ามาอ่านจะไม่ว่ากันและคนที่ไม่ถูกใจหนังอย่างพี่จะไม่ปิดไปเสียกลางทาง 


    : Have you ever had a feeling or just known somewhere in your bone that somebody was gonna play a major part in your life?


    ครั้งแรกที่เริ่มจับได้ว่าหัวใจเต้นไม่ปกติเพราะใครบางคน ความคิดข้างในได้แต่ถามตัวเองวนซ้ำไปมาว่า อีกครั้งแล้วอย่างนั้นเหรอ? กลไกอัตโนมัติพยายามตรึงกำแพงที่สร้างเองเอาไว้ พยายามไม่ก้าวต่อไปจนเกือบถึงขั้นไล่ให้ตัวเองวิ่งหนี สัญชาตญาณและประสบการณ์สอนให้รู้ว่า ความรักมักนำมาซึ่งความเจ็บที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การต่อสู้กันของความกลัวภายในใจกับความต้องการของหัวใจส่งผลให้เรากลายเป็นผลักไสคนที่พยายามจะเข้ามา แต่ก็จำได้ว่า ใครคนนั้นไม่ได้ยอมแพ้ ทั้งรอคอยและพยายามประคองเราให้ปีนข้ามกำแพงออกมา นาทีที่เราตัดสินใจกระโดด (หลังจากที่ปฏิเสธคำขอให้กระโดดในครั้งแรก) ก็เพราะแน่ใจมากๆ If there is someone in the world who would do just everything for me, that person has to be you.


    มองย้อนกลับไปจากตรงนี้ ในเวลาที่ความสัมพันธ์ของเรากับพี่เหมือนโดนพายุกระหน่ำ ไม่รู้ว่าจะฝ่ามันไปได้หรืออาจต้องแยกกันไปคนละทาง เราก็ยังรู้สึกภูมิใจในตัวเองแบบเดียวกับที่บรู๊คบอก 'a girl who recognized true love and jump'


    : You hadn't seen the letter. There is no coming back from it.


    การกลับไปดู Before We Go อีกครั้งคราวนี้ก็เหมือนกับการกลับไปดูหนังทุกเรื่องในช่วงหลังมานี้ อะไรก็ตามที่ไม่เคยเข้าถึงกลับวิ่งชนหัวใจเราจนต้องเซถอยหลังไป หนังจบลงโดยทิ้งความสงสัยไว้ให้กับคนดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบรู๊คและจดหมายเจ้าปัญหา สำหรับเรา 'จดหมาย'  ในเรื่องแทนได้กับ 'คำพูด' ที่ไม่น่าอภิรมย์นักที่เราหลุดออกไปยามหัวใจปวดร้าวเกินทน หากแต่เมื่ออารมณ์เย็นลงทั้งเราและนางเอกก็ตระหนักได้ว่า ความโกรธที่เรามีต่อคนที่เรารักมันไม่ได้คุ้มกับการเสียเขาไปจากอนาคต (The life and the moments that lay ahead. I realized I threw it all away.คนอ่านจดหมายอาจคิดว่าตัวเองเจ็บมากๆแล้ว คนเขียนเองก็ไม่ต่างกัน เรารู้ดีว่ามันเลวร้ายจนยากจะหาทางกลับคืนสู่จุดเดิม ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรให้กับสิ่งที่ทำลงไปตอนขาดสติ สิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามแก้ไขและแสดงให้รับรู้ว่าเราเองก็เสียใจกับการกระทำของตัวเอง ถ้าเรามีเวลาหนึ่งคืนที่จะทำลายจดหมายนั่นก่อนพี่จะได้อ่าน เราก็คงกระวนกระวายและพยายามทุกวิถีทางเช่นเดียวกับที่บรู๊คทำ เสียแต่เราไม่ได้มีเวลาแบบนั้น




    อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่า หนังเรื่องนี้จับเราและพี่วางอยู่คนละมุมบนสังเวียนเป็นครั้งแรก พี่มองไปที่นางเอกและไม่เห็นด้วยกับการที่เธอเดินย้อนกลับไปหาอดีต สำหรับเรายอมรับว่าไม่เคยโฟกัสที่จุดนั้น แต่ให้มองจากฝั่งน้ำเงินของเรา บรู๊คไม่ได้แค่กลับไปหาอดีตแต่เธอกลับไปหาอนาคตของเธอด้วย พอได้ลองรักใครสักคนจนถึงขั้นพัฒนาความสัมพันธ์ อนาคตของเรามักถูกเขียนใหม่จากแผนภาพเดิมก่อนได้เจอเขา จากความคิดของการอยู่ห้องเล็กๆทำความสะอาดง่ายและเตียงเดี่ยว ก็กลายมาเป็นห้องที่กว้างขึ้นพร้อมเตียงควีนไซส์พอให้ผู้หญิงสองคนนอนข้างกันได้โดยไม่อึดอัด ความคิดว่าอยากเลี้ยงแมวก็ยังคงอยากเลี้ยง แต่เมื่อพี่ชอบไปเที่ยวเป็นว่าเล่นเราเลยเปลี่ยนใจไม่เอาเจ้าขนปุยมาเป็นภาระดีกว่า มองผิวเผินอาจเหมือนการสูญเสียตัวตน  แต่หากขยับมองลึกเข้าไป มันคือการผสมผสานสองตัวตนให้เป็นหนึ่ง และสำหรับเรานี่คงเป็นอีกนิยามของคำว่า 'รัก'

     

    มาถึงตรงนี้คงมั่นใจได้แล้วว่าเราชอบหนังเรื่องนี้เอามากๆ นี่คงเป็นบทที่เราใส่รายละเอียดเกี่ยวกับหนังเยอะที่สุด แต่ยังคงเก็บงำเรื่องราวระหว่างเรากับพี่เอาไว้บางส่วน อยากเขียนฉากโปรดอย่าง 'I don't feel badly. I feel bad.' แต่คิดอีกทีแล้ว ปล่อยให้มันเรื่องที่รู้กันเพียงสองคนระหว่างเราและพี่ต่อไปจะดีกว่า เพราะงั้นขอข้ามมาที่ประโยคที่เราชอบมากที่สุดจากหนังเรื่องนี้เลยก็แล้วกัน


    : There is no perfect. There will always be struggle. You just have to pick who you wanna struggle with.


    แรกเริ่มที่ชอบก็เป็นเพราะคนเครียดง่ายอย่างเรามักเอนเอียงไปตามปัญหาจนกลายเป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่หาย แต่พอจำนนให้กับความคิดที่ว่า ในชีวิตล้วนเต็มไปด้วยอุปสรรค เราก็ทำใจง่ายขึ้นที่จะรับมือและแก้ไขมันไป ถึงแม้ว่า Before We Go จะเริ่มฉายครั้งแรกตั้งแต่ปี 2014 แต่เราเองพึ่งมีโอกาสได้มาดูในช่วงไม่เกินสองปีให้หลัง การเข้าถึงแก่นแท้ของประโยคนี้จากมุมมองความรักจึงเริ่มขึ้นในความสัมพันธ์ครั้งนี้ของเราเป็นครั้งแรก ยิ่งรู้ตั้งแต่ต้นว่าเรื่องของเรากับพี่มันจะไม่ง่าย ยิ่งมั่นใจตอนกระโดดลงไปกอดว่า คนๆนี้คือคนที่เราพร้อมจะล้มลุกคลุกคลานไปด้วย - มองตาพี่และสัมผัสพี่ หัวใจบอกกับเราว่าคนๆนี้คุ้มให้เสี่ยง คุ้มให้รัก และคุ้มให้เจ็บ


    ก็เวลาที่พี่ยื่นมือมาให้จับ, แม้แต่ในเวลาที่เราทะเลาะกันและพี่กำลังจะยอมแพ้ พี่ก็ยังยื่นมือมาให้เราจับ, และเราอยากจะจับมือนั้นฝ่าพายุนี้ไปจนถึงวันที่นั่งดูแสงเหนือพร้อมคาเวียร์ (...ที่ไม่มีก็ได้) กับสตอร์วเบอร์รี่แชมเปญ และ Versace On The Floor

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in