DAY : 2
KEYWORD : เพลงกล่อมไม่นอน
ทุกครั้งที่ผมนั่งอยู่ตรงหน้าเปียโนวางนิ้วทาบกับคีย์แล้วกดตัวโน้ตให้เป็นเพลง
จะมีเสียงฮัมทำนองในลำคอดังก้องอยู่ในหูและบางครั้งเสียงทุ้มหวานราวกับช็อกโกแลตก็มักจะร้องคลอไปกับเสียงเปียโน
ให้โอดินลงโทษแกะตัวนั้นเถิด นั่นไม่ใช่เสียงผม
ในสวนหลังบ้านรกไปด้วยหญ้าคาผมสอดสายตามองผ่านออกไปทั้งที่ยังสะบัดนิ้วบนเครื่องดนตรีราคาแพงชิ้นยักษ์นั่น และเมื่อผมคิดว่าตัวเองมองเห็นเส้นผมสีน้ำตาลเข้มสะบัดปลิวใกล้หน้าต่าง ผมหยุดและชะเง้อมองไปอีกครั้ง
สายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดเอายอดหญ้ามาสะกิดแผ่นกระจกเบาๆ
ท่ามกลางความเงียบ ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
เรื่องแปลกประหลาดแบบนี้ดำเนินขึ้นตั้งแต่ที่ผมย้ายข้าวของชิ้นสุดท้ายจากบ้านคุณย่ามาไว้ที่นี่ ผมซื้อบ้านแสนสงบหลังนี้เมื่อหกเดือนก่อน และเพิ่งจะย้ายมาพักเมื่อสามเดือนที่แล้ว ดูดีทีเดียว เพื่อนบ้านเองก็อยู่ห่างไปไกลเป็นไมล์ แม้จะทำเสียงดังแค่ไหนคงไม่มีใครรู้เพียงแต่ผมเองก็ไม่ใช่คนประเภทขี้โวยวายหรือส่งเสียงดังมากนักแม้จะอยู่คนเดียว
หมู่บ้านสงบสุขมีรั้วสีขาวล้อมรอบตัวบ้าน ความใฝ่ฝันของใครหลายคน และผมมีมันได้แม้จะอายุเพียงยี่สิบแปดด้วยความสามารถของผมและแรงที่ทุ่มเทมาตลอดหลายปี อาจจะลำบากเด็กส่งไปรษณีย์ที่ใส่หมวกเบเร่ต์สีแดงนั่นบ้างที่ต้องเข็นจักรยานคันเก่งขึ้นเขามาไกล
แต่จะต้องไม่มีใครมารบกวนผมได้อีกเด็ดขาด
ค่ำคืนที่พระจันทร์ส่องสว่างกว่าดาว ผมโรยเกลือไว้ที่ประตู ขอบหน้าต่าง และรอบๆ เปียโนของตัวเองเพื่อความอุ่นใจหากว่าเป็นภูตผีเปียโนสุดรักของคุณย่าจะต้องไม่โดนมันแตะต้อง และผมยังเก็บเกลือไว้ในกระเป๋าเสื้ออีกเหมือนกัน
เพื่อความอุ่นใจ..
ผมสูดหายใจเข้าก่อนจะหมุนที่ไขลานของเครื่องเล่นแผ่นเสียง ฟังเสียงแกรกๆ ของมันขณะหมุนสายตาจับจ้องอยู่ที่ริมหน้าต่างไม่วางตา ผมซื้อเจ้าเครื่องนี้มาจากในเมืองวันก่อนและจะไม่รอช้าหากว่าจะต้องคุยกับเจ้าของเสียงนุ่มหวานที่ได้ยินทุกครั้งไม่ว่าจะเช้าหรือค่ำ
“เอาละ”
แผ่นเสียงหมุนช้าๆเสียงเพลงทำนองรื่นหูดังก้องไปทั่วตัวบ้านอย่างไพเราะทีเดียว
ผมกอดอกเอนตัวพิงกับผนังบ้านสีนวลก่อนจะฮัมจังหวะเพลงไปด้วย
เพียงไม่นานเสียงฮัมเพลงจากภายนอกก็ดังเข้ามาด้านในตัวบ้าน ผมเพลิดเพลินไปกับมันและดูท่าเงาดำริมหน้าต่างจะชอบใจด้วยเหมือนกัน ผมลอบเดินไปชิดหน้าต่างและชะโงกหน้าออกไป
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงนั่งฮัมเพลงอยู่บนหินก้อนใหญ่ในแปลงดอกไม้ที่ผมไม่รู้ชื่อเพียงแค่เห็นมันขึ้นตรงนั้นมานานแถมยังมีวัชพืชขึ้นปกคลุมไปเกินครึ่งเพราะขาดการดูแลเอาใจใส่
“เธอเป็นใคร”
เสียงหวานชะงัก มีเพียงดนตรีที่ยังเล่นต่อ
ผมผลักบานหน้าต่างออกไปก่อนจะชะโงกหน้ามองร่างนั้น เขายังอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ผมหยิบตะเกียงข้างตัวยื่นไปข้างหน้า พร้อมกับออกคำสั่ง
“เดินเข้ามาใกล้แสงไฟ”
“นายไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน”
เด็กหนุ่มพูดด้วยเสียงเรียบนิ่งแต่ชัดถ้อยชัดคำ ผมหยิบแว่นมาสวมแต่แต่ก็ยังเห็นเขาได้ไม่ชัดนัก
“งั้นฉันจะออกไปเอง”ผมไม่พูดเปล่าปีนข้ามบานหน้าต่างที่เปิดกว้างไปหา เขาก็ยังนั่งนิ่งไม่ไหวติงอีกเช่นเคยจนกระทั่งผมหยุดตรงหน้าเขา เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหวานหยดราวกับหญิง ผอมเก้งก้างทีเดียว
“นายเหยียบฉันอยู่”
ผมเลิกคิ้วอย่างงงๆ ก้มมองปลายเท้าแต่ก็ไม่ได้เห็นว่าจะเหยียบอะไรหรือเท้าใครเลยด้วยซ้ำนอกจากดอกไม้สีชมพูอ่อน แต่มือเล็กยังสะบัดไล่ผมออกห่าง ผมยังคงยืนนิ่ง
“เจ้าคนป่าเถื่อน”
“เธอบุกรุกเขตบริเวณบ้านคนอื่นอยู่นะ”ผมพูดบ้างหากสายตาของเขาหันขวับมาทางผม จ้องตาแทบถลน
“ฉันก็อยู่ของฉันนายนั่นแหละที่รบกวนเวลานอนฉันแทบทุกวัน”
เพื่อนบ้านเหรอผมคิด แต่มันไม่น่าเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ
“แต่เธอก็ดูชอบนี่ไอ้หนู”ผมขัดเขาเงียบไป “แถมร้องคลอไปกับเสียงเปียโนอยู่ตลอด”
เด็กหนุ่มก้มหน้ายอมแพ้
“กรับส์”
“หือ?”
“ชื่อฉัน”เขาช้อนตาขึ้นมอง “อย่ามาเรียกฉันไอ้หนู”
“โอเค”ผมพูดยิ้มๆ“ฉันแจ็คพัมสกิ้น”
“แจ็คหัวฟักทอง?”
“แจ็คแค่แจ็คก็พอ”
“ดี แจ็คตัวหนักเดินออกจากตัวฉันสักทีจะได้นอนต่อ” ไม่ว่าเปล่ากรับส์แหวกเถาวัลย์เลื้อยออกจากหินที่ตัวเองนั่งอยู่ก่อนจะชี้ให้ดูตัวอักษรเล็กๆ ที่สลักไว้กับหิน ผมยื่นตะเกียงไปข้ามหน้าแล้วอ่านมัน
‘กรับส์ สมิธ‘
“โอ้ โทษที”ผมเดินไปยืนข้างๆเขา
และหลุมศพเขาแทน
กรับส์ตายเพราะโรคหัวใจวายฉับพลัน แม่คนเดียวของเขาจึงขายบ้านหลังนี้ให้ผมเพราะไม่มีใครจะทำงานช่วยจ่ายค่าบ้านไหวอีกต่อไป ขณะที่เด็กหนุ่มเล่าเรื่องผมมองอย่างเห็นใจ เขากลับทำท่าเหมือนสนใจเรื่องของผมมากกว่า
“ทำไมถึงมาอยู่บ้านเก่าๆหลังเล็กห่างไกลผู้คนแบบนี้ล่ะ”
“มันแปลกเหรอ”
“นายเพิ่งจะบอกว่าอายุยี่สิบแปดเป็นเรื่องปกติรึไงนี่มันวัยทรกรรมตัวเองเพื่อล้วงเงินเข้ากระเป๋าไม่ใช่ใช้ชีวิตเหมือนคนแก่สิ”
“ฉันอาจจะอยากอยู่อย่างสงบก็ได้”
“อย่าโกหกผีสิคนตายก็ไม่อยากคิดเรื่องคนเป็นนักหรอกนะ ไม่งั้นจะตายทำไม”
“หึ”ผมหัวเราะในลำคอก่อนจะกระแอมอย่างประหม่า “ฉันคิดว่าที่นี่เหมาะจะตายอย่างสงบ เหนื่อยแล้วกับการต้องลืมตาขึ้นมามองโลกที่ไม่มีใครอยู่ข้างกันเลยสักคน”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจไปพักใหญ่กับคำพูดคล้ายบทกวีนั่นเท้ายังคงแกว่งกระทบป้ายหลุมศพทำจากหินของตัวเอง ผิวซีดต้องแสงของพระจันทร์ดูน่ามองทีเดียว
“เธอมีอะไรติดค้างอยู่ในใจหรือถึงไม่เกิดใหม่สักที”
กรับส์ทำท่าคิด“มีสิฉันมีแต่ไม่คิดว่าจะมีใครช่วยได้หรอก”
“บางทีฉันอาจช่วยได้”
ผมพูดจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา ผมเห็นความอบอุ่น ฤดูใบไม้ร่วง และตัวเองในตาคู่นั้นดวงตาของกรับส์เป็นสีน้ำตาลอ่อน ก่อนจะรู้ตัวว่ามองมากเกินไปตอนที่เด็กหนุ่มหันหลบไปมองพื้นผมเกาหางคิ้วตัวเองอย่างเขอะเขินไปครู่หนึ่ง แค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น “ถ้าเธอยอมบอกน่ะนะ”
“ฉันทำแหวนของแม่หาย”กรับส์ยื่นมือขวามาให้ผมดูมีรอยสีแดงเป็นวงรอบๆ นิ้วกลางอย่างคนที่เคยใส่แหวน“เธอให้ฉันเป็นของขวัญวันเกิดอายุสิบเก้าก่อนตาย คงเมื่อราวๆสิบปีก่อน ไม่แน่ว่ามันอาจจะหล่นอยู่แถวนี้ในสวนนี่แหละ”
“ยากเหมือนกันแฮะ”
“แล้วอีกเรื่อง..”เงียบกริบอีกครั้ง แต่ไม่นานเขาก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มบางๆ ให้ผมหายคลายใจ“ ไว้ฉันพร้อมจะบอกแล้วกัน ”
ทุกเที่ยงคืนเมื่อผมบรรเลงบทเพลง เสียงร้องทุ้มหวานก็จะดังคลอไปด้วยกัน ผมลอบมองออกไปทางหน้าต่างอยู่เป็นประจำ
ในบางครั้งความรู้สึกที่มากขึ้นแต่ละวันมันก็เหมือนการยกกำลัง
กรับส์ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นจากหลุมศพตัวเองมานั่งที่ริมหน้าต่าง กระทั่งนั่งก้าวอีกถัดจากผมห่างไปเพียงครึ่งศอกจ้องมองนิ้วมือผมเริงระบำอยู่กับคีย์เปียโน กรับส์เรียนรู้ได้ไว ในเช้าวันหนึ่งที่ผมกลับจากซื้ออาหารภายในเมืองเขาก็เล่นเพลงได้แล้วหนึ่งท่อน
จากหนึ่งเป็นสอง
จากสองเป็นสี่
และจากสี่เป็นแปด
ความรู้สึกมันมากขึ้นทุกวัน
“เก่ง”ผมเอ่ยชมเขายืดอกภูมิใจราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ในเวลากลางวันผมจะหมดพลังไปกับการแหวกพงหญ้าเพื่อตามหาแหวนวงเล็กตามคำขอของผีตัวเล็กไม่ใช่เรื่องง่าย ผมตัดสินใจซื้อกรรไกรตัดหญ้ามาถากหญ้ารกๆพวกนี้ออกกระทั่งสนามหญ้าโล่งเตี้ยนไปหมดกรับส์นั่งมองอย่างประทับใจอยู่บนแท่นหินของตัวเอง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างน่ามองทีเดียว
“นายน่าจะปลูกดอกไม้ด้วยนะเผื่อบ้านหลังนี้จะได้สวยพอจะมีคนมาซื้อไปใหม่”
“เอาแต่ใจไปหน่อยแล้วนะ”
“ก็แค่แนะนำ”
กรับส์ทำหน้ามุ่ยผมอมยิ้มเล็กๆ ก่อนจะยกมือขึ้นยีผมยุ่งฟูนั่นแรงๆ
“ไม่ยักรู้ว่าผีจับต้องได้ด้วย”
“ฉันก็เพิ่งจะรู้เหมือนกัน”ผีตรงหน้าผมยกมือขึ้นมาจับมือผมเอาไว้ขณะที่ผมเลื่อนมันมาประคองแก้มนุ่มเย็นผมสัมผัสได้ว่าเขาหายใจแรง
ทั้งที่เป็นผี
“กรับส์”ผมเรียกเขาสบตากับผมเหมือนทุกที ผมถอนหายใจก่อนจะล้วงกระเป๋าเพื่อมอบสิ่งหนึ่งให้เขาเป็นแหวนสีเงินประดับด้วยลายเถาวัลย์เลื้อย กรับส์เบิกตากว้าง “ฉันเจอมันมาพักหนึ่งแล้ว”
“แล้วทำไมนายไม่บอกฉัน”
เงียบตกอยู่ในความเงียบที่แทบจะเงียบไปชั่วนิรันดิ์หากว่าผมไม่เอ่ยต่อ
ผมพ่นลมหายใจพรู“ถ้าหากว่าฉันคืนแหวนให้เธอ เธอจะหายไปจากฉันไหมกรับส์”
เสียงนกทรัชดังอยู่ไม่ใกล้ไกลขณะที่ผมรอคำตอบเขาเพียงแต่เงียบ มองแหวนสลับกับผม ส่ายหัวเบาๆราวกับแน่ใจในคำตอบ
รู้ไหมในบางทีผมก็อยากจะปล่อยเรื่องที่กำลังคิดอยู่ตอนนี้จมหายไปในทะเลความยุ่งเหยิงในหัวผมไปเหมือนกับเรื่องอื่นๆแล้วลืมมัน
แต่มันทำไม่ได้ในตอนนี้ผมต้องการแค่ได้รู้
“เรื่องอีกข้อหนึ่งที่ฉันไม่เคยบอกนาย”กรับส์ปริปากพูดท่ามกลางความอึดอัดกับช่องว่างที่เกิดขึ้น“ฉันอยากจะรู้จักความรัก เหมือนที่แม่รักกับพ่อ ในตอนนี้ที่มันเกิดขึ้นกับฉัน ..กับนาย”
ผีตัวเล็กสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมอึ้งมากกว่าเก่า
“นายรู้สึกแบบเดียวกับฉันใช่ไหม..และถ้าฉันได้แหวนนั่นคืนมาฉันคงจะหายไปอย่างที่ว่า”
ดาวดวงแรกปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า แม้มันจะยังสว่างโร่เป็นสีส้มทองอยู่ก็ตามที
“จังหวะไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่เลยว่าไหม”ผมพูดก่อนจะหัวเราะเบาๆ จับมือเรียวสวยของกรับส์ขึ้นมมาลูบด้วยนิ้วโป้ง“ฉันไม่มีห่วงอะไร ถ้าตายไปคงจะรีบเกิดใหม่”
“...”
“แต่กว่าจะถึงตอนนั้นฉันอยากใส่แหวนให้เธอก่อน”
“แจ๊ค”
แหวนสีเงินถูกสอดเข้าไปที่ตำแหน่งเดิมของมันอย่างเบามือก่อนที่ผมจะก้มลงไปมอบจูบครั้งแรกและครั้งสุดท้ายกับร่างที่เริ่มเจือจาง บดเบียดริมฝีปากเข้าหากันเหลือทิ้งไว้เพียงความเย็นชื้นและสายลมฤดูใบไม้ผลิ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in