เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Short storyฝนมกรา.
อาทิตย์ นิรันดร์ อาลีซาน
  • “ริ้วหมอกที่ต้องแสงตะวันคือนิรันดร์ของบางสิ่ง”

    ชายหนุ่มนัยน์ตาเศร้าที่ยืนอยู่ข้างฉันเปรยขึ้นเบาๆ

    แปลกไหม ถ้าจะบอกว่าฉันฟังคำพูดของเขาไม่เข้าใจ

    ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔ คำว่า‘นิรันดร์’ เป็นคำวิเศษณ์ หมายถึง ตลอดไปไม่เว้นว่าง, ติดต่อกันตลอดไป มีความหมายเดียวกับ นิรันดร, ถาวร, ตลอดไป

    ในเมื่อหมอกไม่ได้มาให้เห็นทุกวันทุกฤดูกาล และบางครั้งบางคราวดวงอาทิตย์ก็ไม่ยอมฉายแสง แล้วริ้วหมอกที่ไม่ได้ต้องแสงตะวันทุกวันจะเป็นนิรันดร์ของบางสิ่งไปได้อย่างไร

    “คำว่า ‘นิรันดร์’ สามารถใช้กับสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนได้ด้วยเหรอ”

    “ผมกลับคิดว่าคำว่า ‘นิรันดร์’ เกิดมาเพื่อให้ใช้กับสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนนะ” เขาหยุดพูดเว้นว่างให้ฉันคิดตามครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ “ในจักรวาลแห่งนี้ ไม่มีสิ่งใดเป็นนิจนิรันดร์ไม่ว่าความรัก ความสวยงาม ท้องทะเล ธรรมชาติ กฎหมาย หรือแม้กระทั่งดีเอ็นเอของมนุษย์ ไม่มีสิ่งใดตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง อ่อ แต่คงต้องยกเว้นดวงอาทิตย์เอาไว้สักอย่าง มันขึ้นทางทิศตะวันออกแล้วลับหายไปทางทิศตะวันตกทุกวันมาหลายล้านล้านปีแล้ว และคงจะเป็นเช่นนั้นต่อไปตราบชั่วนิจนิรันดร์”  

    ผิดแล้ว ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์อายุ 4.6 พันล้านปี

    เมื่อขึ้นชื่อว่ามี ‘อายุ’ ย่อมหมายความว่าสักวันดวงอาทิตย์จะแก่ชราแล้วดับมอดไป ทิ้งให้โลกกับดาวดวงอื่นในระบบสุริยะโคจรอยู่ในจักรวาลที่มืดมิดต่อไป

    ถึงจะรู้แบบนั้นแต่ฉันจะไม่พูดขัดเขา เนื่องจากใจความหลักสำคัญที่เราคุยกันอยู่มิใช่เรื่องของดวงอาทิตย์แต่เป็นเรื่องอื่น

    “นิรันดร์ของความไม่แน่นอน” ฉันพูดสิ่งที่คิดออกมา

    ชายหนุ่มคนเดิมอมยิ้มแววตายังเศร้าสร้อยลึกล้ำอยู่เช่นเดิม

    ฉันกับเขาเราสองคนคือคนแปลกหน้าของกันและกัน

    นอกจากชื่อเล่นของเขา ชื่อจริงของฉันและอาชีพของเขา เราทั้งคู่ก็ไม่ได้รู้จักกันไปมากกว่านั้นเลย

    ฉันกับเขาเพียงแค่โคจรมาพบเจอกันโดยบังเอิญ ณ สถานที่ซึ่งอยู่ห่างไกลจากประเทศไทยถึงหนึ่งพันสี่ร้อยไมล์

    อุทยานแห่งชาติอาลีซาน มณฑลเจียอี้ ประเทศไต้หวัน

    ห้าโมงกับอีกยี่สิบหกนาทีนักท่องเที่ยวยืนรวมตัวอยู่ในบริเวณลานกว้างหน้าสถานีรถไฟอาลีซาน ทุกคนพร้อมใจกันหันหน้าไปทางทิศตะวันตก เฝ้ามองดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลงหลังทิวเขาที่ทอดตัวคดโค้งคล้ายสันหนอกของอูฐตัวใหญ่ เมฆหมอกเหนือบริเวณนั้นถูกย้อมด้วยแสงอัสดงสีส้มทอง ภาพตรงหน้าสวยดั่งสวรรค์บนดิน แต่ฉันคงเป็นคนเดียวในสถานที่แห่งนี้ที่เบือนหน้าหนีไม่ยอมมอง

    “เราไม่อยากเห็นอาทิตย์ตกดินเลย” ฉันพึมพำ ควันสีขาวไหลพรั่งพรูออกปาก สลายหายไปกับสายลมที่พัดผ่าน สองแขนยกขึ้นโอบกอดตัวเองท่ามกลางอุณหภูมิแปดองศา

    ในโมงยามนี้แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์โรยราจนปราศจากความอบอุ่น เสื้อดาวน์แจ็คเก็ตป้องกันลมหนาวได้ดีเยี่ยม ทว่ามันห่มคลุมได้เพียงแค่ผิวหนังเท่านั้น หัวใจของฉันยังคงเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่ฉันเผลอคิดถึงใครบางคนที่อยู่ห่างออกไปเป็นพันไมล์

    อาทิตย์ชายผู้เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ในชีวิตของฉัน

    รักแรก รักเดียว ตั้งแต่สมัยมัธยมต้นจนถึงวัยเบญจเพส

    อาทิตย์เป็นสิ่งที่ฉันขาดไม่ได้ เหมือนร่างกายมนุษย์ที่ต้องการวิตามินดีจากแสงแดดยามเช้า เหมือนพืชพรรณที่ต้องอาศัยแสงแดดในการสังเคาะห์อาหารด้วยแสง

    อนิจจา...

    การยืนอยู่ที่นี่ เวลานี้ คือสิ่งยืนยันว่าอาทิตย์ดวงนั้นได้ลาลับไปจากฉันแล้ว

     


    การมาเที่ยวไต้หวันคือความฝันอย่างหนึ่งของฉัน

    ช่วงเริ่มทำงานใหม่ๆ ฉันเคยรบเร้าให้อาทิตย์มาเที่ยวเป็นเพื่อน เขาปฏิเสธพร้อมตัดบทว่าจะเก็บหอมรอมริบไว้สู่ขอฉัน ครั้นพอจับได้ว่าอาทิตย์มีคนอื่น ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นพี่สาวของฉันเอง สัปดาห์ถัดมาฉันก็เก็บกระเป๋าเสื้อผ้า ปิดมือถือที่มีห้าสิบมิสคอลจากอาทิตย์ แล้วจับเครื่องบินจากดอนเมืองมาลงเถาหยวน ทิ้งรักร้าวกับผู้ชายสารเลวมาไล่ตามความฝันโดยไม่ลังเลอะไรอีก

    และในเช้าวันที่สี่ของการเดินทางตามลำพังฉันก็ได้พบกับเขา

    ชายหนุ่มนัยน์ตาเศร้าคนนี้

    เขามาเที่ยวไต้หวันคนเดียวเหมือนฉัน เราเจอกันบนมินิบัสสายที่มุ่งตรงจากทะเลสาบสุริยันจันทราสู่อาลีซาน ฉันนั่งอยู่ริมหน้าต่างด้านหลังเบาะที่นั่งของเขาระหว่างการนั่งรถยาวนานเกือบสี่ชั่วโมง รถลอดผ่านอุโมงค์มืดหลายหน ทว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันกับเขามีโอกาสได้สบตากันผ่านเงาสะท้อนบนกระจก

    เรามองสีหน้าปราศจากรอยยิ้มของอีกฝ่าย สบมองแววตาแห้งแล้งของกันและกัน ฉันสังเกตเห็นความทุกข์ตรมของเขา และเขาคงเห็นความชอกช้ำของฉันแล้วเช่นกัน

    เขายิ้ม ฉันยิ้มตอบ

    ตอนนั้นเองที่ขั้วบวกขั้วลบของความโศกเศร้าดึงดูดเราเข้าหากันในความเงียบงัน

    เมื่อมาถึงอาลีซานฉันไม่ได้หวังว่าจะได้เจอเขาอีก เพราะทุกคนบนมินิบัสต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง เขาจากไปพร้อมเป้ใบใหญ่ ส่วนฉันลากกระเป๋าเดินทางใบจ้อยไปฝากไว้ที่โรงแรม อีกครึ่งชั่วโมงให้หลังถึงได้เดินกลับไปตั้งต้นที่สถานีรถไฟบนไหล่ภูเขา

    การเดินทางไปไหนมาไหนในอุทยานแห่งชาติอาลีซานมีแค่การนั่งรถไฟกับการเดินเท้าเท่านั้น ไม่รู้ด้วยความบังเอิญ โชคชะตา หรือเพราะบริเวณสถานีรถไฟมีที่ให้เดินไม่มาก ฉันจึงได้เจอเขาอีกครั้งใต้ต้นเมเปิ้ลที่ยืนหยัดอย่างเดียวดายอยู่ริมทาง

    ใช่, ฉันคิดว่ามันเดียวดาย

    ไม่ใช่เพราะแถวนี้ไม่มีต้นไม้อื่นใดนอกจากมัน แต่เป็นเพราะมีมันเพียงต้นเดียวที่รีบผลัดสีใบก่อนต้นอื่นๆ และใบสีแดงจัดของมันก็เป็นสีสันเดียวที่เจิดจรัส แปลกแยกอยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอกขมุกขมัวสีขาวอมเทา

    ฉันหยุดเดินยืนนิ่ง ประสานสายตากับชายแปลกหน้าใต้กิ่งใบไม้สีแดง แววตาของเขาไม่เหมือนคนหนุ่มสาว มันบรรจุเรื่องราวไว้มากมายเกินไป คล้ายแววตาของชายชราที่ผ่านมรสุมชีวิตมามาก

    “ไจ้” เขาพูดออกมาหนึ่งคำ เป็นคำที่ฉันไม่เข้าใจ เดาว่าเป็นชื่อของเขาแล้วกัน

    “ไจ้? ชื่อคุณแปลก”

    “ใครๆ ก็ว่าอย่างนั้น”

    “ไจ้แปลว่าอะไรเหรอคะ”

    “ไจ้ เป้า ยี เหม้า สี ไส้ สะง้า เม็ด สัน เร้า เส็ด ไก๊” พอเห็นฉันทำหน้างงงันเขาก็เฉลย “ชื่อปีนักษัตรในภาษาล้านนา ปีไจ้คือปีชวด ผมเกิดปีชวดน่ะ”

    “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” ฉันนึกขันในความช่างอธิบายของเขาแล้วบอกชื่อตัวเองบ้าง “เราชื่อนิ”

    “นิทรา นิทาน หรือนิรนาม”

    “นิรันดร์ค่ะ” ฉันตอบ

    “ผมชอบชื่อคุณ” เขายิ้มอ่อนหวานปนโศก

    ฉันไม่ได้ตอบว่าฉันก็ชอบชื่อตัวเองอยู่เหมือนกัน เพียงแต่หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตฉันไม่ได้ใกล้เคียงกับนิยามของคำว่านิรันดร์ เหมือนอย่างชื่อของฉันเลย

     



    “นิรอก่อน”

    ไจ้เรียกฉันไว้หลังก้าวเท้าลงจากรถไฟ มือผอมเรียวยาวยกกล้องฟูจิขึ้นบันทึกภาพ สิ่งที่เขาถ่ายเก็บไว้คือรถไฟโบราณสีแดงที่นำเราไต่เขาฝ่าหมอกหนาขึ้นมาถึงสถานีเจาผิง

    เรื่องตลกคือเราไม่ได้ตกลงกันไว้ด้วยซ้ำว่าจะเดินไปด้วยกัน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครละทิ้งใครไว้เบื้องหลัง แม้ว่าเป้าหมายของเราทั้งคู่จะแตกต่างกันก็ตาม

    ฉันมาอาลีซาน เพราะอยากเห็นป่าสนอายุพันปีกับบ่อน้ำกลางป่า ส่วนเป้าหมายของไจ้คือการนั่งรถไฟโบราณขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สถานีจูซานในวันพรุ่ง บ่ายที่เหลืออยู่ของวันนี้ ไจ้ไม่มีอะไรทำเลยคอยเดินตามฉันต้อยๆ เจออะไรสวยสะดุดตาหน่อยก็หยุดถ่ายภาพ ผิดกับฉันที่ไม่สนใจจะถ่ายรูปอะไรเก็บไว้  ทั้งที่ฉันเป็นคนอยากมาเดินป่าที่นี่มากกว่าเขาแท้ๆ

    “ดูท้องฟ้าสิ” ไจ้ชี้ขึ้นไปเหนือศีรษะขณะที่เรายืนอยู่กลางแจ้ง

    ฉันแหงนคอตั้งตามองฟ้า ก่อนหน้านั้นฉันไม่เคยคิดว่าท้องฟ้าจะสวยได้ขนาดนี้ อาจเพราะเจาผิงอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง ๒,๒๗๔ เมตร ที่นี่จึงไม่มีตึกรามบ้านช่อง ไม่มีป้ายโฆษณา ไม่มีเสาไฟฟ้าหรือสายไฟระโยงระยาง และไม่มีอะไรขวางกั้นฉันออกห่างจากท้องฟ้าเวิ้งว้าง

    ฉันรู้สึกตัวเล็กนิดเดียวเมื่ออยู่ใต้แผ่นฟ้าสีครามสดใสใหญ่เบ้อเร้อ แค่ได้มองท้องฟ้าก็รู้สึกว่าคุ้มค่าแล้วที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้

    “ไม่ไปดูต้นสนกับบ่อน้ำแล้วเหรอ” ไจ้ทักถาม เพราะเห็นฉันเหม่อลอยอยู่นานหลายนาที

    “ไปสิไป” ฉันหัวเราะแล้วรีบเดินนำไปข้างหน้า

    ตลอดสองข้างทางชมธรรมชาติมีแต่ต้นสน บ้างยังมีชีวิต บ้างถูกโค่นจนเหลือแต่ตอหงิกงอเป็นรูปทรงประหลาด เมื่อมีต้นสนหนาแน่น แสงแดดจึงสาดส่องลงมาไม่ถึงพื้นดิน อากาศด้านล่างในระดับที่มนุษย์ชูคอถึงเลยค่อนข้างหนาวเย็น ฉ่ำชื้น และมีหมอกลอยต่ำให้เห็นอยู่ตลอดเวลา

    ฉันกับไจ้ใช้พลังงานไปกับการเดินจนไม่มีแรงจะพูดคุยกัน เราเดินไปตามป้ายบอกทางเงียบๆ จนกระทั่งพบบ่อน้ำสองบ่อ บ่อหนึ่งมีขนาดเล็ก ส่วนอีกบ่อใหญ่กว่ามาก พวกมันคือบ่อน้ำซิสเตอร์พอนด์ที่ฉันดั้นด้นมาไกลเพื่อมาเจอ

    บ่อน้ำ SisterPond ถูกล้อมรอบด้วยหินสีเทา น้ำใสจนเห็นก้นบ่อและตอไม้ที่จมอยู่ข้างใต้ ผืนผิวน้ำสีมรกตเรียบนิ่งเหมือนกระจกที่กำลังสะท้อนภาพท้องฟ้า ป่าสีเขียวอมเหลือง และศาลากลางน้ำมันงดงามจับตาคุ้มค่ากับการยอมเหนื่อยลากสังขารเดินขึ้นภูเขามาดูเป็นอย่างยิ่ง

    “ไจ้รู้ประวัติของที่นี่ไหม” ฉันทำการบ้านมาดี นอกจากวิธีการเดินทาง ยังรู้ประวัติคร่าวๆ ด้วย

    “นิเล่าให้ฟังหน่อยสิ”

    “มีสองสาวพี่น้องอยู่คู่หนึ่ง พวกเธอตกหลุมรักผู้ชายคนเดียวกัน ด้วยความที่เป็นพี่น้อง พวกเธอไม่อยากทำให้พี่สาวน้องสาวของตนเองต้องเจ็บปวด แต่ก็ไม่อาจหยุดความรักที่มีต่อผู้ชายคนนั้นได้ สุดท้ายจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายที่นี่ บ่อน้ำแห่งนี้จึงได้ชื่อว่าซิสเตอร์พอนด์”

    ฉันมองบ่อน้ำด้วยสายตาปวดร้าว นึกถึงเรื่องของตัวเองที่สอดคล้องกับเรื่องของพวกเธอสองพี่น้องอย่างน่าใจหาย อาจจะต่างกันนิดหน่อยตรงที่ฉันกับพี่สาวที่หลงรักผู้ชายคนเดียวกันยังไม่มีใครฆ่าตัวตายก็เท่านั้นเอง

    “ถามได้ไหม ทำไมนิถึงมาเที่ยวคนเดียว” ไจ้ถามขึ้นในช่วงที่ฉันหดหู่ซึมเซาถึงขีดสุด

    ฉันยิ้มฝาดเฝื่อนเหมือนคนโดนกรอกยาขมเข้าปาก

    “เราอกหัก เพิ่งรู้ว่าดวงอาทิตย์ของเราไม่ได้ฉายแสงให้เราอบอุ่นแค่เพียงคนเดียว...”

    ฉันเล่าเรื่องตัวเองให้เขาฟัง ไจ้ไม่ได้มองฉันด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจแบบที่เพื่อนทุกคนของฉันทำหลังทราบข่าวของฉันกับอาทิตย์ ดวงตาดำขลับแสนเศร้าของเขามองฉันด้วยความเข้าใจลึกซึ้ง

    “ผมเคยเจอมาแล้ว สักวันเมื่อทำใจได้ นิจะรู้สึกว่าตัวเองโชคดีแล้วที่อกหักจากคนที่ไม่ซื่อสัตย์”

    “ขอบใจนะ” ฉันขอบคุณเขาจากใจจริง เริ่มสัมผัสได้ว่าไจ้เป็นคนช่างพูด ไม่ได้หมายความว่าเขาพูดมาก แต่ฉันหมายถึง สิ่งที่เขาพูดมันมีความหมายมากกว่าคำพูดของคนอื่นๆ “ไจ้ทำงานอะไรเหรอ”

    “ผมเป็นนักเขียน” ไจ้พูดตอบอย่างสงบเสงี่ยม เสียงของเขาดังก้องอยู่ในความเงียบรอบบ่อน้ำเหมือนเสียงระฆังวัดที่ดังแหวกอากาศมาตอนเช้าๆ ในหมู่บ้านตามชนบท

    “ไจ้เราเคยอ่านเรื่องสั้นอยู่เรื่องหนึ่ง...”

    ฉันเล่าเรื่อง ‘กิโลเมตรที่ ๔๒ ถนนสายจอมทอง-ดอยอินทนนท์’ ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือรวมเรื่องสั้นรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดปี ๒๕๕๖ ให้เขาฟัง มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสาวน้อยคนหนึ่งที่ชื่อคำแดง เธอหลงรักนักเขียนหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเขาไม่ได้รักเธอ และพวกเขาทั้งคู่ไปเที่ยวกิ่วแม่ปานด้วยกัน

    ประโยคเด็ดของเรื่องนั้นมีอยู่ว่า...

    ‘อย่าหลงรักนักเขียน’ แม่เคยบอก ‘เราไม่มีทางรู้เลยว่าถ้อยคำต่างๆ ที่เขาบอกเรา เป็นสิ่งที่ออกมาจากใจหรือเป็นเพียงความเคยชินจากการสรรหาคำสวยหรูดูดีมาทำให้คนอื่นประทับใจเท่านั้น’

    “นักเขียนเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า” ฉันถามด้วยความสงสัย

    “ไม่รู้สินิคงต้องหาคำตอบเอาเอง” ไจ้ไม่ยอมบอกฉัน ว่านักเขียนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนเหมือนที่ในเรื่องสั้นเรื่องนั้นเตือนไว้หรือเปล่า

     



    17.26 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศไต้หวัน

    ฉันกับไจ้ยังคงอยู่ด้วยกัน เรากลับลงมาจากเขาด้วยรถไฟเที่ยวสุดท้าย และยืนรอดูพระอาทิตย์ตกดินอยู่บนระเบียงชั้นสองของสถานีอาลีซาน เพราะไม่อยากลงไปเบียดเสียดกับใครที่ลานไม้ด้านล่าง

    ระหว่างที่รอคอยเราพูดคุยกันน้อยมาก แต่ตอนที่พระอาทิตย์ใกล้ตก และอากาศหนาวขึ้นจนหมอกหนาจัด จู่ๆ ไจ้ได้พูดประโยคที่ฉันฟังไม่เข้าใจออกมา เราถกกันเรื่องคำว่า ‘นิรันดร์’ แล้วปิดท้ายด้วยการที่ฉันพูดอย่างเอาแต่ใจว่าไม่อยากเห็นอาทิตย์ตกดินเลย

    “ทำไมล่ะนิไม่ชอบเหรอ” ไจ้คงแปลกใจที่ฉันพูดแบบนั้น

    “เราว่ามันก็สวยดีอยู่นะ แต่พออาทิตย์ตกไป ทุกอย่างก็มืดไปหมด เรากลัวความมืดน่ะ”

    แววตาของไจ้ดิ่งลึกลงสู่ความรับรู้บางประการ เขาเป็นนักเขียน ย่อมต้องเข้าใจความนัยที่ฉันซ่อนเอาไว้ในประโยคนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นฉันจึงตั้งใจรอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ

    “ไม่มีกลางคืนที่ไม่สิ้นสุดหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว มันคือนิจนิรันดร์เดียวที่เป็นของจริง”

    “จริงเหรอ” ฉันกังขา ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งที่เขาพูดคือความจริง

    “จริงสิ” ไจ้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนปริปากถามฉันว่า “นิรันดร์ใช่ชื่อจริงๆ ของนิไหม”

    “ใช่เราชื่อนิรันดร์”

    ทั้งที่ฉันโดนพ่อทิ้งตั้งแต่ยังไม่เกิด แม่ก็ยังตั้งชื่อฉันแบบนี้ เพราะอยากประชดผู้ชายคนนั้น คนที่เคยสัญญาว่าจะรักกันตลอดไปตราบจนนิจนิรันดร์

    ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเป็นหนึ่งในตัวอย่างของคำว่า ‘นิรันดร์’ ที่เกิดมาเพื่อใช้กับสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน เหมือนอย่างเช่นความรักของพ่อกับแม่ฉัน

    “นิอยากรู้ชื่อจริงของผมบ้างไหมล่ะ”

    “อือ” ฉันยักคิ้ว เป็นเชิงว่าบอกมาสิ อยากฟัง

    “ผมชื่อทินกร” เขายิ้มหลังเอ่ยชื่อตัวเองออกมา

    ฉันขบขันระคนแปลกใจในความบังเอิญที่ได้พบเจอตอนนี้ ฉันยืนมองดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งกำลังตกดิน พร้อมๆ กับคิดถึงดวงอาทิตย์อีกดวงที่ลาลับไปแล้วในเมืองไทย แต่ก็มีดวงอาทิตย์อีกดวงที่กำลังลุกไหม้อยู่ตรงหน้า และเป็นดวงเดียวที่แผ่ความอบอุ่นเข้ามาห่มคลุมหัวใจฉันใต้ไอหมอกหนาวบาดผิวได้

    “พรุ่งนี้เช้านิไปอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นกับผมไหม”

    คำชักชวนของไจ้ฟังเผินๆ เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ฉันตาไวพอจะสังเกตเห็นว่าใบหูของไจ้เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเหมือนโดนความร้อนลามลน

    “ไปสิ” คำตอบของฉันทำให้ดวงอาทิตย์บางดวงฉายแสงเจิดจ้าพร่าตา

    อาจจะเป็นอย่างที่ไจ้บอกเราคงต้องยกเว้นคำว่า ‘นิรันดร์’ เอาไว้ใช้คู่กับดวงอาทิตย์สักอย่าง อย่างน้อยๆก็จนกว่าไฟและความร้อนของมันจะดับมอดหายไปในจักรวาล

    เพราะกว่าจะถึงเวลานั้นเมื่อดวงอาทิตย์ลาลับหายไปทางขอบฟ้าทางทิศตะวันตก วันพรุ่งนี้มันก็จะกลับมาฉายแสงสว่างไสวอีกครั้งทางทิศตะวันออกเสมอ

    และจะยังคงเป็นเช่นนั้นตลอดกาล...

     

    จบ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in