เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Short storyฝนมกรา.
Metamorphose

  • Warning : m/m romance

     



    7.45AM - 23 พฤษภาคม 2015

    เช้าสดใสในฤดูใบไม้ผลิ

    ท้องฟ้าวันนี้แทบไม่มีเมฆอากาศดี

    และที่ดียิ่งกว่า...

    คามิเลียของผมกำลังจะมีลูก!

     

    ผมคาบดินสอไว้ด้วยริมฝีปากขณะหยิบกล้องขึ้นมาชักภาพ เก็บสิ่งที่ได้เห็นไว้เป็นที่ระลึก

    ฟิล์มโพลารอยด์ขอบขาวไหลลื่นออกมาทางช่องด้านบนของกล้องรูปถ่ายใบนั้นไร้สีสันและมันวาวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ลวดลายหลากสีจะปรากฏขึ้นเผยให้เห็นภาพผีเสื้อเกาะอยู่บนขอบของยอดไม้อ่อน ปีกของมันมีสีน้ำตาลอมดำลายพาดขวางสีแดงสด ขอบปีกบนแตะแต้มด้วยจุดสีขาวเด่นสะดุดตา

    คามิเลียคือชื่อของผีเสื้อแดง[1]ตัวโปรดของผม

    เธอเกิดและโตในเรือนเพาะชำแห่งนี้เหมือนผีเสื้อนับร้อยๆ ตัวของผม แต่สถานะของเธอกลับพิเศษยิ่งกว่าผีเสื้อตัวไหนๆที่ผมเคยเลี้ยงมาทั้งหมด เพราะทุกครั้งที่ผมเข้ามาสังเกตและบันทึกพฤติกรรมผีเสื้อคามิเลียมักจะบินมาเกาะบนตัวหรือบนปลายนิ้วของผมเสมอ

    ดูสิเธอช่างอ่อนหวาน...

    เมื่อพูดแบบนั้นออกไปแม่มักหัวร่อใส่ผม แม่เป็นนักกีฏวิทยาที่ไร้จินตนาการซึ่งขยันอธิบายว่าผีเสื้อไม่มีทางรักผมไปมากกว่ายักษ์ใหญ่น่ารำคาญที่ช่วยฉีดน้ำหวานลงบนดอกไม้ปลอมให้มันกินทุกเช้าหรอกและเป็นเพราะน้ำตาลที่ติดอยู่บนตัวผมต่างหากที่ดึงดูดผีเสื้อเข้ามาหา

    อีกอย่างแม่ค่อนข้างเคลือบแคลงใจว่าผมแยกคามิเลียออกจากฝูงผีเสื้อที่หน้าตาดาษดื่นเหมือนๆกันหมดพวกนี้ได้อย่างไรบางทีผมอาจจะตกหลุมรักคามิเลียผิดตัวมาเป็นอาทิตย์แล้วด้วยซ้ำ

    ทว่าการระบุตัวคามิเลียนั้นง่ายดายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีกเพราะผมจำได้แม่นว่าปีกซ้ายของคามิเลียมีลายสีแดงรูปหัวใจน่ารัก…

    “อาร์ชี่โรงเรียน!”

    ภวังค์ความคิดของผมสะดุดลงกะทันหันเมื่อเสียงแหลมๆ ตะโกนเตือนมาจากปากทางเข้าเรือนเพาะชำ

    ผมรีบหันไปส่งสัญญาณขอเวลาอีกหนึ่งนาทีก่อนรีบกดชัตเตอร์ถ่ายภาพอีกครั้ง

    ภาพใบถัดมาของผมเป็นรูปถ่ายของไข่ใบน้อยๆสีเขียวอ่อนรูปทรงคล้ายผลมะเฟือง  ไข่ของผีเสื้อบางชนิดไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าโชคดีที่ไข่ของคามิเลียไม่เป็นเช่นนั้น

    คามิเลียผู้อุดมไปด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่จะวางแผนจัดแจงให้ลูกของเธอเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ดีพร้อมด้วยการวางไข่เพียงหนึ่งฟองลงบนใบไม้หนึ่งใบ ซึ่งรับประกันได้ว่าลูกๆของเธอคงกินใบไม้นั้นจนอ้วนกลมกว่านิ้วก้อยของผมแน่

    “ฉลาดมากที่รัก” ผมชมเชยเธอด้วยน้ำเสียงรักใคร่

    ผีเสื้อแดงผู้อ่อนหวานบินแฉลบผ่านผิวแก้มของผมอย่างนุ่มนวล

    “อาร์ชี่!” แม่ผมตะโกนขัดอีกแล้ว “จะหวานแหววกับแฟนสาวของลูกอีกนานไหมจ้ะจะไปไหมโรงเรียนน่ะ หรืออยากขึ้นรถไฟไปเอง?”

    “ไปแล้วครับ!”

    ผมมองคามิเลียอย่างเศร้าสร้อยได้แต่แอบสัญญาในใจว่าหลังเลิกเรียนผมจะรีบกลับมาหาเธอ

     

    ...

     

    “จากบทนิยามของอนุพันธ์จะได้ว่า f’(x) คือความชันของเส้นโค้ง y=f(x)ที่จุดใดๆ...” เสียงหึ่งๆเหมือนผึ้งของเมอซิเยอร์แม็คเกรเกอร์ ทำให้คาบแคลคูลัสน่าเบื่อชวนง่วงอยู่เสมอ

    วันนี้ก็ด้วย...

    ผมเม้มปากกลั้นหาวเป็นรอบที่ห้าขณะแอบเปิดหน้าสมุดบันทึกที่จดไว้เมื่อเช้าภาพถ่ายโพลารอยด์สองใบถูกหยิบขึ้นมาทากาวแล้วแปะแนบลงบนท้ายหน้ากระดาษอย่างเงียบเชียบ

    ไดอารี่ที่หนาขึ้นทุกทีเป็นหลักฐานชั้นดีว่าผมคลั่งไคล้ผีเสื้อแบบถอนตัวไม่ขึ้นทุกวันผมใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงในการเฝ้ามอง ศึกษาจดบันทึกพฤติกรรมและความเปลี่ยนแปลงของพวกมันลงสมุด รวมทั้งทำสถิติต่างๆเกี่ยวกับพวกมันไว้อย่างละเอียด

    เย็นนี้ผมคงต้องรีบกลับบ้านมีงานที่ต้องทำมากมายในโรงเพาะชำ ระยะนี้ผีเสื้อเริ่มวางไข่แล้วผมต้องนับจำนวนไข่ผีเสื้อ จดบันทึกลักษณะ แยกหมวดหมู่แล้วเก็บไข่เหล่านั้นเข้ากล่องอนุบาลให้เร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยและเพิ่มอัตราการอยู่รอดของพวกมัน

    ผมเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่เหนือกระดานดำอีกนานทีเดียวกว่าจะเลิกเรียน แต่ใจผมแล่นกลับไปอยู่กับพวกผีเสื้อเสียแล้วสิ

     

    ...

     

    7.18PM - 24 พฤษภาคม 2015

    เช้าในฤดูเดิมไม่สดใสเท่าเมื่อวาน มีฝนปรอยๆ ฟ้ามืดครึ้ม

    เมื่อเย็นวานผมนับไข่ผีเสื้อรวมกันได้214 ฟอง

    หนึ่งในจำนวนนั้นมีไข่ของคามิเลีย37 ฟอง ผมมั่นใจว่าตัวเลขนี้ถูกต้อง 100% เพราะไม่มีแม่ผีเสื้อแดงตัวไหนอุตริวางไข่หนึ่งฟองต่อใบไม้หนึ่งใบเหมือนเธอแน่นอน

    ปล.แทบรอไม่ไหว อีกไม่นานจะมีผีเสื้อเต็มไปหมด

    น่ายินดี...น่ายินดีจริงๆ

    (ท้ายหน้าไดอารี่ของวันนี้มีภาพถ่ายโพลารอยด์แนบอยู่สองใบเหมือนเคย ใบแรกเป็นรูปผีเสื้อตัวที่ปีกมีลายหัวใจบนปลายนิ้วส่วนใบที่สองคือรูปกล่องพลาสติกขาวขุ่นสำหรับอนุบาลผีเสื้อมีเทปกาวเขียนแปะไว้ด้วยลายมือหวัดสวย ‘ลูกๆของคามิเลีย’)

     

    หลังเลิกเรียนผมไม่จำเป็นตอนรีบร้อนกลับบ้านแบบเมื่อวานงานเร่งด่วนในโรงเพาะชำเสร็จสิ้นลงแล้ว ไข่ทุกฟองของผีเสื้อถูกเก็บเข้ากล่องเรียบร้อยพวกมันจะปลอดภัยเมื่ออยู่ในกล่องอนุบาล และอาจใช้เวลาอย่างช้าที่สุดเจ็ดวันกว่าไข่จะเปลี่ยนเป็นหนอน

    ระหว่างนั้นผมยังมีงานอื่นที่ต้องทำแน่นอนว่าเป็นเรื่องผีเสื้อ

    ผมนั่งรถไฟไปลงสถานีลุกซ็องบูร์ถ่อจากโรงเรียนมัธยมใกล้บ้านไปไกลถึงสามสถานี เพียงเพื่อไปชาร์แดง ดู ลุกซ็องบูร์[2]พร้อมภารกิจอันยิ่งใหญ่อย่างการตามล่าหาไข่ผีเสื้อ

    ในธรรมชาติผีเสื้อมีอัตราการอยู่รอดจากระยะไข่มาถึงระยะที่เป็นผีเสื้อเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ2% เท่านั้น ด้วยความขี้สงสารและความคลั่งไคล้ส่วนตัวภารกิจที่เปี่ยมไปด้วยความยากลำบากจึงถือกำเนิดขึ้น

    ผมจะใช้เวลาหลังเลิกเรียนเดินท่อมๆ ไปตามสุ่มทุมพุ่มไม้ในสวนสาธารณะขนาดกว้างห้าสิบห้าเอเคอร์ พลิกใบไม้แทบทุกใบของต้นไม้แทบทุกต้นเพื่อหาไข่ผีเสื้อกลับไปอนุบาลที่บ้าน เมื่อไหร่ที่มันโตเต็มวัยผมจะนำพวกมันใส่ขวดโหลกลับมาปล่อยในที่ๆมันเกิด

    โชคไม่ดีที่ตลอดทั้งวันมีฝนและลมค่อนข้างแรงใบไม้ส่วนใหญ่ถูกน้ำฝนชะล้างจนลื่นวาว สะอาดเอี่ยม ไม่มีแต่ผงฝุ่นเกาะเพราะงั้นไข่ผีเสื้ออันแสนบอบบางคงหลุดตามน้ำไปแล้วแน่

    แย่จริงวันนี้มาเสียเที่ยว

    ผมคิดพลางเดินถอยออกจากพุ่มเบอร์รี่ป่าเท้าเผลอไปเหยียบกระดาษที่ถูกขย้ำทิ้งเอาไว้ก้อนหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ

    ใครทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง?

    ด้วยความสงสัยผมหยิบมันขึ้นมาคลี่ออกดู แม้จะขยุกขยุยและเต็มไปด้วยร่องรอยการขีดฆ่าไม่ได้ดั่งใจแต่ลายเส้นดินสออันอ่อนช้อยที่เชื่อมต่อกันเป็นรูปดอกไม้ก็งดงามจับใจจริงๆ

    ExcusezMoi[3]

    เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นเบื้องหลังผมอย่างสุภาพ

    “ขอกระดาษคืนได้ไหม”

    ภาษาฝรั่งเศสเจือสำเนียงแปลกแปร่งฟ้องชัดว่าเป็นชาวต่างชาติ

    คนอังกฤษ?

    ผมหันกลับไปมองต้นเสียงแต่ใบหน้าของใครคนนั้นกลับไม่ได้อยู่ในโฟกัสสายตาผม เหตุเพราะวินาทีนั้นมีผีเสื้อตัวโตบินโฉบผ่านปลายจมูกผมไปในระยะประชิดพอดิบพอดี

    อย่างที่ทราบ...ผมต้องให้ความสำคัญแก่ผีเสื้อก่อนอยู่แล้ว

    ผีเสื้อตัวนั้นมีขนาดราวๆสามนิ้ว ปีกสีส้มประดับด้วยเส้นสายสีดำ ปลายขอบปีกทั้งสองด้านแต่งแต้มด้วยจุดขาวมันบินละล่องลมลงไปเกาะพักบนแผ่นอกกว้างของชายแปลกหน้าพอดี

    ผมชี้ไปที่ผีเสื้อเงียบๆไม่แน่ใจว่าชาวต่างชาติคนนี้ฟังภาษาฝรั่งเศสออกได้ในระดับไหน

    ชายที่ถูกผีเสื้อเกาะทำหน้างงงันเมื่อเขาก้มมองก็เห็นสิ่งแปลกปลอมบนตนเอง

    “ผีเสื้อ?”เขาอุทาน คราวนี้ภาษาอังกฤษเต็มปากเต็มคำร่างที่สูงใหญ่กว่าผมเกือบหนึ่งศอกทำท่าจะปัดแมลงออกจากตัว

    ทว่าผมไม่อยากให้ผีเสื้อบาดเจ็บ

    ดูจากขนาดตัวเขาแล้วเรี่ยวแรงคงไม่ใช่น้อยๆ เสียด้วย

    ผมยกมือปรามเขาให้อยู่นิ่งๆก่อนก้าวเข้าไปใกล้ ใช้สองมือโอบประคองผีเสื้อตัวใหญ่เอาไว้ในฝ่ามือก่อนปล่อยมันลงบนแปลงดอกฟอร์เก็ตมีน็อตแถวนั้นอย่างเชื่องช้าระมัดระวัง

    ครั้นเมื่อผีเสื้อโบยบินจากไปอย่างปลอดภัยจึงค่อยหันไปชี้ที่ผงสีขาวละเอียดบนเสื้อของชายชาวต่างชาติแล้วแกล้งพูดภาษาฝรั่งเศสใส่เขายาวเหยียด

    “เสื้อคุณเปื้อนผมคิดว่าน้ำตาลไอซิ่งคงล่อผีเสื้อตัวเมื่อกี้มา”

    ชายชาวอังกฤษเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังใช้GoogleTranslate ในสมอง นานเป็นนาทีกว่ามือใหญ่ซึ่งเปรอะเปื้อนเขม่าดินสอจะถูกยกขึ้นมาปัดเศษขนมออกจากอกเสื้อ

    ชายหนุ่มคนนั้นเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผมแทนคำขอบคุณ

    โอ...รอยยิ้มของเขาสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ทีเดียว

    อันที่จริงหากสังเกตให้ดี ชายคนนี้หน้าตาหล่อเหลาเอาการ ใบหน้าของเขาเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้านหากคมเข้มด้วยเค้าโครงและสีผิวบ่มแดด เขาแต่งตัวสบายๆ กางเกงยีนส์สีดำอมเขียวและเสื้อยืดสีเทาแขนยาวที่ถลกม้วนขึ้นมากองที่ข้อศอก

    “ขอคืนได้ไหม”เขาชี้มาที่กระดาษในมือผมอีกรอบ ทำให้ผมต้องรีบส่งมันคืนแก่เจ้าของเขารับกระดาษแผ่นนั้นไปจากมือผมอย่างนุ่มนวลก่อนเอ่ยถาม“นายพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า”

    “ครับ”ผมตอบ

    “เคยมีคนบอกไหม...”เขาจ้องมองผมด้วยนัยน์ตาสีดำขลับคู่สวยชวนฝัน ดินสอในมือยกขึ้นมากะเล็งในอากาศ“ดวงตานายทำมุมองศากับจมูกและสันกรามได้งดงามมาก”

    อะไรนะดวงตา จมูก กราม?

    ผมช็อกไปสองสามวินาทีก่อนหยั่งถามแบบไม่ค่อยสุภาพ

    “คุณ...โรคจิตหรือเปล่า”

    “เปล่าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด” คนแปลกหน้ารีบแก้ตัวเขาเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างเล็กน้อยแล้วชี้ไปที่เก้าอี้นั่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นบนเก้าอี้มีสมุดกระดาษเล่มโตและอุปกรณ์วาดเขียนครบครัน

    “คุณเป็นจิตรกร?”

    “เรียกว่านักวาดรูปข้างถนนคงเหมาะกว่า”

    ผมเลิกคิ้วและอมยิ้มเป็นเชิงรับรู้ในเมื่อหมดธุระแล้วจึงไม่คิดจะสานต่อบทสนทนาอีก ทว่าขณะกำลังจะเดินจากไป ใครจะรู้ว่าชายแปลกหน้าคนนั้นจะรั้งผมไว้ด้วยการแนะนำตัวเอง

    “ริคาร์โด”จู่ๆ เขาชี้นิ้วไปที่ตัวเองด้วยท่าทางจริงใจ ก่อนยื่นมือออกมา “เรียกว่าริคก็ได้”

    “อาร์ชี่...ผมชื่ออาร์ชี่”ผมเอื้อมไปจับมือเขาตามมารยาท

    ในจังหวะที่ควรจะปล่อยมือริคาร์โดยื้อปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางของผมไว้อย่างนุ่มนวล

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ

    เขาจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผมขนตางอนยาวสีน้ำผึ้งสีเดียวกับเส้นผมยาวประบ่าของเขากะพริบปริบเชื่องช้าดูคล้ายผีเสื้อสีสวยกระพือปีกเบาๆ ยามเกาะอยู่บนดอกไม้

    ผมเหม่อมองผีเสื้อสีน้ำผึ้งของเขาในขณะที่ริคาร์โดรำพึงเหมือนจิตรกรเจอจานสีที่ถูกใจ

    “เป็นดวงตาที่สีสวยมากสีเหมือนอะไรกันนะ...” ริคาร์โดหรี่ตาจ้องมองผมไม่หยุดระหว่างใช้ความคิดดูท่าพ่อจิตรกรหนุ่มคนนี้คงต้องการนิยามสีสันนัยน์ตาของผมให้ชัดแจ้ง แต่บอกตามตรงการถูกคนแปลกหน้ามองตาอย่างลึกซึ้งเช่นนี้ ผมไม่สนุกด้วยเท่าไหร่นะ

    ไม่อึดอัดก็จริงแต่มันเขินแปลกๆนะ ผมเสสายตาหลบ แต่ถูกปลายนิ้วเย็นเฉียบแตะคางเอาไว้ให้อยู่เฉย

    “รู้แล้วว่าสีอะไร”

    ผมเงียบเลิกคิ้วน้อยๆ รอให้เขาพูดต่อ

    “สีฟ้าครามเหมือนดอกฟอร์เก็ตมีน็อต”ริคาร์โดชี้ไปที่ดอกไม่ซึ่งชูช่ออวดสีฟ้าครามอยู่ในบริเวณนั้นเขาผลิยิ้มกว้างจนเกิดรอยบุ๋มเล็กๆ ที่ข้างแก้ม รอยยิ้มของเขาทำให้ผมหายใจติดขัด

    หัวใจสั่นไหวเหมือนใบไม้ถูกผีเสื้อตัวใหญ่ยักษ์โหนเกาะ

    ผมชักมือออกจากการดึงรั้งของเขาแล้ววิ่งหนีไปทันที

     

    ...

     

    10.58PM - 24 พฤษภาคม 2015

    คืนนี้ฝนตกหนักมาก

    ปกติผมไม่เคยเขียนไดอารี่ก่อนนอนเพราะมองว่ามันเป็นกิจกรรมของพวกผู้หญิงมาโดยตลอด แต่คืนนี้ผมรู้สึกว่าต้องจดบันทึกเอาไว้เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผีเสื้อ

    เจ้าผีเสื้อตัวนั้น...

    ตัวสีน้ำผึ้งที่เจอในสวนสาธารณะ

    ผมคิดว่ามันแอบวางไข่เอาไว้บนหัวใจของผมด้วย

    บ้าชะมัด

     

    ...

     

    7.09AM - 26 พฤษภาคม 2015

    เช้าที่ไร้แสงแดด

    ไข่ฟองน้อยๆของคามิเลียอายุได้สี่วันแล้ว

    เหลืออีกสามวันก่อนการฟักตัว

    ผมชักตื่นเต้นแล้วสิ!

    (ไดอารี่ถูกแนบด้วยรูปถ่ายของคามิเลียเหมือนเคยแต่วันนี้ผีเสื้อแดงกำลังเกาะอยู่บนปลายปากกาในมืออาร์ชี่ เขาเขียนกำกับไว้ตัวโตๆว่า ‘สาบานได้ ไม่มีน้ำตาลอยู่บนปลอกปากกา!’)

     

    คาบเรียนชีววิทยาวันนี้น่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับผม

    ใช่แล้ว...มันเกี่ยวกับผีเสื้อ

    “การเปลี่ยนสัณฐานหรือ เมตามอร์โฟซิส(Metamorphosis)เป็นกระบวนการในการเจริญเติบโตของสัตว์รูปแบบหนึ่ง เกิดขึ้นในสัตว์บางชนิดในกลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกหรือแมลงบางชนิดพวกมันมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของร่างกายที่ชัดเจน อย่างเช่นผีเสื้อ...”

    สไลด์ภาพบนจอโปรเจคเตอร์เปลี่ยนแปลงไปเป็นวงจรชีวิตผีเสื้อเริ่มจากไข่แล้วฟักเป็นตัวอ่อนหรือตัวหนอนต่อจากนั้นจึงเป็นดักแด้แล้วกลายเป็นผีเสื้อ บังเอิญเหลือเกินผีเสื้อที่ครูสอนวิชาชีวะเอามาเป็นตัวอย่างเป็นมอธหนอนกระท้อน[4]สีน้ำตาลสวยสีสันของมันก็ทำให้ผมนึกถึงขนตาและเส้นผมยาวประบ่าของใครบางคน

    ริคาร์โด...

    ชื่อและน้ำเสียงของเขาแทบจะปรากฏขึ้นในห้วงความคิด

    ภาพบางอย่างผุดพรายเข้ามาในหัวผมทั้งรอยยิ้มสว่างไสว ลักยิ้มที่ดูดีเป็นบ้าบนผิวสีขาวที่บ่มแดดน้อยๆและดวงตาสีดำขลับเหมือนสีของปีกผีเสื้อราตรีของเขา

    อานี่มันแย่จริงๆ

    ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ที่คิดถึงอะไรแปลกๆแบบนี้

    ผมกดปลายนิ้วนวดพื้นที่ระหว่างหัวคิ้วพลางคิดว่าตัวเองไม่น่าไปสวนสาธารณะในวันนั้น และไม่น่าเอาริคาร์โดไปเปรียบกับผีเสื้อเลย

    เพราะสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผมก็คือ...การหยุดคิดถึงผีเสื้อ

     

    ...

     

    11.59PM - 26 พฤษภาคม 2015

    คืนที่น่าหงุดหงิด

    เรื่องเมตามอร์โฟซิสที่ได้เรียนและสิ่งที่แว่บเข้ามาในหัวผมในวันนี้มันทำให้ผมเริ่มกลัว

    เจ้าไข่ใบนั้น...

    สิ่งที่ริคาร์โดทิ้งเอาไว้ในใจผมเมื่อสามวันก่อนผมภาวนาขอให้มันอย่าฟักตัวเป็นหนอนหรือเจริญเติบโตไปมากกว่านี้

     

    ...

     

    6.08AM - 29 พฤษภาคม 2015

    วันที่ดีสำหรับลูกๆของผีเสื้อ

    เช้ามืดวันนี้หนอนบางตัวเริ่มออกมาดูโลกแล้วพวกมันน่ารักมาก แถมไข่ของคามิเลียฟักออกมาได้ 24 ตัวแน่ะ เธอต้องดีใจแน่ ผมจะเลี้ยงลูกๆ ของเธอให้อ้วนเป็นหมู คอยดูเถอะ :)

    (ท้ายไดอารี่มีรูปถ่ายหนอนตัวจิ๋วๆยั๊วะเยี๊ยะอยู่เต็มกล่องพลาสติก อาร์ชี่และแม่ของเขามองว่าน่ารักแต่พ่อของเขาเห็นแล้วอยากจะเป็นลม...)

     

    หลังเลิกเรียนผมกลับไปที่สวนลุกซ็องบูร์สีเขียวสดใจกลางกรุงปารีสอีกครั้งเพราะมีความรู้สึกบางอย่างดึงดูดผมกลับมาที่นี่

    ผมคิดว่ามันคือความสนอกสนใจซึ่งคล้ายคลึงกับช่วงเวลาที่ผมพยายามไล่จับผีเสื้อหน้าตาแปลกๆมาศึกษาพฤติกรรมในโรงเพาะชำ

    ผมพบว่าริคาร์โดยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิมไม่ไกลจากแปลงดอกฟอร์เก็ตมีน็อตเหมือนเมื่อสามวันก่อน ร่างสูงใหญ่นั่งยองๆ อยู่เหนือดอกไม้สีฟ้าครามพร้อมด้วยกระดาษวาดเขียนดินสอสีในมือของเขาขยับไหวอย่างคล่องแคล่วเกิดเป็นเส้นสายอ่อนช้อยสีฟ้าครามเขากำลังวาดรูปดอกฟอร์เก็ตมีน็อตอยู่นั่นเอง

    “Bonjour”ผมทักทาย

    ริคาร์โดหยุดดินสอสีฟ้าในมือก่อนหันมามองหน้าผมใบหน้าคร้ามคมที่เริ่มมีหนวดเคราขึ้นเขียวยิ้ม ดวงตาสีดำขลับเต้นระริกจากท่าทางแสนอ่านง่ายนั้นเขาค่อนข้างดีใจ

    “ชอบดอกฟอร์เก็ทมีน็อตเหรอครับ” ผมถาม

    ริคาร์โดพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไรผมวางมือลงบนหัวเข่าตัวเอง เฝ้ามองภาพร่างของกลีบฟอร์เก็ตมีน็อตอยู่ครู่หนึ่ง

    “เมื่อเย็นวันนั้นนาย...” เขาขมวดคิ้ว ท่าทางคงอยากถามว่าทำไม จู่ๆ ผมถึงรีบร้อนจากไปอย่างรีบร้อนแบบนั้น

    “ผมมีงานที่ต้องทำ”ผมบอกเขาไปอย่างนั้น

    “นึกว่านายกลัวคนโรคจิตแถวนี้เสียอีก”เขายิ้มขี้เล่น

    “ยอมรับก็ได้ว่าผมกลัวคุณจริงๆ”

    ริคาร์โดหัวเราะลั่นอย่างเปิดเผยเขาเอียงคอขณะพินิจมองหน้าผมอย่างละเอียด(อีกแล้ว)

    “ฉันอยากวาดรูปนายสักรูป”

    “ผมเหรอครับ”ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเป็นเชิงแปลกใจ

    ชายหนุ่มพยักหน้าแววตาเปล่งประกายขณะย้ำถาม “ได้ไหม?”

    “ฟอร์เก็ตมีน็อตของคุณเสร็จแล้วหรือ”

    “ยังหรอกแต่ฉันกำลังจะเริ่มวาดดอกใหม่อยู่”

    เขายิ้มกว้างพลางทำท่าบอกเป็นนัยๆว่าดอกฟอร์เก็ตมีน็อตที่ว่าหมายถึงดวงตาสีฟ้าครามของผมนั่นเอง

    ผมมองเขาเป็นผีเสื้อส่วนเขาเห็นผมเป็นดอกฟอร์เก็ตมีน็อต

    พิลึกคนจริงๆ...พวกเราทั้งคู่เลย

     

    ...

     

    29พฤษภาคม 2015 ไม่รู้ว่ากี่โมงแต่ดึกมากแล้ว

    เมื่อช่วงหัวค่ำผมไปที่สวนสาธารณะอีกครั้งพอเจอหน้าริคาร์โด หนอนตัวน้อยในใจผมก็หาทางออกจากเปลือกไข่มาจนได้

    มันขาวบริสุทธิ์ดูไร้เดียงสาและตะกละตะกลามอยู่ในที

    ผมอยากให้มันตายลงตั้งแต่ตอนนี้

    ก่อนที่มันจะเติบโตแล้วกัดกินหัวใจผมจนพังพินาศ

     

    “คุณมาจากที่ไหน”

    ผมถามเขาขณะนั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือแมลงเล่มใหญ่

    “ลอนดอน”ริคาร์โดตอบ ก่อนใช้ปลายดินสอดีดปลายคางผมขึ้นจากหน้ากระดาษสี่สีอย่างนุ่มนวล“เงยหน้าหน่อยอาร์ชี่ อยู่นิ่งๆ ด้วย”

    ผมเลิกก้มหน้าอ่านหนังสือและหันมาชวนเขาคุยแทน

    “คุณมาทำอะไรที่ปารีส”

    “ฉันหวังว่าจะเจอแรงบันดาลใจอะไรดีๆที่นี่”

    ผมทำหน้าเข้าใจศิลปินก็เป็นแบบนี้ พวกเขาเหมือนผีเสื้อมีอิสระเสรีและงดงาม

    “เจอหรือยังครับ”

    ริมฝีปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มลึกลับเขาเงยหน้ามองผม ไม่ตอบคำถาม แต่ส่งคำถามมาให้ผมแทน

    “พรุ่งนี้มาที่นี่อีกได้ไหมอาร์ชี่”

    “พรุ่งนี้?”ผมครุ่นคิด “ได้สิ ถ้าผมว่าง”

    “แล้วมะรืนล่ะ”เขาถามอีก

    ผมลอบสังเกตท่าทางของเขาคิ้วสีน้ำตาลทองเหนือดวงตาดำขลับขมวดมุ่นเล็กน้อยๆ

    “มีอะไรเหรอครับ”

    ความจริงผมอยากถามว่า‘คุณต้องการอะไรจากผม’ มากกว่า

    “ภาพยังไม่เสร็จ...”

    ริคาร์โดเม้มปากราวกับพยายามกลั้นยิ้มเขายกภาพร่างบนกระดาษขึ้นมาให้ผมดู แทบไม่มีอะไรคืบหน้าเลยก็ว่าได้ มีแค่เส้นดินสอลางๆของรูปหน้าผมเท่านั้น

    “ช่วยมาเจอกันที่นี่ทุกวันจนกว่าภาพนี้จะเรียบร้อยได้ไหม”

     

    ...

     

    11.18AM - 30 พฤษภาคม 2015

    อากาศร้อนแต่คามิเลียและบรรดาหนอนน้อยลูกๆ ของเธอดูสดชื่นดี (กินจุอย่างกับพายุแน่ะ!)

    เมื่อเย็นที่ผ่านมาผมไปหาริคาร์โดเขาขอให้ผมไปหาเขาในวันพรุ่งนี้และวันถัดๆๆๆ ไปจนกว่าภาพวาดของเขาจะเสร็จสมบูรณ์ผมรู้ว่านั่นเป็นแค่ข้ออ้าง...เป็นคำล่อลวงอย่างละมุนละม่อมอย่างหนึ่ง

    ถึงรู้อย่างนั้นแต่ผมก็คงไปอยู่ดี...มันแย่ตรงนี้นี่แหละ

     

    ...

     

    8.03AM - 3 มิถุนายน 2015

    เย็นนี้ผมคงไปหาริคาร์โดที่เดิมทุกวันเหมือนอย่างที่เข้าไปหาคามิเลียทุกๆ เช้าก่อนไปโรงเรียน

    หนอนอายุหกวันตัวอ้วนขึ้นในกล่องมีแต่เสียงเคี้ยวใบไม้แกร๊บๆ พ่อผมไม่ได้โผล่หน้าเข้ามาในห้องอนุบาลแมลงของผมกับแม่หลายวันแล้วเขากลัวแมลง แต่แต่งงานกับนักกีฏวิทยา ตลกดีใช่ไหมล่ะ

    ปล.หวังว่าฝนจะไม่ตกเหมือนเมื่อวาน หลบฝนในตู้โทรศัพท์กับผู้ชายตัวโตๆไม่ใช่เรื่องสนุก อ้อ...ภาพเขียนของผมเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้วละ เขาตกลงใจว่าจะใช้สีน้ำ

     

    ...

     

    11.37PM - 5 มิถุนายน 2015

    คืนนี้อากาศดีเหลือเชื่อหลังจากมีฝนมาทั้งวัน

    คามิเลียน้อยๆร่าเริงเหมือนเคย หนอนอายุแปดวันก็ด้วยตอนนี้หนอนผีเสื้อจักรพรรดิตัวใหญ่เท่านิ้วนางของผมแล้ว ส่วนหนอนลูกๆของคามิเลียก็ขนยุ่บยั่บ ถึงจะน่ารักแต่ผมไม่กล้าจับเลย กลัวคันน่ะ

    เมื่อเย็นผมยังคงไปเจอริคาร์โด

    ให้ตายเถอะผู้ชายคนนั้น...

    ความอ่อนโยนของเขาเหมือนอาหารเสริมชั้นยอดที่ทำให้หนอนในใจผมเจริญเติบโตแข่งกับหนอนในกล่องพลาสติกพวกมันอ้วนพี ตัวโตพอๆ กัน แต่ต่างตรงที่ลูกๆ ของคามิเลียกินใบไม้เป็นอาหารแต่หนอนผีเสื้อในหัวใจกำลังแทะเอาเส้นขีดแบ่งทางเพศและความรู้สึกผิดต่อหลักศีลธรรมในใจผมออกไป

    ตราบใดที่ยังเจอหน้าเขาผมคงไม่อาจหยุดยั้งการกัดกินของหนอนสีขาวตัวนี้ในใจได้

    ไม่มีทางเลยจริงๆ

     

    “ริค...ผมน่าจะบอกคุณก่อนหน้านี้”

    “อะไรหรือ”

    “ผมมีแฟนแล้ว”ผมบอกริคาร์โดแบบนั้นเมื่อเขานั่งอยู่บนเก้าอี้กลางดงดอกไม้ในเรือนเพาะชำที่บ้านผม

    ใบหน้าหล่อเหลาของริคาร์โดชะงักค้างกลางอากาศริมฝีปากบางเฉียบขยับขึ้นลง ขณะที่ดวงตาสีดำเบิกกว้างท่าทางของเขาเหมือนปลาที่กำลังจะขาดน้ำตายอย่างไรไม่ทราบ

    “นายมีแฟนแล้ว?”เสียงย้ำถามของเขาแหบแห้ง 

    “แฟน?หมายถึงคามิเลียของลูกน่ะหรือ”แม่ผมที่กำลังพรวนดินอยู่แถวนั้นเอ่ยแทรกขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะร่วน“ขอทีเถอะอาร์ชี่ ลูกจำผีเสื้อแดงที่ชื่อคามิเลียได้จริงๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้”

    “แม่พูดแบบนั้นคามิเลียได้ยินเข้าต้องเสียใจแย่”

    “จ้ะลูกรัก” แม่ของผมยิ้มพลางยกมือยอมแพ้แต่โดยดี เธอหอบหิ้วเอากระถางดอกเดซี่ออกไป ทิ้งให้ผมอยู่กับพ่อจิตรกรหนุ่มตามลำพัง

    “แฟนนายอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ”ริคาร์โดจับข้อศอกของผม

    “ครับเธออยู่ที่นี่ อยู่มาตลอด คามิเลียเป็นสาวน้อยผู้กล้าหาญ เธออ่อนหวานและไม่เคยกลัวใครทั้งนั้นดูนะครับ”

    ผมฉีดน้ำหวานลงบนหลังมือของเขาไม่นานนักคามิเลียก็มา

    เธอทักทายเพื่อนใหม่ของผมด้วยการบินโฉบปีกเข้าที่ผิวแก้มของริคาร์โดเบาๆแล้วตรงไปยังละอองน้ำหวานบนหลังมือใหญ่ยักษ์ข้างนั้น

    “แฟนนายเป็นผีเสื้อหรือ” เขาหัวเราะ ท่าทางโล่งใจและกระตือรือร้น “นายชอบผีเสื้อเหรอ”

    “เรียกว่าคลั่งไคล้จะดีกว่า”ผมเหลือบมองแพขนตาสีน้ำตาลทองเหมือนปีกผีเสื้อของเขา ก่อนเอ่ยอะไรบางอย่างที่อยู่ในใจออกไปอย่างเชื่องช้า“รู้ไหมริค...ผมหลงรักผีเสื้อจริงๆ นะ”

     

    ...

     

    10.55AM - 8 มิถุนายน 2015

    วันนี้ริคาร์โดมาที่เรือนเพาะชำบ้านผม

    การออกจากบ้านบ่อยๆหลังเลิกเรียน ทำให้แม่ผมเริ่มเป็นห่วง(และสงสัย) ดังนั้นเพื่อตัดปัญหากับครอบครัวผมเลยจัดการพาเขามาที่นี่เสียเลย (เราก็แค่มาวาดรูปเล่นกัน ไม่มีอะไรเสียหายจริงมั้ย?)

    แม่กับคามิเลียชอบเขานั่นเป็นข่าวดี

    วันนี้ริควาดภาพดอกไม้ในโรงเพาะชำของผมได้หลายภาพแต่ผมสังเกตว่าพักหลังๆ ริคแทบไม่แตะต้องภาพที่ยังวาดไม่เสร็จของผมเลย

    อ้อหนอนสีขาวในใจผมยังโตอย่างต่อเนื่องหัวใจของผมที่เป็นอาหารของมันถูกกัดกินจนเป็นรูพรุนไปหมดแล้ว(หากลองเทน้ำลงไปในหัวใจ มันคงไหลจ๊อกลงไปกองรวมกันที่อื่นแหงๆ)

     

    ...

     

    เช้ามืด(ลืมนาฬิกาไว้ในลิ้นชักไหนไม่รู้) 11 มิถุนายน 2015

    หนอนน้อยอายุสิบสี่วัน

    เช้านี้มีบางตัวเริ่มเกาะห้อยหัวแล้วพวกมันจะอยู่นิ่งๆ แบบนั้นสักพักจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นดักแด้อีกเจ็ดวันมันคงจะกลายเป็นผีเสื้อ ช่วงนี้ผมคงต้องระวังไว้ให้มาก พวกมันเปราะบางเป็นพิเศษหากองศาการห้อยตัวผิดเพี้ยนไปแม้เพียงนิดเดียว ผีเสื้อที่เกิดมาอาจพิการก็เป็นได้

    ผมไม่อยากเห็นผีเสื้อบินไม่ได้แบบนั้นมันน่าเศร้าเกินไป

     

    ...

     

    เช้าแต่ไม่มืด(นาฬิกายังหายอยู่) 14มิถุนายน 2015

    พวกดักแด้ยังโอเคอยู่บางส่วนเปลี่ยนไปจากเมื่อสามวันก่อนเล็กน้อย ทั้งในแง่สีสันและขนาดนอกนั้นก็ปกติดีทุกอย่างอ่อ...ยกเว้นเรื่องที่ช่วงนี้ผมไม่มีเวลาอยู่กับคามิเลียน่ะนะ

    แย่จริงเย็นนี้ผมก็ไม่ว่างอีก มีนัดเหมือนเคย กับคนเดิม แต่เปลี่ยนสถานที่

    ปล.ถึงคามิเลียที่รัก...สาบานได้ว่าผมยังคิดถึงเธออยู่เสมอ

    (มีรูปโพลารอยด์แนบไว้รูปนั้นเป็นรูปถ่ายของคามิเลียเช่นเคย และมีโน้ตสั้นๆ เขียนว่า ‘รักรักรัก’)

     

    เราย้ายสถานที่นัดพบมาที่หอไอเฟล

    วันนี้ริคาร์โดไม่ได้พกอุปกรณ์วาดภาพเหมือนหลายๆวันที่ผ่านมา ดูท่าทางเหมือนอยากมาเที่ยวเล่นเสียมากกว่า

    ท่ามกลางนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปมาบริเวณจุดชมวิวผมกับเขาแทบไม่ได้คุยอะไรกัน เพียงแต่ยืนเคียงข้างกันเงียบๆ อยู่นานสองนาน

    มันเป็นความเงียบที่ดี...

    ปลายนิ้วของเขาเกี่ยวกระหวัดนิ้วก้อยผมเบาๆแล้วคืบคลานต่อมาจนกอบกุมมือผมไว้ทั้งฝ่ามือ ผมรู้สึกสงบ อบอุ่นและไว้วางใจโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแต่ผมจะมีช่วงเวลาดีๆ แบบนี้อีกนานแค่ไหน

    “คุณจะไปจากที่นี่เมื่อไหร่ไม่สิ...” ผมเอ่ยถาม แต่จู่ๆก็รีบโบกมือปัดคำเหล่านั้นทิ้งเมื่อมันฟังดูเหมือนการขับไล่ไสส่งอย่างไรชอบกล“ผมแค่อยากรู้ว่าคุณจะอยู่ที่ปารีสอีกนานหรือเปล่า”            

    ริคาร์โดละสายตาจากหอไอเฟลซึ่งตั้งตระหง่านทอดทับโครงเหล็กสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าสีอมส้มแดงแสนสวยหัวคิ้วสีเข้มของเขาขยับขมวดเล็กน้อยก่อนตอบ “จนกว่าจะเขียนภาพของนายจนเสร็จ”

    “เพราะงั้นคุณถึงไม่หยิบรูปของผมมาวาดต่อให้เสร็จใช่ไหม”

    เขายิ้มบางเบาบีบมือผมอย่างนุ่มนวลในความเงียบงัน

     

    ...

     

    8.14PM (เจอนาฬิกาแล้ว) - 16 มิถุนายน 2015

    วันนี้ผมไปเจอริคมาเหมือนเคยเราดื่มกาแฟ คุยกันอยู่นาน หลังจากบ่ายเบี่ยงอยู่หลายวันในที่สุดริคก็หยิบภาพขึ้นมาเขียนอีกครั้ง

    ผมใจหายรู้แล้วว่าเวลากำลังเริ่มนับถอยหลัง รายละเอียดของภาพเหลืออีกแค่เล็กน้อยบางทีมันจะเสร็จภายในวันนี้หรือพรุ่งนี้

    ขอให้ช่วงเวลานี้ยืดยาวออกไปอีกหน่อย...ไม่ได้หรือ

     

    ...

     

    17มิถุนายน 2015

    คำภาวนาไม่เป็นผล

    ภาพเขียนของผมเสร็จแล้วตั้งแต่เมื่อวาน

    เพราะงั้นวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้ออกไปเจอริค

                  

    หลังเลิกเรียนผมไปพบริคาร์โดที่สถานีรถไฟ

    เย็นนี้ผมมีเวลาไม่มากนักเพราะมีนัดกินข้าวนอกบ้านกับพ่อแม่ตอนหกโมงเย็น และต้องนั่งรถไฟไปอีกราวๆห้าสถานีให้ทันเวลาด้วย

    เมื่อเจอหน้ากันริคาร์โดส่งกระบอกสีดำให้ผมหมุนเปิดฝาพบว่ามีม้วนกระดาษสีขาวเก็บรักษาอย่างดีอยู่ข้างใน

    ภาพของผมที่เขาวาด...

    “ขอบคุณนะครับแน่ใจนะว่าคุณไม่อยากเก็บไว้” ผมถาม ภาพเหมือนสีน้ำของผมชิ้นนี้เขาตั้งใจและทุ่มเทให้มันมายาวนานผมไม่แน่ใจว่าการที่เขามอบให้ผมเป็นความคิดที่ดีหรือเปล่า

    “ฉันเขียนให้นายมันเป็นของนายมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” ริคาร์โดตอบก่อนเงียบไปนานเขาเสดวงตามองไปทางอุโมงค์ รถไฟที่ผมรออยู่กำลังจะแล่นมาจอดภายในไม่กี่วินาทีข้างหน้า

    “คุณแน่ใจนะ”ผมลังเลระคนร้อนใจเพราะไม่มีเวลาแล้ว

    “แน่สิ” เขาแตะมือเย็นเฉียบบริเวณขมับข้างนัยน์ตาสีฟ้าครามของผมก่อนกระซิบเบา“แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้ฉันจะไปหาดอกฟอร์เก็ตมีน็อตที่ไหนมานั่งมองดี”

    หัวใจผมโหวงเหวงอยู่ลึกๆไม่แพ้กัน

    “คุณเก็บไว้เถอะครับ”ผมส่งกระบอกภาพคืนให้เขา

    ริคาร์โดแทบไม่สนใจของในมือผมด้วยซ้ำเขาก้มลงมาทำท่าเหมือนจะจูบผม ทว่าชั่ววินาทีที่ริมฝีปากจะแตะสัมผัสเขากลับเปลี่ยนใจ เบี่ยงใบหน้าแล้วแนบแก้มซ้ายขวากับผมสามสี่ทีตามด้วยกอดผมที่ยืนแข็งทื่อแน่นๆ

    ผมตกใจกับการกระทำของเขาแต่ก็รีบกอดตอบ แม้ว่ารถไฟที่รออยู่จะแล่นเข้าเทียบชานชาลาแล้ว

    “ริค...ผมต้องไปแล้ว”

    เขายอมปล่อยผมดวงตาจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผมคล้ายคาดหวัง รอคอยอะไรบางอย่าง

    ความจริงแล้วผมรู้ดีว่าเขากำลังรอคอยอะไรอยู่ทุกครั้งก่อนจากกัน ผมมักพูดว่า ‘เจอกันพรุ่งนี้นะครับ’ มันเป็นสิ่งที่ยึดโยงเราจับจูงเราให้เดินต่อไปโดยรู้ว่าวันต่อไปจะได้พบกัน

    ทว่าวันนี้ผมพูดไม่ออกเขาบอกว่าจะจากไปเมื่อวาดภาพของผมเสร็จ วันนี้ภาพสีน้ำนั้นเขียนเสร็จสิ้นแล้ว ผมยังจะพูดคำนั่นได้อีกหรือ

    หากพูดออกไปแล้วเขาจะไม่กลับลอนดอนได้ไหม

    ของเหลวขมๆเอ่อล้นออกมาจากใจผม มันท่วมทะลักปอดจนแทบหายใจไม่ออก ผมตัดสินใจเดินจากไป ก้าวเท้าเข้าไปในรถไฟที่กำลังจะออกจากชานชาลาในวินาทีสุดท้ายก่อนประตูจะปิด

    ผมขยับปลายนิ้วน้อยๆให้คนที่ยืนอยู่ข้างนอกเป็นการบอกลา 

    เมื่อรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวรอยยิ้มและแววตาของริคาร์โดยังคงติดตามผมมาจนสุดสายตา

    ตัวผม...ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณเคลื่อนที่ไปตามรถไฟแต่มีอะไรบางอย่างที่ถูกทิ้งเอาไว้อยู่ที่เดิมบนชานชาลา

    มันยังอยู่ตรงนั้นกับริคาร์โด

     

    ...

     

    8.15PM - 18 มิถุนายน 2015

    เย็นนี้ผมไม่มีอะไรให้ทำนอกจากรดน้ำต้นไม้

    ผมไม่มีดักแด้อยู่ในกล่องอนุบาลและหนอนทุกตัวก็กลายเป็นผีเสื้อไปหมดแล้วพวกมันถูกย้ายเข้าไปเลี้ยงในโรงเพาะชำเหลือเพียงดักแด้ในใจผมไม่อาจเปลี่ยนเป็นผีเสื้อได้มันค้างแข็งอยู่อย่างนั้นและถูกห่อหุ้มด้วยเปลือกแข็งๆเหมือนโดนเมดูซ่าสาปให้กลายเป็นหิน

    ดักแด้ของผมเข้าสู่ภาวะจำศีลแล้ว

    รวมทั้งความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อริคาร์โดด้วย

     

    ...

     

    หัวค่ำ(ไม่แน่ใจว่ากี่โมง ผมไม่ได้สวมนาฬิกา) - 20มิถุนายน 2015

    ชีวิตผมกลับเข้าสู่กิจวัตรประจำวันปกติอีกครั้ง

    เช้าฉีดน้ำหวานให้อาหารผีเสื้อนับสถิติโน่นนี่ก่อนจดบันทึก คุยกับคามิเลียนิดหน่อยแล้วไปโรงเรียนตกเย็นก็กลับมารดน้ำต้นไม้ในเรือนเพาะชำแล้วอยู่กับผีเสื้อของผมจนดึกดื่นเหมือนที่เคยทำมา  ทั้งหมดนั่นเป็นกิจกรรมที่เอาไว้ทำหลอกตัวเองล้วนๆ

    ...หลอกตัวเองว่าผมไม่ได้รู้สึกสูญเสียอะไรไปทั้งนั้น

     

    ...

    9.48PM - 21 มิถุนายน 2015

    ช่วงเวลาแห่งความผ่อนคลายที่แท้จริง

    ผีเสื้อของผมบินว่อนอยู่เต็มเรือนเพาะชำไปหมดแต่เมื่อไปที่สวนสาธารณะ ผมกลับไม่พบผีเสื้อสีน้ำผึ้งบริเวณแปลงฟอร์เก็ตมีน็อตผีเสื้อตัวนั้นคงโบยบินกลับถิ่นฐานไปไกลแล้ว

    ไม่เป็นไรผมยังมีคามิเลียผู้แสนอ่อนหวาน

    วันนี้เธอติดผมเป็นพิเศษคอยบินตามคลอเคลียไม่ห่าง

    คามิเลีย...แฟนสาวของผมอ่อนหวานน่ารักที่สุด :)

    (อาร์ชี่ถ่ายรูปคามิเลียเก็บเอาไว้หลายสิบใบพร้อมเขียนคำบอกรักหวานเลี่ยนกำกับเอาไว้ด้วย)

     

    ...

     

    22มิถุนายน 2015

    เช้านี้ผมตื่นมาด้วยอาการไม่สู้ดีนัก

    เจ็บคอมากตัวร้อนนิดๆ ด้วย เหมือนจะเป็นไข้หวัด แต่กระนั้นหน้าที่ของผมไม่อาจหยุดพักได้ด้วยอาการป่วยใดๆทั้งสิ้น

    ผมเข้าไปรดน้ำต้นไม้และฉีดน้ำหวานลงบนดอกไม้ปลอมเพื่อให้อาหารผีเสื้อตามปกติ

    วันนี้คามิเลียของผมไม่เยี่ยมหน้าออกมาทักทายเหมือนเคยเธอเอาแต่เกาะอยู่บนกิ่งแครบแอปเปิ้ลต้นที่มันเกิดและให้กำเนิดลูกๆ

    ผมเฝ้ามองลวดลายหัวใจดวงน้อยๆบนปีกของเธอ รอคอยและภาวนาให้ปีกคู่นั้นขยับร่าเริงเหมือนเคย แต่เธอนิ่งงันหนวดเส้นเล็กไม่เคลื่อนไหว แม้ผมจะแหย่มือเข้าไปหาแล้วก็ตาม

    อ่า...ใช่เธอตายแล้ว

    เมื่อคืนผมไม่ได้เอะใจเลยว่าทำไมเธอถึงเกาะอยู่บนตัวผมบ่อยและนานผิดปกตินักผมไม่รู้เลยสักนิดว่าเธอกำลังอ่อนแรง ไม่รู้เลยสักนิดว่าทั้งหมดนั่นคือคำบอกลา

    ผมช่างโง่เง่าจริงๆ

     

    ...

     

    วันที่24 มิถุนายน 2015

    ผมไม่รู้เวลา...รู้แค่ว่าเป็นช่วงสายๆ

    ในวันอาทิตย์ที่น่าหดหู่เช่นวันนี้ผมนั่งอยู่กลางสวนดอกไม้ในโรงเพาะชำความเงียบงันทำให้ผมตระหนักได้ว่าตัวผมเองไม่อาจรั้งใครไว้ได้เลย ทั้งคามิเลียทั้งริคาร์โด ผีเสื้อบางตัววางไข่แล้วหมดอายุขัยตายลง ในขณะที่บางตัวอพยพหนีฤดูหนาวไปไกลแสนไกลทิ้งให้คนเฝ้าดูอย่างผมยืนมองพวกมันอยู่ที่เดิมตามลำพัง

    ผมชักเริ่มเกลียดผีเสื้อเสียแล้วสิ...

     

    “อาร์ชี่มีคนมาหาลูกแน่ะ”

    แม่ของผมเชิญริคาร์โดเข้ามาในโรงเพาะเลี้ยงผีเสื้อก่อนจะปลีกตัวออกไปทำงานวิจัยต่อ ปล่อยให้ผมอยู่กับชายหนุ่มร่างโตที่วันนี้โกนหนวดเคราเรียบร้อยตามลำพัง

    “มาทำอะไรที่นี่ครับ”ผมเป็นฝ่ายเปิดปากถามเขาก่อน

    “แค่อยากมาเจอนายก่อนจะขึ้นเครื่องกลับลอนดอนคืนนี้” เขาว่าดวงตาสีดำขลับเหลือบเห็นคามิเลียนอนแผ่ปีกนิ่งสงบอยู่ในกล่องกระจกสำหรับสะสมผีเสื้อในมือผม“เสียใจด้วยเรื่องคามิเลีย”

    ผมพยักหน้ารับเบาๆอย่างเซื่องซึม ดวงตามืดหม่น ผมผูกพันกับคามิเลีย การจากไปของเธอทำให้ผมเจ็บปวด

    “เธอใช้ชีวิตได้งดงามแล้วในฐานะผีเสื้อตัวหนึ่ง”ผมคิดถึงเธอ

    “คามิเลียไม่อยู่แล้วตอนนี้นายโสดแล้วใช่ไหม” ริคาร์โดถาม

    “โสดสนิทครับ” ผมยิ้มชืดชา

    “โสดพอจะรับผีเสื้อตัวอื่นเป็นแฟนหรือยัง”

    ใช่ว่าผมไม่รู้เสียเมื่อไหร่ผมดูออกว่าริคาร์โดอยากไปต่อกับผม ความสัมพันธ์นี้ยังไปต่อได้อีกไกลในใจเขา

    ตอนอยู่ที่ชานชาลารถไฟเขารอให้ผมพูด รอให้ผมตัดสินใจ แต่เย็นวันนั้นผมกลับหนีขึ้นรถไฟไปโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ

    ผมสับสนหวาดกลัวเกินกว่าจะยอมปล่อยให้ดักแด้ในใจเปลี่ยนสภาพกลายเป็นผีเสื้อหวาดกลัวเกินกว่าจะเห็นผีเสื้อตัวไหนบินลับหายหรือตายจากผมไปแบบคามิเลียอีก 

    เพราะงั้นผมขอเลือกปล่อยเขาไป…

    ให้ผีเสื้อโบยบินอย่างอิสระต่อไปอย่างงดงาม

    “ขอให้เดินทางปลอดภัยนะครับ”ผมปฏิเสธเขาด้วยคำอวยพร

    “ถ้างั้น...”เขาดูผิดหวังที่ถูกผมปฏิเสธ “ลาก่อนอาร์ชี่”

    “ลาก่อนครับ”ผมตามไปส่งเขาที่หน้าประตูโรงเพาะเลี้ยง

    ริคาร์โดเดินลงบันไดเตี้ยสู่ถนนโรยกรวดอย่างเชื่องช้าแต่จู่ๆ เขากลับหันหลังกลับ ใบหน้าหล่อเหลาดวงนั้นก้มลงมาแตะริมฝีปากลงบนผิวแก้มผมบริเวณใกล้ๆมุมปากอย่างแผ่วเบา

    สัมผัสนั้นนุ่มนวลราวกับขาเปราะบางผีเสื้อบนกลีบดอกไม้แต่ทรงอานุภาพถึงขั้นเขย่าหัวใจผมเหมือนพายุไซโคลนกำแพงของผมสั่นคลอนเพราะพายุร้ายจนแทบพังทลาย

    ผมไม่เหลือแรงใดๆจะต้านทานความรู้สึกที่เอ่อท่วมท้นในใจ

    วินาทีนั้นผมตัดสินใจเหนี่ยวต้นคอริคาร์โดเอาไว้ แล้วทาบริมฝีปากจูบเขาอย่างคลั่งไคล้โหยหา

     

    ...

     

    24มิถุนายน 2015

    ผมพบว่าการเลี้ยงดูผีเสื้อแต่ละรุ่นเพื่อมองดูมันตายจากไปเป็นเรื่องเจ็บปวดเกินกว่าจะรับไหวก่อนหน้านี้ผมไม่เคยมีความรู้สึกผูกพันธ์กับผีเสื้อตัวไหนมากมาย...แต่ตอนนี้มันไม่ใช่

    ผมจะจบทุกอย่างไว้ตรงนี้ด้วยเปิดประตูเรือนเพาะชำปล่อยให้ผีเสื้อทุกตัวที่มีโบยบินไป และปรารถนาแบบลมๆแล้งๆว่าสักวันพวกมันตัวใดตัวหนึ่งจะเปลี่ยนใจบินกลับมาหาในวันที่ผมโตพอจะรับความสูญเสียใดๆได้มากกว่านี้...

    หวังว่าจะมีวันนั้นนะ

    (รูปฟิล์มโพลารอยด์แปะไว้หนึ่งรูปมันเป็นภาพถ่ายของฝูงผีเสื้อที่กำลังโบยบินอย่างมีอิสระบนท้องฟ้า)

     

    ...

     

    7.15PM - 1 พฤกษาคม 2018

    ผ่านมาสองปีกว่าแล้วนับจากไดอารี่หน้าล่าสุดของผม

    ผมกลับบ้านมาในช่วงสุดสัปดาห์บังเอิญเจอไดอารี่เล่มเก่าเล่มนี้ซุกอยู่ในกระถางต้นแครบแอปเปิ้ลในโรงเพาะชำ

    เอาเป็นว่าถ้ากลับลีลเมื่อไหร่

    เอ่อลืมบอกไปว่าผมเข้ามหา’ลัยลีลได้อย่างที่ตั้งใจแล้วตอนนี้พักอยู่หอพัก ไว้กลับไปเมื่อไหร่ ผมจะพกไดอารี่เล่มนี้ไปด้วย

    ส่วนจะเขียนบันทึกอะไรต่อจากนี้ไหม

    ผมไม่แน่ใจขอคิดดูอีกทีแล้วกัน

     

    ผมเหน็บปากกาลงบนปกสมุดไดอารี่ก่อนเก็บพวกมันทั้งคู่ลงกระเป๋า ลมฤดูใบไม้ผลิโชยผ่านมาพร้อมกลิ่นชื้นจากบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยชาวปารีเซียงที่นั่งพักผ่อนอยู่ในบริเวณนั้น

    นานมากแล้วที่ผมไม่ได้กลับมาที่สวนสาธารณะลุกซ็องบูร์หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ดอกฟอร์เก็ตมีน็อตที่เคยอยู่แถวนี้ถูกแทนที่ด้วยดอกป็อบปี้สีเหลืองสดใสและทิวลิปสีชมพูที่ไม่คุ้นตา

    ในเมื่อไม่มีอะไรที่คุ้นเคยผมก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องอยู่ที่นี่ต่อ

    “ถ้าหาดอกฟอร์เก็ตมีน็อตอยู่มันถูกย้ายไปที่อื่นนานแล้ว”

    คำพูดพร้อมรอยสัมผัสบนไหล่ซ้ายรั้งผมไว้มันอบอุ่นอ่อนโยน แผ่วเบาราวกับผีเสื้อและให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด

    “ริค?”ผมอุทานด้วยความประหลาดใจ คิดจะหันไปหาแต่ถูกใครอีกคนดันไหล่ไว้ไม่ให้ทำแบบนั้น

    “ทุกครั้งที่ฉันกลับมาปารีสฉันไปหานายที่บ้านแต่ไม่เคยเจอ”

    ภาษาฝรั่งเศสสำเนียงอังกฤษของริคาร์โดไพเราะเหมือนเดิมและถูกหลักไวยากรณ์ด้วย อีกทั้งเสียงของเขายังทุ้มนุ่มอบอุ่นไม่เปลี่ยน

    “ผมย้ายออกจากบ้านตั้งแต่หมดฤดูใบไม้ผลิปีนั้นเรียนมหาลัยน่ะ” ผมตอบโดยไม่หันกลับไปมอง หัวใจเต้นระรัวแรงอย่างไรชอบกล

    ทั้งที่เรื่องราวทั้งหมดนั่นก็ผ่านมาตั้งนานแล้วแท้ๆ

    “นายยังเลี้ยงผีเสื้ออยู่หรือเปล่า”

    “ผมปล่อยพวกมันไปหมดแล้วหลังจากที่คุณไป”

    “ไม่ได้คลั่งไคล้ผีเสื้อแล้วหรือ”

    ผมหลุบดวงตาลงต่ำทอดมองใบหญ้าที่เอนไปมาอยู่ตรงปลายเท้า ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

    “ความคลั่งไคล้แบบเด็กๆ มันผ่านพ้นไปแล้วครับ”

    เกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจ

    ริคาร์โดปล่อยมือออกจากไหล่ผมอย่างเชื่องช้าแต่ผมตัดสินใจรั้งมือของเขาเอาไว้ ก่อนเหลียวไปมองผีเสื้อสีน้ำตาลแสนสวยของผม

    ชีวิตนี้มีผีเสื้อเพียงแค่สองตัวที่อยู่ในหัวใจผมเสมอมาหนึ่งคือคามิเลียที่ตายจาก อีกหนึ่งก็คือเขาที่ผมปล่อยไป

    สองปีที่ผ่านมาผมทำความเข้าใจกับอะไรหลายๆอย่างได้ดีขึ้น ความหวาดกลัวและความคลั่งไคล้แบบเด็กๆ ตายลงแล้วอย่างถาวร ผมได้เรียนรู้ความรู้สึกใหม่ที่มั่นคงและยั่งยืนยิ่งกว่า...ความรัก

    ผีเสื้อตัวหนึ่งร่อนลมโฉบผ่านปลายจมูกผมไปและเกาะลงบนแผ่นอกของริคาร์โดอย่างนุ่มนวล

    เหตุการณ์นี้...เหมือนวันแรกที่เราเจอกันไม่มีผิด

    ทว่าหนนี้ผมไม่สนใจใยดีผีเสื้อตัวนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปีกของมันมีสีอะไร เพราะทันทีที่ได้เห็นดวงตาสีดำขลับของริคาร์โดอยู่ตรงหน้าผมก็ลืมเลือนสิ้นแทบทุกสิ่ง

    “คุณยังชอบดอกฟอร์เก็ทมีน็อตอยู่ไหมครับ”

    “ไม่ได้ชอบแล้ว แต่รัก...จนลืมไม่ลง”

    คำตอบของเขาทำให้ผมพูดอะไรไม่ออกความหวานอมขมผุดขึ้นมาในใจผม มันแผ่ซ่านไปทั่วร่างผมอย่างเร็วรี่

    หวานเพราะรักขมเพราะคิดถึง ผมเองก็ลืมเขาไม่ได้…

    เราสองคนแนบริมฝีปากเข้าหากันอย่างนุ่มนวลจูบนี้คือส่วนผสมของความโหยหาอย่างลึกซึ้งและความหลงใหลที่ทรงอานุภาพอย่างยิ่งยวด

    ผมสั่นเทิ้มเพราะความรู้สึกอันท่วมท้นที่เกิดขึ้นในใจดักแด้ที่จำศีลมาเนิ่นนานเริ่มขยับไหว เปลี่ยนจากดักแด้ยับย่นกลายเป็นผีเสื้อแสนสวยปีกอันงดงามของมันมีสีฟ้าครามเหมือนดอกฟอร์เก็ตมีน็อต

    “ผมโตแล้ว คราวนี้จะไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆ อีก” ผมบอกเขา

    เขายิ้มตอบด้วยแววตาเป็นประกายรับรู้ว่าผมไม่ใช่ดอกฟอร์เก็ตมีน็อตที่หยั่งรากติดกับผืนดิน แต่จะเป็นผีเสื้ออีกตัวที่โบยบินเคียงคู่ไปกับเขาอย่างอิสระเสรี

    ตลอดไป...

     

    End



    [1] ผีเสื้อแดงRed Admiral Butterfly พบได้ในยุโรป เอเซียและอเมริกาเหนือ

    [2] Jardin duLuxembourg เป็นสวนสาธารณะที่มีขนาดใหญ่อันดับสองในกรุงปารีส

    [3] Excusez Moi (เอ็กกูเซ - มัว) ความหมายเดียวกับ ExcuseMe

    [4] มอธหนอนกระท้อน (Attacusatlas)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in