เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My Italian memoriesPATNAKAN
My Italian memories : EP.1 Let the journey begin.
  • แฮ่....เอาของเก่ามาหากินใหม่ได้เรื่อยๆค่ะ เพราะเราเป็นคนหน้าด้านมากจริงๆ... เปิดเรื่องใหม่ค่า! *จุดพลุ* ชีวิตแลกเปลี่ยนที่อิตาลี เมื่อปี 2015-2016 ของตัวเองค่ะ เราทราบค่ะว่ามันนานมาแล้ว แต่ก็อย่างว่าอะค่ะ ก็เราจะเขียน มีไรแม้ะ 55555555555

    หลังจากที่ลง 'อิตาลีนี่มันอิตาลีจริงๆเลยนะคะ' --> https://minimore.com/b/aqNAp/7 (ขายของแบบไม่เนียนอีกแล้ว)

    ข้อเท็จจริงของประเทศอิตาลี เห็นมีคนเข้ามาคอมเม้น 4-5 คอมเม้น มันเลยจุดไฟเราขึ้นมาได้ อยากเอาเรื่องที่มีตอนนี้มาเล่าใหม่ 

    เราตั้งใจกับตัวเองว่า จะเขียนเรื่องชีวิตแลกเปลี่ยนของตัวเองให้จบให้ได้ แล้วเราก็เขียนจบแล้วค่ะ ใช้เวลารวบรวมประมาณ 3 เดือน แต่ก่อนก็เขียนทิ้งๆขว้างๆไว้ใน Exteen เขียนไร้สาระมากค่ะ คราวนี้ก็ได้เอางานมารีไรท์ แล้วที่ได้ทำจริงๆจังๆก็เพราะเราเห็นมีประกวดของ ARC Award ส่งต้นฉบับอะไรไปประกวดก็ได้ แล้วประกาศผลเมื่อวันที่ 8 มิถุนาที่ผ่านมาค่ะ และเราไม่ผ่าน... เราเลยเศร้ามาก 

    ไม่เป็นไร! เอามาเล่าในนี้แทนก็ได้! ถึงจะไม่ได้ตีพิมพ์หรือเข้ารอบ แต่ความสุขของเราคือการที่ได้เห็นคนมีความสุขกับเรื่องที่เราเล่า เพราะฉะนั้น เอามาเล่าในนี้แทนก็ได้ 

    ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ /ก้มไหว้สิบทิศ


    EP.1 : Let the journey begin


    03/09/2015 ณ สนามบินสุวรรณภูมิ

    ‘โอโหหหหห นี่กูกำลังจะไปอิตาลี กำลังจะไปยุโรป โอ๊ย ฝันชัดๆเลย ได้เวลาแรดแล้วววววกรี๊ดดด’

    มันเป็นประโยคแรกที่แว้บเข้ามาในหัวตอนที่ยกกระเป๋าลงจากแท็กซี่

    รู้สึกน้ำตาคลอเบ้า นับถอยหลังข้ามปีเชียวนะ พยายามมาอย่างสาหัสทั้งเต้นแร้งเต้นกาให้กรรมการดูวันสัมภาษณ์ ไหนจะเป็นตัวสำรองกว่าจะโดนเรียกเอกสารร้อยแปดพันอย่าง ไหนจะเก็บงานล่วงหน้าไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพราะไม่ซ้ำชั้น ไหนจะค่าแปลเอกสารมหาโหด โดนฉีดวัคซีนจนพรุนอีก โอย ใครบอกเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนง่ายฉันจะเถียงให้คอเป็นเอ็น

    วันนี้แม่กับพ่อมาส่งตามเวลานัดหมายของโครงการ จริงๆมาเกือบคนท้ายสุดเพราะ เพื่อนในแก๊งมาอยู่นี่กันหมดแล้วแหะๆ...เพราะมัวแต่กินกะเพราไข่ดาว อาหารสิ้นคิด กับส้มตำ เป็นอาหารมื้อสุดท้ายกอบโกยไว้ก่อน เพราะอาจจะไม่ได้กินในสิบเดือนข้างหน้า แล้วก็ยังทำ Rosetta Stone ไม่เสร็จ (โรเซตต้าสโตนเป็นโปรแกรมเรียนภาษาออนไลน์ค่ะ โครงการให้เรียนถ้าเรียนไม่จบเลเวลหนึ่ง เตรียมจ่ายห้าสิบยูโรได้เล้ยยยย ซึ่งเค้าให้เวลาตั้งเยอะกูไม่ทำ มาปั่นไฟลนก้นเอาเดือนสุดท้าย เยี่ยม)

    แอบเอารหัสล็อกอินให้โฮสซิสช่วยทำแบบฝึกหัดด้วย

    แหม..เลวตั้งแต่ยังไม่ก้าวออกจากประเทศ..

     

    พี่ที่เราสนิทในทวิตเตอร์ก็มาส่งด้วย พี่เค้าให้สมุดโน้ตมา แล้วบอกว่าให้เอาไว้เขียนความทรงจำที่นั่น ระบายลงไปได้นะ รู้สึกปริ่มมาก แค่พี่มาส่งหนูหนูก็ดีใจแล้วค่ะ ฮือ ระหว่างนั้นก็ไถๆเฟซบุ๊กกับทวิตเตอร์ไป เพื่อนก็มาอวยพรให้เซฟไฟลท์โชคดีกันมากมายบางคนแย่หน่อยก็แนบรูปหน้าหลุด จมูกบานของเรามาอีก ช่างเป็นเพื่อนที่ดีกันจริงๆเลยเนอะ

    ส่วนไฟลต์บินจากกรุงเทพ-ดูไบ แล้วต่อเครื่องอีกทีไปโรมเวลาประมาณ 21.35 น.

    ดีที่มีเพื่อนร่วมชะตากรรมจำนวน 60 คน รวมกับเรายังไงคนเด๋อๆอย่างเราก็ต้องรอด อุวะฮ่าฮ่า

    ช่วงก่อนที่จะตรวจของเอกสารต่างๆ เราก็บอกลาพ่อกับแม่บุคคลผู้มีพระคุณยอมกู้เงินทุกบาททุกสตางค์เอามาให้เราไปผลาญเล่นที่เมืองนอก /เอ๊ะ

     ตั้งใจว่าคนอย่างเราก็คงจะไม่ร้องไห้หรอกคือจริงๆก็จะไม่ร้องไห้แล้วแหละ แต่พอได้กอดก็แบบ ฮืออออ น้ำตามาจากไหนไม่รู้ทำใจยากอ่ะ ต้องออกจากบ้านไปต่างประเทศ ไปอยู่กับใครก็ไม่รู้อะไม่มีคนให้งอแงใส่แล้ว แต่ก็ไม่ฟูมฟายมาก เพราะดูในแผนที่อิตาลีกับประเทศไทย ไม่ถึงคืบด้วยซ้ำ...

    เอาล่ะ มันได้เวลาที่จะออกเดินทางแล้ว อิตาลีพี่มาแล้วน้องงงงงงงงงง

    *ลากกระเป๋าเดินทางที่ภายในเต็มไปด้วยมาม่าปลากระป๋องอย่างเอเลแกนท์*

     

    พูดให้เท่ไปอย่างนั้นแหละ ความจริงคือทุลักทุเลมาก มันหนักพอขึ้นเครื่องไปก็จัดแจงกระเป๋าให้เข้าที่ พี่สจ๊วตสุดหล่อคมเข้มก็มายกกระเป๋าช่วยเราอิอิ รู้สึกสวย

    แต่จะดีกว่านี้ถ้าพี่เค้าไม่ได้มาสะกิดปลุกฉัน ตอนเอาอาหารมาเสิร์ฟในขณะที่อินี่กำลังนอนอ้าปากน้ำลายไหลเป็นนางสวาหะกินลมที่เชิงเขาจักรวาล

    น่าอายจริงๆ.. ความเรียบร้อยเหมือนผ้ายับที่พับไว้ได้อันตรธานหายไปแล้ว

    โอ๊ย แต่เซ็งอะ ทั้งขาไปดูไบกับโรม ไม่ได้นั่งติดหน้าต่างเลย โอยโดนจับยัดไว้ตรงกลาง แต่ก็ไม่ได้อะไรไฮไลต์ของทริปนี้มันอยู่ประโยคที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ค่ะ

    หลังจากที่อยู่บนเครื่องส่องพี่สจ๊วตสุดหล่อคนนั้น ดูหนัง หลับกินข้าว และแน่นอนว่าไฟลต์ยาวแบบนี้ต้องมีอาการปวดฉี่ขึ้นมาและเราก็จะได้ลองดีกับห้องน้ำบนเครื่องบินเป็นครั้งแรก เยส

    ก็เดินออกไปยืนรอตรงหน้าห้องน้ำ... อืม ทำไมนานจังวะนี่กูฟังแอร์เมาท์มอยจบไปไม่รู้กี่เรื่องแล้ว นี่หลับในห้องน้ำหรือเปล่าคะเราก็รอไป จนสุดท้าย ลุงคนนั้นก็ออกมา แกก็มองหน้าเราแบบ เก้ๆกังๆเราก็สยามเมืองยิ้มใส่ ไม่ได้คิดอะไร ส่งยิ้มไปเบาๆ

    เอ๊ะ นี่ลุงจะส่งสัญญาณบอกอะไรเรารึเปล่าน้า

    นี่ก็เปิดประตูห้องน้ำเข้าไป

    ผ่าง!!!!!!!

    โอ้โหหหห นั่นห่านที่ไหนมาไข่ทองคำไว้คะ โอ้โหหหหเหลืองอร่ามงามตาเชียว

    ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้คะ กรรมใดของลูก อิลุงมึง กูว่าแล้วทำไมเข้านานอะไรขนาดนั้น มาวางระเบิดก้อนใหญ่ยักษ์ไว้

    เราก็ใจเย็น ปิดฝา กดชักโครกซ้ำแล้วซ้ำอีก มันก็ยังไม่ลง กดไปมันก็ค่อยๆลงไปเรื่อยๆแต่ก็ยังเหลือร่องรอย แต่ตอนนั้นไม่ไหวละกระเพาะปัสสาวะจะระเบิด ก็เลยทำธุระตัวเอง แล้วเราก็พยายามกดต่อ

    ตอนนั้นเหงื่อซ่กละ คนที่เข้ามาต่อกูนี่จะคิดว่ากูเป็นคนยังไงวะเราก็เลย โอย คงไม่มีใครหรอกมั้ง เราก็พยายามกดสุดชีวิตของเราละนะตัดสินใจเปิดประตูออกไป

     

    โอ ชิท...หนุ่มหล่อฝรั่งต่อคิวห้องน้ำค่า

    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด พรี่สุดหล่อคะะะ พรี่คะคะคะคะ นั่นไม่ใช่ของชั้นนะคะไม่ใช่ความผิดชั้นค่ะ ฮืออออออออ

    ทำไมมมมม ทำไมทำกับชั้นแบบนี้ นอกจากหน้าตาชั้นจะไม่สวยแล้วยังจะโดนผู้ชายหล่อมองว่าขี้ไม่กดน้ำอีกเหรอคะ ทำไมมมมมมม

    แต่สุดท้ายก็ได้แต่เดินกลับมานั่งที่ ปิดตาหลับทำเนียนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไปตลอดทาง หวังว่าจะได้เจอพี่สุดหล่อคนนั้นอีกแล้วฉันจะได้อธิบายให้ฟังว่าทองคำก้อนนั้นไม่ใช่สมบัติของฉัน .___.

    แค่วันแรกที่ออกจากประเทศก็มีเรื่องมาทำให้ตื่นเต้นแล้ว 

    สิบเดือนต่อจากนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ..

     

    "นักเรียนแลกเปลี่ยน”

    (รูปประกอบไม่เกี่ยว แค่อยากให้มันดูมีโทนดราม่าค่ะ /โดนเหยียบ)

    สวัสดีค่ะ เราชื่อหยิน แนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ยินดีต้อนรับมิตรรักแฟนเพลงทั้งหลายนะคะ หรือใครที่พลัดหลงเข้ามาอ่าน ก็ยินดีต้อนรับค่ะ คุณออกจากที่นี่ไม่ได้แล้วนะคะ ต้องอ่านต่อให้จบค่ะ /โบกมือแล้วแจกยิ้ม

    เราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศอิตาลี 2015-2016 เป็นคนสวยและใจดีมาก.. ไม่ใช่ละ เป็นคนขี้โม้ และชอบเขียนไดอารี่ถึงแม้จะไม่ค่อยมีเรื่องให้เขียน นอกจากเพื่อนๆผู้ชายที่นั่— 

    ภาษาอังกฤษค่อนข้างงูๆปลาๆ แต่จับพลัดจับผลูได้มาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนซึ่งก็งงๆเหมือนกัน ว่าคนอย่างเราได้มาเป็นตัวแทนในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมประเทศไทยได้ด้วยหรือนี่ (ดูยิ่งใหญ่เนอะ)

    อืม...นี่ตกลงว่าเรามีดีอะไรบ้าง..

    แต่เป็นคนมีความฝันมาโดยตลอดว่าจะต้องได้ไปต่างประเทศบ้างจะต้องได้เห็นหิมะ จะต้องได้แอ๊วหนุ่มตาน้ำข้าว (?)

    และวันนึงไปเดินร้านหนังสือบังเอิญเจอหนังสือที่เกี่ยวกับแลกเปลี่ยนเลยซื้อมาอ่านแบบไม่คิดอะไรมาก พออ่านจบ ก็เห็นมีทวิตที่ว่าโครงการแลกเปลี่ยนเปิดรับสมัครนักเรียนแลกเปลี่ยนของปีนี้เยอะมากๆแนบรายละเอียดมาพร้อม เกือบสมัครไม่ทันค่ะแต่ก็มีเวลาอีกอาทิตย์ให้สมัคร ทำไมอะไรมันจะเหมาะเจาะพอดีขนาดนี้!

    ไม่รีรออะไรเลย ไปสมัคร ตั้งใจอ่านหนังสือมากทั้งๆที่เป็นคนขี้เกียจ ไปสอบ ก่อนสอบก็สวดมนต์ยกมือไหว้หนังสือก่อนทำข้อสอบจนข้างๆหันมามอง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลไม่ได้กลพี่ก็ต้องได้ด้วยมนต์คาถาค่ะ หยินอยากได้ หยินต้องได้!

    และเราก็ผ่านข้อสอบอันแสนหฤโหดนั่นมาได้ แต่ด่านถัดไปก็เป็นด่านสอบสัมภาษณ์...

    ถึงจะเป็นคนขี้โม้ แต่พอเจอสถานการณ์ที่พูดภาษาอังกฤษแบบนี้แถมยังไปพูด July เป็นจูลี่ ไปปล่อยไก่ทั้งฟาร์มให้เค้าดูค่ะ แล้วก็ตายหยั่งเขียดตอนแสดงความสามารถพิเศษ ก็ไปเต้นเพลง ฉันหล่อไป เพราะไม่มีความสามารถอะไรเลยพี่เน้นขายความฮา

    อืม ดูการกระทำสิ คงจะสอบผ่านหรอก -_-

    แต่สุดท้ายความพยายามในการพูดอังกฤษคงยังไม่พอการเต้นแร้งเต้นกาก็คงไม่เข้าตากรรมการ 

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์วันนั้นคงได้รับคำขอจากนักเรียนที่สอบสัมภาษณ์มากเกินไปจนไม่ได้ยินเสียงร้องขอของเราผลออกมา เป็นได้แค่ตัวสำรอง.. แสบทรวงไหมล่ะ

    แต่ความจริงตอนเลือกประเทศ เป็นตัวสำรองยังจะเลือกอีก ฮ่าๆเราตั้งใจว่าจะเลือกฝรั่งเศส เพราะเรียนศิลป์ภาษานี้ แต่ดันไม่มีประเทศนี้แล้วตัวเลือกก็น้อยมาก เลยเลือกอิตาลีไป เพราะอย่างน้อยมันก็อยู่ในยุโรปเผื่อจะมีวาสนาได้ไปฝรั่งเศสด้วย (อิตาลีบอก กูเป็นแค่ทางผ่านมึงสินะ) 

    อเมริกาเอาไว้อันดับสอง เพราะอยากมีโมเมนต์มีหนุ่มหล่อมาขอไปงานพรอมอยากมีโมเมนต์อเมริกันไฮสคูลอะแกร๊ จะมโนก็ต้องมโนให้สุด แต่ใดใดก็ตามตอนนั้นคิดแค่ว่า จะต้องได้ไปเรียนต่างประเทศสักครั้ง ที่ไหนก็ได้ เอาหมดแหละ

    แต่ก็เลือกอิตาลีไปเพียงเพราะว่า มันน่าจะแจ่มดีนะ คนส่วนใหญ่เค้าก็อยากไปอเมริกากันนี่นา อยากมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเองอยากเป็นแรงบันดาลใจให้ใครสักคน อยากไปแลกเปลี่ยนบ้างและจะได้มีเรื่องมาโม้ตอนที่กลับมา (เกือบนางงามละถ้าไม่มีประโยคนี้)

    แต่พอคนถามจริงๆว่า เหตุผลทำไมเราถึงอยากไปอิตาลี เรากลับตอบแบบชัดเจนไม่ได้ว่าทำไมเราถึงอยากไป เรามีความหลงใหลอะไรในประเทศนี้เราตอบคำถามตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ 

    เหมือนเรารู้แค่เปลือกนอกของประเทศนี้ว่ามันมีอาหารที่อร่อยนะ แผนที่เป็นรูปรองเท้าบูท มีโรม มีเวนิส มีมิลาน  มีสถาปัตยกรรมที่ดีนะ มีคนหล่อนะ อ้าวอย่างหลังไม่ใช่ แต่เราไม่ได้รู้อะไรลึกซึ้งเกี่ยวกับประเทศนี้เลย..

    และสุดท้าย โชคก็ยังเข้าข้างเราอยู่  ศูนย์โทรมาบอกว่าเราได้เลื่อนลำดับ อยากไปประเทศอิตาลีไหม

    ตอนที่รับโทรศัพท์ต้องกดน้ำเสียงให้ดูเรียบร้อยที่สุด อ้ะ ขอเวลาคิดแป๊บนะคะ เดี๋ยวหนูโทรมาบอกค่ะ แต่พอวางสายปั๊บ โอ้โห กรี๊ดลั่นอาคารเรียนฮืออออออ ในที่สุดดดดดดดดด ความเต้นแร้งเต้นกาวันนั้นไม่สูญเปล่า ตื้นตันใจค่า

    แน่นอนว่าหลังจากที่ปรึกษากับแม่พ่อ แม่บอกอยากไปก็ไปสิ ที่บ้านอนุญาต กายพร้อม ใจพร้อม เราทำได้ เฮ่!

    เราเลือกที่จะไปประเทศนี้ ถึงจะรู้จักแบบผิวเผิน แต่เวลาสิบเดือนต่อไปนี้แหละจะเป็นเวลาที่เราจะได้ทำความรู้จักกับประเทศที่ชื่อว่า อิตาลี :) 


    ___________________________________________________________________________


    วี้ดดดดดดดดดดดดด เอามาเรียกน้ำย่อย ต่อให้ไม่มีคนอ่าน เราก็จะเอามาลงให้จบอยู่ดีค่ะ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ <3 ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ค่ะ T_T 

    ซึ้งใจจริงๆนะคะ อยากขอแต่งงานทุกคนที่เข้ามาอ่านเลยค่ะ----

    เดี๋ยวตอนถัดไปจะเอามาลงเร็วๆนี้ค่ะ 

    ขอบคุณที่โลกใบนี้มีเว็บที่ชื่อ Minimore ถ้าไม่มี เราไม่รู้จะเอาเรื่องราวความอัดอั้นตันใจของเราไปไว้ที่ไหน 55555555555555





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Jirutchaya Sanprai (@fb1015589821381)
ชอบ​มาก​ค้าเขียนสนุกมาก