เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Reveal / ReviewK. W.
(กึ่ง) Review : LA LA LAND vs. Arrival
  • ว่าด้วยความเหมือนของหนังสองเรื่อง
    LA LA LAND vs. Arrival

    (คิดว่า) สปอย

    หนังสองเรื่องนี้ดูไม่มีอะไรเหมือนกันเลยในแง่ของแนวทางหนังเรื่องนึงเป็นหนังลั้ลลาแบบมิวสิคัลของผู้ค้นฟ้าคว้าดาว อีกเรื่องเป็นหนังไซไฟมนุษย์ต่างดาวเรื่องนึง เอ็มม่า สโตน ถ่ายทอดชีวิตของคนอยากตะกายดาวด้วยเพลง Auditions ในขณะที่อีกเรื่องเอมี่ อดัมส์มานิ่งๆ นั่งวิเคราะห์ word orders และ morphemes อะไรเทือกๆ นั้น

    แต่ถ้าลองมาสังเกตดีๆหนังสองเรื่องพูดถึงประเด็นที่ดูจะเป็น universal คล้ายๆกันคือเรื่องของ "ทางเลือก" และชะตากรรมของตัวละครที่ได้รับผลกระทบจากทางเลือกนั้นๆ

    เรียกได้ว่า Robert Frost เขียน The Road not Taken แล้วคนยังอินฉันใดทุกวันนี้คนยังอินเรื่องของทางเลือกและโอกาสในการเลือกด้วยกันแทบทั้งนั้นก็เพราะคนเราไม่สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง เมื่อได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง (เลือกเดินบนทางสักทางได้ไหมมมม...#ผิด)ดังนั้นเมื่อเราตัดสินใจอะไรลงไปแม้ว่าเราจะพอใจกับมันมากมายแค่ไหน มันจะมีบางครั้งบางคราวที่เราเผลอไผลคิดว่า...

    ถ้าเราเลือกทำแบบนั้น (หรือเลือกไม่ทำแบบนั้น)

    ถ้าเราเลือกคนนี้แทนที่จะเป็นคนนั้น(หรือแทนที่จะอยู่คนเดียว)

    ถ้าเราเลือกทำตามความฝัน (หรือถ้าเราเลือกไม่ทำตามความฝันและอยู่กับความเป็นจริง...)

    จะเป็นยังไง



    Mia ใน LA LA LAND มีความฝันเป็นตัวตั้ง เธออยากเป็นนักแสดงเพื่อสานฝันของคุณป้าเธอที่ชอบพาเธอไปเสพงานคลาสสิคจากโลกเก่า(และป้าเธอโดดลงแม่น้ำแซนจนป่วย แต่ถ้าไม่มีป้าก็ไม่มีเพลง Audition นะ 55) เมื่อเธอเติบโตมา เธอละทิ้งการเรียนทนายความมาค้นฟ้าคว้าดาวที่แอลเอนครดารา... เป็นเวลานานถึงหกปีแล้วก็นกแล้วนกอีก ไปออดิชั่นทีไรไม่มีคนสนใจ(ไม่สนใจถึงขั้นไม่เงยหน้ามามองเธอด้วยซ้ำ เมื่อใครก็ได้สามารถมาแทนที่เธอแถมยังเก่งกว่าด้วยซ้ำ) Mia มองหา Someone in the crowd เพื่อจะพาเธอลอยไปสู่โลกปัจจุบันที่เธอเป็นแค่คนตัวเล็กๆที่มีแค่ความฝัน และเธอเริ่มรู้สึกว่าบางทีแค่ความฝันอย่างเดียวมันคงไม่พอ...

    จนกระทั่งเธอมาพบกับ Sebastian ชายหนุ่มที่มี passion กับโลกดนตรีแจ๊สที่ทำให้เธอค่อยๆเริ่มมองเห็นความสำคัญของตัวเอง และเพราะเขานั่นแหละที่ bring the best in her ออกมาในวันที่เธอสิ้นหวังเพราะการแสดงเดี่ยวของเธอจบลงด้วยความผิดหวังและเธอลงไปถึงจุดต่ำสุดจนอยากจะยอมแพ้เธอก็กำลังจะเลือกเดินออกไปจากความฝันของตัวเองและละทิ้งทุกอย่างเมื่อเธอพบว่าความฝันของเธออาจไม่มีวันเป็นจริง

    แต่เพราะความรักและแรงบันดาลใจของเซ็บแท้ๆที่ทำให้เธอตัดสินใจเลือกเดินตามความฝันในท้ายที่สุดเมื่อในที่สุดเธอก็สามารถทำตามความฝันได้สำเร็จกลายเป็นดาราระดับเอลิสต์สมใจและได้เดินทางไปสู่ความสว่างสดใสในนครดาราวันนี้เธอไม่นกอีกแล้ว เธอมีทุกอย่าง มีงานดี ครอบครัวที่ดี ลูกน่ารัก

    แต่ว่าความจริงใน 5 ปีต่อมา กลับหลอกคนดู(ให้ตื่นขึ้นมาเจอความจริง) เมื่อคนเราไม่อาจได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอาได้ตามความฝันและเป้าหมายอันทะเยอทะยานของเธอไม่มีเซ็บอยู่ในนั้น

    ภาพสะท้อนทางเลือกอีกทางที่มีเซ็บอยู่ในนั้นคือภาพแห่งความฝันที่มีอา (หรืออาจจะเป็นเซ็บ!)จินตนาการว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเขาและเธอได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากได้แม้ว่ามีอาอาจจะไม่ได้เป็นดาราโด่งดัง หรือเซ็บอาจไม่ได้เปิดแจ๊สบาร์หรูหราอลังการแต่เขาสองคนอยู่ด้วยกัน นั่งฟังเพลงแจ๊สสวยงามในบาร์แห่งหนึ่งเป็นภาพสวยงามราวกับความฝัน (ซึ่งมันก็คือความฝันนั่นแหละ)

    เมื่อล่องลอยไปสู่ความฝันนานเพียงใด สุดท้ายคนทุกคนก็ต้องลืมตาตื่นมาพบกับความจริงเมื่อสิ้นสุดเพลงอันมีความหมายของคนสองคนความจริงที่เกิดขึ้นก็คือทั้งเซ็บและมีอาต่างก็ได้เดินไปตามความฝันเพียงแต่ความฝันนั้นไม่มีเพื่อนร่วมทางซึ่งกันและกันอีกแล้ว

    แต่รอยยิ้มในฉากสุดท้ายบ่งบอกได้ดีว่าแม้ว่าชีวิตจะโหดร้ายแค่ไหน ตราบใดที่เรามีความฝันและเราได้เดินตามฝันนั้นแล้ว...เราก็คงต้องใช้ชีวิตกันต่อไป



    ถ้ามีอาจาก LA LA LAND มีแค่ทางเลือกเดียว ตัดสินใจได้ครั้งเดียว และได้แต่จินตนาการว่าทางเลือกอีกทางจะสวยงามเพียงใด แม้ว่าจะย้อนเวลากลับไปเลือกอีกทางไม่ได้ Dr. Banks จากArrival อาจจะโชคดีกว่าเพราะเธอสามารถเห็นอนาคตได้ทุกอย่างเมื่อเธอได้เรียนรู้ภาษาจากผู้มาเยือนจากนอกโลกผู้มอบของขวัญวิเศษเป็นภาษาที่อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างรวมไปถึงประสบการณ์และความทรงจำในแบบnon-linear เมื่อเธอติดต่อกับผู้มาเยือนและแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ภาษาซึ่งกันและกัน

    แต่คำถามที่เกิดขึ้นคือ โอเคว่าถ้าคุณจำเป็นต้องเลือกและคุณเลือกไปแล้ว คุณอาจจะยิ้มรับ (หรือทนรับ) ทางเลือกที่คุณเลือกไปแล้ว เพราะคุณไม่สามารถจะเลือกใหม่ได้ แต่ถ้าคุณเป็นอย่าง Dr. Banks  ที่รู้ได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต...    

    ถ้าคุณรู้ทุกอย่างรู้แม้กระทั่งว่าอนาคตคุณจะต้องลงเอยด้วยความไม่สวยงามอย่างที่คุณตั้งใจไว้

    คุณจะตัดสินใจยังไง?

    งานนี้ Dr. Banks รู้ดีว่าเธอจะต้องมีชีวิตแบบไหน

    เธอจะแต่งงานกับดอลเนลลี่ มีลูก เลิกกับดอนเนลลี่และลูกก็จะตายตั้งแต่เด็กด้วยโรคมะเร็ง... 

    เธอมีความรู้เรื่องระยะเวลาที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน ไม่มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต ดังนั้นเธอมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเธอ

    แค่เพียงเธอตัดสินใจไม่ลงเอยกับดอนเนลลี่ทุกอย่างในชีวิตเธอก็จะไม่จบลงด้วยโศกนาฏกรรม

    แต่ Dr. Banks กลับเลือกที่จะไม่เปลี่ยนแปลงอนาคต น้อมรับทุกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือร้าย 

    นั่นมันแปลว่าอะไรกันนะ? 

    อาจจะเป็นเพราะว่าแท้จริงแล้วมนุษย์ไม่มีfree will หรือเปล่า?

    หรือการตัดสินใจของมนุษย์แท้จริงแล้วไม่ได้เกิดจากเจตจำนงเสรีแต่อาจจะมีพลังบางอย่างที่ครอบงำการตัดสินใจของมนุษย์อยู่

    ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำอันสุขสมและเจ็บปวดมนุษย์ต่างก็ต้องใช้ความหวานและความขมเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตและหล่อหลอมให้คนคนหนึ่งมีตัวตนในโลกที่หมุนวนด้วยประสบการณ์และการเรียนรู้ของตัวเองนั่นแหละดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายต่างก็สำคัญต่อมนุษย์ในฐานะที่มันเป็น “รสชาติของชีวิต...”

    และมนุษย์ยินดีที่จะรับประสบการณ์นั้นมากกว่าที่จะไม่ได้อะไรเลย...

    แม้ว่าจะความขมจะทิ้งรสชาติไว้ยาวนานกว่าความหวานแต่ถ้าเพียงแต่มันจะมีความหอมหวานหล่อเลี้ยงจิตใจมนุษย์ได้บ้างมนุษย์ก็ยินดีน้อมรับมันไว้ด้วยความยินดี...

    Dr. Banks อาจจะต่างกับ Mia ตรงที่ว่าเธอไม่ต้องจินตนาการถึง What if? แบบมีอา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏตรงหน้าเธอในนิมิตหมดแล้วแต่เธอตัดสินใจน้อมรับเส้นทางที่เกิดขึ้นและเดินต่อไปด้วยความกล้าหาญ

    เพราะแท้จริงแล้วไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไรก็คงต้องใช้ความกล้าหาญไม่แพ้กัน...

    ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่จะทำตามฝัน...

    หรือการตัดสินใจที่จะน้อมรับความจริง...


      

     

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in