เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เหงาเท่าอวกาศMind Da Hed
Snow leopard print and pinus
  • อยู่ดีๆ ไอรดาก็คิดขึ้นมาได้ว่าไม่น่าไปวิ่งเล่นในหมู่บ้านฮอลสแตทในวันนั้นเลย

    ออสเตรีย ปี 2543 หิมะโปร่งแสงในก้อนเมฆ ใบไม้วิบไหวในดวงตาของกวางที่อาจจะเป็นผู้พิทักษ์ก็ได้ เธอแอบพ่อออกมาเดินเล่นแถวโรงแรม พันผ้าพันคอสีเทา ลมก็ชื้นเหมือนมีใครกำลังร้องไห้ไม่หยุด ไอรดาห่อตัวเป็นโอพอสซัม อยากจะแกล้งตายสัก 2-3 ชั่วโมงในทริปเทพนิยายที่ไม่ได้อยากมาร่วมเสียเท่าไหร่นัก

    โลกนี้ผู้ใหญ่วาดมันขึ้นมาอย่างเสียๆ หายๆ ระบายสีออกนอกเส้นก็ไม่ได้ ไม่มีอะไรที่น่าเบื่อไปกว่าการถูกบังคับให้นั่งเฉยๆ 

    เพราะถ้านั่งเฉยๆ แล้วทุกอย่างจะดีทำไมทุกคนบนโลกนี้ไม่พร้อมใจกันทำ

    ทุกอย่างมันเคลื่อนที่ไปพร้อมกับกฏของแรงดึงดูด มีแรงเหวี่ยงของแกนอารมณ์และศูนย์กลางย่อมๆ ของโมเลกุลชีวิต

    ไอรดาเลยรักทุกดวงจันทร์ กลางคืนเป็นช่วงเวลาของเด็กอ่อนแอ การผจญภัยในต่างแดนของเธอช่างน่าเบื่อ อากาศหนาวชื้นเหมือนจะเป็นไข้ภูเขาได้ตลอดเวลา ภาษาก็น่าปวดหัว มีการรวมร่างของตัวเอบีซีที่อ่านไม่ออก

    ไกลออกไปเกือบสามก้าวกระโดด เธอมองเห็นสะพานไม้ที่มีนักท่องเที่ยวเดินถ่ายรูปเล่นในเวลากลางวัน

    สะพานไม้ข้ามลำธารเล็กๆ มันชวนให้หัวใจฟีบเหี่ยว โค้งสะพานอ่อนแอเหมือนโค้งเปลือกตาของคนอกหัก ทำนบพังทลาย ร้องไห้ออกมาเป็นลำธารใสบ้างขุ่นบ้าง สะพานดูทึ่มมากในเวลากลางวัน แข็งแรงแต่ทึ่มทือเหมือนลุงเฉิ่มๆ ที่ทำตัวไม่ถูกในงานพรอมของเหล่าวัยรุ่น ไอรดาไม่รู้เลยว่านั่นเป็นเพราะเขาทำตัวไม่ถูก ความเหงาทำให้คนเราทึ่มได้เรื่อยๆ

    สะพานไม้ตรงนั้นกระซิบใส่หูเธอเบาๆ ว่าคิดถึงคนรัก

    คนรักของเขาอยู่อีกฟากฝั่งของออสเตรีย เป็นสะพานเฉยชาที่เชื่อมต่อระหว่างกระท่อมกับป่าสนซีดาร์ที่บางครั้งออกดอกมาเป็นหางของปลาผีเสื้อ ที่นั่นมีกระท่อมเลี้ยงเสือดาวหิมะ เสือดาวหิมะมีหน้าที่จัดแจงให้กระท่อมมีความพิศวงจนจับใจเพราะไม่มีใครคาดเดาได้ว่าทำไมพวกมันไม่อาศัยอยู่แถวทุ่งหญ้าอัลไพน์ 

    เสือดาวหิมะในป่าสนแถบที่ไกลจากทิเบตและมองโกเลียจึงไม่ต่างอะไรกับสัตว์ประหลาด

    ความสูง 4,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล สิ่งมีชีวิตอยู่ได้ ถ้าไม่เหงาตายไปเสียก่อน

    ตัวกระท่อมถูกสาดสีเขียวบานเย็นเหลืองเหมือนได้แรงบันดาลใจมาจากเสื้อผ้าของฟรีดา คาโลและมิติของจุดที่เป็นนิรันดร์ของป้ายาโยย คุซามะ

    ที่ตรงนั้นไม่มีอะไรที่เข้ากันเลย พวกมันเรียกร้องความสนใจอย่างโดดเดี่ยว สิ่งเดียวที่พ้องต้องกันคือความอาลัยต่อใครก็ตามที่ไม่มีวันได้อยู่ด้วยกัน สอนให้รู้ถึงธรรมชาติของการพึ่งพิงเพียงลำพัง ธรรมชาติสอนบทเรียนให้แก่กันและกันอย่างป่าเถื่อนก่อนที่หลักสูตรนั้นจะถูกส่งผ่านมายังมนุษย์

    การเดินทางของแสง แรงโน้มถ่วง การปริแตกของจักรวาล ระยะเคลื่อนผ่านของเกสรเมฆ

    ขุ่นค้นไปด้วยอารยธรรมของความใจร้าย ลาจากกันทั้งๆ ที่ปลายใบยังเกี่ยวรั้งกันไว้อยู่

    ไอรดาน้ำตาคลอ

    สะพานไม้รักกันตั้งแต่วัยที่พวกมันยังเป็นต้นสนวัยรุ่น เคียงข้างกัน ตลบซบกันในวันที่พายุหิมะตอดตอมเปลือกนอก ความอบอุ่นหวีดร้องแทบบ้า แอบจูบกันผ่านแสงซับแดดที่ลอดเข้ามาช่วงสายๆ ต้นสนหลายต้นยังไม่ตื่นดี วัยรุ่นบ้าพลังวางแผนหนีตามกันไปในอวกาศ ใบลีบเรียวระหว่างต้นซบซ้อนกัน ลูบผิว ไล้ก้านแก้ม ลมโหม สปอร์หอมคลั่ง พลอดรักกันในวันที่ยังไม่มีใครถูกโค่นลง

    สำหรับเขามันคือวันเดอร์แลนด์ สะพานไม้ระบายให้เธอฟังด้วยเสียงชื้นๆ ดวงตานั้นต้องช้ำเหมือนทิชชูยุ่ยๆ ถ้าเขาเป็นเด็กชายคนหนึ่งที่ยังไม่ทันได้รู้จักความรัก ความรักก็พรากตัวเองออกไปด้วยแรงอะไรสักอย่างจากกฏของนิวตัน เสือดาวหิมะที่ถูกจับมาอยู่ในพื้นที่แคบๆ ก็คงรู้สึกเช่นกัน อาณาเขตหลายล้านตารางกิโลเมตรและความขรุขระของผิวภูเขาหายไปจากสัญชาตญาณของมัน

     สัตว์รักสันโดษไม่เคยรู้สึกว่าเร้นเขานั้นอ้างว้าง มันอยู่คนเดียวได้และตายอย่างสงบในร่องหิน

    แต่กระท่อมไกลโพ้นนี่ทำให้ความตายมีชีวิต ทำให้ชีวิตรู้ว่าการไม่มีชีวิตกับการตายนั้นต่างกัน

    ป่าสนทึบๆ ก็ไม่ได้อยู่ยั้งยืนยงเสียทุกต้นไป วันใดวันหนึ่งเลื่อยอากาศจะตวัดฉับอย่างเงียบๆ มีเสียงดังตุบสะท้อนในจักรวาลที่โผล่พ้นระดับน้ำทะเลมาไกลจนถึงยอดแอลป์ ความรักที่ถูกจับจ้องจากท้องฟ้า ต้องห้าม แค่สนสองต้นรักกันทำให้ควันของเสน่ห์น้อยลง

    ครึ่งต้นถูกโค่น อับสปอร์โชยหืน เสือดาวหิมะหลับตาลงขื่นๆ ในกระท่อมที่ฉูดฉาดเกินดวงตาจะรับไหว พวกมันคิดถึงซอกหินตามอัลไพน์และช่วงเวลามุทะลุที่เคยได้ปล่อยกลิ่นและขีดข่วนตามเทือกเขาแถบมองโกเลีย

    ความซุกซนในความรัก ความหอมหวานของการกบฏ

    เริ่มมอดลงเรื่อยๆ กรงเล็บของผู้ล่าเหยื่อเริ่มเฝือนทื่อ ร่องรอยความดื้อสูญ

    ขนใต้ท้องของเสือดาวหิมะยาวถึง 12 เมตร ช่วยอุนหนุนความอบอุ่นให้กับมันในฤดูหนาวที่แร้นแค้น หากเมื่อลมหวนนั้นไม่หนาวเสียดเนื้อ มันก็ผสานเนื้อเยื่อในหัวใจได้เหมือนปูนร้อนเชื่อมผนัง

    แต่ในค่ำคืนที่มีแต่ความหนาวกราดซ้ำ ต้นสนถูกตัด เลือดกระเซ็นกระจายกลายเป็นดวงดาว ชุบสีแดงสดไว้เป็นพยานและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ใส่ไว้ในกลุ่มตัวอย่างให้ดูว่าไม่ควรมีใครกล้าทำอีก เพราะสะพานต้องการไม้ การลาจากจึงเกิดขึ้นทุกวินาที มันเป็นเรื่องธรรมชาติ มันเป็นเรื่องของความสวยงามที่เธอและนักท่องเที่ยวจะได้เหยียบข้ามสะพานนี้ไปถึงหมู่บ้าน

    ไม่จริง ไม่จริงเลย

    มันแค่ต้องห้าม เพราะการกล้ารักมันทดทอนความแข็งแกร่งของจักรวาล ความรักทำให้ใบสนอ่อนละมุน พิษหายใจเรืองอ่อน ฟีบและหุบปีกลง แสงสว่างจึงลอดเข้ามาในป่าได้มากกว่าปกติ เสน่ห์สังเคราะห์แสงไม่ได้เลยซีดจาง ความรักไม่ได้ผิด มันผิดตรงที่แสงสว่างทอดผ่านความรักเข้ามา

    และเหล่านั้นมันคือการสังหารหมู่ของดวงดาว

    ไม่ดีเลย

    สะพานกับลำธารสัมพันธ์กันที่ว่ามันคือดวงตาและน้ำตา

    แล้วคืนนั้นไอรดาก็นั่งกอดเข่าขมๆ บนสะพานด้วยจิตใจที่ไม่ประติดประต่อ เหมือนยีสต์รุ่นใหม่ที่ยังใช้การไม่ได้

    ทริปออสเตรียของเธอทำให้ไอรดาอกหัก ทั้งๆ ที่ยังไม่มีคนรักข้างกาย



    ..........



    "ยีสต์ เฮ้ เจอกวางผาแล้วไงต่อ ทำไมหยุดเล่าไปเฉยๆ" ไอรดากระพริบตาปริบปรอยเหมือนเพิ่งตื่น ในมือถือที่นวดแป้งค้างไว้ บังเอิญ หมาชิบะเจ้าเก่ามองมา คนข้างบ้านเธอก็มองมาพร้อมสาวเท้าเข้ามาใกล้ ขจีไปย้อมผมสีลูกพลัมมาใหม่ มันเข้ากับเสื้อยืดลายคิวบิสก์สีขาวอย่างบอกไม่ถูก

    "อ๋อ กวางผาก็ยืนอยู่ตรงผาไง เราบังเอิญไปเห็นพอดี มันอยู่ไกลมาก ไกลจนเหมือนจะเป็นเนื้อเดียวกันกับภูเขาอยู่แล้ว ตอนแรกไอร์ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่มองจากตรงเต็นท์แล้วรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตแน่ๆ เลยจ้องอยู่นานเลย แล้วก็นั่นล่ะ กวางผาตัวจริงเสียงจริงเลยครับ"

    ชายหนุ่มนั่งลงข้างหมาชิบะขนฟู เทน้ำให้มันเงียบๆ แต่ยังจับจ้องที่ดวงตาของเด็กยีสต์ที่กำลังนวดแป้งโฮลวีทอยู่ลอยๆ

    "แล้วนี่จะลอยไปไหน เชียงดาวมีอะไรให้คิดถึงมากสิ"

    ไอรดายิ้มเผล่ รอยยิ้มนั้นทำให้เขานึกถึงโกดังกันดั้มที่เพิ่งออกแบบให้เพื่อนพ่อ ยากูซ่าเฒ่ายิ้มแบบนี้แหละตอนที่เขาส่งแบบร่างสุดท้ายให้ มันเป็นยิ้มที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในคนแก่ ยิ้มเหมือนมีคนชมว่าสร้างปราสาททรายได้ดี เหมือนเขาเพิ่งส่งมอบของเล่นชิ้นสำคัญที่สุดให้ลุงยากูซ่า เขาบินมาถึงบ้านพร้อมลูกน้องที่เกือบจะมีจำนวนมากเท่าอำเภอแม่ริมทั้งอำเภอ กับการโค้งคำนับที่ศีรษะเกือบจรดพื้น

    ขจีได้รับค่าจ้างเป็นที่ดินแถวนางาโนะจำนวน 15 ไร่ ใส่ซองเอกสารพร้อมลายเซ็นครบถ้วน เอาเถอะ ถึงไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี

    "มีอะไรให้คิดเยอะเลย ขึ้นเขาคนเดียวคิดอะไรเพิ่มได้หลายอย่าง ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ไอเดียทำขนมด้วย ตอนไอร์ขึ้นไปบนยอดสูงสุดนี่หนาวโคตร เหมือนมีพายุฝนที่เขาลูกใกล้ๆ หนาวจนต้องหลบหลังหินอยู่นาน ตอนนั้นหกโมงเอง แต่มืดตึ๊บไปหมด หมอกบังพระอาทิตย์มิดเลย พายุมาติดๆ กัน ไฟฉายก็ติดๆ ดับๆ"

    "นี่ไปทำสารคดีแนทจีโอหรือไปทำอะไร" เขาจิบคาปูชิโนที่ไอรดาเพิ่งยื่นมาให้ รับเสียงหัวเราะไม่จริงจังนั้นมาด้วย

    "ก็ไปเที่ยวแบบที่เคยไปนั่นแหละน่า บนดอยบนเขามันคาดเดาอะไรได้ที่ไหน"

    "รู้แล้วยังจะไปอีก"

    "เพราะรู้แล้วถึงได้ไปต่างหาก ไอร์ไปมาจนชินแล้ว นักท่องเที่ยวเยอะขึ้นทุกปีเลย ปีนี้ฟ้าเปิด ยอดกิ่วลมกลายเป็นดงหมอกจนไอร์รู้สึกว่าถ้าพี่จีขึ้นไปด้วยกันต้องอยากเอามันมาปั้นเป็นบ้านแน่ๆ"

    ถ้าเป็น 2 ปีหรือหลายปีก่อน ไอรดาคงนั่งจ้องมันเฉยๆ ถ่ายรูปซอกหิน หาวัตถุดิบและแนวภาพเสมือนจริงแบบสัจนิยมมหัศจรรย์ไปตั้งชื่อเมนูขนม คิดถึงคอนเซ็บของงานเต้าหู้ที่จะจัดขึ้นอีกเดือนข้างหน้าและจดยุกยิกใส่สมุด ใช้ก้อนหินแถวนั้นแทนโต๊ะ นั่งขัดสมาธิเป็นก้อนกลมและฟังโดโจซิตี้จากวอล์คแมนรุ่นเก่ากึ๊ก

    แต่เช้าวันนั้นเธอนั่งกัดทาร์ตที่แบกขึ้นไปจากข้างล่าง หยีตาหนีหมอกและคิดถึงหน้าคนข้างบ้านตอนทำตาหยีแบบนี้เหมือนกัน แต่มันเป็นเพราะเขากัดทาร์ตที่เธอทำครั้งแรก

    เสียมารยาทมาก ทั้งๆ ที่รสชาติมันก็ไม่ได้ห่วยขนาดนั้นเสียหน่อย

    "ใครจะเอาก้อนเมฆมาสร้างบ้าน ไอรอนแมนยังไม่ทำเลย แล้วไปอยู่บนนั้นได้ไงเกือบอาทิตย์ ไม่หนาวรึไง" ขจีมองหาบุหรี่ในกระเป๋ากางเกง พอไม่เจอเลยเดินไปเปิดตู้เก็บทรัพย์ของไอรดา หยิบบุหรี่ญี่ปุ่นหน้าตาพิลึกที่วางใกล้ๆ กับขวดแก้วสีน้ำตาล มีอะไรสักอย่างเต้นอยู่ข้างในขวด เหมือนจะเป็นแมงกะพรุน

    "ก็หนาว แต่ก็ชินด้วย มันจะหนาวมากๆ แค่ตอนตีหนึ่งตีสอง รอดช่วงนั้นมาได้ก็นอนลืมเดือนไปเลย นอกนั้นก็แล้วแต่เรา อยากทำอะไรก็ทำ แอบมองเลียงผาก็ได้ นอนกลิ้งบนหญ้าก็ได้ ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ"

    "อยู่พื้นราบก็คิดให้น้อยลงได้เหมือนกัน" ทำไมต้องไปไกลขนาดนั้น

    "ไม่เหมือน มันไม่ได้อยู่กับตัวเอง"

    "ตอบแบบฮิปสเตอร์หรอยีสต์ บนนั้นมีทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งลูกหาบ ทั้งคนนำทาง สิ่งมีชีวิตนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เผลอๆ สัตว์เยอะกว่าในสวนสัตว์อีก"

    ไอรดาส่ายหน้าพร้อมโบกที่นวดแป้งไปด้วย หน้าตาไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง ริมฝีปากเปรอะกาแฟนั้นพึมพำว่าพี่จีไม่เข้าใจหรอก พวกอยู่แต่ในเมือง บังเอิญ หมาชิบะเลิกสนใจพวกเขาสองคนแล้วออกไปพลอดรักกับดอกชบาริมรั้ว

    "มันคือยูโทเปีย"

    "ยูโทเปียหรือดิสโทเปียก็ช่างเหอะ แน่ใจหรอว่าชอบอยู่บนดอย ไม่ได้ชอบการอยู่คนเดียว"

    หญิงสาวฉกบุหรี่ไปจากมือเขา ใส่มันไว้ในตู้เก็บทรัพย์เหมือนเดิมพร้อมบอกว่ามันไม่ได้มีไว้สูบแต่เป็นวัตถุดิบในการรมควันรสชาติขนมปัง ไอรดาในผ้ากันเปื้อนรูปไข่ดาวมีรังสีของความไม่พอใจแผ่กระจาย แรงที่รีดแป้งขนมปังนั้นกดหนักกว่าปกติ

    "เวลาอยู่คนเดียวแล้วมันมีสมาธิ ขนมที่กำลังทำอยู่นี่เราก็คิดได้ตอนเดินบนเชียงดาว อยู่คนเดียวบนที่สูงๆ ต้องมีสติและคิดวิธีเอาตัวรอดก็ยิ่งเห็นตัวเองชัดขึ้น แต่มันเหงาไม่เท่าข้างล่างนี่หรอก"

    "คงใช่ อยู่บนนั้นไม่ต้องคิดอะไร สัญญาณก็ไม่มี โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ แต่ข้างล่างนี่วุ่นวาย มีทุกอย่างให้คิดถึงได้หมด อยากคิดหรือไม่อยากคิดก็ต้องคิด น่ารำคาญ"

    "พูดจาไม่น่าฟัง ตัวละครผู้ชายในหนังสือมูราคามิยังพูดได้ดีกว่านี้เลย ตัวประกอบด้วยนะ" ไอรดายกถาดแป้งเข้าเตาอบ บิดปุ่มสีน้ำเงินเข้มเพื่อตั้งเวลาอบ ผมยุ่งหน่อยๆ นั้นเริ่มยาวมาระหัวไหล่ ใจนึกอยากให้บังเอิญเลิกเล่นในสวนแล้วเข้ามานอนในนี้ด้วยกันสักพักก็ยังดี ปล่อยเธอไว้กับขจีแบบนี้ความประหม่ามันส่งเสียงเอะอะ

    เกือบอาทิตย์ที่ไม่ได้เจอกัน พอแลกสายตากันในเช้าที่ต่างคนต่างงัวเงีย ทุกอย่างมันก็ดูประหลาดพิกล กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มในตะกร้าผ้าเธอยังรู้เลย

    "ก็ไม่ได้เป็นตัวละคร ไม่มีใครทำตัวน่าเบื่อแบบพวกพระเอกในหนังสือมูราคามิได้หรอกไอรดา ผู้หญิงที่อ่านช่างฝันกันไปเอง" ทำไมถึงได้มีคำว่า "ผู้หญิง" ไอรดาไม่ใช่เฟมินิสต์ แต่ก็ไม่ชอบรูปประโยคและการเลือกใช้ศัพท์ของเขา

    "งั้นพี่จีออกไปเลย นี่มันความฝันของเรา เราไม่อนุญาตให้เข้า" เธอปัดเศษแป้งตรงขอบเคาน์เตอร์ออกไป ยังหันหลังให้เขาเหมือนตอนที่เอาแป้งเข้าเตาอบ

    "ก็เข้ามาแล้ว"

    "นู่นไงประตู ประตูเดียวกับที่บังเอิญเพิ่งออกไปนั่นแหละ"

    "ยีสต์"

    มีความเงียบวิ่งเล่นอยู่ในฝุ่นแป้งสักพัก ก่อนไอรดาจะรู้สึกว่าคาปูชิโนแก้วนั้นไม่ร้อนอีกต่อไปแล้ว เซรามิกทรงสูงถูกวางไว้ที่ใกล้ๆ เคาน์เตอร์พร้อมคนดื่ม เก้าโมงเช้า นกกระจิบตรงเสาไฟรั้วบ้านข้างๆ โก่งคอร้องแบบที่มันเคยทำเป็นประจำ ขจีหาบุหรี่จากที่ไหนไม่รู้มาสูบ ควันล้อมตัวสองคนไว้หลวมๆ อ้อมกอดของอากาศมีกลิ่นเผาไหม้เหมือนใครพลิกกลีบกุหลาบเล่น ดวงตาสีน้ำตาลของเขาไม่ทำอะไรเลยนอกจากร้องขอความนุ่มจากปลายหางของเสือดาวหิมะ

    กฏของแรงดึงดูดกลายเป็นเรื่องปาหี่ ลมความรู้สึกฟูรดในช่องปอดลามไล่มาถึงทางเข้าหัวใจห้องแรก เสียงติ๊งและกลิ่นอวลของขนมปังวัยรุ่นแตะสัมผัสที่ปลายจมูกของสองคน แต่ไม่มีใครได้กลิ่นนั้นเพราะมันถูกกลบมิดชิดด้วยกลิ่นของผิวกาย ฟองคาปูชิโนโอบมนุษย์ให้ลอยได้ถึงสองร่าง

    แสงอาทิตย์กำลังลวนลามเสือดาวหิมะเงียบๆ ภาพที่หมู่บ้านฮอลสแตทหวนคืน สะพานไม้พลอดรักกันจนเหนื่อยอ่อน เปลวหมอกบนยอดเขากลับร้อนฉ่าเมื่อพัดผ่านริมฝีปาก ซับละอองหมอกไว้ทั่วรอยแตกแห้งของเนื้อนุ่ม ไซรัปเผลอหยดออกจากปากขวด



    "พี่จี ...เรา..เรา"



    "ยูโทเปียที่ว่า เป็นแบบนี้รึเปล่า"



    เป็นเพียงแค่ถ้อยกระซิบจากเสือดาวหิมะ ลอยอุ่นมาจากที่ราบสูงแดนใต้ ในวันที่มันมองเห็นคู่ รุดออกจากมากระท่อมไกลโพ้นสู่อ้อมกอดของยอดเขา











เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in