เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เหงาเท่าอวกาศMind Da Hed
No one belongs to anyone but rainbows and stars


  • ขจีไม่สามารถตอบได้ ว่าภาพที่เขาเห็นเป็นนิมิตของไอรดา หรือเพราะว่างานเต้าหู้ในบ้านเกิดที่เธอว่าจะหน้าตาแบบนี้จริงๆ ซุ้มทรงฟองอากาศที่เขาออกแบบทอแสงจันทร์กลั้วแสงไฟคริสมาสต์สีรุ้ง มันจึงเหมือนลูกโป่งใสบรรจุคนลอยได้เด้งตุ๊บป่องตามทางลาดภูเขา ซึ่งดูเมจิกขึ้นจากดราฟต์ออกแบบ 8 เท่าเพราะต้นสนและพันธุ์ไม้พิลึกตาเกี่ยวพันซุ้มอาหารและเวทีการแสดง 

    ลมหนาวบดเนื้อเหมือนกำน้ำแข็งสามก้อนไว้ในมือแน่นๆ เขาขดตัวเป็นแยมโรลรสบอระเพ็ดอยู่แถบร้านเต้าหู้ทอดตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว โดดเดี่ยวในโดดเดี่ยว ไอรดายุ่งวุ่นวายอยู่กับลุงหนวดโบว์ที่เธอเรียกว่าผู้ใหญ่บ้าน 

    ผู้ใหญ่บ้านตำบลไหนใส่ทักซิโด้สีแมลงทับกับกางเกงขาสั้นลายสก็อตอย่างกับจะไปออกรายการวาไรตี้
    ผลตอบแทนจากการนั่งรถกระบะสู้ทางชันและฝุ่นโคลนของคนที่ไอรดาเรียกว่า พี่สันเขา ขึ้นมาหลายกิโลแม้วทำให้ขจีตั้งคำถามกับตัวเองว่าลางานมาเพื่อเจออะไรกันแน่ เขาตัดสินใจผิดหรือถูกที่เก็บกระเป๋าออกมาลวกๆ ตอนตี 5 ตามคำสั่งของเธอ 
                 
    รึว่าโดนสะกดจิตก็ยังตัดสินใจอยู่

    ชายหนุ่มหยิบบุหรี่ซองยู่ขึ้นมา พอจะจุดสูบก็บังเอิญเจอดวงตาอ่อนวัยของยายคนหนึ่งที่กำลังกินสายไหม เขากลอกตา ยัดบุหรี่ลงกางเกงยีนส์อย่างเสียไม่ได้

    มายแอส เขามาทำอะไรที่นี่วะ

    ผู้เฒ่าผู้แก่ที่นี่เหมือนอายุแค่ 15 อ่อนๆ กระฉับกระเฉงเกินวัยผิดกับเขาที่กำลังจะม้วนตัวเป็นก้อนลงไปตามหุบเขาให้รู้แล้วรู้รอด ตายายเดินกันตัวปลิวในชุดพื้นเมืองสีผิวหนังปลาวาฬเรืองแสง มีลายปักรูปตัวทานูกิกำลังกินดอกทานตะวันรอบขอบเสื้อและชายกระโปรง สวมรองเท้าขนสัตว์สีเขียวนีออนซึ่งดูเหมือนพู่เชียร์ปอมปอม คุณตาคุณยายใส่ยูนิฟอร์มเหมือนกัน หลากสีสันเพลินตา และรองเท้านีออนนั่นกำลังทำให้เขาเวียนหัว

    ขจีไม่รู้ว่าเขากำลังอยู่ในชนเผ่าอะไรหรือเปล่า จริงๆ อาจจะนอนหลับคามิกซ์เทปอยู่บ้านก็ได้ ฝันเขาเหมือนจริงเกินไป หรือเขามาเที่ยวไล่ตามตัวเองในฝันของเด็กข้างบ้านก็ไม่รู้

    “วาดรูปเหมือนไหมพ่อหนุ่ม อากาศไม่เสียหายเลยวันนี้” คุณป้าเกล้ามวยในชุดทานูกิสีเลือดหมูกำลังกวักมือป้อยๆ ให้เขาเข้าไปหาด้วยโครงสร้างภาษาแปลกๆ ซุ้มของแกประหลาดกว่าของชาวบ้านหน่อยเพราะเป็นทรงเหมือนทัชมาฮาล มีดอกไม้สีม่วงบานเกลื่อนไม่รวมเถาวัลย์ที่เขาไม่รู้จัก

    “ไม่เป็นไรฮะ ผมรอเพื่อนอยู่”

    “ไอดะน่ะหรอ” ขจีเกาหลังใบหู คุ้นๆ เหมือนไอรดาเคยเล่าว่าเป็นพี่สาวที่ชอบเดินทาง

    “เปล่าครับ ผมมากับน้องสาวเขา” คุณป้าทานูกิสีเลือดหมูยิ้มเหมือนนางเอกรอมคอม หยิบกระดานวาดรูปขึ้นมา หรี่ตามาทางเขา

    “งั้นก็ต้องเป็นไอรดา เข้ามานั่งรอก่อนสิหนุ่ม พาเพลินนะ ยืนรอตรงนั้นหนาวเปล่าๆ ถึงหิมะจะเลือกเกาะที่หนวดแมวก็เถอะ ผู้ใหญ่บ้านแกช่างจ้อ คงไม่ได้เจอกันเร็วๆ นี้หรอก”

    “……..”

    นั่นมันหมายความว่ายังไง

    แต่เอาเถอะ เขาพอจะจับความได้ และก็จริงของป้า มองไปลับตาก็ยังเห็นทักซิโด้สีแมลงทับแว่บๆ อยู่กับหญิงสาวทรงโค้ง เขาจำต้องก้มหัวผ่านเถาวัลย์ที่มีดอกเหมือนโทรโข่งนั้นอย่างเสียไม่ได้ วินาทีที่นั่งลงตรงเก้าอี้หัวโล้น ป้าหยิบแว่นรูปดาว 8 แฉกขึ้นมาใส่แล้วเริ่มวาดรูปไม่พูดไม่จา เลนส์แว่นสีชมพูอีกต่างหาก เขาอยากจุดสูบบุหรี่สูบขึ้นมาตะหงิดๆ เพราะใช้พลังไปกับการเดาว่าป้าทานูกิจะมองผ่านเลนส์สีแจ่มขนาดนั้นได้ยังไง

    ดอกไม้สีม่วงมีกลิ่นชวนคลื่นเหียน และรองเท้าขนปอมปอมสีบานเย็นของป้าก็ทำให้เขาเวียนหัวเพิ่มอีก 8 ระดับ

    “มาครั้งแรกเหรอหนุ่ม พุ่มไม้เมืองร้อนสวยดีนะ”

    “อ่า า…. ครับ” ยังไงนะ

    “ป้าถามว่ามางานเต้าหู้ทดลองครั้งแรกหรือเปล่า แมงมุมก็ถักโครเชเป็น” 

    เธอไม่ละสายตาไปจากกระดานวาดรูป สำเนียงขึ้นจมูกที่ไม่เหมือนคนภาคอะไรเลยทำให้เขาสนใจ ว่าแต่ที่เขาอยู่ที่ไหนนะ เหมือนไอรดาเด็กยีสต์จะบอกว่าที่นี่คือเขาทานูในอำเภอปัว 

    โอเค ที่นี่คือส่วนหนึ่งของจังหวัดน่าน ถ้าแผนที่ยังทำงานเหมือนเดิมอยู่

    “ครับ ผมเป็นคนออกแบบซุ้มพวกนี้” 

    หน้าตาเขาคงไม่ได้ดูภูมิใจเท่าไหร่ผมมวยของป้าจึงดูตึงขึ้นกว่าเดิมท่ามกลางไฟนวล จริงๆ ถ้าลองสังเกตก็ต้องยอมรับว่าคนจัดไฟที่นี่ค่อนข้างชำนาญพอสมควร แสงมุมสมมาตร ไม่มีที่ให้จับผิดว่าพาดไฟไว้ตรงไหนบ้างแถมยังจัดให้ต้นสนเป็นดาวเด่น บรรยากาศเหมารวมกับแสงจันทร์แล้วเป็นนิทรรศการศิลปะปรัชญาเหมือนของเออร์วิน วูรม์ได้อยู่เหมือนกัน

    ข้างนอกมีป้าคนนึงกำลังนอนกลับหัวเท้าชี้ฟ้า อาจจะกำลังทดลองไปวีนัส

    “โอ้ โอ้ จริงหรือเปล่า ดี สว่าง ยอดเยี่ยมมาก ทานตะวันบานแฉ่ม พวกตายายชอบกันมากเลย ไม่อาดูร งานปีนี้ดูครึกครื้นมากกว่าปีก่อนๆ เพราะซุ้มของหนุ่มแท้ๆ เจ้าพ่อทานูกิจะต้องชอบ” เลนส์แว่นสีชมพูของป้าเปล่งประกาย

    “เจ้าพ่อทานูกิ?”

    “เจ้าพ่อทานูกิแปลงกายเป็นรูปปั้นหมี เป็นเทพที่คนที่นี่บูชา ช่วยให้ฝนให้น้ำ ต้นหญ้าเต้นระบำ เครื่องครัวตื่นแต่เช้าตรู่ แล้วก็พัดพาเมฆแห่งการจากลามาให้พวกเรา” 

    เอาล่ะ ในหัวเขามีแต่ประโยคคำถาม บ้านเกิดไอรดาเริ่มให้ความรู้สึกเหมือนการขึ้นยานอะพอลโลไปแตะดวงจันทร์มากขึ้นทุกที ยีสต์คงติดการพูดการจาจากที่นี่มาบ้าง ไม่ว่าเจ้าพ่อทานูกิจะเป็นใคร แต่ก็คงกำกับสติปัจจัยให้คนหมู่บ้านนี้พอสมควร

    “สรุปคือบูชาให้จากลากันหรือครับ” ป้าในรองเท้าขนปอมปอมสีบานเย็นสลับโฟกัสมามองที่เขาในทันที

    “เป็นคำถามที่ดี เป็นคำถามที่ยังเป็นคำถามต่อไปเรื่อยๆ”

    “ผมอาจจะเป็นพวกห่างไกลความเชื่อ”

    “ไม่มีใครเป็นอย่างนั้นหรอก หมีแพนด้าย่างดวงดาวที่กลางป่า” เขาเริ่มอยากจดคำสร้อยเหล่านี้ไปอัดกรอบแล้วแขวนตามฝาบ้าน

    “คนที่นี่เชื่อว่าเจ้าพ่อดำรงอยู่เหนือกาลเวลา บินเหนือเมฆ มีอำนาจบันดาลให้เวลาบริสุทธิ์ การจากลาจึงเป็นเรื่องธรรมดา เราเหมือนคนใหม่ในคนเก่า แก่ในหนุ่มสาว ใครที่อยากขอพรให้ไปที่ศาลเจ้า แปะใบสนที่หน้าผากไว้ ถ้ามันไม่ร่วงลงมาแสดงว่าแปลงร่างเป็นเจ้าพ่อได้ชั่วคราว แล้วเราก็จะกลายเป็นเข็มนาฬิกา” หญิงสูงวัยคลี่ยิ้มในที่สุด เธอสำรวจหน้าเหวอนิ่งของเขา ขยิบตาซ้าย

    “แต่ถ้าอยากได้วิธีลัด ก็ลองดื่มสาเกนะหนุ่ม ตำนานบอกว่าเจ้าพ่อรักสนุก มักจะปลอมตัวเร้นกายไปหลอกดื่มสาเกของชาวบ้าน อะไรดีๆ ซ่อนอยู่ในความมัวเมาเสมอ”

     เขาว่าเจ้าพ่อที่ป้าว่าน่าจะแค่อยากกินเหล้าฟรีมากกว่า แล้วชาวบ้านก็หาเรื่องอยากเมาเต้าเรื่องให้เข้าตำนานขึ้นมา เขาคิดได้แค่นี้แหละแม้น้ำเสียงและไวยากรณ์ของป้าจะดูลึกลับน่าติดตามมากก็เถอะ

    “พอจะมีให้ผมสักแก้วไหมล่ะครับ อากาศหนาวได้เหล้าอุ่นๆ หน่อยก็ดี” ป้าหัวเราะเสียงใสเกือบเท่าน้ำค้าง ยื่นกระดาษวาดรูปให้แล้วบอกให้หันไปด้านหลัง

    ไอรดากำลังโบกมือหยอยๆ เรียกให้เขาเดินเข้าไปหา

    ขจีรับกระดาษแผ่นนั้นมา ทิ้งป้าไว้ด้วยความเต็มใจ

    “พี่จี หนาวเหรอคะ ไปนั่งในซุ้มสิอุ่นกว่า นั่นกระดาษไรอ่ะ” 

    ไอรดาในชุดคลุมพื้นเมืองสีผิวปลาโลมาเรืองแสง(เป็นสีที่บริษัทแพนโทนควรจะมาจดลิขสิทธิ์ไว้เพิ่ม)โผล่ออกมาจากซุ้มเต้าหู้ทอดเหมือนล่องหน เธอสวมหมวกทานูกิและมีพวงมาลัยดาวเรืองคล้องคอ ขจีทำท่าทางว่าไม่ต้องไปสนใจ เขาไม่รู้จะเริ่มอธิบายตรงไหนก่อนดี

    “นึกว่าละลายไปกับอากาศแล้ว ทำไมเพิ่งโผล่มา” หญิงสาวพยักหน้าขอบคุณคุณป้าซุ้มเต้าหู้ที่ยื่นจานขนมและเต้าหู้ทอดรูปดาว 8 แฉกมาให้ กึ่งลากกึ่งจูงเขาไปที่ซุ้มฟองอากาศที่ว่างอยู่

    “ก็มันยุ่งนี่ ตอนเปิดงานวุ่นวายจะตาย ผู้ใหญ่บ้านเนี้ยบกว่าปีที่แล้วมากเพราะคนมาดูดาวมากกว่าทุกที ซุ้มสาเกของยายกาสะลองยังไม่เสร็จ ซุ้มเต้าหู้ไฮไลท์ก็ขาดแม่พิมพ์ ซุ้มพนันก็ตีกันจนไอดะเกือบโดนลูกหลง แถมพ่อก็เรียกใช้วุ่นไปหมด ไอดินชอบหายไปจากซุ้มเรื่อยเลย” 

    เธอบ่นกราดกระสุน ยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิข้างๆ ขจีรู้สึกขอบคุณที่เขาสื่อสารได้เหมือนคนปกติ ซุ้มนั่งได้ 2 คนพอดีเป๊ะ แรงลมเทือกเขาผลักให้ซุ้มแกว่งไปมาเบาๆ แต่ข้างในอุ่นมากอย่างที่หญิงสาวทรงโค้งว่าจริงๆ

    “แล้วว่างแล้วหรือไงตอนนี้” เขาหยิบน้ำในกะลามะพร้าวมาจากเด็กจิ๋วที่เดินเสิร์ฟไปมา พอดูดเข้าไปก็หยีตาจนไอรดาหัวเราะ

    “แค่กๆๆ”

    “นั่นสาเกหมักข้าวภิกษุณี พี่จีค่อยๆ ดูดนะเดี๋ยวเมา ขอเตือนเลยว่ากินแค่แก้วนี้แก้วเดียวพอไม่งั้นเมาค้างเห็นดาว 20 แฉกแน่” ขจีหันไปมองยายในซุ้มถัดไปที่กำลังซดกะลามะพร้าวเหมือนดื่มน้ำเปล่า ใช้หลังมือปาดมุมปากด้วยความสะใจ ชื่อเหล้าแตะขอบนรกกับศีลสมาธิปัญญาสุราเมรัยยะมัชปมา นึกถึงตำนานทานูกิที่ป้าแว่นชมพูเล่า

    “ตายายดื่มได้ค่ะ เขาดื่มกันแทนน้ำเปล่าอยู่แล้วเป็นปกติ แต่คนไม่ชินจะวูบได้ง่ายๆ เลย แอลกอฮอลล์สูงมาก”

    “คือที่นี่เน้นเมา?” หญิงสาวยักไหล่

    “อย่าไปบ้าจี้ซดตามล่ะ ว่าแต่นี่อร่อยเลยนะ ทำขายได้เลย อร่อยกว่าคราฟเบียร์หลายยี่ห้อ” 

    เขาซดเหล้าหมักแทน รสชาติคล้ายสเตาท์ผู้ดี มีท่าทีความขมเหมือน IPA ที่ไม่ดาษดื่น ความหวานที่เหมือนอโรมามะม่วงสุกคงให้ฤทธิ์เมาที่สูงมาก ขจีค้นพบข้อดีข้อแรกในงานเทศกาลประหลาดของไอรดา เดาไม่ถูกว่ามีส่วนผสมอะไรที่ทำให้คนขยาดหวานอย่างเขาต้องซดเอาๆ เรื่อยๆ เหมือนตอนติดบุหรี่จัดๆ

    สงสัยโดนมนตร์เจ้าพ่อทานูกิ

    ไอรดานอนเอนไปกับเบาะ หลังโค้งตามทรงกลมของซุ้ม แผงต้นสนต้นใหญ่โบกสะบัด

    “พูดเหมือนไอดิน ป่านนี้ก็คงเมาอยู่ที่ไหนสักแห่งแหงๆ ปกติสาเกหมักรสนี้ทำแค่ช่วงเทศกาลนี้เท่านั้นค่ะ แรร์ไอเท็มของตาบัว”

    เป็นชื่อแรกที่เขาได้ยินแล้วไม่ขมวดคิ้ว

    “แล้วตั้งชื่อท้าทายโลกแบบนั้นทำไม”

    “อ๋อ ตาบัวแกเคยมีแฟนเป็นแม่ชีค่ะ คบกันได้สักพักแม่ชีก็ตัดสินใจบวชเป็นภิกษุณี กลายเป็นสายเคร่งมีกิจสงฆ์ที่ต้องปฏิบัติเยอะจนต้องละเว้นกามกิจ” โอเค ศาสนาพุทธนิกายอะไรอยากจะทำความเข้าใจและลองบวชดูบ้างจริงๆ อะไรจะพีคกว่าการมีแฟนเป็นแม่ชี เป็นครั้งแรกที่ขจีรู้สึกว่าสาเกหมักภิกษุณีที่เขาดื่มเข้าไปมีกลิ่นคาว

    เขาทานูอะไรนี่ก็เริ่มจะเข้าทีแล้วเหมือนกัน

    “แล้วสรุปเราลากพี่มาทำไม อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหน่อยจะได้ไหมไอรดา” เขาเปลี่ยนเรื่องเพราะเหล้าหมักรสคาวกำลังทำงานเต็มที่เกินไป คิดๆ ไปก็เหมือนตัวเองวาร์ปมา ตื่นตี 5 แล้วก็หายตัวมาถึงเทือกเขาแถบสแกนดิเนเวียที่มีชนเผ่าทานูกิเดินวนไปวนมารอบๆ

    “อ้าว ก็จะให้มาตรวจผลงานของตัวเองไงว่าใช้ได้ไหม”

    “งานที่ใช้ให้ทำฟรีอ่ะนะ” หญิงสาวร้องเสียงหลง

    “เฮ้ย ทำไมโวยวายขจี นี่ไงจ่ายเป็นเหล้าหมักตาบัวแล้ว ยังไม่หมดนะ ยังมีเต้าหู้ทอด 8 แฉกฝีมือไอร์ แล้วก็ขนมปังเต็มเลย” ขจีคว้าเต้าหู้ทอดกรอบรูปดาว 8 แฉกเข้าปาก คิดว่าเธอใส่ผงที่พี่ชายเขาให้ครั้งที่มาจากญี่ปุ่นแน่ๆ เต้าหูรสชาติเหมือนทาร์ตชาเขียวอะไรนั่นที่ไอรดาเคยอบมาให้ชิมบ่อยๆ กรอบนอกหวานปะแล่มใน มีกลิ่นส้มยูสึหอมปลายจมูก กินแกล้มสาเกหมักภิกษุณีแล้วใจหยาบขึ้น 3 ขั้น แต่ก็คงคุ้มกัน มันทำให้หัวสมองว่างเปล่าและไม่ตอบโต้กับความผิดชอบชั่วดีอะไรทั้งสิ้น เหมือนเอาคัตเตอร์มากรีดโลกแห่งความเป็นจริงทิ้งไปชั่วครู่

    “อร่อยดี ทำไมไม่ทำแบบนี้แต่แรก”

    “เมาแล้วแหง”

    “เมาอะไร?”

    “ปกติที่ไหน ไม่เห็นเคยพูดอะไรแบบนี้เลย”

    “ไม่พูดก็ไม่ได้หมายความว่าไม่คิดนี่” เขาเอนตัวพิงกับซุ้ม ฟังความเงียบที่ผิดผิวในอากาศ ไอรดาเงียบไปเหมือนไม่เคยรู้จักบทสนทนา เหล้าตาบัวแรงดี

    “เต้าหู้อร่อยดีนะ ยีสต์”

    “มันเป็นเพราะอากาศ อากาศทำให้อาหารไม่เป็นรสชาติของคนอื่น” เขาหัวเราะ ลูบหัวเธอด้วยรูปภาพเหมือนที่ป้าทานูกิวาดให้

    “เพี้ยน”

    หญิงสาวยิ้มฤดูร้อน เธอมักจะยิ้มฤดูร้อนเหมือนบ้านทรงสามเหลี่ยม

    “แล้วนี่จะกลับลงไปเมื่อไหร่ พี่ต้องกลับพรุ่งนี้แล้วนะ” รอยยิ้มนั้นเหมือนดาวไถ เขาเริ่มเมาตับไตของดวงดาวจนหนังตาตกไปอยู่ที่ตักของไอรดา เธอลูบภาพพอร์ตเทรตของเขาเหมือนสัมผัสเนื้อแป้งโดนัท

    “ขอนี่ไว้หน่อย” เขาพยักหน้าทั้งๆ ที่ไม่เห็นว่าเธอขออะไร

    “ไอร์ไม่กลับไปแล้ว จะทำขนมที่นี่”

    “นานเท่าไหร่”

    “นานเท่านั้นแหละ” สมองของเขาร่ายกลอนเป็นกลิ่นเนยและชีส

    “บังเอิญไม่มีเพื่อนนะ”

    “พี่จีไง”

    “พี่ไม่ใช่เพื่อน ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับใคร” ชายหนุ่มไม่เคยรู้สึกอยากเป็นเพื่อนหรือรักกับใคร พ่อหรือพี่ชายของเขาก็เป็นแบบนั้น เมื่อพ่อกับแม่แต่งงานกัน พวกเขาเลยสูญเสียซึ่งกันและกันไปในทันที สื่อสารสิ่งที่อยากจะพูดจริงๆ ผ่านโต๊ะ ชั้นหนังสือ สนามหญ้าหน้าบ้าน และการไล่ซื้อที่ดินปลูกแปลงแครอทไปเรื่อยๆ

    ประสาทกินไปวันๆ

    “บังเอิญชอบกินขนม” และนั่นคือเสียงความโง่ของเขาเอง

    “วันนี้พูดมากแฮะ” ขจีหัวเราะทั้งๆ ที่ตาเคี้ยวเต้าหู้รูปดาว 8 แฉกเข้าไป ปลายคางของไอรดามนเหมือนสายรุ้ง

    “เรานั่นแหละที่พูดน้อยเกินไป”

    มีบอลลูนทานูกิลอยขึ้นกระจัดกระจายในท้องฟ้า 35 องศาถัดไปจากซุ้มของเขา ตายายกำลังตักเต้าหู้เอนหลังดูดาวกันอย่างสงบในรองเท้านีออน ตลกและรู้สึก บางคนมีกับแกล้มเป็นสายไหมสีชมพูเรืองแสง หุบเขาสว่างผิดหูผิดตา ลมเบามากกว่าหวิว สุ้มเสียงคืออาชญากรรม

    “สรุปทาร์ตเราอร่อยไหม”

    “นี่ยังไม่รู้อีกเหรอ”

    ไอรดาดูดดาวมาไว้ที่ตัวเองทั้งหมด เขามองเห็นมันจากพื้นที่ปลายคาง ดาวกำลังอุ้มซุ้มฟองอากาศของเราไว้อีกทีหนึ่งราวกับกลัวว่ามันจะยังลอยได้ไม่พอเท่าที่ใจอยากให้เป็น

    “จริงใช่ไหม”

    “อยากจะให้ไม่จริงเหมือนกันนั่นแหละ”

    “ยีสต์”

    ยีสต์ มายแอสสิ สถาปนิก”





    END,
    No one belongs to anyone but rainbows and stars.

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
since23aug (@since23aug)
ฮืออออออ จบแล้ว ชอบมากนะเรื่องนี้ รักเลยก็ได้ สัญญาจะเข้ามาอ่านบ่อยๆ ตอนอ่านชอบจินตนาการว่าถ้าเป็นหนังจะเป็นยังไง พึ่งรู้ว่าเราค้างตอนจบไว้เกือบปีเลย อยู่ๆก็อยากกลับมาอ่านเพราะวันนี้อากาศชวนให้นึกถึงตอนไอร์ตกบันได
ฌลิ (@pafunplanet)
น่ารักหลายอย่าง ที่ที่ "แมงมุมก็ถักโครเชต์ได้" นี่สะดุดมาก ? พี่จีน่ารักเวลาพูดมากกับไอรดา ส่วนไอจะกลายเป็นพูดน้อยทันทีเวลาพี่จีพูดมาก เวลาอารมณ์ดีก็จะเรียกพี่จี ชอบตอนพี่จีเรียกยีสต์ ชอบที่ทำให้รู้ว่าชอบกันทั้ง ๆ ที่ไม่ได้บอก "ชอบ" ชอบบรรยากาศทุก ๆ ตอนเลย น่ารัก
Mind Da Hed (@skyofdust_lpc)
@pafunplanet ดีใจจจ ขอบคุณมากเลยนะคะ เป็นคนที่ตามอ่านมาตลอดเลยย ตั่งแต่เนิ่นนานมาแล้ว เราก็ชอบยีสต์มากกก ฮ่าๆๆ