เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ฟิคและฟิคเท่านั้นwritia
[OS] Yours Sincerely - Ye Ziming x Yue Minghui
  • Title : Yours Sincerely

    Pairing : Ye Ziming x Yue Minghui

    ต่อจาก Dear Who อีกทีค่ะ นี่คือเอยูในเอยู คนเรามีโลกได้หลายใบ 555555555

    ++++++++++

    "ให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายได้มั้ย"

    พิงค์ธารขมวดคิ้ว มือที่กำอยู่ที่ชายเสื้อยืดสีดำบนหน้าท้องอีกฝ่ายหยุดชะงัก

    เป็นเรื่องปกติที่มิ่งเมืองจะทำตัวปั้นปึ่งใส่เขาเวลาเจอกันที่ที่ทำงาน แต่ถ้าเป็นที่ลับตาอย่างคอนโดส่วนตัว นี่นับเป็นครั้งแรกที่มิ่งเมืองพูดอะไรแปลก ๆ ออกมา

    "หมายความว่ายังไงน่ะหมิง"

    ปากเรียวหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มขมขื่น ก่อนจะกล่าวตอบโดยไร้สุ้มเสียง

    'ฉันรู้ว่านายเข้าใจ'

    จะเข้าใจหรือไม่เขาก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร วันนี้มิ่งเมืองทำตัวน่าโมโหกว่าทุกวัน บางทีถ้าได้ปลดปล่อยความรู้สึกออกมาบ้าง ตอนที่ใจเย็นลงแล้วอาจจะช่วยให้คุยกันได้ง่ายขึ้น

    ครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้แล้วที่ทั้งสองคนจูบกัน พิงค์ธารเอาความรู้สึกตัวเองบดเข้าไปกับริมฝีปากของคนที่อยู่ข้างใต้ ปลายลิ้นรับรู้ถึงรสหวานของลิปบาล์มกลิ่นเชอรี่ที่หมิงชอบใช้ ความอ่อนนุ่มของปากสีชมพูซีดที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ความชื้นของน้ำลายที่ผสมปนกัน ยิ่งได้ยินเสียงเฮือกของคนที่พยายามหายใจให้ทันพิงค์ธารยิ่งรู้สึกสนุก

    ครั้งนี้ก็เหมือนกับทุกครั้ง พอเงยหน้าขึ้นมาก็จะเห็นสีแดงจาง ๆ ทั้งบนสองแก้ม แผ่นหลัง และหน้าอกขาว ๆ ของหมิง พิงค์ธารกระตุกยิ้มก่อนจะโน้มคอลงไปอีกครั้งเพื่อสัมผัสกับผิวเนื้อของคนใต้อาณัติที่อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับเป็นไข้

    "ฉันต้องการนาย นายเองก็ต้องการฉัน ยอมรับเถอะหมิง"

    มีเพียงเสียงหายใจเข้าเฮือกใหญ่ตอบกลับมา พิงค์ธารลากลิ้นช้า ๆ ผ่านส่วนแข็งนูนบนคอขาว ขบปากล้อเล่นกับยอดแหลม ก่อนจะฝังหน้าเข้ากับซอกคอที่ยังมีกลิ่นสบู่จาง ๆ จากการอาบน้ำเมื่อคืน หมิงชอบเวลาที่เขาซุกไซ้บริเวณนี้ ครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากเดิม เขายิ้มกริ่มจนเขี้ยวโผล่เมื่อได้ยินเสียงครางหวานอื้ออึงอยู่ในลำคอ ถึงจะรู้จักกันมาได้ไม่กี่ปีเขาก็มั่นใจว่าตนรู้จักร่างกายคนที่ชื่อมิ่งเมืองดีที่สุด

    ---------เค้าเขิน ขอตัด ตัดอะไรรู้อยู่เนาะ ////-----------

    จนถึงตอนที่สองร่างโอบกอดกันแน่นหมิงก็ยังดูเหมือนเดิม อกขาวกระเพื่อมขณะหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ปากเล็ก ๆ บ่นพึมพำเรื่องที่ต้องซักผ้าปูที่นอนอีกแล้วเหมือนกับทุกที

    เหมือนจะเหมือนเดิมไปทุกอย่าง จนกระทั่งประโยคพิลึกประโยคเดิมหลุดออกมาจากปากน้อย ๆ นั่น

    "ให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายได้มั้ย"

    กำลังมีความสุขกันอยู่แท้ ๆ พิงค์ธารถอนหายใจเสียงดังที่ถูกขัดใจ

    "อะไรอีกหมิง"

    "ตอบคำถามฉัน"

    ทั้งสองนอนตะแคงเข้าหากัน แววตาจริงจังกับสายตาหงุดหงิดจึงเลื่อนมาสบกันได้อย่างง่ายดาย

    "งั้นตอบฉันก่อนว่าทำไม" พิงค์ธารว่า คิ้วขมวดมุ่น "ที่นายกำลังขอมันคือการบอกเลิกนะ ฉันต้องการเหตุผลดี ๆ"

    "งั้นก็ตอบฉันก่อนเหมือนกันหมิง" มิ่งเมืองโต้กลับเสียงเรียบ ดวงตาสีดำขลับแลมืดหม่นกว่าปกติ "ตอบให้ได้นะ ว่าไอ้คำว่าบอกเลิกของนายเนี่ยมันคือการบอกเลิกจากสถานะอะไร"

    บางอย่างในน้ำเสียงมิ่งเมืองบ่งบอกว่าเจ้าตัวได้ไตร่ตรองเรื่องนี้มาเป็นเวลาไม่น้อย คนถูกถามกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แววตาแข็งกร้าวพลันอ่อนลง

    "หมิง…"

    "เราไม่ได้เป็นอะไรกันเลยแต่แรกแล้วอะ นายช่วยยอมรับทีได้มั้ย"

    พิงค์ธารควานหามืออีกฝ่ายใต้ผ้าห่ม

    "นายก็รู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น--"

    "แต่ผลลัพธ์มันก็เหมือนเดิมอะ"

    มิ่งเมืองถอนหายใจยาวพลางพลิกตัวไปอีกทาง เขาปล่อยให้หน้าม้าปรกตา สองมือวางแนบอก ทิ้งให้มือที่ไขว่คว้าของพิงค์ธารชะงักอยู่ห่างจากแผ่นหลังเปลือยเปล่าไม่กี่นิ้ว

    "เหมือนมีอะไรกับคนแปลกหน้าคนเดิม ๆ ทำเหมือนเดิมซ้ำ ๆ แต่ไม่ได้เป็นอะไรกัน นายไม่คิดว่ามันตลกบ้างเหรอ"

    มือที่ค้างเติ่งเลื่อนไปสวมกอดเข้าที่เอวของคนตรงหน้าอย่างไม่ลังเล ปลายจมูกถูเข้ากับกลุ่มผมนุ่มเพื่อสูดกลิ่นแชมพูที่เขาชอบ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยเสียงที่ดังกว่ากระซิบนิดเดียว

    "เราไม่ใช่คนแปลกหน้านะหมิง เราเป็น--"

    "พอเถอะ"

    มิ่งเมืองงอตัวหนี รู้สึกราวกับท่อนแขนของอีกฝ่ายรัดเข้ามาที่หัวใจ

    "เพราะอย่างนั้นไงนายไม่เข้าใจเหรอ เราไม่ใช่แฟน ไม่ใช่คนรัก เพราะเราเป็นมันไม่ได้ไง ถ้าต้องทำอะไรหลบ ๆ ซ่อน ๆ มันก็ต้องมีอะไรไม่ถูกต้องซักอย่างมั้ย นายเอาอะไรมาคิดว่าฉันจะทนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ได้เหรอ"

    "แต่นายก็รู้เหตุผลนี่" พิงค์ธารตอบเบา ๆ ข้างหูคนที่งอตัวเป็นกุ้ง "นายก็รู้ว่าที่เราคบกันไม่ได้ก็เพราะ--"

    "ก็บอกแล้วว่ารู้ แล้วก็เพราะรู้ไงถึงได้อยากไปให้พ้นอะ ก็ถามอยู่นี่ไง นายก็ตอบคำถามฉันมาสิ" เสียงที่ตอบโต้เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ "เลิกทำอะไรตามใจตัวเองได้รึยัง ตอบฉันสิหมิง"

    ถามแล้วก็เอี้ยวคอกลับมาสบตาพิงค์ธารอีกครั้ง และพบนัยน์ตาสีน้ำตาลที่มีน้ำใส ๆ เอ่อคลอจ้องกลับมา

    "ถ้าฉันทำอย่างนั้นแล้ว…แล้วเราจะเป็นอะไรกันล่ะ" พิงค์ธารถามกลับด้วยเสียงแตกพร่า

    "ก็ไม่เป็นอะไร" มิ่งเมืองตอบเสียงเรียบ ก้อนสะอื้นมาจุกที่คอ "เป็นคนรู้จักกัน คนรู้จักธรรมดา เพื่อนร่วมงานธรรมดา"

    "แต่ฉันรักนาย"

    "อืม รู้"

    "แล้วนายก็รักฉันเหมือนกัน"

    ก้อนสะอื้นในคอเหมือนจะขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนช่องคอตีบตัน เล็บมิ่งเมืองจิกเข้ากับผิวอ่อนตรงซอกคอ ตรงที่มีรอยแดง ๆ ที่พิงค์ธารฝากไว้ เขาพยายามคุมน้ำเสียงให้เรียบนิ่ง

    "อืม รู้"

    "นั่นไม่ทำให้นายเปลี่ยนใจหน่อยเหรอ"

    น้ำเสียงเจือด้วยความเว้าวอนทำให้มันยากขึ้นที่จะปฏิเสธ ถึงกระนั้นมิ่งเมืองก็ยังส่ายหน้า

    "เพื่อนร่วมงานปกติเขาไม่จูบกันอะหมิง ยิ่งฐานะเราสองคนยิ่งแล้วใหญ่ เรื่องนี้น่ะ...เรารักกันแค่ไหนก็เปลี่ยนความจริงข้อนี้ไม่ได้"

    น้ำสีใสไหลออกจากหางตาพิงค์ธาร หล่นลงบนผ้าปูที่นอนสีขาว และซึมหายไปต่อหน้าต่อตามิ่งเมือง มือที่วางอยู่บนแผ่นหลังเปลือยเปล่าให้ความรู้สึกเย็นเยียบไม่ต่างจากน้ำแข็ง มิ่งเมืองรู้สึกราวกับกำลังถูกน้ำแข็งทิ่มแทงผ่านเนื้อหนัง ทะลุเข้ามาตรงกลางหัวใจ

    แต่ถึงจะรู้สึกอย่างนั้นก็ยังต้องอ้าปากพูดประโยคถัดไป

    "เลิกกันเถอะ จากสถานะบ้า ๆ นี่น่ะ"

    สองแขนกอดรัดเขาแน่นขึ้น

    "ไม่เอาแบบนี้ได้มั้ย…"

    คำขอร้องถูกกล่าวด้วยเสียงเบาหวิว ปลายจมูกและเปลือกตาของพิงค์ธารกลายเป็นสีแดงเรื่อ มิ่งเมืองกัดฟันแน่น พยายามอดกลั้นทั้งน้ำตา เสียงสะอื้น และความปรารถนาที่จะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้คนตรงหน้า เขาสูดหายใจลึก

    "เลิก-กัน-เถอะ"

    พิงค์ธารส่ายหน้าไม่ยอมหยุด

    "ไม่เอา..."

    "เราต้องใช้ชีวิตต่อไปอะหมิง ก็เหมือนเวลาเดินในเขาวงกต ถ้าเดินไปแล้วรู้ว่ามันเป็นทางตันก็ต้องถอยกลับไปหาทางใหม่”

    รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากบางพร้อมกับน้ำตาที่ทะลักออกมาเหมือนเขื่อนแตก

    “แล้วนี่ฉันกับนายก็เป็นทางตันของกันและกัน เราควรจะถอยไปหาทางใหม่กันได้แล้ว..."

    ปลายเสียงแผ่วหายไปราวกับคนพูดได้ใช้ลมหายใจทั้งหมดที่มีกล่าวออกไปหมดแล้ว มิ่งเมืองอ้าปากโกยอากาศเข้าปอด พยายามให้เสียงที่เกิดแตกต่างจากเสียงสะอื้นมากที่สุด

    "นายเข้าใจฉันใช่มั้ย"

    "ไม่..." ไม่อยากเข้าใจ

    โทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียงสั่นหวือขัดบรรยากาศ พิงค์ธารเหลือบมอง บนหน้าจอปรากฏใบหน้าคุ้นตากับแว่นสีส้มทรงขัดใจป้า เจ้าของโทรศัพท์สูดจมูก รีบร้อนปาดน้ำตาก่อนจะเอื้อมมือไปรับ

    "อื้อ ตื่นแล้ว…เออ ไม่ลืม ๆ เจอกันมึง"

    มิ่งเมืองยิ้มแย้มคุยกับปลายสายที่มองมาจากดาวยูเรนัสยังรู้ว่าคิดเกินเพื่อนแน่ ๆ พิงค์ธารกัดฟันกรอดพลางกระชับกอดให้แน่นขึ้น รอจนอีกฝ่ายกดปุ่มวางสายแล้วจึงกระซิบถาม

    "จะออกไปเที่ยวกับเกื้อเหรอ"

    "อืม"

    จริง ๆ ก็มีเฟิงกับทอยด้วยรวมกันเป็นสี่คน แต่ทำไมจะต้องพูดสิ่งที่อีกคนไม่ได้ถามด้วยล่ะ มิ่งเมืองเคี้ยวปากตัวเอง รู้สึกถึงมือของพิงค์ธารที่กำเป็นหมัดหลวม ๆ อยู่ด้านหลัง

    "นัดกี่โมงเหรอ"

    "ต้องลุกไปอาบน้ำแล้ว"

    ว่าแล้วก็พลิกตัวลุก บางเรื่องไม่ต้องยืดเยื้อก็ดี มิ่งเมืองเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวจากราวริมหน้าต่างมาพันรอบเอว และโยนอีกผืนให้คนที่ยังนอนอยู่บนเตียง

    "นายก็ลุกด้วย เดี๋ยวฉันก็ต้องไปแล้ว"

    "แล้วเรื่องของเราล่ะ"

    มือคนกำลังจะออกไปอาบน้ำชะงักอยู่ที่ลูกบิดประตู เขาก้มหน้ามองคราบน้ำตาบนหลังมือตัวเอง ปล่อยให้น้ำตาหยดใหม่ไหลลงไปที่ปลายคาง

    "คำบอกเลิกเหมือนจะเป็นประโยคเชิญชวนนะหมิง"

    เสียงสั่นไปนิด ใช้ไม่ได้ มิ่งเมืองสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม

    "แต่ในทางปฏิบัติแล้วมันเป็นประโยคคำสั่ง เข้าใจไว้ด้วย"

    พูดจบก็บิดลูกบิดเปิดประตูออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามองซ้ำ

    ++++++++++

    ช่วงทดลองระบบใหม่ฝ่ายไอทีดูจะฮอตเป็นพิเศษ ปภาณบ่นอุบเรื่องที่ไม่มีใครอ่านคู่มือที่อุตส่าห์อดหลับอดนอนทำให้เลย ทุกเช้าห้องทำงานของฝ่ายไอทีมักจะกลายเป็นห้องร้าง กว่าจะกลับมารวมตัวกันได้ก็สิบโมงกว่าเข้าไปแล้ว คนทำหน้าที่รวบรวมฟีดแบ็คอย่างมิ่งเมืองนั่งรัวคีย์บอร์ดเป็นข้าวตอกแตกอยู่หน้าแล็ปท็อปคู่ใจ ปากบางกำลังพ่นลมฟู่ให้ผมม้าที่ปรกหน้าปรกตาปลิวออกตอนที่จิรัฐสไลด์เก้าอี้ถอยมาหาข้าง ๆ มือขวาดันแว่นลงขณะยืดคอชะเง้อดูจอ

    "เยอะสัสอะ ทำทันประชุมสิบครึ่งป้ะวะ"

    "ถ้าหัวหน้าอยากได้กรุงโรมสิบครึ่งกูก็ต้องปั่นออกมาให้ได้ภายในสิบครึ่งโว้ย ขออย่างเดียวมึงหยุดกวนทีดิ๊ แค่พวกเวรนี่ไม่ยอมส่งฟีดแบ็คมาในระบบกูก็ปวดหัวจะแย่แล้ว"

    มิ่งเมืองตอบเสียงดุโดยไม่ละสายตาจากจอคอม จิรัฐจิ๊ปาก

    "เอ๊า ห่านี่ งานด่วนกูเสร็จแล้วเลยจะมาช่วยมั้ยล่ะ พูดจางี้มันน่า--"

    "ขอบคุณครับพี่เกื้อ~ มา ๆ เชิญทางนี้เลยครับ~"

    จิรัฐหัวเราะหึ แขนยาวในเสื้อคลุมสีฟ้าสดเอื้อมหยิบแล็ปท็อปของตนมาวางข้าง ๆ มิ่งเมืองก่อนจะเลื่อนเก้าอี้เข้าไปใกล้ เอาจริงเขาก็รู้ว่ามิ่งเมืองทำงานเสร็จทันอยู่แล้ว แต่แค่ช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แลกกับการได้ฟังเสียงอีกคนพูดจาหวาน ๆ แบบเมื่อกี้ก็เรียกได้ว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เหมือนล้างจานใบเดียวแล้วได้มาการองชั้นดีมาทั้งแถว

    "เออมึง"

    มิ่งเมืองเรียก

    "ว่า?"

    "เสาร์นี้ว่างปะ"

    อัตราการเต้นของหัวใจคนถูกถามพุ่งสูง จิรัฐกะพริบตาถี่ ๆ เพราะช่วยพิมพ์งานอยู่สายตาเลยไม่อาจละจากแผ่นกระดาษตรงหน้าไปได้ แต่ถ้ามีซักสิบตาพี่จะเอาอีกสี่คู่ที่เหลือไปมองน้องมิ่งเมืองให้หมดเลย

    "ว...ว่างดิ มีไรปะ"

    "กูว่าจะขนของบางส่วนกลับมาคอนโดพวกมึงอะ ยืมรถหน่อยดิ"

    "เออ ๆ ได้ ๆ"

    รับคนขับด้วยมั้ยครับ ให้ขนของกี่เที่ยวก็ได้ ค่าแรงไม่ต้อง บริการด้วยใจล้วน ๆ จิรัฐกลั้นยิ้ม ปล่อยให้เสียงรัวแป้นดังกลบเสียงตึกตักของหัวใจซักพักค่อยเอ่ยปาก

    "เดี๋ยวกูไปขับรถให้ มึงชอบซิ่ง เดี๋ยวรถกูเป็นรอย"

    "อื้อ ขอบใจละกัน ถึงมึงจะแค่ห่วงรถก็เหอะ"

    "ก็ห่วงมึงด้วยแหละ"

    มีเสียงสำลักน้ำมาจากด้านหลัง ฟังจากเสียงไอน่าจะเป็นวศิณและอเมริกาโนของเขา จิรัฐสะดุ้งในใจ นี่เขาคิดดังเกินไปเหรอเนี่ย

    "...เกิดมึงขับรถชนแขนหักขึ้นมาใครจะมาพิมพ์รายงานปัญหาให้ทันนัดประชุมวะ ณ จุดนี้คือสำคัญมากเลยนะเว่ย"

    เนียนสุด ๆ มันต้องเนียนสิวะ

    "แหงดิ จะสิบครึ่งแล้วมึงไว ๆ"

    เนียนไม่เนียนไม่รู้ รู้แต่มิ่งเมืองไม่สนใจความแถใด ๆ ของจิรัฐเลยครับ ไอ้เกื้อนะไอ้เกื้อ จิรัฐกัดฟันแน่น มือก็รัวคีย์บอร์ดแข่งกับเสียงเข็มนาฬิกา

    "...ยังไงเสาร์นี้ขนของเสร็จกูเลี้ยงข้าวตอบแทนละกัน เลือกร้านมาเลยนะ"

    คนจะถูกเลี้ยงข้าวตาวาว มือบนแป้นที่รัวอยู่แล้วเหมือนจะพิมพ์ได้เร็วขึ้นไปอีก

    "ให้กูเลือก อย่ามาเสียใจเอาทีหลังแล้วกันนะ"

    "เออ ปอกลอกกูเลย กูรวย"

    "รวยมากสนใจเลี้ยงข้าวเพื่อนอีกซักคนสองคนมั้ยครับท่าน"

    "หุบปากไปเลยไอ้เฟิง"

    "มึงมันสองมาตรฐาน!"



    เสียงเสสรวลในห้องฝ่ายไอทีดังทะลุมาถึงคนที่กำลังหิ้วข้าวหิ้วของไปเตรียมพร้อมสำหรับการประชุม ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนบางเฉียบเข้าไปอีก ดวงตาสีน้ำตาลที่ถูกซ่อนอยู่หลังแว่นสีชาทอประกายเย็นชาจนเหมือนจะกลายเป็นสีสนิมชั่วคราว

    "นายเข้าใจฉันใช่มั้ย"

    อยากจะสวนกลับว่าไม่ แต่ลึก ๆ พิงค์ธารก็รู้ว่าที่มิ่งเมืองพูดมามันก็ถูก

    ทำไมกะอีแค่เกิดมาจากพ่อแม่คนเดียวกันถึงต้องถูกกำหนดว่าจะรักกันไม่ได้ด้วยนะ เหมือนเป็นความพิการแต่กำเนิดที่ไม่มีใครมองเห็น ความพิการที่เครื่องมือตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชิ้นไหนก็หาให้เจอไม่ได้ ตัวเขาเองจะไม่มีทางรับรู้ถึงมันเลยถ้าตอนนั้นไม่ได้อยากเห็นหน้าใครบางคนจนต้องหาข้ออ้างชวนน้องใหม่ฝ่ายไอทีไปเลี้ยงข้าว ถ้าไม่บังเอิญเจอเข้ากับแม่ของมิ่งเมืองในวันนั้น แม่ที่หน้าตาเหมือนตัวเขาเองอย่างกับแกะ

    นึก ๆ ไปมิ่งเมืองก็หน้าเหมือนกับพ่อเขาไม่แพ้กันเลยนี่นะ

    แล้วตัวเขาเองล่ะ ถ้าพ่อของเขาพูดความจริงแต่แรกเรื่องแม่ ถ้าครั้งแรกที่เขารู้จักมิ่งเมืองไม่ใช่ในฐานะเพื่อนร่วมงานแต่เป็นน้องในไส้ล่ะ เขาจะยังรู้สึกอย่างนี้อยู่รึเปล่า

    คิดไม่ออก พอมิ่งเมืองบอกว่านี่เป็นทางตันสมองเขาก็ดูจะตื้อไปหมด

    ขายาวพยายามสับให้เร็วขึ้น จู่ ๆ หูก็ทำหน้าที่รับเสียงได้ดีซะเหลือเกิน นั่นเสียงวศิณแซวจิรัฐโดยมีชวินทร์เป็นลูกคู่ ตามด้วยเสียงมิ่งเมืองด่ากราดมันทุกคนในฐานะที่อู้งาน ซักพักก็กลับมาคุยงุ้งงิ้ง ๆ กันเรื่องแผนการวันเสาร์

    ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่มิ่งเมืองจะย้ายกลับ ในเมื่อย้ายมาที่ใหม่แล้วไม่ได้บรรลุวัตถุประสงค์ของการย้าย วัตถุประสงค์ที่อยากจะหลบหน้าเขา จะหลบได้ยังไง ในเมื่อรหัสผ่านเข้าห้องยังเหมือนเดิมน่ะ

    พอนึกถึงขึ้นมาลมหายใจเข้าก็กลายเป็นมีดปลายแหลมทิ่มแทงไปทั้งอก

    วันที่จู่ ๆ มิ่งเมืองก็เริ่มแพ็คข้าวของเตรียมย้ายคอนโด ในห้องที่ปิดไฟมืด เจ้าของห้องยืนหันหลังให้หน้าต่างที่มีแสงไฟลอดผ่าน ใบหน้าซีดเผือดชัดเจนแม้ในความสลัวราง

    "ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย"

    ตอนนั้นพิงค์ธารหัวเราะตอบโดยไม่รู้ประสา

    "แหงสิ ฉันก็จะถามนายอยู่เนี่ย เก็บของทำไม จะไปไหน"

    "ไม่ใช่เรื่องนั้น..."

    ตอนนั้นพิงค์ธารยังไม่อยากเชื่อ ยังคิดว่าเป็นเรื่องตลก ถึงในใจจะตงิดอยู่นิด ๆ ที่มิ่งเมืองหน้าเหมือนกับพ่อของเขาสมัยหนุ่ม ๆ เสียเหลือเกิน เขาตอบสนองสิ่งที่มิ่งเมืองบอกด้วยการหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ จนกระทั่งมิ่งเมืองพูดซ้ำไปซ้ำมาด้วยเสียงที่หนักแน่นขึ้น ตามมาด้วยน้ำตาที่ไหลเป็นน้ำตก จนทำให้เขาต้องรีบวิ่งออกมาจากห้อง เหยียบรถกลับบ้านชานเมืองไปเค้นเอาความจริงจากพ่อมากลางดึก กลับมาอีกทีก็เจอแต่ห้องเปล่า ๆ กับจิรัฐที่มาช่วยขนของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เหลือไปเก็บไว้ในห้องของตน

    "อ๊ะ คุณพิงค์ธารมาได้ไงอะครับ"

    "เอ่อ...หมิ--คุณมิ่งเมืองให้ผมมาเอาของน่ะครับ ผมเห็นประตูเปิดอยู่ก็เลย..."

    "เอ๊ะ ผมลืมปิดประตูเหรอเนี่ย แล้วมาหาอะไรเหรอครับ ดึกป่านนี้แล้ว ด่วนมากสินะครับ เดี๋ยวผมช่วยตามให้"

    "ไม่เป็นไรครับ ๆ"

    ของที่จะเอาน่ะไม่ได้อยู่ที่นี่ และจริง ๆ ก็ไม่ใช่ของที่จะเอามาเป็นของตัวเองได้ง่าย ๆ ด้วย

    ไม่สิ มิ่งเมืองไม่ใช่สิ่งของแต่แรกแล้ว

    เสียงแจ้งเตือนข้อความดึงพิงค์ธารกลับมาที่โถงทางเดินในบริษัท กวินทร์ที่อยู่ที่ห้องประชุมอยู่แล้วไลน์มาแจ้งหัวข้อด่วนนั่นเอง พิงค์ธารถอนหายใจก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปทางเดิม พอจะเดินผ่านฝ่ายไอทีก็โดนประตูเปิดมาแทบจะชนหน้า

    "อ๊ะ ขอโทษครับ"

    ปภาณก้มหัวปลก ๆ ขอโทษ แต่ดูจากความเร็วที่เดินไปแล้วคงรีบจนไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าไหร่ พิงค์ธารส่ายหน้ากับตัวเองแล้วเริ่มจ้ำบ้าง เขาเองก็ควรจะรีบเหมือนกัน

    รีบเพราะต้องไปเอางาน ไม่ใช่เพราะภาพคนสองคนกอดคอกันที่เห็นทางหางตาหรอกนะ

    ในที่สุดก็ถึงแผนกของเขาเองที่เกือบสุดทางเดิน ตอนนี้ในแผนกร้างผู้คน พิงค์ธารวางของในมือบนโต๊ะเพื่อนที่ว่างพอจะวางได้ (อย่างน้อยก็มากกว่าโต๊ะตัวเองตอนนี้) แล้วทิ้งตัวลงนั่ง ถ้าจำไม่ผิดเขาเป็นคนยัดเอกสารที่ให้ลภัชช่วยรวบรวมมาให้ใส่ลิ้นชักล่างสุดแล้วล็อกไว้เอง สองมือเริ่มคลำเปะปะบนต้นขาเพื่อหากุญแจ

    เสียงกรุ๊งกริ๊งของกุญแจบ่งบอกว่ากุญแจทั้งพวงอยู่ในกระเป๋ากางเกงข้างซ้าย เพราะล้วงออกมาด้วยความรีบร้อนสุดท้ายจึงหล่นลงไปใต้โต๊ะ พิงค์ธารถอนหายใจครั้งที่ร้อยแล้วมุดตัวลงไปเก็บ

    ข้างกุญแจมีซองจดหมายที่ไม่รู้ว่านอนอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ คนกำลังรีบขมวดคิ้วแล้วคว้า ๆ เอาทั้งสองอย่างขึ้นมาพร้อมกัน

    'หมิง'

    ลายมือที่ปรากฏอยู่บนบรรทัดแรกเป็นของมิ่งเมืองไม่ผิดแน่ พิงค์ธารเร่งกวาดสายตาอ่านต่อก่อนที่น้ำตาจะทำให้ทัศนวิสัยพร่ามัว พยายามบังคับมือไม่ให้สั่น

    'ฉันไม่รู้ว่านายจะเจอเจ้านี่เมื่อไหร่ บางทีอาจจะไม่ได้เจอเลยก็ได้ แต่ก็ช่างมันเถอะ เจอไม่เจอไม่สำคัญอะไรหรอก ถ้าความสัมพันธ์ของเราจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ มันก็คงไม่สำคัญอยู่อย่างนั้นนั่นล่ะ

    ต่อไปถ้าไม่ได้คิดอะไรกับจอมทัพ ถ้าเขาจะให้อะไรก็ต้องปฏิเสธให้เด็ดขาดเลยนะ กวินทร์ฝ่ายครีเอทีฟก็ด้วย

    แต่แน่นอนว่าถ้านายจะเริ่มต้นใหม่กับใคร ฉันก็จะเป็นน้องชายที่ดีที่สุดของนาย

    ด้วยความเคารพ

    หมิง'

    ++++++++++


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in